Advertisement
ช่วงปัจจุบันความนิยมชมชอบในการทำสวยให้รถด้วยการใส่ล้อแม็กวงโตๆ พร้อมกันไปกับยางซีรี่ส์ต่ำๆ กำลังเป็นที่นิยมกันมาก ซึ่งทุกวันนี้ ขนาดของวงล้อนั้น "เลยเถิด ไปจนถึงระดับ 20 นิ้วขึ้นไปกันแล้ว แต่นั่นก็จัดว่าเป็นเพียงการเล่นกันแค่ในเจาะจงบางกลุ่ม เพราะล้อ และ ยางขนาดที่ว่ามานั้น 1 ชุดมีมูลค่าแพงมากเกรดที่สามารถจะซื้อรถยนต์มือสองมาขับเคลื่อนเล่นกันได้สบายๆ ซึ่งในสถานภาพโดยปกติ ที่ชาวบ้าน เล่นกันนั้น ก็จะอยู่โดยประมาณ 16-17 ไปจนกระทั่ง 18 นิ้ว ตามสูตร "บวกสอง" จากขนาดโดยปกติที่ทางโรงงานให้มา ซึ่งเป็นสัดส่วน ที่จัดว่า "เล่นได้" และให้ความงามกับตัวรถในแบบที่คุ้มลงตัวเป็นที่สุด
หลายท่านคงเคยข้องใจว่าเพราะเหตุใดต้องเรียกล้อรถที่ไม่ใช่ล้อรถเหล็กปั๊มจาก โรงงานว่า "ล้อแม็ก" นั่นก็เนื่องจาก "ล้อแม็ก" ในอดีตสมัยถูกผลิตขึ้นมาโดยมี "แมกนีเซียม" เป็นวัตถุดิบต้นฉบับในการผลิต เพื่อจุดมุ่งหมายในการลดน้ำหนักของ กระทะล้อ ให้ลดน้อยลง ล้อแม็กจึงมีความหนักเบาเบากว่าล้อเหล็กแบบเดิม จากคุณลักษณะของ แม็กนีเซียม ที่เป็นโลหะน้ำหนักเบา และนั่นจึงเป็นแหล่งเกิดของคำว่า "
ล้อแม็ก" ที่เรียกกัน ต่อๆ มาจนถึงสมัยนี้
แต่ด้วยข้อด้อยของล้อแมกนีเซียมในด้านทุนการผลิตที่มีราคามาก เสริมกับคุณสมบัติของเนื้อแมกนีเซียม ที่ง่ายต่อการผุพัง เมื่อนำมาใช้งานกับรถที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ค่านิยมในตัวล้อแมกนีเซียมแท้ๆ จึงค่อยๆ หมองไป พร้อมกันกับการเข้ามาผลัดเปลี่ยนของ ล้ออลูมินั่มอัลลอย ซึ่งมีมูลค่าที่ถูกกว่า ผลิตได้ไม่ยากกว่า
ความเจริญของล้อแม็กนั้น เปิดตัวขึ้นในกลุ่มรถแข่ง จากความปรารถนาที่จะให้กระทะล้อที่มีน้ำหนักเบา เพื่อให้ลดแรงขัดขวาง การม้วน ให้ได้มากที่สุด รวมทั้งคุณลักษณะเล็กน้อยต่างๆ ซึ่งนับว่าเป็นผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือ การลดภาระให้กับระบบกันสะเทือน และ บังคับเลี้ยวซึ่งจะส่งผลลัพธ์ให้การบังคับคุมรถเป็นไปได้อย่างโดยพลัน รถมีการสนองต่อคำสั่งได้ดี และเร็วมากขึ้น
