กระทู้ล่าสุดของ: admin

Advertisement


  แสดงกระทู้
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 11
16  Sitemap SMB / Veilside ชุดแต่งVeilside / VEILSIDE สินค้าต่างๆ เมื่อ: เมษายน 16, 2010, 02:28:31 pm
17  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / รักษาสีรถให้ถูกวิธี, อาบน้ำประแป้งแต่งตัวให้รถคันเก่งกันดีกว่า เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 05:27:21 pm
   พอพูดถึงเรื่องการขัดสีรถก็อาจจะมีหลายท่านที่ทำหน้าเบื่อ ๆ เพราะกิจกรรมนี้มันค่อนข้างจะต้องใช้ทั้งเวลาและแรงงานกันมากพอดู

    แต่ ทราบกันหรือไม่ว่าการลงทุนเสียเวลาเสียแรงในการขัดสีรถนั้นพอเทียบกับความ เงางามและความทนทานของสีรถที่ได้รับถือว่าคุ้มค่ามาก เนื่องจากไม่ได้ต้องขัดกันทุกวันทุกสัปดาห์หรือทุกเดือนเพียงแค่ 3 เดือนต่อครั้งเท่านั้น สีรถก็จะดูดีแวววาวสวยงามและเหมือนรถใหม่เสมอ

    ที่นี้การจะเลือกใช้น้ำยาขัดเคลือบสีรถของยี่ห้อไหนหรือ ผลิตภัณฑ์ของใครนั้น สมควรอย่างยิ่งที่เจ้าของรถจะต้องทำความรู้จักคุณสมบัติเฉพาะตัวของสินค้า ยี่ห้อนั้น ๆ เอาไว้ด้วย อย่างน้อยตัวหนังสือที่เขาพิมพ์ไว้ข้างกระป๋องนั่น ถ้าตั้งใจอ่านก็พอจะได้ความรู้อยู่บ้าง

ควรเล่นให้ครบทุกกระบวนท่า

    การขัดเคลือบสีรถนั้นไม่ใช่ขึ้นต้นมาก็ลงมือขัด ๆๆๆๆ กันเลย เพราะถ้าหากต้องการให้สีรถออกมาดูดีที่สุดก็ควรจะต้องทำให้ครบทุกขั้นตอน เนื่องจากกระบวนการในการขัดสีรถจะต้องเริ่มตั้งแต่การขจัดเศษฝุ่นละอองไปจน ถึงการเคลือบป้องกันรังสี UV กันเลย

    กระบวนการหรือกรรมวิธีเคลือบสีนี้จะแบ่งออกเป็นขั้นตอนต่าง ๆ ได้หลายขั้นซึ่งหากคุณใช้วิธีขับรถไปเข้าคาร์แคร์ก็ไม่เป็นไร เพราะเขาจะจัดการให้เสร็จเรียบร้อยทุกอย่าง (ยกเว้นเรื่องจ่ายเงิน คุณต้องทำเอง) แต่ถ้าไปเข้าร้านที่ไม่ค่อยลงทุนสักเท่าไหร่ ขั้นตอนต่าง ๆ ก็จะถูก “หด” ลงไป รวมทั้งคุณภาพของตัวน้ำยาที่ใช้ก็เป็นเกรดธรรมดา หรือต่ำกว่าธรรมดา (เพราะต้องการดึงราคาค่าบริการให้ต่ำลงจนดึงดูดความสนใจ) บางทีแทนที่จะเป็นการรักษาสีรถก็กลายเป็นทำลายสีรถไปเลย จึงอยากแนะนำให้เดินหาซื้อมาด้วยตนเองจะดีที่สุดเพราะเราสามารถเลือกระดับ คุณภาพของตัวน้ำยาเหล่านี้ได้

    ข้อควรคำนึง คือ ควรใช้ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อใดยี่ห้อหนึ่งทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้าง ขึ้นผึ้งและครีมขัดในทุกขั้นตอน สาเหตุหนึ่งที่บอกว่าควรใช้ยี่ห้อเดียวกันก็เพราะสารประกอบที่ใช้ใน ผลิตภัณฑ์ยี่ห้อเดียวกันนั้นจะไม่ขัดกันเองเหมือนกับการนำของต่างยี่ห้อมา ใช้งานร่วมกันซึ่งบางครั้งสารเคมีที่ใช้อาจจะเป็นคนละตัวกันและมีฤทธิ์หัก ล้างซึ่งกันและกัน

    มาเริ่มต้นที่กระบวนการขัดเคลือบสีรถกันดีกว่า ขั้นแรกคือการเลือกซื้อน้ำยาให้ครบชุด ซึ่งจะประกอบด้วย น้ำยาล้างรถชนิดที่เป็นแชมพู บางคนอาจจบอกใช้แชมพูสระผมก็ได้ อันนั้นเป็นความคิดที่ผิด อย่าไปเอาอย่างพวกล้างแท็กซี่เลย รถเราราคาตั้งหลายแสนหลายล้านแล้วก็ไม่ใช่รถสาธารณะด้วย ทำไมถึงไม่ได้ล่ะ ? จะบอกให้ว่า ตัวสูตรผสมของแชมพูทั้งสองชนิดนั้นจะมีพื้นฐานเดียวกันคือ จะมีสารที่ทำให้เกิดฟองเหมือนกันแต่ความแตกต่างอยู่ตรงที่ตัวทำความสะอาด ชนิดที่ไม่ทำอันตรายแก่สีรถแล้วยังต้องช่วยรักษาความเงาของเนื้อสีเอาไว้ให้ ได้ด้วย นั้นคือ คุณสมบัติที่รถยนต์ต้องการ ส่วนสำหรับเส้นผมเขาก็ต้องผสมสารต่าง ๆ มาให้เพื่อใช้กับเส้นผมโดยเฉพาะ ซึ่งสารพวกนั้นสีรถไม่ต้องการใช้ไปนาน ๆ เข้าสีรถจะเริ่มด้านขึ้นเรื่อย ๆ เช่นกัน

    เริ่มต้นขั้นตอนกันตั้งแต่การทำความสะอาดรถเสียก่อน โดยใช้ไม้ขนไก่ปัดฝุ่นผงต่าง ๆ ออกเป็นอันดับแรกด้วยวิธีปัดไล่ไปทางเดียวตรง ๆ อย่าปัดย้อนไปมาเด็ดขาดเพราะจะเท่ากับพาเอาฝุ่นผงกลับมาที่เดิม แถมเป็นการขัดสี (ให้เป็นรอย) ไปอีกด้วย

    จากนั้นให้ใช้น้ำยาล้างรถผสมกับน้ำเปล่าในอัตราส่วนที่เขา กำหนดเอาไว้ ซึ่งปกติก็จะอยู่ประมาณ ฝาต่อ 1 แกลลอน (คิดแบบไทย ๆ ก็ 1 ฝาต่อน้ำ 1 ถัง) สำหรับรถขนาดเล็ก และเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตามขนาดของตัวรถที่โตขึ้น การล้างรถที่ให้ผลดีที่สุดจะต้องใช้ฟองน้ำ 2 แผ่น หลังจากฉีดน้ำเปลา เพื่อล้างฝุ่นไปรอบหนึ่งแล้ว ให้เอาฟองน้ำแผ่นแรกล้างส่วนบนของตัวรถตั้งแต่หลังคาไล่ลงมาถึงประมาณส่วน กลางของตัวรถ ล้างให้รอบคันเสร็จแล้วจึงเปลี่ยนฟองน้ำอันใหม่มาจัดการล้างส่วนด้านล่างต่อ ให้จบ เหตุที่ต้องให้เปลี่ยนฟองน้ำถึง 2 อันก็เพราะว่าอันแรกจะล้างส่วนบนที่ไม่ค่อยจะมีเศษฝุ่นทรายแต่ส่วนล่างจะมี ฝุ่นทรายมาก หากใช้แผ่นเดียวแล้วพอนำเอามาล้างครั้งต่อไปเศษฝุ่นทรายที่ตกค้างอยู่ใน ฟองน้ำจะออกมาถูกับสีให้เป็นรอยตามมาได้อีก หลังจากล้างด้วยฟองน้ำจนทั่วทุกส่วนแล้วจึงใช้น้ำสะอาดล้างฟองออกให้หมด แล้วใช้ผ้าสะอาด ๆ มาเช็ดน้ำที่ตกค้างออกให้แห้ง (ถ้าได้พวกชามัวร์มาเช็ดก็จะทำงานง่ายขึ้นเพราะผ้าชามัวส์นั้นสามารถจะซับ น้ำออกได้เร็วกว่าผ้าธรรมดา)

ด่านสองต้องครีม

    การขจัดริ้วรอยเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่ลึกมาก อย่างที่เรียกกันว่า “ขนแมว”ออกจะต้องใช้ยาขัดที่มีลักษณะคล้ายกับยาขัดสีของพวกอู่สีเขาแต่ต้อง มีเนื้อละเอียดมากกว่าจะได้ไม่เกิดรอยใหม่ขึ้นมาแทนที่ของเดิม ครีมที่ใช้นี้จะเป็นครีมสูตรเดียวกับของวงการเครื่องประดับที่เขาใช้ขัดรอย ขีดข่วนเล็ก ๆ น้อย ๆ ออก

    เมื่อสำรวจตรวจหารอยจนครบแล้ว หากต้องการจะขัดออกก็ให้ใช้ครีมชนิดนี้พร้อมกับผ้าสำลี (ใช้งานดีที่สุด) มาขัดเบา ๆ ตามแนวของรอยขีดนั้น ๆ ไม่ต้องออกแรงมากมายเหมือนซักรองเท้าผ้าใบ แล้วเราก็จะเห็นว่ารอยขีดข่วนเล็ก ๆ เหลือน้อยลงหรือหายไปเลย ลบรอยกันแล้วก็มาถึงการขัดสีด้วยครีมขั้นตอนแรกกัน ครีมที่ใช้จะเป็นแบบที่ผสมด้วย “น้ำมันคาร์นูบา” เพื่อใช้สำหรับขัดทำความสะอาด ขจัดคราบสกปรก และคราบสนิมรวมทั้งคราบเขม่าจากท่อไอเสีย (รถบางรุ่นจะโดนเขม่าจากท่อไอเสียเป็นปกติจากโรงงานเลย) วิธีการขัดให้ใช้ฟองน้ำหรือผ้าแตะน้ำยาเล็กน้อยทาในลักษณะวน ๆ ให้เป็นก้นหอยให้ทั่วทั้งคัน ครบทุกส่วนที่เป็นสีก็พอดีกับจุดที่เราเริ่มทายาขัดแห้งใช้การได้พอดีแล้ว

    ขั้นตอนนี้ยากที่สุดเนื่องจากการขัดสีรอบนี้จะต้องออกแรงมากพอ สมควรเพื่อปรับสภาพพื้นผิวให้เรียบขึ้นและยังต้องกำจัดเอาเศษคราบสกปรกที่ ฝังติดแน่นออกให้หมด (เจ้าเศษสิ่งสกปรกที่ติดมานั้น ส่วนใหญ่ก็จะมาจากเศษน้ำมันปนกับเขม่าควันและฝุ่นละอองในทุกแห่งที่รถของเรา ผ่านไปนั้นเอง ซึ่งไม่มีทางหลีกเลี่ยงเสียด้วย) และในทันทีที่ออกแรงขัดออกหมดแล้วก็จะเห็นว่าสีของรถคุณเริ่มขึ้นเงาและ ผิวสีจะลื่นขึ้นจนสังเกตได้

    ด่านสามอุดและเคลือบ

    หวังว่าคงยังไม่เหนื่อยกันนัก .. มาเริ่มต้นขั้นตอนต่อไปเลยดีกว่า หลังจากที่เราจัดการกับรอยขนแมวและคราบสิ่งสกปรกบนพื้นผิวเสร็จไปอีกหนึ่ง ขั้นตอนแล้วถึงตรงนี้ถ้าหากปล่อยเอาไว้อย่างนั้นไม่ลงมือขั้นต่อไปก็จะเท่า กับเราได้ขัดสีรถแล้วปล่อยเอาไว้เฉย ๆ เมื่อนำรถออกไปใช้งาน บรรดาสิ่งสกปรกต่าง ๆ ในบรรยากาศก็จะเข้ามาเกาะติดกับสีรถได้อีก ดังนั้น เพื่อให้การขัดสีครั้งนี้ไม่เสียเปล่าจึงจำเป็จะต้องขัดด้วยครีมหรือขึ้ผึ้ง เคลือบสีอีกรอบหนึ่ง

    ในขั้นตอนการเคลือบสีนี้เราสามารถจะเลือกใช้ได้ทั้งแบบครีมและขึ้ผิ้งเนื่อง จากทั้งสองชนิดทำจากเรซิ่นที่มีความหนืดสูง และมีความไวต่ออากาศ พร้อมด้วยส่วนประกอบของสารเทฟล่อน สุดท้ายก็จะเป็นสารสำหรับชักเงาทำให้การขัดสีง่ายขึ้น

    เราสามารถแยกคุณสมบัติต่าง ๆ ของสารที่เติมเข้าไปมาได้คร่าว ๆ ดังนี้ เรซิ่นพิเศษที่ผสมอยู่นี้จะยึดติดกับผิวสี ช่วยอุดลบร่องรอยขีดข่วนเล็ก ๆ ทำให้สีรถดูเรียบ เป็นเงา และกลายเป็นผิวเคลือบที่เป็นเงาใส ๆ เพิ่มความเงางามให้กับสีรถได้อีกส่วนหนึ่ง และสารเทฟล่อนจะทำหน้าที่ช่วยให้เกิดความลื่น เคลือบสีให้เกิดความคงทนยิ่งขึ้น รวมทั้งช่วยป้องกันสีรถจากการกัดกร่อนของพวกกรดหรือด่างในน้ำในขี้นกในยาง ไม่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จุดเด่นอีกประการหนึ่ง คือ สามารถป้องกันรังสี UV (Ultra violet) อันเป็นตัวการทำลายสีรถให้ซีดจางได้ด้วย

    กรรมวิธีการขัดให้ทำเช่นเดียวกับที่ลงมือไปเมื่อรอบที่แล้วคือ ใช้ฟองน้ำที่มีมาอยู่ในกล่องแตะครีมหรือขี้ผึ้งเล็กน้อยค่อย ๆ วน ๆ เป็นก้นหอย ทาให้ทั่วทั้งคัน จากนั้นจึงใช้ผ้าสำลีสะอาด ๆ มาเช็ดออกอีกทีหนึ่ง งานรอบนี้จะเบาแรงขึ้นพอสมควรที่เยวเพราะเศษสิ่งสกปรกถูกกำจัดออกไปแล้ว ครั้งหนึ่ง

ขั้นตอนสุดท้าย

    งานขัดเคลือบสีในขั้นตอนสุดท้ายนี้จะเป็นการเคลือบเงาปิดท้ายอีก ชั้นหนึ่งเพราะขึ้นผิ้งตัวสุดท้ายนี้จะมีคุณสมบัติในการป้องกันผิวสีให้มี ความคงทน เงางามเป็นประกาย และยังช่วยป้องกันรังสี UV จากแสงแดด ไม่ให้ทำอันตรายต่อสีรถได้อีกระดับหนึ่งที่เหนือไปกว่าขั้นที่แล้ว (เรียกว่าชัวร์กันไปเลย)

    กระบวนการขัดครีมขั้นสุดท้ายนี้ จะเป็นขั้นตอนที่เบาแรงขึ้นมาอีกชั้นหนึ่ง เพราะขี้ผึ้งตัวนี้เราจะใช้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น ค่อย ๆ ขัดเบา ๆ เป็นก้นหอยให้ทั่ว แล้วเช็ดออกด้วยผ้าสำลีสะอาด ๆ เพียงเท่านี้สีรถที่เคยหม่นหมองก็จะกลับมาเงาวับในทันที

    ขอเดือนเอาไว้สักหน่อยว่า การทำงานทั้งหมดนี้จะต้องปฏิบัติในร่มในเงาของหลังคาเท่านั้น หากไปเล่นขัดสีกันกลางแสงแดดจะทำให้ยาขัดแห้งไม่เท่ากัน และเห็นผล (ร้าย) ได้ตอนที่เมื่อเช็ดออกแล้วสีจะเงาไม่เสมอกัน นอกจานั้นยังทำให้ระยะเวลาที่น้ำยาจะทำปฏิกิริยากับผิวสีมีน้อยลงซึ่งเป็น เรื่องสำคัญพอสมควร เราสามารถทำเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ แต่การขัดและเคลือบสีนั้น ไม่จำเป็นจะต้องทำทุกครั้งที่ล้างก็ได้เพราะเมื่อขัดและเคลือบครั้งหนึ่ง แล้วจะมีอายุยืนยาวไปได้ถึงประมาณ 6 เดือน...........
18  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / รถชน!!!.....อย่าตกใจ-ทำอย่างไรดี เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 05:06:33 pm


    
อุบัติเหตุบนท้องถนน มีให้เห็นได้เสมอทุกวัน โดยเฉพาะช่วงเทศกาลสารพัดตลอดทั้งปีของบ้านเรา มีทั้งบาดเจ็บเล็กน้อย กระทั่งเสียชีวิต

    อีกกรณีก็คือพวกที่ชอบ "ชนแล้วหนี" มีให้เห็นตามข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน ซึ่งฟังแล้วทำให้รู้สึกว่าคนสมัยนี้ขาดความรับผิดชอบและประมาทกันมาก เมื่อเกิดเหตุการณ์ก็มักจะตกใจจนไม่มีสติไม่รู้จะทำอย่างไรดี ที่สำคัญอุบัติเหตุบนท้องถนนยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของคนไทย ด้วย แต่เมื่อห้ามกันไม่ได้หากจะมีเหตุร้ายเกิดขึ้น ตัวคุณไม่ว่าจะเป็นผู้ขับ ผู้โดยสาร หรือผู้พบเห็นเหตุการณ์ก็ตามลองมาดูแนวทางปฏิบัติที่"ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" นำมาให้อ่านกัน

        * ถ้าเป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์

              ควรช่วยเหลือผู้ได้รับบาดเจ็บ ตามสมควรและเราจะต้องแสดงตัวเป็นพลเมืองดีโดยยินดีที่จะเป็นพยานในคดีให้ สมมุติว่าเราเห็นคนคันหนึ่งชนคนแล้วหนีสิ่งที่เราควรทำก็คือพยายามจดจำ ทะเบียนรถ ชื่อยี่ห้อ สีรถแล้วรีบแจ้งตำรวจทราบ เพื่อติดตามจับกุมต่อไป มีบางคนถึงกับขับรถตามไปคนประเภทนี้ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนดีต่อสังคม

        * ถ้าท่านเป็นคนเจ็บเพราะรถชน

              สิ่งแรกที่ควรทำก็คือท่านต้องร้องให้คนอื่นช่วย ถ้าท่านยังมีสติอยู่ เพราะว่าคนที่มามุงดูอาจจะไม่ทราบว่าท่านบาดเจ็บร้ายแรงเพียงใดหากท่านยัง สามารถพูดได้ก็ขอให้บอกว่าเจ็บที่ตรงส่วนใดเพื่อจะได้ทำการปฐมพยาบาลเบื้อง ต้น ส่วนเรื่องคดีนั้นเอาไว้พิจารณาทีหลัง หากเราบาดเจ็บเล็กน้อยและไม่มีพยานในที่เกิดเหตุเราควรจดทะเบียนรถไว้ เผื่อไปเรียกร้องค่าเสียหายที่หลัง