สุดท้ายนี้ก็คือ เรื่องการช่วยระบายความร้อนจากคุณลักษณะของตัววัตถุคือแม็กนีเซียม และ อลูมินั่มอัลลอยที่มีการอมความร้อนเล็กน้อยกว่าเหล็ก โดยจะส่งผ่านความร้อน ทั้งที่เกิดจากล้อยาง ถูกันกับพื้นถนนหนทางเวลาวิ่ง ตลอดจนความร้อนที่เกิดจาก การเบรคออกสู่ข้างนอก ได้รวดเร็วกว่า กระทะเหล็กโดยทั่วไป ซึ่งประโยชน์ต่างๆ ของล้อเม็กที่บอกมานี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่มองข้ามไป ไม่ได้ ในวงการนักแข่งรถ แต่สำหรับรถที่ใช้งานบนท้องถนนทั่วไป การเลือกซื้อ
ล้อแม็ก อาจจะคำนึงถึง ความงาม ขนาดโครงและขั้นตอนผลิตเป็นสำคัญก่อน โดยเรื่องความงดงามนั้น ก็ขึ้นอยู่ ความชอบของแต่ละบุคคลซึ่งบุคคลเป็นส่วนใหญ่ ค่อนข้างใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกสรรซื้อเป็นหลักอยู่แล้ว
เรื่องสัดส่วนก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กันสำหรับล้อแม็กวงโตๆ จะช่วยขับให้รถดูงดงามโดดเด่นขึ้นมาทันที (หากเลือกสรรซื้อได้พอดี) แต่ โปรดรับรู้ว่าการใส่ล้อที่มีขนาดใหญ่กว่าโดยทั่วไปจนเกินควรนั้น จะเป็นผลร้ายมากกว่าคุณประโยชน์ เริ่มจากช่วงล่าง หรือระบบกันสะเทือนของรถ ที่ต้องรับหน้าที่มากกว่าปกติกินแรงของเครื่องยนต์จากความหนักเบาที่เยอะขึ้น และหน้าสัมผัสของยางที่โตขึ้น ซึ่งจะส่งผลลัพธ์ให้อัตราเร่ง และ ความเร็วสูงสุดของรถลดลงไป
ระยะ PCD หรือ "Pitch Circle Diameter" คือ ที่ว่างของรูน็อต ที่ตัวล้อแม็ก กับดุมล้อต้องมีระยะที่พอๆ กัน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร โดยส่วนมาก รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่มีน็อตล้อแบบ 4 รูจะมีช่วง PCD 100 มิลลิเมตร แต่ก็มีอีกเพียบ หลายรุ่นที่ใช้ค่า PCD สัดส่วนอื่นๆ อย่างเช่น 98, 108, 110, 114.3 ซึ่งต้องเลือกดู ให้ดี
พร้อมกับอีกค่าที่มีความสำคัญไม่ด้อยไปกว่ากันก็คือ "ค่าอ๊อฟเซ็ท" ซึ่งก็คือ ค่าที่บ่งบอกตำแหน่งของหน้าแปลนภายในของล้อแม็ก ที่สัมผัสกับดุมล้อเมื่อเทียบเคียงวัดกับกึ่งกลางของล้อแม็กในด้านข้าง มีหน่วยเป็น มิลลิเมตร เช่นกัน ดูไม่ยุ่งยาก หมายความว่า ถ้าล้อแม็กมีค่าอ๊อฟเซ็ท เป็น บวก เมื่อสวมเข้าไปแล้วล้อนั้นจะโผล่ออกมาต่ำกว่าล้อแม็กที่มีค่าอ๊อฟเซ็ทเป็นลบ ซึ่งตัวแปรอีกอย่างที่จะบอกว่าครั้นเมื่อใส่ล้อแม็กชุดนั้น เข้าไปแล้ว ล้อจะ "ทะลัก" หรือจะ "ซุกซ่อน" เข้าไปในอุโมงค์ล้อก็คือ ความกว้างขวางของล้อแม็ก ซึ่งเวลาซื้อก็ควรต้องทำการเทียบวัดให้ถูกใจเสียก่อน ตกลงใจ
สนใจสั่งซื้อล้อแม็กสวยๆได้ที่
http://goo.gl/4DmmY4Tags : ยางรถยนต์,wheelspec,bridgestone,dunlop,yokohama