        * ถ้าท่านเป็นผู้ขับ

              กรณีนี้อย่าหนีเป็นอันขาดเพราะความผิดฐานขับรถประมาทนั้นไม่ใช่ เรื่องเจตนา ผู้กระทำผิดไม่ใช่อาชญากร โทษก็ไม่มากมายอะไรควรจะอยู่เพื่อต่อสู้กับความจริง มิฉะนั้นท่านจะต้องหลบหนีนานถึง 15 ปี ถ้าท่านขับรถชนคนเสียชีวิต แต่ถ้าท่านมอบตัวสู้คดีบางทีท่านก็ไม่มีความผิด หรือมีความผิดศาลก็ปรานีลดโทษให้ ถ้าท่านมีน้ำใจ

              หน้าที่ของคนขับรถเมื่อเกิดรถชนกันนั้น กฎหมายกำหนดดังนี้

                 1. ต้องหยุดรถและให้ความช่วยเหลือตามสมควร เช่น ขับรถชนคนก็ต้องหยุดรถช่วยเหลือคนที่ถูกชน นำส่งโรงพยาบาล

                 2. ต้องไปแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที คือต้องรีบแจ้งตำรวจใกล้เคียงทันที แต่ต้องบอกด้วยว่าเราเป็นคนขับรถอะไร

                 3. แจ้งชื่อตัว ชื่อสกุล ที่อยู่หมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้เสียหาย

                 4. ถ้าเป็นผู้ขับขี่ที่หลบหนีหรือไม่แสดงตัวต่อพนักงานเจ้า หน้าที่กฎหมายให้สันนิษฐานว่าเป็นผู้กระทำผิดและตำรวจมีอำนาจยึดรถไว้จนกว่า จะได้ตัวผู้ขับขี่หรือจนกว่าคดีจะถึงที่สิ้นสุด

                 5. ถ้าคนขับคนใดไม่ปฏิบัติตามกฎข้อ 1, 2 และ 3 แล้วจะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 เดือนหรือปรับไม่เกิน 2,000 บาท แต่ถ้าคนที่ถูกชนบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตต้องจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท

        * ถ้ารถท่านมีประกันก็ต้องรีบแจ้งต่อบริษัทประกันทันที

              เพราะบริษัทประกันจะมีเจ้าหน้าที่มาตามที่เกิดเหตุ พร้อมกับทำแผนที่เกิดเหตุไว้พร้อมเพื่อเอาไว้สู้คดี

        * ถ้ามีกล้องถ่ายรูปต้องรีบถ่ายรูปรถไว้ทันที

              นอกจากนี้ยังต้องถ่ายรายละเอียดต่างๆไว้ด้วย ไม่ว่าจะเป็นสถานที่เกิดเหตุ ความเสียหายตามจุดต่างๆของรถ รวมถึงรถของคู่กรณี หรือหากว่ามีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุก็ให้ขอรูปจากมูลนิธิที่ทำการเก็บภาพ ไว้เพราะจะเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีในภายหลัง

        * ควรช่วยเหลือคนเจ็บ หรือค่าทำศพของผู้เสียชีวิต

    เรื่องนี้สำคัญมากๆคนขับรถมักไม่ค่อยเห็นประโยชน์ ของการช่วยเหลือเหล่านี้ความจริงเมื่อคุณขับรถชนคนเสียชีวิต หรือบาดเจ็บหรือขับรถโดยประมาทนั้นมีโทษทางอาญา

       1. ทางอาญา คุณอาจจะต้องรับโทษจำคุก

       2. ทางแพ่ง คุณจะต้องชดเชยค่าเสียหายค่าบาดเจ็บ ค่าทำศพให้กับคู่กรณี หากคุณช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ ไม่ชนแล้วหนี ต่อมาเมื่อเรื่องถึงศาล ศาลก็จะเห็นถึงความมีน้ำใจของคุณก็อาจจะรอลงอาญาให้เราโดยไม่จำคุกเรา แต่ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณหนีศาลมักจะให้จำคุกเลยเพราะเห็นว่าคุณเป็นคนแล้ง น้ำใจ การตกลงใช้ค่าเสียหายให้คนเจ็บก็มีประโยชน์มาก

    ยกตัวอย่างเช่นถ้าไม่พยายามตกลงใช้ค่าเสียหายให้กับคนเจ็บ ตำรวจเขาจะมีระเบียบไว้ว่าไม่ให้คืนของกลางให้แก่ผู้ต้องหาจนกว่าผู้ต้องหา จะพยายามตกลงกับผู้เสียหายและถ้าคุณยอมชดเชยค่าเสียหายและค่าทำศพให้กับผู้ เสียหาย คดีแพ่งก็ระงับเพราะถือว่ายอมความคดีแพ่งกันแล้ว จะฟ้องเรียกค่าเสียหายคุณในทางแพ่งไม่ได้อีกแล้ว

    ทั้งนี้การใช้รถใช้ถนนร่วมกันให้ดีขึ้นนั้น เราทุกคนควรขับรถอย่างมีสติไม่ประมาทและมีน้ำใจให้แก่กัน เพียงเท่านี้อุบัติเหตุก็จะไม่เกิดขึ้นแล้ว
19  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / ถนอมยางอย่างไร!!! ( เมื่อต้องจอดรถทิ้งเป็นเวลานานๆ ) เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 04:47:42 pm
การถนอมยางรถยนต์กรณีที่ต้องจอดรถทิ้งไว้เป็นเวลานาน

เราเคยพูดถึงการจอดรถยนต์ทิ้งไว้โดยไม่ได้ใช้กันมาบ้ างแล้ว แต่สำหรับกรณีที่ไม่มีใครคอยดูแลช่วยขยับรถหรือติดเค รื่องยนต์ให้กับรถยนต์ที่คุณจำเป็นต้องจอดทิ้งไว้นาน แรมเดือน คุณควรสูบลมยางเพิ่มขึ้นสัก 5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว เพราะการที่ต้องจอดรถไว้ในตำแหน่งเดียวนานๆ ยางส่วนที่
สัมผัสกับพื้นถนนจะถูกน้ำหนักตัวรถกดลงไป จนทำให้เบี้ยวเสียรูปทรง ทำให้โครงสร้างภายในชำรุด หรือจะขึ้นแม่แรงไว้ให้ล้อ และยางแตะพื้นน้อยที่สุดแต่ไม่ต้องถึงกับลอยขึ้นมาจา กพื้น เพราะหากล้อและยางลอยขึ้นมาจากพื้นจะทำให้ระบบช่วงล่ าง เช่น ปีกนก ลูกหมากต่างๆ ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นและ
เสียหายจากน้ำหนักที่มากกว่าปกติได้ เพียงแค่หาเครื่องมือที่เรียกว่า สามขา มารองรับน้ำหนักรถเอาไว้ หากเปิดกระจกหน้าต่างให้แง้มลงมาได้บ้างเล็กน้อยก็จะ ช่วยให้อุปกรณ์ภายในรถที่เป็นยาง และพลาสติกมีความทนทานมากขึ้น



ที่มา : carsociety24.com[/b][/size]




ที่มา
20  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / ยางของคุณมี "เสียงแบบไหน" เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 04:16:55 pm
    ผู้ใช้รถส่วนมากจะมีความรู้สึกถึงเสียงที่เกิดขึ้นขณะขับรถแตกต่างกันออกไป เสียงที่ท่านได้ยิน นั้นจะมาจากแหล่งกำเนิดเสียงต่างๆ บางครั้งสามารถแยกแยะออกได้ว่า เสียงที่เกิดขึ้นนั้นมาจากที่ใดบ้าง แต่บางครั้งเสียงก็จะปนกันจนฟังไม่ออกว่าเป็นเสียงอะไรบ้าง

    ที่ มาของเสียงขณะขับรถโดยเฉพาะ "เสียงยาง" เพื่อให้ท่านเข้าใจถึงลักษณะและสาเหตุของการเกิดเสียงต่างได้ดี ยิ่งขึ้น แต่ก่อนที่จะคุยกันเรื่องเสียงยางเราลองดูกันว่าเสียงที่เกิดขึ้นขณะขับรถ นั้นมีอะไรบ้าง

    ที่มาของเสียงต่าง ๆที่เกิดขึ้นขณะขับรถนั้นมาจากระบบเครื่องยนต์ ระบบขับเคลื่อน ระบบเบรค ท่อไอเสีย เสียงลมและเสียงยาง

    ในการออกแบบรถรุ่นใหม่ ๆ บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้พิจารณาหาทางลดเสียงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น เพื่อให้ผู้ใช้รถมีความสุนทรีย์ในการขับขี่มากยิ่งขึ้น เช่นเดียวกับผู้ผลิตยางรถยนต์ต่างก็พยายามที่จะพัฒนายางรุ่นใหม่ ๆให้มีเสียงเกิดขึ้นขณะใช้งานน้อยที่สุด เงียบที่สุด ที่นี้เราลองมาดูกันว่าเสียงยางนั้นมีกี่ชนิดและเกิดขึ้นได้อย่างไร

   1. เสียงดอกยาง (Pattern noise) ขณะยางวิ่งสัมผัสพื้นถนนอากาศจะถูกอัดอยู่ภายในร่องดอกยางกับพื้นผิวถนน เมื่อยางวิ่งต่อไปอากาศจะขยายตัวออกจากร่องยางทำให้เกิดเสียงขึ้น เสียงจะเกิดขึ้นต่อเนื่องซ้ำอยู่ตลอดเวลาด้วยความถี่คงที่ เสียงที่เกิดขึ้นนี้ คือ "เสียงดอกยาง"

   2. เสียงแหลม ( Squeal ) เสียงแหลมดัง "เอี๊ยด" เกิดจากการสั่นสะเทือนของบริเวณหน้ายางที่กระทำกับผิวถนนในชั่วเวลาหนึ่ง ขณะที่ออกรถหรือหยุดรถอย่างกระทันหันหรือขณะเลี้ยวรถมุมแคบอย่างทันทีท้นใด เสียงดังกล่าวเป็นตัวชี้ให้ทราบว่าผู้ขับรถได้ใช้งานจนเกินความสามารถของยาง ที่จะรับได้ ความสามารถในการยืดเกาะถนนจะลดลงอย่างมากและทำให้เกิดผลเสียดังนี้

          * ออกรถกระทันหัน ล้อหมุนฟรีดอกยางสึกหรออย่างรวดเร็วและสึกไม่เรียบ

          * หยุดรถกระทันหัน ล้อล๊อคตายแต่ไถลไปกับพื้นถนนหน้ายางสึกเป็นจ้ำเนื้อยางไหม้ความฝืดระหว่าง หน้ายางกับผิวถนนลดลงทำให้รถลื่นไถลเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย

          * เลี้ยวรถมุมแคบทันทีทันใด ยางลื่นไถลออกทางด้านข้าง ทำให้ควบคุมพวงมาลัยไม่ได้เกิดอุบัติเหตุได้ง่ายอีกทั้งทำให้ดอกยางสึกหรอ อย่างรวดเร็วและสึกไม่เรียบ

   3. เสียงถนน (Road noise) ผิวถนนในปัจจุบันนี้มีอยู่มากมายหลายประเภท เช่น คอนกรีตผิวเรียบ ,คอนกรีตมีร่องเล็กๆ ตามแนวขวาง ,แอสฟัสต์ผิวเรียบ แอสฟัสต์มีหินลอย ,ทางลูกรัง ฯลฯ เวลาขับรถผ่านผิวถนนดังกล่าวก็จะเกิดเสียงต่าง ๆกันออกไป สำหรับผิวถนนที่เรียบละเอียดนั้นเสียงที่เกิดจากผิวถนนอาจจะคล้ายกับ เสียงดอกยาง

   4. เสียงสะเทือน (Elastic vibration noise ) เสียงนี้เกิดขึ้นจากความสั่นสะเทือนของยางเมื่อวิ่งผ่านผิวถนนที่มีสภาพผิด ปกติ เช่น เป็นหลุม ,แตกร้าว หรือเนื่องจากความไม่สมดุลย์ของยาง

   5. เสียงดอกยางบิดตัว (Slip noise) เป็นเสียงที่เกิดขึ้นเนื่องจากการบิดตัวไม่สัมผัสถนนของดอกยางบางส่วนเกิด ขึ้นในขณะเลี้ยวโค้ง แต่ไม่รุนแรงถึงกับหน้ายางลื่นไถล

    เมื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับชนิดและที่มาของเสียงแล้วเราลองมาดูกันว่า องค์ประกอบที่ทำให้เกิดเสียงดอกยางดังมากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับอะไรบ้าง โดยเราสามารถทราบระดับความดังของเสียงได้จากผลการทดสอบโดยใช้เครื่องมือตรวจ วัดกราฟ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้คือ ระดับความดังของเสียงจะเพิ่มตามความเร็วของรถ ถ้าความเร็วของรถสูงเสียงก็จะดังตามไปด้วย ,ยางดอกบั้งจะมีระดับของเสียงสูงกว่ายางดอกละเอียด

    ความดังของเสียงยางสามารถถูกทำให้ลดลงได้โดยใช้เทคนิคในการออก แบบ ดอกยางให้มีลักษณะที่ช่วยลดปริมาณอากาศที่ถูกอัด ขณะดอกยางสัมผัสผิวถนนหรืออีกวิธีหนึ่งก็โดยการกำจัดเสียงที่เกิดขึ้นต่อ เนื่องในระดับความถี่เดียวกันด้วยการออกแบบขนาดของดอกยางแต่ละดอกให้ต่างกัน ออกไป

    การออกแบบดอกยางให้มีหลายขนาดนั้น ส่วนมากจะใช้กับยางที่ต้องการให้มีระดับเสียงน้อยที่สุด เช่น ยางรถโดยสาร ,ยางล้อหน้ารถบรรทุก,ยางปิกอัพ และยางรถเก๋ง จากความเข้าใจของผู้ใช้รถทั่วไป ส่วนมากจะคิดว่าขนาดของดอกยางแต่ละดอกจะเท่ากัน แต่ถ้าท่านลองสังเกตุดูยางที่ท่านใช้อยู่ ท่านจะเห็นความแตกต่างของขนาดดอกยางในยางเส้นเดียวกันอย่างชัดเจน

    และทุกบริษัทต่างก็ใช้เทคนิคการออกแบบดังกล่าว ผสมผสานกับเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อวิเคราะห์หาลักษณะการจัดวางขนาดดอกยางที่ทำให้เกิดเสียงน้อยที่สุดนำมา ผลิตยางเพื่อให้ผู้ใช้พึงพอใจในคุณภาพ
21  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / 9 (สูตร) ประหยัดน้ำมัน เทคนิคประหยัดง่าย ๆ ที่คุณก็สามารถขับเองได้ เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 01:42:06 pm


   ระบบปรับอากาศในรถยนต์จะช่วยให้ ประหยัดน้ำมันได้อย่างไร หลายคนเกิดความสงสัยขึ้นมาทันที เพราะนอกจากวิธี การขับรถยนต์ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. ซึ่งได้ผลเป็นที่ยอมรับกันดีอยู่แล้ว

    ความ จริงในเรื่องของระบบปรับอากาศ ก็สามารถช่วยให้เราประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากเช่นกัน แต่ต้องอาศัยการทำเป็นกิจวัตรจะได้ผลมาก ๆ หรือคิดว่าลำบาก มาก ก็ทำเฉพาะที่สามารถทำได้ไม่บังคับ แต่ทำได้มากก็ประหยัดมาก เลือกเอาอย่างนี้แล้วกัน เอาวิธีการใช้แอร์ผสม เทคนิคการใช้รถในเทคนิค 9 ประหยัดง่าย ๆ ไปลองทำดูรับรองติดใจ

    วิธีประหยัด 1. “เช้า ๆ ไม่ต้องวอร์มนาน”


    ข้อนี้สำหรับผู้ที่ออกบ้านตอนเช้าก่อนแดดออกเป็นประจำควรทำอย่าง ยิ่ง ขอย้ำว้าใช้ได้เฉพาะตอนก่อนแดดออก มีหลายคน แนะนำให้เราวอร์มเครื่องยนต์ตอนเช้า ๆ สัก 5-10 นาที เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเครื่องยนต์ แต่ในช่วงน้ำมันมี ราคาแพงเช่นนี้ ขอแค่สตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่ ๆ ไม่ต้องเร่ง แต่จะใช้ช่วงเวลาเพียง 1 นาที หลังจากสตาร์ทเครื่องยนต์ ก็ทำให้ประหยัดกว่าเดิมได้แล้ว ดูตำแหน่ง และปรับกระจกทุกบานให้เข้าที่ ปรับเบาะนั่งให้สบาย และคาดเข็มขัดนิรภัย จากนั้นก็สามารถเริ่มออกเดินทางได้เลย ตอนเช้าอุณหภูมิยังต่ำ แต่ถ้าคุณเริ่มรู้สึกร้อน ในช่วงแรกให้เปิดสวิตช์ พัดลมครึ่งเดียว แต่ยังไม่จำเป็นต้องเปิดความเย็น

    วิธีประหยัด 2. “ปรับความเย็นเพียงแค่ครึ่งเดียว”

    ผ่านมาแล้วเกือบ 5 นาที ประหยัดน้ำมันไปแล้วหลายสิบซี.ซี. เชื่อไหมครับว่าน้ำมันเชื้อเพลิงค่ไม่กี่ซี.ซี. ก็สามารถพารถ วิ่งไปได้ไกลหลายร้อยเมตร อย่ามองว่ามันน้อย เพราะถ้าคุณทำทุกวันก็ช่วยได้เยอะ และมาประหยัดต่อที่การเปิดระดับ ความเย็นเพียงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้นก็พอ ช่วงเช้าภาระความร้อนจากภายนอกมีน้อย โดยเฉพาะแสงอาทิตย์ ภาระความร้อน ที่เกิดขึ้นจากผู้โดยสาร และอื่น ๆ จึงยังมีไม่มาก จะรู้สึกถึงการตัดและต่อการทำงานของคอมเพรสเซอร์รำคาญบ้างก็สนุกดี ที่สำคัญเสียงการตัดต่อและรอบเครื่องยนต์มันจะฟ้องสุขภาพของระบบปรับอากาศ และเครื่องยนต์ของคุณได้ และไม่ต้องกลัวว่า คลัตช์แม่เหล็กที่ตัด-ต่อบ่อยจะเสียเร็วหรือไม่ บอกตามตรงว่ากระทบไม่กี่เปอร์เซ็นต์

   วิธีประหยัด 3. “ติดฟิล์มกรองแสงดี ๆ”

    เคยบอกหลายครั้งแล้วว่าฟิล์มกรองแสงดี ๆ จะสามารถช่วยลดความร้อนภายในห้องโดยสารได้ เมื่อมีความร้อนน้อย ความเย็นก็มาเร็ว ระบบปรับอากาศก็ไม่ต้องทำงานหนัก ก็จะประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงในที่สุด เมื่อระบบปรับอากาศ ไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดเวลา อายุการใช้งานก็ยืนยาว

    วิธีประหยัด 4. “เพิ่มฉนวนกันความร้อนพื้นและผนัง”

    ภาระทางความร้อนของระบบปรับอากาศในรถยนต์มีที่มาจากแหล่งใน ส่วนของผู้โดยสารเป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือเงื่อนไขที่จะ สามารถ ปรับลดภาระความร้อนได้ แต่แหล่งความร้อนที่สำคัญมากจากแหล่งอาทิตย์ที่ตกกระทบ ความร้อนที่แพร่กระจาย มาจากเครื่องยนต์และพื้นถนน เราสามารถลดปริมาณมันลงได้ โดยการบุฉนวนกันความร้อนเพิ่ม ทั้งเพดาน ผนังห้องเครื่อง และพื้นรถ ทำไปพร้อมกับการปรับปรุงอย่างอื่น ช่วยได้เยอะ

    วิธีประหยัด 5. “เติมลมยางต้องพอดี”

    ลมยางพอดี ช่วยประหยัดน้ำมัน ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ มีหลายคนชอบเติมลมยางแข็ง ๆ ในที่นี้หมายความว่า เติมลมแข็งมากกว่าสเปกกำหนด 5 ปอนด์/ตารางนิ้วขึ้นไป จริงอยู่การเติมลมยางแข็ง ๆ จะลดความฝืดกลิ้งลงได้มาก แต่ถ้ามองรวม ๆ แล้วจะเกิดผลเสียตามมามากเช่นกัน อย่างแรกคือ ความแข็งกระด้างของช่วงล่าง รวมทั้งประสิทธิภาพ การทรงตัว และการเบรกจะลดลง และตามด้วยการสึกของดอกยางบริเวณตรงกลางดอกยาง

    วิธีประหยัด 6. “เปลี่ยน/เป่าไส้กรองอากาศ”

    มา ดูตรงนี้ ไส้กรองอากาศทำให้กินน้ำมัน เชื่อหรือไม่ ในที่นี้หมายถึงไส้กรองอากาศเครื่องยนต์ที่เกิดการอุดตัน หรือขาดการดูแลรักษา การเป่า หรือเปลี่ยนไส้กรองอากาศตามระยะเวลาที่กำหนดและเหมาะสม

    วิธีประหยัด 7. “ขับรถเลิกเบิ้ลเครื่องยนต์”

    คุณเชื่อหรือไม่ว่าการเร่งเครื่องยนต์แต่ละครั้ง จะสูญเสียน้ำมันเชื้อเพลิงไปมากน้อยแค่ไหน ถ้าเร่งเครื่องเบาเสียอย่างน้อย 5 ซี.ซี. แต่ถ้าจุ่ม แล้วก็จุ่ม ด้วยความมันสำใจ อย่างนี้ผลาญน้ำมันไปอย่างน้อยครั้งละหลายสิบซี.ซี. เลยนะนี่

    วิธีประหยัด 8. “เลิกบ้าหอบฟาง”
    ภายในห้องโดยสารพยายามอย่านำสิ่งของที่ไม่จำเป็นทิ้งไว้ในรถ บางคนอาจจะมองว่ามันดูรกเกะกะ หรือหนักทำให้เปลือง น้ำมันเชื้อเพลิง แต่ที่ยิ่งกว่านั้นคือ ไอ้เจ้าสิ่งของเหล่านี้เองมันจะเป็นภาระความร้อนอย่างดี ถ้าไม่อยากเพิ่มภาระความร้อน ก็พยายามอย่านำสิ่งของที่ไม่จำเป็นไว้ในห้องโดยสาร เช่น หนังสือ เสื้อผ้า ตุ๊กตา ฯลฯ

    วิธีประหยัด 9. “ปิดก่อนถึงที่หมาย”
    เมื่อใกล้ถึงที่หมายให้ปิดสวิตช์น้ำยา แต่เปิดพัดลมไว้ ความเย็นที่ยังค้างอยู่ในอีแวปพอเรเตอร์จะทำให้รู้สึกเย็นอีกอย่างน้อย 3 นาที ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิภายนอกด้วย ถ้าเป็นเวลากลางคืนจะเห็นผลมากกว่า ของแถมก็คือช่วยดับกลิ่นอับ และช่วยยืด อายุการใช้งานของอีแวปพอเรเตอร์ได้อีกด้วย
22  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / ข้อควรรู้ก่อนใช้ก๊าซ ... LPG หรือ NGV เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 01:37:54 pm
   





  นาทีนี้เชื่อว่าหลายคนที่ใช้รถ คงต้องแบกภาระค่าน้ำมันกันจนไหล่แทบหลุด เพราะราคาน้ำมันเชื้อเพลิงปรับสูงขึ้นทุกวันๆ

    ยิ่ง เบนซิน 95 ก็เข้าวินมาก่อนเพื่อน แตะขอบสระที่ 40 บาทต่อลิตรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนที่เหลือก็กำลังตามกันมาแบบติดๆ ซึ่งเดี๋ยวนี้เวลาจะเติมน้ำมันเต็มถังสักที ก็ต้องควักเงินเกือบ 2 พันบาทกันแล้ว เฮ้อ...คิดแล้วกลุ้ม ทำให้หลายคนเริ่มมองหาทางออกนานัปการมาเป็นตัวช่วยในการประหยัดงบ ซึ่งทางออกหนึ่งที่เป็นหัวข้อท็อปฮิตอยู่ขณะนี้เห็นจะไม่พ้น การเปลี่ยนมาใช้ก๊าซ ที่มีราคาถูกกว่ากันเยอะ แต่ก็มักมีคำถามตามมาอีกว่า... "แล้วจะใช้ก๊าซอะไรดี ปลอดภัยหรือไม่ แล้วจะระเบิดหรือป่าว...?" วันนี้เรามีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับก๊าซแอลพีจี และเอ็นจีวี 2 พลังงานทางเลือกมาแรงสำหรับรถยนต์มาฝากกันค่ะ

ก๊าซแอลพีจี คืออะไร?  

 ก๊าซแอลพีจี(Liquefied Petroleum Gas: LPG) หรือ ก๊าซปิโตรเลียมเหลว คือ พลังงานธรรมชาติประเภทหนึ่งที่ชาวบ้านทั่วไปรู้จักกันในนาม "ก๊าซหุงต้ม" เป็น ก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น เบากว่าน้ำแต่หนักกว่าอากาศจึงลอยอยู่ในระดับต่ำ มีการสะสมและลุกไหม้ได้ง่าย ดังนั้น เมื่อมีการนำมาใช้ในเชิงพาณิชย์ จึงมีข้อกำหนดให้เติมสารมีกลิ่น เพื่อเป็นการเตือนภัย หากเกิดการรั่วไหลขึ้น

    ในบ้านเราก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจี ได้มาจากการกลั่นน้ำมันและบ่อก๊าซธรรมชาติ ในสัดส่วนที่เท่าๆ กัน(ปตท. ยังมีเหลือจัดส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศด้วยนะ) ก๊าซหุงต้มมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่สามารถนำมาใช้แป็นเชื้อเพลิงในรถยนต์ได้ ก็คือ เป็นก๊าซที่มีค่าอ็อกเทนสูงโดยธรรมชาติ มีสองสถานะคือ มีสภาพเป็นก๊าซและเป็นของเหลว ซึ่งก๊าซแอลพีจีจะถูกบรรจุเป็นของเหลวใส่ถังภายใต้แรงดันสูง (แต่ยังต่ำกว่า เอ็นจีวี) เพื่อให้ขนถ่ายง่าย เมื่อนำไปใช้งานจะกลายสภาพเป็นไอ

    นอกจากจะนิยมใช้แอลพีจีในครัวเรือนแล้ว ปัจจุบันยังมีการนำก๊าซแอลพีจีมาใช้แทนน้ำมันเบนซิน ในรถยนต์ เนื่องจากราคาถูกกว่าและมีค่าออกเทนสูงถึง 105 ทำให้เมื่อนำมาใช้กับรถยนต์แล้ว มีประสิทธิภาพสูง สมรรถนะทัดเทียมกับรถที่ใช้ระบบน้ำมันเดิม จนผู้ขับขี่ไม่มีความรู้สึกแตกต่างระหว่างการใช้น้ำมันหรือก๊าซแอลพีจี

    คุณสมบัติของก๊าซแอลพีจี

       1. ก๊าซแอลพีจี อยู่ในรูปของเหลว และมีความดันต่ำ ถังก๊าซแอลพีจีมีความหนาผนังมากกว่าถังน้ำมันเบนซินมาก ทำให้โอกาสที่จะเกิดการระเบิด จากถังเนื่องจากการชนเป็นไปได้น้อย

       2. ก๊าซแอลพีจี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้

       3. ก๊าซแอลพีจี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น

       4. ราคาค่าก๊าซถูกกว่าน้ำมันเบนซินหรือดีเซล ทั้งปัจจุบันและอนาคต

       5. ช่วยป้องกันปัญหาที่เรียกว่ารถกินน้ำมันเครื่อง เพราะการสึกหรอของชิ้นส่วน เมื่อใช้ก๊าซมีน้อยกว่า

       6. ยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์

       7. เครื่องยนต์เดินได้ราบเรียบกว่าในรอบที่ต่ำกว่า ถ้าหากได้รับการติดตั้งอย่างถูกวิธี

    ข้อควรระวังสำหรับการใช้ LPG ในรถยนต์

       1. ต้องรู้ว่าก๊าซหุงต้มคือ ก๊าซ ที่หนักกว่าอากาศ เมื่อมีการรั่วซึมจะเกาะกลุ่มกันอยู่บนพื้นในระดับต่ำ

       2. ควรจะต้องตรวจเช็คการรั่วซึมตามจุดต่างๆ อย่างน้อยปีละสองครั้ง

       3. ก่อนที่จะมีการถอดชิ้นส่วนอุปกรณ์ในระบบก๊าซจะต้องปิดวาวล์ที่ถังก๊าซให้สนิท

       4. จะต้องไม่เติมก๊าซมากกว่าร้อยละแปดสิบของความจุของถัง

       5. ในการเติมก๊าซทุกครั้งอาจจะมีการรั่วซึมออกมานิดหน่อยตรงหัวเติมก๊าซ ให้ระวังประกายไฟในขณะนั้น

       6. การจอดรถหลังเลิกใช้งานเมื่อจอดรถในที่จอด เช่น โรงรถ ควรจะปิดวาวล์ที่ถังแกส

       7. โรงจอดรถถ้าเป็นไปได้ควรจะเป็นที่ๆ มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก โดยเฉพาะในระดับพื้นดินต้องโปร่งโล่ง

       8. ถ้าจะนำรถที่ใช้ก๊าซเข้าตรวจเช็คสภาพรถยนต์ตามปกติ ควรจะให้มีก๊าซในถังเหลือน้อยที่สุด

       9. ในรถรุ่นที่ต้องปรับตั้งลิ้นไอดีไอเสียแบบกลไก ก็จะต้องมีการปรับตั้งระยะห่างของลิ้นตามปกติอย่างเข้มงวด

      10. LPG จะถูกเผาไหม้ช้ากว่าน้ำมันเบนซิน การปรับตั้งไฟจุดระเบิดจึงต้องปรับตั้งล่วงหน้าเพื่อจะเผาไหม้ได้หมดจด

      11. LPG ต้องใช้ประกายไฟจากหัวเทียนเข้มข้นกว่าที่ใช้ในน้ำมันเบนซิน จึงต้องเลือกใช้หัวเทียนให้ถูกต้องกับค่าความร้อน

      12. LPG มีค่าอ็อกเทนประมาณ 91ถึง125 รถที่จะติดตั้งก๊าซหุงต้ม ควรจะมีอัตราส่วนกำลังอัดตั้งแต่ 10:1ขึ้นไป จึงจะใช้ประสิทธิภาพของก๊าซได้อย่างคุ้มค่า

    อย่างไรก็ตาม รถยนต์ที่ใช้ LPG ถ้าวิเคราะห์กันในเรื่องของความปลอดภัยแล้ว มีความปลอดภัยไม่น้อยกว่ารถที่ใช้น้ำมันเบนซิน โดยเฉพาะในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุจากการชนทั้งหน้าหรือท้ายรถ วาล์วนิรภัยจะทำการปิดล็อคทันทีโดยอัตโนมัติ เมื่อมีก๊าซรั่วไหลออกจากถังในอัตราที่ผิดปกติจากการใช้งาน ในขณะที่ถังน้ำมันเบนซิน เมื่อถูกชนยังมีโอกาสแตกรั่วทำให้น้ำมันรั่วไหลลงพื้น

    ก่อนนำรถที่ใช้งานอยู่เป็นประจำไปติดตั้งก๊าซแอลพีจี ควรจะปรับปรุงเครื่องยนต์ให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุดเสียก่อน รถยนต์ทุกวันนี้แม้จะเป็นรถยนต์ที่ถูกพัฒนาให้ทันสมัยด้วยเทคโนโลที่สูง อุปกรณ์ในการติดตั้งก๊าซ และกรรมวิธีในการติดตั้งก็ได้รับการพัฒนาให้ตามทันกับการพัฒนาของรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการติดตั้งในระบบดูดหรือในระบบฉีด ก็ไม่มีปัญหาสำหรับการใช้งานอีกต่อไป การวิตกกังวลกับเรื่องการสึกหรอของเครื่องยนต์เมื่อใช้ก๊าซนั้นในเทคโนโลยี ของปัจจุบัน ไม่ใช่ปัญหาที่จะต้องนำมาขบคิดกันอีกต่อไป

    ในอารยะประเทศทุกภูมิภาคของโลกนี้ มีรถยนต์ที่ติดตั้งก๊าซ LPG ที่ใช้ร่วมกับน้ำมันเบนซินมากเป็นล้านๆ คันแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศยุโรปที่เข้มงวดกวดขันในเรื่องของสิ่งแวดล้อม เพราะก๊าซ คือพลังงานที่สะอาด และประหยัด อย่ารีรอหรือกริ่งเกรงถ้าหากวันนี้ท่านคิดจะติดตั้งก๊าซ LPG ในรถยนต์ของท่าน เพราะในภาวะที่ราคาของน้ำมันมีแต่ปรับราคาขึ้นเป็นรายวัน ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับวันนี้ ติดตั้งก๊าซ น่าจะเป็นทางเลือกที่คุ้มค่าแม้ว่าจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการติดตั้งก็ตาม


ก๊าซเอ็นจีวีคืออะไร

    ก๊าซเอ็นจีวี (Natural Gas for Vehicle: NGV) มีภาษาเชิงวิชาการว่า ก๊าซซีเอ็นจี (Compressed Natural Gas: CNG) คือ ก๊าซธรรมชาติที่มี "มีเทน" เป็นส่วนประกอบหลักและถูกอัดจนมีความดันสูง ซึ่งในบางประเทศเรียกว่า "ก๊าซธรรมชาติอัด" (ซีเอ็นจี) ซึ่งถูกอัดที่แรงดัน 200 bar หรือ 3,000 psi และถูกกักเก็บไว้ในถังบรรจุก๊าซธรรมชาติอัดที่ถูกผลิตขึ้นมาเป็นพิเศษให้ สามารถรองรับแรงดันได้ โดยมีสภาพเป็นก๊าซหรือไอที่อุณหภูมิและความดันบรรยากาศ โดยมีค่าความถ่วงจำเพาะต่ำกว่าอากาศ จึงเบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหลจะฟุ้งกระจายไปตามบรรยากาศอย่างรวดเร็ว จึงไม่มีการสะสมลุกไหม้บนพื้นราบ

    คุณสมบัติของก๊าซเอ็นจีวี

       1. อุณหภูมิติดไฟของก๊าซเอ็นจีวีนั้นสูงกว่าเชื้อเพลิงอื่นๆ ติดไปยาก ทำให้ลดความเสี่ยงของการเกิดไฟไหม้เมื่อก๊าซรั่วหรืออุบัติเหตุ

       2. ก๊าซเอ็นจีวี ถูกจัดเก็บอยู่ในรูปไอ ซึ่งมีแรงดันสูง จึงทำให้ไม่มีอากาศเข้าไปผสม จึงไม่ก่อให้เกิดการผสมกันระหว่างก๊าซ จึงลดโอกาสในการติดไฟและระเบิดได้

       3. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด และไม่ก่อให้เกิดการสกปรกของน้ำมันเครื่อง จึงสามารถยืดอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่องได้

       4. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ก่อให้เกิดสารตกค้างใด ทำให้การจุดระเบิดสะอาดหมดจด และยืดอายุการใช้งานได้

       5. ก๊าซเอ็นจีวี ไม่ส่งผลเสียต่อลูกสูบและกระบอกสูบ ทำให้เกิดการหล่อลื่นที่มีประสิทธิภาพ จึงส่งผลให้อายุการใช้งานยาวนานขึ้น

       6. ก๊าซเอ็นจีวี มีออกเทนสูงกว่าน้ำมันเบนซิน จึงส่งผลให้การสตาร์ทและการทำงานของเครื่องยนต์มีความสมบูรณ์มากขึ้น

       7. ก๊าซเอ็นจีวี ก่อให้เกิดการเผาไหม้ที่สะอาดหมดจด ตามที่กล่าวไว้ข้างต้น จึงช่วยลดมวลไอเสีย และส่งผลต่อการลดมลพิษในอากาศโดยตรง

       8. มีสัดส่วนของคาร์บอนน้อยกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่นและมีคุณสมบัติ เป็นก๊าซ ทำให้การเผาไหม้สมบูรณ์มากกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น และปริมาณไอเสียที่ปล่อยออกจากเครื่องยนต์ใช้ก๊าซธรรมชาติ มีปริมาณต่ำกว่าเชื้อเพลิงชนิดอื่น

       9. เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดควันดำหรือสารพิษที่เป็นอันตรายต่อ สุขภาพของประชาชน จึงสามารถลดปัญหามลพิษทางอากาศ ซึ่งนับวันจะทวีความรุนแรงมากขึ้น

      10. เป็นเชื้อเพลิงที่สามารถผลิตได้ในประเทศ จึงมีราคาถูกกว่าน้ำมัน และสามารถประหยัดเงินตราต่างประเทศจากการลดการนำเข้าน้ำมันดิบ

      11. เป็นเชื้อเพลิงรถยนต์ที่มีความปลอดภัยมากที่สุด เพราะมีคุณสมบัติเบากว่าอากาศ ดังนั้นเมื่อเกิดรั่วไหล ก๊าซเอ็นจีวีจะไม่สะสมอยู่บนพื้นดินจนเกิดการลุกไหม้เหมือนเชื้อเพลิงอื่นๆ และอุณหภูมิที่จะทำให้ก๊าซเอ็นจีวีสามารถลุกติดไฟในอากาศเองได้ก็ต้องสูงถึง 650 องศาเซลเซียส

    อย่างไรก็ตาม ในส่วนของข้อด้อยนั้นรถยนต์ที่จะใช้ก๊าซเอ็นจีวีได้ต้องเป็นรถที่มีเครื่อง ยนต์ ซึ่งสร้างขึ้นมาเพื่อรองรับการใช้งานก๊าซเอ็นจีวีโดยเฉพาะ หรือไม่ก็ต้องเป็น "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" หรือ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" ที่ผ่านการดัดแปลงและติดตั้งอุปกรณ์พิเศษที่ทำให้เครื่องยนต์ใช้ได้ทั้งน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และก๊าซเอ็นจีวี

    ปัจจุบันอุปกรณ์สำหรับการดัดแปลงเครื่องยนต์ดังกล่าวต้องนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาค่อนข้างสูง ซึ่งอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงร่วม" (ดีเซล-เอ็นจีวี) มีราคาสูงถึง 400,000-500,000 บาท และอุปกรณ์ใช้ก๊าซเอ็นจีวีระบบ "เครื่องยนต์ระบบเชื้อเพลิงสองระบบ" (เบนซิน-เอ็น จีวี) มีราคา 30,000-50,000 บาท นอกจากนี้ รถเอ็นจีวีจะมีกำลัง "ต่ำ" กว่ารถทั่วไปตามท้องตลาด แต่ถ้าวิ่งในเมืองปัญหาข้อนี้จะไม่มีผลกระทบมากนัก

    รู้จักก๊าซธรรมชาติทั้งสองชนิดกันแล้ว ทีนี้เราจะมาเปรียบเทียบจุดเด่นจุดด้อยของก๊าซทั้งสองชนิดให้เห็นกันแบบชัดๆ เพื่อง่ายต่อการตัดสินใจค่ะ...

จุดเด่นของแอลพีจี

   1. ค่าติดตั้งถูกกว่า ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์ ถ้าเป็นระบบดูดก๊าซ(Mixer) มีค่าใช้จ่าย 15,000-28,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ(Injection) มีค่าใช้จ่ายราวๆ 35,000-43,000 บาท

   2. มีความจุก๊าซมากกว่า กล่าวคือ ถังก๊าซที่มีขนาดเท่ากัน แต่แอลพีจีสามารถบรรจุปริมาณก๊าซได้มากกว่า

   3. มีสถานีบริการ จำนวนแพร่หลายมากกว่า

ข้อด้อยแอลพีจี

   1. เป็นก๊าซที่ติดไฟง่ายกว่าเอ็นจีวี มีราคาสูงกว่า

   2. ภาครัฐมีแผนที่จะปล่อยราคาก๊าซให้ลอยตัวเป็นไปตามกลไกตลาด ซึ่งจะส่งผลให้ก๊าซแอลพีจี มีราคาสูงขึ้นอีกในอนาคต

จุดเด่นของก๊าซเอ็นจีวี

   1. ภาครัฐให้การสนับสนุน มีนโยบายในเรื่องของการกำหนดราคา ทำให้ราคาอยู่ในการควบคุม

   2. มีรถยนต์ที่ใช้เอ็นจีวี ประกอบจากโรงงานโดยตรง

   3. ปลอดภัยกว่า ทั้งในแง่คุณสมบัติของมันเองที่เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดการรั่วไหล ก็จะฟุ้งกระจายไปบนอากาศอย่างรวดเร็ว และอู่ที่รับติดตั้งเอ็นจีวี ผ่านการรับรองจาก ปตท.

ข้อด้อยก๊าซเอ็นจีวี

   1. เรื่องสถานีบริการมีจำนวนน้อย โดยขณะนี้มีสถานีบริการเอ็นจีวีที่เปิดให้บริการแล้วจำนวน 176 แห่ง และกำลังจะเปิดอีก 59 แห่งในปีนี้

   2. ค่าติดตั้งค่อนข้างสูง โดยระบบดูดก๊าซจะมีค่าใช้จ่าย 38,000-43,000 บาท ส่วนระบบฉีดก๊าซ เป็นระบบที่มีอีซียู ควบคุมกรจ่ายก๊าซตามลำดับการจุดระเบิดของเครื่องยนต์ จะมีค่าใช้จ่ายตั้งแต่ 58,000-63,000 บาท

    ได้รับข้อมูลเบื้องต้นกันไปแล้ว ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของคุณๆ ที่จะต้องตัดสินใจกันเองแล้วหละค่ะว่า จะเลือกพลังงานทางเลือกชนิดใด




ที่มา : carsociety24.com[/b][/size]
23  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / สาเหตุที่ทำให้ยางเกิดอาการผิดปกติ เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 01:32:23 pm


   การเปลี่ยนยางใหม่จะต้องคำนึงถึงสิ่งใดบ้าง

เมื่อต้องการเปลี่ยนยางใหม่ที่แตกต่างไปจากของเดิม ควรคำนึงถึงสิ่งต่อไปนี้

   1. น้ำหนักสูงสุดที่ยางรับได้ ยางที่เปลี่ยนใหม่จะต้องสามารถรับภาระสูงสุดได้ไม่น้อยกว่ายางเดิมมิฉะนั้นอาจทำให้ยางระเบิดได้

   2. ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อรถ การเปลี่ยนยางที่ถูกต้องขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของล้อไม่ควรแตกต่างไปจากเดิม มาก เพราะจะทำให้ตัวเลขระยะทางและความเร็วที่มาตรวัดความเร็วรถยนต์แสดงผลไม่ตรง กับความเป็นจริง

   3. ซีรีส์ของยาง การเปลี่ยนซีรีส์หรืออัตราส่วนความสูงของ ยางที่ใช้จะมีผลต่อการขับขี่ ยางซีรีส์ต่ำ(มีการสะเทือนของรถน้อยกว่า) แต่ยางซีรีส์ต่ำจะยึดเกาะถนนได้ดีกว่ายางซีรีส์สูง

   4. ดอกยาง ควรเลือกดอกยางให้เหมาะสมกับสภาพของพื้นผิวของ ถนนและลักษณะการใช้งาน เช่น เลือกใช้ดอกยางขนาดใหญ่เมื่อใช้กับถนนที่ขรุขระหรือที่เป็นดินโคลน หรือเลือกใช้ดอกยางแบบหมุนทิศทางเดียวกับรถที่ต้องวิ่งด้วยความเร็วสูง เป็นต้น

   5. ความกว้างของหน้ายาง การเปลี่ยนความกว้างของหน้ายางที่ใช้จะมีผลต่อการขับขี่รถยนต์ กาารใช้ยางที่มีความกว้างของหน้ายางมากจะทำให้ยางยึดเกาะกับถนนได้ดี และการเบรกรถมีประสิทธิภาพมากขึ้นเนื่องจากยางมีพื้นที่สัมผัสกับผิวถนนมาก แต่จะมีข้อเสีย คือ ทำให้พวงมาลัยหนักและใช้กำลังขับเคลื่อนมาก ส่งผลให้มีความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น

    นอกจากนี้หากหน้ายางกว้างมากเกินไปยางจะยื่นออกมานอก ตัวรถเมื่อรถมีการยุบตัวยางจะมาชนกันตัวถังรถทำให้ยางชำรุดเสียหาย สำหรับการเปลี่ยนยางที่มีความกว้างของหน้ายางน้อยลง ก็ส่งผลต่อการขับรถในทางตรงกันข้าม ซึ่งตามปกติแล้วจะไม่ค่อยมีใครเปลี่ยนยางให้มีความกว้างของหน้ายางน้อยลง

    สาเหตุที่ทำให้ยางสึกหรอผิดปกติ

    ตามปกติยางรถยนต์เมื่อถูกใช้งานก็จะมีการสึกหรอไปทีละน้อย โดยการสึกหรอของดอกยางจะเกิดขึ้นอย่างสม่ำเสมอเท่ากันตลอดหน้ายางล้อที่ใช้ เป็นล้อขับเคลื่อนรถจะมีการสึกหรอของดอกยางมากกว่าล้อที่รับน้ำหนักบรรทุก น้อย การสึกหรอของดอกยางในลักษณะที่ไม่เท่ากันตลอดหน้ายางจะถือว่าเป็นการสึกหรอ ที่ผิดปกติ ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายลักษณะ เช่น สึกมากบริเวรไหล่ยางด้านใดด้านหนึ่ง สึกมากบริเวณไหล่ยางทั้งสองข้างสึกมากเฉพาะตรงกลางหน้ายาง หรือสึกเป็นบั้งๆ โดยรอบด้านใดด้านหนึ่งของล้อ เป็นต้น

    การสึกของยางที่ผิดปกติ มักจะเกิดจากสาเหตุสำคัญ ดังต่อไปนี้

       1. ยางอ่อนเกินไป การเติมลมด้วยความดันลมต่ำเกินไป จะทำให้หน้ายางสัมผัสกับผิวถนนเฉพาะบริเวณไหล่ยาง ซึ่งส่งผลให้ยางมีการสึกหรอมากตรงไหล่ยางทั้งสองข้าง

       2. ยางแข็งเกินไป การเติมลมด้วยความดันลมที่สูงเกินไปจะทำให้หน้ายางโป่งนูนสัมผัสกับผิวถนนเฉพาะตรงกลางหน้ายาง

       3. มุมล้อผิด การตั้งหมุนล้อผิดไปจากค่ากำหนด หรือมุมล้อคลาดเคลื่อนไปจากค่ากำหนดเนื่องจากสาเหตุใดก็ตาม จะทำให้ยางมีการสึกหรอมากบริเวณไหล่ยางด้านใดด้านหนึ่งอย่างผิดปกติ

       4. ชิ้นส่วนในระบบรองรับของรถยนต์ชำรุดหรือเสื่อมสภาพ เมื่อชิ้นส่วนในระบบรองรับ เช่น โช้กอัพ (shock absorber) สำหรับกันสะเทือนเสียหรือเสื่อมสภาพ จะส่งผลให้ยางสึกหรอในลักษณะเป็นบั้งๆโดยรอบของล้อด้านใดด้านหนึ่


ที่มา : carsociety24.com[/b][/size]
24  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / ทำอย่างไรเมื่อรถยางระเบิด หรือ รถตกน้ำ เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 01:25:03 pm
    "อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้ทุกวินาที" เป็นประโยคที่เตือนให้ผู้ขับขี่ทั้งหลายพึงสังวรณ์เอาไว้ เพราะไม่ว่าคุณจะอยู่ที่ไหนทำอะไรอยู่ก็สามารถเกิดได้ รวมถึงบนท้องถนนด้วยขณะขับรถอยู่ก็ตามที

    ดัง นั้นเพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดขึ้น ก็ควรหาทางป้องกันเท่าที่จะทำได้เพราะทุกวันนี้อุบัติเหตุบนท้องถนนเป็น สาเหตุการเสียชีวิตอันดับต้นๆของไทยเลยก็ว่าได้ หากเรามีความรู้ในขั้นตอนในการควบคุมรถยนต์และการปฏิบัติตนในขณะเกิด อุบัติเหตุเช่นนี้สามารถช่วยลดอัตราการตายและการบาดเจ็บได้แน่นอน แต่ที่สำคัญที่สุดทุกคนก็ต้องมีสติถึงจะปลอดภัย

    กรณี ที่ 1 เมื่อยางรถระเบิดขณะขับ รถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติ ดังนี้

       1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง

       2. ถอนคันเร่งออก

       3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง

       4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะจะทำให้รถหมุน

       5. ห้าม เหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและจะ ทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลัก เพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ให้ขาดจากเพลา

       6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน

       7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ

       8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

    ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้ายรถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อนแล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกทีสลับกันไปมาและในทำนองตรงกันข้ามหากระเบิดด้านขวา อาการก็จะกลับเป็นตรงกันข้าม

    อุบัติเหตุ ร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือหากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูง มากๆพอยางระเบิดขึ้นมารถก็ จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้ ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้เพื่อ เป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นในขณะขับรถจึงไม่ควรขับรถเร็ว (ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)

    กรณีที่ 2 เมื่อรถตกน้ำในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำลำคลองใดๆก็ตาม รถ จะไม่ตกลงไปในน้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำแต่จะค่อยๆ จมลงทีละน้อยๆจนกว่าจะถึงพื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้ควรตั้งสติให้ดีและ ปฏิบัติดังต่อไปนี้

       1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคนรวมทั้งผู้โดยสารด้วย

       2. อย่าออกแรงใดๆเพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด

       3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆเพิ่มขึ้นในรถ

       4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน

       5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน!ในรถและนอกรถให้ เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออกเพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดัน ประตูไว้

       6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุดแล้วท่านก็ออกจากห้องโดยสารของรถได้

       7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติหรือจะ ว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้ในกรณีนี้หากน้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่า ทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำเพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ

    กรณีเช่นนี้ ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติหรือลองเป่าปากดูว่าฟองอากาศลอยไปในทิศทาง ใดให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไปก็จะไม่มีอาการ หลงน้ำ นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถหากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบเด็กๆนั้นออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน
25  Sitemap SMB / สาระน่ารู้ของรถยนต์ / แย่แล้ว.......รถยางแบน เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 01:20:31 pm


ทำอย่างไร.......ถ้ารถของคุณเกิดยางแบนกะทันหัน อย่าตกใจ...รีบตั้งสติให้ดี (สำคัญที่สุด!) แล้วปฏิบัติตามลำดับดังนี้

    * ค่อย ๆ ลดความเร็ว ประคองรถให้วิ่งตรงทาง แล้วนำรถเข้าจอดข้าง ทางในที่ปลอดภัยห่างจากการจราจร อย่าหยุดรถตรงทางแยก และจอดรถบนพื้นราบที่มั่นคงแข็งแรง

    * ดับเครื่องยนต์และเปิดไฟกะพริบฉุกเฉิน

    * ใส่เบรกมือให้มั่นคง และเข้าเกียร์ในตำแหน่ง P (เกียร์อัตโนมัติ) หรือเกียร์ถอยหลัง (เกียร์ธรรมดา)

    * ให้ผู้โดยสารทุกคนลงจากรถทางด้านที่ปลอดภัยจากการจราจร

    * โทรฯ แจ้งช่างซ่อม อย่าฝืนขับรถต่อไปด้วยยางแบน ๆ อย่างนั้น แม้จะเป็นระยะทางสั้นๆ ก็สามารถทำความเสียหายอย่างรุนแรงแก่ยางและล้อได้


ที่มา : carsociety24.com[/b][/size]
26  Sitemap SMB / BCSport BCSports / BC FOR SUZUKI SWIFT เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 12:58:47 pm
สำหรับผุ้ที่กำลังมองหา ระบบช่วงล่างตัวเก่งให้กับ Suzuki SWIFT ตอนนี้ทาง BC SPORT ได้จัดทำมารองรับแล้วครับผม ราคาพิเศษเพียงชุดละ 32,000 บาทเท่านั้นครับผม สนใจเข้ามาชมของจริงได้ที่ร้านเลยครับผม



สนใจติดต่อ โฟม 081-372-4066
[/size]
27  Sitemap SMB / BCSport BCSports / BC SPORT high performance suspension เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 12:53:28 pm
BC SPORT[/size]
high performance suspension



Website : http://bcsport-th.com[/size]


ชุดโช้คอัพสตรัทปรับเกลียวจากประเทศไต้หวัน ได้เปิดตัวโช้ครุ่นใหม่ถึง 4 รุ่นด้วยกัน คือ

      1.V1 Serie  : Street use

      2.BR Serie : Street & Track

      3.RM Serie : Inverted (up side down)
      
      4.ER Serie : External reservoirs (sub tank)


โช้คอัพ BC Sports เป็นโช้คอัพแบบสตรัทปรับเกลียว สามารถปรับสูง – ต่ำได้ นอกจากนั้นยังสามารถปรับค่าความหนืดของโช้คทั้งหน้า – หลังได้ถึง 30 ระดับ
สามารถปรับ เกลียวได้ทั้งบนและล่าง ด้านบนปรับเพื่อล็อคสปริง ด้านล่างปรับเพื่อเปลี่ยนความสูงของรถ ดังนั้น ไม่ว่าจะปรับให้รถโหลดลงมามากเพียงใด ระยะให้ตัวของสปริงจะไม่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ทำให้ไม่เกิดความกระด้างขณะขับขี่ อีกทั้ง BC Sports มีรุ่นที่สามารถปรับ Camber ให้เลือกได้ สำหรับรถที่มีช่วงล่างระบบ Mcpherson Strut สำหรับรถที่ต้องการโหลดมากๆ ด้วย มีรุ่นรถให้เลือกมากถึง 200 กว่ารุ่น ตั้งแต่รถรุ่นเก่าอย่าง AE86 , E-Car, Civic EG รถใหม่อย่าง New Jazz, Yaris, Civic, Accord, Camry รถยุโรปอย่าง VW, BMW, Benz ไปจนถึงรถประเภท High Performance อย่าง 370Z, Skyline, GT-R , EVO-X, Porsche 911 และ Cayenne


แกนโช้คขนาดใหญ่ ผลิตจากอลูมิเนียม CNC เกรด T6 คุณภาพดี มั่นใจได้เรื่องความสามารถในการรองรับแรงกระแทก เสื้อโช้คและตัวสปริงผลิตจากเหล็กหลอมเกรด SAE9254 คุณภาพสูง แข็งแรงทนทาน ถูกทดสอบและ set up ค่า ต่างๆ เพื่อให้เข้ากับสภาพถนนในแต่ละประเทศที่จำหน่ายแตกต่างกันออกไป จึงไม่มีปัญหาเรื่องความกระด้าง กระดอน หรือสมรรถนะในการยึดเกาะ ผ่านการทดสอบด้วยเครื่องวัดแรงดูดซับ (damping tester) ก่อนจะถูกส่งไปจำหน่ายยังประเทศต่างๆทั่วโลก ค่า T/C Damping ของโช้คแต่ละต้นจะถูกระบุอยู่ที่ตัวโช้ค โช้คอัพทุกคู่จะต้องมีค่าความต่างของ T/C Damping ไม่เกิน 5% (ในขณะที่ค่าความต่างของ T/C Damping ในโช้คเดิมติดรถจะมีมาตรฐานความต่างอยู่ที่ไม่เกิน 13%) ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่า โช้คอัพ BC Sports ทุกคู่ สามารถให้ความสมดุลควบคู่ไปกับสมรรถนะที่ยอดเยี่ยม

สนใจชมสินค้าตัวจริงได้ที่ร้านทรัพย์สมบูรณ์ยางยนต์ทุกสาขา หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ 081-372-4066 โฟมครับผม
28  Sitemap SMB / Event & News / แจ้งวันหยุดร้านสงกรานต์ 13-14 เม.ย. ครับผม เมื่อ: เมษายน 12, 2010, 12:45:51 pm
ทางร้านทรัพย์สมบูรณ์ยางยนต์ จะปิดช่วงสงกรานต์เป็นเวลา 2 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 - 14 เม.ย.นี้นะครับผม
เปิดทำการตามปกติวันที่ 15 เม.ย. จึงขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับผม ขอบคุณครับผม


สนใจรายละเอียดอื่นๆ ติดต่อได้ที่ โฟม 081-372-4066
29  Sitemap SMB / ถามตอบปัญหา เสนอแนะติชม / Re: จองไว้แล้วbitec เมื่อ: เมษายน 10, 2010, 12:43:15 pm
สนใจรายละเอียดทั้งหมด โทรสอบถามผมได้โดยตรงเลยครับผม
โฟม 081-372-4066 .



....ขอคุลครับคุณโฟมที่ยังใหโปรงานmotor showน่าจะเป็นช่วงสินเดือนครับไปเปลี่ยนแน่ครับเพราะรู้สึกว่ารถจะได้เร็วกว่าที่คิดครับจะเข้าไปที่เดียว2คนเลยจะได้ไม่เสียเวลาครับ..

ครับผม มีอะไรเพิ่มเติมสอบถามได้เลยนะครับผม ยินดีบริการครับผม
30  Sitemap SMB / ถามตอบปัญหา เสนอแนะติชม / Re: สอบถามสินค้าครับ เมื่อ: เมษายน 08, 2010, 11:41:32 am
สอบถามว่ามีแม็กซ์ในรูปนี้หรือเปล่าครับ(พอดีไปเห็นในเว๊บมา โทรไปถามข้อมูลมาของสีดำหมดแล้วด้วย) มันคือรุ่นอะไรพอให้ข้อมูลได้หรือไม่ครับ

(เปิดดูรูป แม็กซ์ในเว๊บแล้วมีรุ่นที่ใกล้เคียงแต่ก็ยังไม่ใช่ )

เหมือนว่ามีสีเงิน กะ สีดำ อยากเห็นรูปประกอบ รบกวนด้วยนะครับ

อยากทราบราคาพร้อมยาง สำหรับขอบ 17 นิ้วครับ ใส่รถ Honda Civic FD ครับ (ใส่แล้วมันจะติดหรือเปล่าครับ)


สนใจมากครับตามหามาหลายร้านไม่มีเหมือนเลย ถ้าสะดวกส่งข้อมูลมาทาง E-mail ก็ได้ครับ
Zanta_chawie@hotmail.com

สวัสดีครับผม เดี๋ยวถ้าของเค้าเมื่อไหร่ผมรีบโทรแจ้งเลยครับผม ขอบคุณครับผม
หน้า: 1 [2] 3 4 ... 11
ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย