Advertisement
โรคพาร์กินสัน (Parkinson ‘s disease)- โรคพาร์กินสั[/color]คืออะไร ทุกท่านคงเคยพบเห็นผู้สูงอายุ ซึ่งอาจเป็นคนในครอบครัว หรืออื่นๆที่พบเห็นทั่วไป มีอาการ แขนและมือสั่นข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจ ๒ ข้าง ซึ่งมักสั่นในท่าพักที่ไม่ได้ทำกิจกรรมอะไร มีอาการเคลื่อนไหวเชื่องช้า และมีอาการทรงตัวผิดปกติ โดยปกติร่างกายคนเราเมื่อเข้าสู่วัยชราก็เป็นธรรมดาที่โรคภัยไข้เจ็บจะมาเยือนอย่างหลีกเลี่ยงได้ยาก ซึ่งหนึ่งในจำนวนหลาย ๆ โรคที่เกิดได้แก่ "โรคพาร์กินสัน" ซึ่งเกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทส่วนกลางที่จะส่งผลให้เกิดอาการสั่น เกร็ง และเคลื่อนไหวช้า
โรคพาร์กินสันมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า โรคสันนิบาต หรือโรคสั่นสันนิบาต (Parkinson’s disease) หรือโรคที่คนไทยสมัยโบราณรู้จักกันในชื่อ “โรคสันนิบาตลูกนก” เป็นโรคทางสมองที่เกิดจากเซลล์สมองในบางตำแหน่งเกิดมีการตายโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด จึงทำให้สารสื่อประสาทในสมองที่มีชื่อว่า “โดพามีน” (Dopamine) ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีการตายและลดจำนวนลง จึงทำให้ร่างกายของผู้ป่วยเกิดอาการสั่น แขนขาเกร็ง เคลื่อนไหวร่างกายช้า และสูญเสียการทรงตัว ซึ่งอาการเหล่านี้จะเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไปและทวีความรุนแรงขึ้นอย่างช้า ๆ และในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาโรคนี้ให้หายขาดได้ ชื่อโรคพาร์กินสัน ได้มาจากชื่อของแพทย์ชาวอังกฤษชื่อ นายแพทย์เจมส์ พาร์กินสัน ซึ่งเป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายถึงลักษณะอาการของโรคนี้ในปี พ.ศ.๒๓๖๐ โรคพาร์กินสันมักพบในผู้ป่วยสูงอายุ โดยมากจะพบตั้งแต่อายุ ๖๐ ปีขึ้นไป โดยพบในผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย
ในอดีตคนไทยน้อยคนที่จะรู้จักโรคนี้ ในยุคปัจจุบัน (ตั้งแต่ พ.ศ.๒๕๔๐เป็นต้นมา) คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวกว่าเดิมมาก คือ ผู้ชายอายุเฉลี่ยถึง ๖๗.๔ ปี ส่วนผู้หญิงอายุเฉลี่ย ๗๑.๗ ปี (อดีตคนไทยเราอายุเฉลี่ยเพียง ๔๕ ปี) ดังนั้นโรคในผู้สูงอายุจึงพบบ่อยขึ้นมากในคนไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคทางระบบประสาทอย่างโรค โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)
เนื่องจากโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่พบได้บ่อยและมีปัญหาต่อการดำเนินชีวิตประจำวันอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง “วันโรคพาร์กินสัน” ขึ้น ซึ่งตรงกับวันที่ 11 เมษายนของทุกปี ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของนายแพทย์ชาวอังกฤษ ชื่อ “เจมส์ พาร์กินสัน” (James Parkinson; เป็นแพทย์คนแรกที่ได้อธิบายลักษณะของผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ในปี พ.ศ.2360 ในบทความที่ชื่อว่า “Shaking Palsy”) และมีการใช้ดอกทิวลิปสีแดงเป็นสัญลักษณ์
- สาเหตุของโรคพาร์กินสัน สาเหตุของการเกิดพาร์กินสันในผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่ทราบชัดเจน มีส่วนน้อยที่เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โรคนี้ยังไม่มีวิธีสำหรับป้องกัน และมียารักษาอาการต่างๆ แต่ยังไม่มียาที่จะรักษาให้โรคหายขาดได้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันมีสาเหตุมาจากความผิดปกติทางพันธุกรรมที่ทราบตำแหน่งบนโครโมโซม (Chromosome) ชัดเจน และสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ผู้ป่วยในกลุ่มนี้จะปรากฏอาการขอโรคพาร์กินสันก่อนอายุ 45 ปี ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่ไม่ได้มีสาเหตุจากพันธุกรรมเป็นหลัก ที่จะปรากฏอาการเมื่ออายุมากกว่า 60 ปีไปแล้ว สำหรับสาเหตุการเกิดโรคที่เหลือไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่สัญนิษฐานได้ว่าเกิดจากสาเหตุต่อไปนี้
- ความชราภาพของสมอง มีผลทำให้เซลล์สมองที่สร้างสารโดปามีน (เกิดจากกลุ่มเซลล์ประสาทที่มีสีดำที่อยู่บริเวณก้านสมอง โดยทำหน้าที่สำคัญในการสั่งร่างกายให้เคลื่อนไหว) มีจำนวนลดลง โดยมากพบในผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ทั้งเพศชายและหญิง และจัดว่าเป็นกลุ่มที่ไม่มีสาเหตุจำเพาะแน่นอน นอกจากนี้ยังเป็นกลุ่มที่พบบ่อยที่สุด
- ยากล่อมประสาทหลัก หรือยานอนหลับที่ออกฤทธิ์กดหรือต้านการสร้างสารโดปามีน โดยมากพบในผู้ป่วยโรคทางจิตเวชที่ต้องได้รับยากลุ่มนี้เพื่อป้องกันการคลุ้มคลั่ง รวมถึงอาการอื่น ๆ ทางประสาท แต่ปัจจุบันยากลุ่มนี้ลดความนิยมในการใช้ลง แต่ปลอดภัยสูงกว่าและไม่มีผลต่อการเกิดโรคพาร์กินสัน
- ยาลดความดันโลหิตสูง ในอดีตมียาลดความดันโลหิตที่มีคุณสมบัติออกฤทธิ์ที่ระบบประสาทส่วนกลาง จึงทำให้สมองลดการสร้างสารโดปามีน แต่ในระยะหลัง ๆ ยาควบคุมความดันโลหิตส่วนใหญ่จะมีฤทธิ์นอกระบบประสาทส่วนกลาง แต่มีผลทำให้ขยายหลอดเลือดส่วนปลาย จึงไม่ส่งต่อสมองที่จะทำให้เกิดโรคพาร์กินสันต่อไป
- หลอดเลือดในสมองอุดตัน ทำให้เซลล์สมองที่สร้างโดปามีนมีจำนวนน้อย หรือหมดไป
- สารพิษทำลายสมอง ได้แก่ สารแมงกานีสในโรงงานถ่านไฟฉาย พิษจากสารคาร์บอนมอนนอกไซด์
- สมองขาดออกซิเจน ในกรณีที่จมน้ำ ถูกบีบคอ เกิดการอุดตันในทางเดินหายใจจากเสมหะหรืออาหาร เป็นต้น
- ศีรษะถูกกระทบกระเทือนจากอุบัติเหตุ หรือโรคเมาหมัดในนักมวย
- การอักเสบของสมอง
- โรคทางพันธุกรรม เช่น โรควิลสัน ซึ่งเกิดจากการที่มีอาการของโรคตับพิการร่วมกับโรคสมอง สาเหตุมาจากธาตุทองแดงไปเกาะในตับและสมองมากจนเป็นอันตรายขึ้นมา
- ยากลุ่มต้านแคลเซียมที่ใช้ในโรคหัวใจ โรคสมอง ยาแก้เวียนศีรษะ และยาแก้อาเจียนบางชนิด
- อาการของโรคพาร์กินสัน ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันอาจมีอาการและอาการแสดงของโรคมากน้อยแตกต่างกันได้มาก ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอายุผู้ป่วย ระยะเวลาการเป็นโรค และภาวะแทรกซ้อนที่ตามมา โรคพาร์กินสันนั้นนอกจากจะมีอาการเด่น ๔ อย่าง ดังกล่าวแล้วอาจเกิดมีอาการอื่นๆ เพิ่มเติมได้อีกดังในรายละเอียด ดังนี้
- อาการสั่น ประมาณร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ป่วยจะมีอาการสั่น เป็นอาการเริ่มต้นของโรค อาการสั่นนี้จะมีลักษณะเฉพาะ คือ สั่นมากเวลาอยู่นิ่งๆ แต่ถ้าเคลื่อนไหวหรือยื่นมือทำอะไรอาการสั่นจะลดลงหรือหายไป (ผิดจากอาการสั่นอีกแบบที่พบบ่อยในผู้สูงอายุทั่วๆไปที่จะสั่นมากเวลาทำงาน เมื่ออยู่เฉยๆ ไม่สั่น) อาการสั่นในโรคพาร์กินสันนี้ ถ้านับอัตราเร็วจะพบว่า สั่นประมาณ ๔-๘ ครั้งต่อวินาที และอาจสั่นของนิ้วหัวแม่มือ-นิ้วมืออื่นๆ คล้ายแบบปั้นลูกกลอน อาการสั่นของโรคอาจเริ่มเกิดขึ้นที่มือ แขน ขา คาง ศีรษะ หรือลำตัวก็ได้ ระยะแรกของโรคอาจเกิดข้างเดียวก่อนและต่อมาจึงมีอาการทั้งสองข้างก็ได้
- อาการเกร็ง จะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อของร่างกาย โดยเฉพาะแขน ขา และลำตัว โดยที่ผู้ป่วยไม่ได้เคลื่อนไหว หรือทำงานหนักแต่อย่างใด กล้ามเนื้อของร่างกาย จะมีความดึงตัวสูงและเกร็งแข็งอยู่ตลอดเวลา จนผู้ป่วยบางรายต้องกินยาแก้ปวดเมื่อย หรือหายามาทา บรรเทาตามร่างกายส่วนต่างๆ หรือหาหมอนวดมาบีบคลายเส้นเป็นประจำ
- อาการเคลื่อนไหวช้า ผู้ป่วยในระยะแรกๆ จะรู้สึกว่าตัวเองทำอะไรช้าลงไปจากเดิมมาก ไม่กระฉับกระเฉงว่องไวแบบเดิม เดินช้า และงุ่มง่าม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระยะต้นๆ ของการเคลื่อนไหวในรายที่เป็นมากขึ้นอาจพบว่า อาจหกล้มบ่อยๆ จนบางรายกระดูกต้นขาหัก สะโพกหัก หลังเดาะ แขนหัก ศีรษะแตก เป็นต้น ในรายที่เป็นมากอาจเดินเองไม่ได้ต้องใช้ไม้เท้าหรือคนคอยพยุง
- ท่าเดินผิดปกติ ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันจะมีลักษณะท่าเดินจำเพาะตัวที่ผิดจากโรคอื่น คือ จะเดินก้าวสั้น ๆ แบบซอยเท้าในช่วงแรกๆ และต่อมาจะก้าวยาวขึ้นเรื่อยๆ จนเร็วมากและหยุดทันทีทันใดไม่ได้จะล้มหน้าคว่ำเลย นอกจากนี้ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเดินหลังค่อม ตัวงอโค้งและแขนไม่แกว่งตามเท้าที่ก้าวออกไป มือจะชิดแนบตัวเดินแข็งทื่อแบบหุ่นยนต์
- การแสดงสีหน้า ผู้ป่วยพาร์กินสันจะมีใบหน้าแบบเฉยเมย ไม่มีอารมณ์เหมือนคนใส่หน้ากาก ไม่ยิ้มหัวเราะ หน้าตาทื่อเวลาพูดก็จะมีมุมปากขยับเพียงเล็กน้อย เหมือนคนไม่มีอารมณ์
- เสียงพูด ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะพูดเสียงเครือๆ และเบามากฟังไม่ชัดเจน และยิ่งพูดนานไปๆ เสียงจะค่อยๆ หายไปในลำคอ บางรายที่เป็นไม่มากเสียงพูดจะค่อนข้างเรียบ รัวและอยู่ในระดับเดียวกันตลอด ไม่มีพูดเสียงหนักเบาแต่อย่างใด
- การเขียนของผู้ป่วยกลุ่มนี้ จะทำได้ลำบากและตัวเขียนจะค่อยๆ เขียนเล็กลงๆ จนอ่านไม่ออก
- การกลอกตา ในผู้ป่วยโรคนี้ จะทำได้ลำบาก ช้า และไม่คล่องแคล่วในการมองซ้ายหรือขวาบนหรือล่าง ลูกตาจะเคลื่อนไหวแบบกระตุกไม่เรียบ
- น้ำลายไหล เป็นอาการที่พบได้บ่อยอันหนึ่ง คือ มีน้ำลายมาสอยอยู่ที่มุมปากสองข้าง และไหลเยิ้มลงมาที่บริเวณคาง ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีลักษณะแบบมีน้ำลายมากอยู่ตลอดเวลา
นอกจากนี้ยังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคอีกเช่น คนไข้อาจมีอาการปวดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย (เช่น ขา หลัง) โดยเฉพาะเวลานอน หรือช่วงกลางคืน อาจปวดจนนอนไม่หลับ บางรายอาจมีอาการซึมเศร้า ความดันตก ในท่ายืน ท้องผูก มีภาวะความจำเสื่อม หรืออาจมีปัญหากินอาหารและดื่มน้ำได้น้อย น้ำหนักลด ในรายที่เดินลำบาก อาจหกล้ม กระดูกหักหรือศีรษะแตก ในรายที่เป็นมาก อาจนอนบนเตียงมากจนเป็นแผลกดทับ อาจมีอาการถ่ายปัสสาวะลำบาก และมีการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะได้ง่าย คนไข้ที่ปล่อยไว้ไม่รักษาจนมีอาการรุนแรง (กินเวลา ๓-๑๐ ปี) มักจะตายด้วยโรคปอดอักเสบแทรกซ้อนหรือภาวะเลือดเป็นพิษจากการติดเชื้อของทางเดินปัสสาวะ
- สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งโรคพาร์กินสัน
- อายุ ถ้าหากมีอายุมากขึ้นก็จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากขึ้นโดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
- กรรมพันธุ์ โดยพบว่าผู้เจ็บป่วยโดยประมาณ 15-20% จะมีประวัติคนภายในครอบครัวเป็นโรคพาร์กินสัน (แม้มีญาติสายตรงเป็นโรคนี้ 1 คนจะเพิ่มจังหวะเสี่ยงต่อการเกิดโรคนี้ 3 เท่า และก็แม้มี 2 คนก็จะเพิ่มการเสี่ยงเป็น 10 เท่าเป็นลำดับ)
- เป็นคนที่สัมผัสกับยากำจัดแมลงหรือยาฆ่าวัชพืช ดื่มน้ำจากบ่อและอาศัยอยู่ในเขตกันดาร เนื่องจากว่ามีรายงานว่าเจอโรคนี้ได้มากในชาวนาชาวไร่ที่ดื่มน้ำจากบ่อ
- เป็นผู้ที่มีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนต่ำ ยกตัวอย่างเช่น ในหญิงที่ตัดรังไข่และก็มดลูก ผู้หญิงวัยทองยังไม่ครบกำหนด ซึ่งคนพวกนี้จะได้โอกาสเป็นโรคนี้ได้สูง แต่แม้ได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนตอบแทนก็บางครั้งก็อาจจะช่วยลดการเกิดโรคนี้ได้
- เคยประสบอุบัติเหตุที่กระทบกระเทือนทางสมอง
- นอกเหนือจากนั้นยังมีแถลงการณ์ว่า คนที่ขาดกรดโฟลิกจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคพาร์กินสันด้วยเหมือนกัน
- ขั้นตอนการรักษาโรคพาร์กินสัน โดยปกติถ้าเกิดคนเจ็บปรากฏอาการแจ่มกระจ่าง สามารถวิเคราะห์ได้จากลักษณะของการเกิดอาการรวมทั้งการตรวจร่างกายทางระบบประสาทอย่างละเอียดลออ ระยะเริ่มต้นเริ่ม บางทีอาจวิเคราะห์ยาก ควรต้องวินิจฉัยแยกโรคก่อนเสมอผู้ที่สงสัยว่าจะมีอาการป่วยด้วยโรคพาร์คินสัน ควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากอายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทางด้านประสาทวิทยา หรือที่เรียกว่าประสาทแพทย์
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงจำต้องแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือสภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เหตุเพราะการรักษาจะไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีลักษณะอะไรบางอย่างคล้ายคลึงกันก็ตาม
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้ป่วย และความไม่ปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก รวมถึงลักษณะของอาการที่ค่อยๆเป็น ค่อยๆไป อายุที่เริ่มเป็น และก็ความเป็นมาในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วพูดได้ว่าคนเจ็บกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องทดลองจะใช้เพื่อรับรองการวิเคราะห์โรคอื่นๆบางโรคที่มีลักษณะของโรคพาร์กินสันและก็มีลักษณะอาการเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมด้วย เพื่อซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรักษาที่แตกต่างออกไปเพียงแค่นั้น อย่างเช่น การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสโลหิต การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น
ในอดีตหมอเข้าใจว่าโรคพาร์กินสันนี้มีความผิดปกติที่ไขสันหลัง แต่ในตอนนี้เป็นที่ทราบกันแน่นอนแล้วว่า พยาธิภาวะของโรคนี้กำเนิดที่บริเวณตัวสมองเองในส่วนลึกๆรอบๆก้านสมอง ซึ่งมีกรุ๊ปเซลล์ประสาทที่มีสีดำมีจำนวนเซลล์ต่ำลง หรือขาดตกบกพร่องในหน้าที่สำหรับการปลดปล่อยสารเคมีที่เรียกว่า โดพามีน (dopamine) ก็เลยส่งผลให้เกิดอาการเคลื่อนช้า เกร็งและก็สั่นเกิดขึ้นเป็นลำดับ โดยเหตุนั้นในตอนนี้การดูแลและรักษาโรคนี้จึงหวังมุ่งให้สมองหรูหราสารโดพามีนกลับสู่ค่าธรรมดา ซึ่งอาจทำได้โดยการกินยาการทำกายภาพบำบัด หรือผ่าตัดสมอง
การดูแลรักษาโรคพาร์กินสันมี 3 แนวทาง คือ- รักษาโดยใช้ยา ซึ่งแม้ว่ายาจะไม่อาจจะทำให้เซลล์สมองที่ตายไปแล้วฟื้นหรือกลับมาแตกออกตอบแทนเซลล์เดิมได้ แต่ว่าก็จะทำให้สารเคมีโดปามีนในสมองมีจำนวนพอเพียงกับสิ่งที่จำเป็นของร่างกายได้ สำหรับยาที่ใช้ในปัจจุบันเป็นยากลุ่ม LEVODOPA แล้วก็ยากลุ่ม DOPAMINE AGONIST เป็นหลัก (การใช้ยาแต่ละชนิดขึ้นกับการวินิจฉัยจากแพทย์ ตามความเหมาะสม)
- ทำกายภาพบำบัด จุดมุ่งหมายของการดูแลและรักษาก็คือ ให้ผู้ป่วยคืนสู่สภาพชีวิตที่ใกล้เคียงคนธรรมดาที่สุด สามารถเข้าสังคมได้อย่างยอดเยี่ยม สุขสบายทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ซึ่งมีหลักแนวทางปฏิบัติกล้วยๆคือ
ก) ฝึกการเดินให้เบาๆก้าวขาแม้กระนั้นพอดิบพอดี โดยการเอาส้นเท้าลงเต็มอุ้งเท้า รวมทั้งแกว่งไกวแขนไปด้วยขณะเดินเพื่อช่วยสำหรับการทรงตัวดี ยิ่งไปกว่านี้ควรจะหมั่นจัดท่าทางในอิริยาบถต่างๆให้ถูกสุขลักษณะ รองเท้าที่ใช้ควรจะเป็นแบบส้นเตี้ย แล้วก็พื้นต้องไม่ทำมาจากยาง หรือสิ่งของที่เหนียวติดพื้นง่าย
ข) เมื่อถึงเวลานอน ไม่สมควรให้นอนเตียงที่สูงเหลือเกิน เวลาจะขึ้นเตียงจำต้องเบาๆเอนตัวนอนลงตะแคงข้างโดยใช้ศอกกระทั่งถึงก่อนชูเท้าขึ้นเตียง
ค) ฝึกการพูด โดยพี่น้องจะต้องให้ความเข้าอกเข้าใจค่อยๆฝึกคนไข้ และก็ควรจะทำในสถานที่ที่สงบเงียบ
- การผ่าตัด โดยมากจะได้ประสิทธิภาพที่ดีในคนไข้ที่แก่น้อย และก็มีอาการไม่เท่าไรนัก หรือในคนที่มีลักษณะอาการเข้าแทรกจากยาที่ใช้มาเป็นเวลานานๆอาทิเช่น อาการสั่นที่ร้ายแรง หรือมีการเคลื่อนแขน ขา มากไม่ปกติจากยา ปัจจุบันมีการใช้แนวทางกระตุ้นกระแสไฟฟ้าที่สมองส่วนลึกโดยผ่าตัดฝังไว้ภายในร่างกาย พบว่าเป็นผลดี แม้กระนั้นรายจ่ายสูงมาก ผู้เจ็บป่วยโรคพาร์กินสัน ควรต้องได้รับการดูแลใส่ใจจากคนรอบข้างในการพัฒนาฟื้นฟูด้านร่างกาย รวมทั้งจิตใจ ด้วยเหตุนั้นหากท่านมีคนใกล้ชิดที่เป็นโรคจำพวกนี้ ควรต้องรีบนำมาเจอหมอเพื่อรับการวินิจฉัยโรคอันจะนำมาซึ่งการดูแลรักษาที่ถูกและก็เหมาะสมต่อไป
- การติดต่อของโรคพาร์กินสัน เพราะว่าโรคพาร์กินสันเป็นโรคที่เกิดจากเซลล์สมองเกิดการตาย และก็ทำให้สารสื่อประสาทที่ปฏิบัติหน้าที่ควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายมีปริมาณต่ำลง จึงนำมาซึ่งอาการต่างๆของโรค ซึ่งไม่สามารถที่จะติดต่อจากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนได้ (แต่สามารถถ่ายทอดทางจำพวกกรรมไปสู่บุตรหลานได้)
- การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคพาร์กินสัน คนป่วยและญาติสามารถดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอแล้วก็ตลอด ดังต่อไปนี้
- ติดตามรักษากับแพทย์บ่อยๆ
- กินยาควบคุมอาการจากที่หมอชี้แนะให้ใช้
- กินอาหารประเภทที่มีกากใยเพื่อช่วยลดท้องผูก
- หมั่นฝึกหัดบริหารร่างกาย โดยการเคลื่อนไหวร่างกายให้มากที่สุดเท่าที่จะทำเป็น อย่านอนหรือนั่งนิ่งๆรวมทั้งแนวทางการทำงานกิจวัตร บริหารร่างกาย เพื่อเพิ่มความคล่องตัวแล้วก็ความยืดหยุ่นของกล้าม ลดเกร็งแล้วก็ปรับการเลี้ยงตัวให้ดียิ่งขึ้น เป็นต้นว่า การเดิน วิ่งเหยาะๆรำไท้วางท่า หรือเต้นแอโรบิก ฝึกหัดเดิน ยืนยืดตัวตรง วางเท้าห่างกัน ๘-๑๐ นิ้ว นับจังหวะก้าวเท้าแกว่งไกวแขน เสมือนเดินสวนสนามหรือเดินก้าวข้ามเส้นที่ขีดไว้ เมื่อใดที่ก้าวไม่ออกให้จังหวะกับตนเองกระดกข้อเท้าแล้วก้าวเดิน ฝึกพูดโดยให้คนไข้เป็นข้างกล่าวก่อน หายใจลึกๆแล้วออกเสียงให้ดังกว่าที่ตั้งใจไว้
- รอบๆทางเท้าหรือในส้วมต้องมีราวเกาะและไม่วางของขวางทางเดิน
- การแต่งตัว ควรจะใส่เสื้อผ้าที่ถอดใส่ง่าย เป็นต้นว่า กางเกงเอวยางยืด เสื้อติดแถบกาวแทนกระดุม
- วงศ์ญาติ ควรที่จะเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิด ระแวดระวังการเกิดอุบัติเหตุ อาทิเช่น การเดินหกล้ม ฯลฯ
สิ่งจำเป็นก็คือ คนสนิทของคนป่วยและเครือญาติ ควรจะศึกษาและก็ทำความเข้าใจคนป่วยพาร์กินสัน แม้จะมีข้อมูลว่าการดื่มกาแฟ การสูบยาสูบ การใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน(ในสตรีวัยหมดประจำเดือน) จะช่วยลดการเกิดโรคพาร์กินสันได้ แต่ว่าก็ไม่เสนอแนะ ด้วยเหตุว่ามีโทษทำให้เกิดโรคอื่นๆที่น่าสยดสยองเป็นโทษต่อชีวิตได้มากกว่า
- การป้องกันตนเองจากโรคพาร์กินสัน เพราะเหตุว่ามูลเหตุที่จริงจริงของการเกิดโรคพาร์กินสันยังไม่ทราบแจ้งชัด โดยเหตุนั้นการป้องกันเต็มที่จึงเป็นไปไม่ได้ แต่ว่าบางการเรียนพบว่า การกินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ในจำนวนที่สมควร โดยจำกัดของกินกรุ๊ปไขมันและเนื้อแดง (เนื้อของสัตว์เลือดอุ่น) จำกัดของกินในกรุ๊ปสินค้าจากนม รับประทานผัก ผลไม้มากขึ้นให้มากมายๆเหตุเพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระสูง อาจช่วยลดจังหวะกำเนิดอาการ หรือ ลดความร้ายแรงจากอาการโรคนี้ลงได้บ้าง นักค้นคว้าแห่งแผนกแพทยศาสตร์ Chapel Hill มหาวิทยาลัยนอร์ธแคโลไรนาได้คิดแนวทางทดลองแบบง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้ รวมทั้งทำเสร็จภายในช่วงระยะเวลาเพียงแต่ ๑ นาที
แนวทางทดลองดังกล่าวมี 3 ขั้นตอนกล้วยๆคือ- ให้ผู้เจ็บป่วยยิ้มให้ดู
- ให้ยกแขนขึ้น 2 ข้างและให้ค้างเอาไว้
- ท้ายที่สุดให้คนป่วยกล่าวประโยคกล้วยๆให้ฟังสักประโยค
นักวิจัยทดลอง ด้วยการให้คนที่เคยมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง เป็นตัวแสดงร่วมกับคนปกติผู้อื่นรวมแล้ว ๑๐๐ คน แล้วหลังจากนั้นให้อาสาสมัครสมมุติตัวเป็นคนผ่านมาเจอเรื่องที่มีคนไข้กำเนิดอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ให้อาสาสมัครลองทดลองด้วยคำสั่งข้างต้นกับศิลปินทั้ง ๓ ข้อ เวลาเดียวกันก็โทรศัพท์บอกผลของการทดลองให้นักวิจัยทราบ โดยผู้ทำการวิจัยอยู่ในอีกสถานที่หนึ่ง ซึ่งไม่เห็นท่าทีหรือการแสดงออกของคนที่สงสัยจะมีลักษณะอาการสมองขาดเลือดไปเลี้ยง ผลที่ออกมาพบว่า นักวิจัยสามารถแยกคนไข้ออกจากคนธรรมดาได้อย่างเที่ยงตรงถึงปริมาณร้อยละ ๙๖ ทีเดียว โดยแยกอาการกล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรง (facial weakness) ได้ปริมาณร้อยละ ๗๑ แยกกล้ามแขนเหน็ดเหนื่อยได้ถึง ปริมาณร้อยละ ๙๕ และแยก ประสาทกลางสถานที่ทำงานไม่ดีเหมือนปกติทางคำกล่าวได้ปริมาณร้อยละ ๘๘ ซึ่งนับได้ว่าถูกต้องแม่นยำมากภายในสถานการณ์ที่พยาบาลไม่อยู่ในจุดเกิดเหตุ
- สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาโรคพาร์กินสัน สารสกัดจากบอระเพ็ด ชื่อ columbamine เป็นสารกรุ๊ปอัลคาลอยด์ ที่มีงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยพบว่า สามารถยั้งฤทธิ์ของเอ็นไซม์ชื่อ acetyl cholinesterase ได้สูงมากมาย ซึ่งการยับยั้งเอนไซม์ acetyl cholinesterase เป็นวัตถุประสงค์สำคัญของการเป็นยารักษาคนป่วยสมองเสื่อม (Senile dementia), คนป่วยความจำไม่ดี (Alzheimer’s diseases), โรคพาร์กินสันที่มีภาวการณ์สมองเสื่อมร่วมด้วย (Parkinson’s disease with dementia, PDD) อาการเซ หรือ ภาวการณ์กล้ามเนื้อเสียการร่วมมือ (Ataxia) แล้วก็โรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (myasthenia gravis)
ผลของการรักษาด้วยบอระเพ็ดในคนไข้พาร์กินสัน สอดคล้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาที่มีการค้นพบในงานศึกษาเรียนรู้วิจัย โดยได้ผลสำหรับในการรักษาแน่ชัดในด้านภาวการณ์รู้คิด การกระทำโดยรวมและก็ อาการทางประสาทดียิ่งขึ้นในภาวะโรคสมองเสื่อมที่เจอในคนป่วยพาร์กินสัน เพราะเหตุว่าโรคพาร์กินสันเมื่อมีการดำเนินของโรคมานาน 5-10 ปี จะเกิดความเสื่อมของสมองในส่วนอื่นๆตามมา นำไปสู่ความไม่ปกตินอกเหนือจากการเคลื่อนไหว ดังเช่นว่า การนอน ความแตกต่างจากปกติทางด้านอารมณ์และจิตใจ ภาวะย้ำคิดย้ำทำ อาการเศร้าหมอง วิตก เป็นต้น
แต่ยังไม่มีข้อมูลในทางคลินิก หรือการศึกษาในคนเจ็บกลุ่มโรคดังที่กล่าวถึงแล้วอย่างมีระบบ ชี้แนะถ้าเกิดพอใจใช้บอระเพ็ด ควรจะใช้ในแง่เสริมการดูแลและรักษาพร้อมกันกับยาแผนปัจจุบันเป็นหลัก และควรจะมีตอนที่หยุดยาม้าง เป็นต้นว่า ชี้แนะใช้ยาเดือนเว้นเดือน หรือ 2-3 เดือน เว้น 1 เดือน
ยิ่งกว่านั้นข้อควรคำนึงหมายถึงห้ามใช้บอระเพ็ดในผู้ที่มีภาวะเอนไซม์ตับบกพร่อง หรือคนป่วยที่มีประวัติเป็นโรคตับ หรือโรคไตรุนแรง ผู้ที่มีลักษณะท่าทางความดันโลหิตต่ำเกินความจำเป็น หรือน้ำตาลในเลือดต่ำ สตรีตั้งครรภ์ สตรีให้นมบุตร
หมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นสมุนไพรที่ศาสตร์อายรุเวทของอินเดีย ใช้รักษาโรคพาร์กินสันมาเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ผลวิจัยพบว่าเม็ดหมามุ่ยประเทศอินเดีย เป็นแหล่งธรรมชาติของสาร แอล-โดขว้าง (L-dopa)พบ 3.1-6.1% และก็อาจเจอมากถึง 12.5% ซึ่งสารแอล-โดปานี้จะเป็นสารเริ่มต้นของโดพามีน โดยพบว่าสารแอล-โดปาในหมามุ่ยอินเดียมีข้อดีกว่ายาสังเคราะห์ Levodapa ตรงที่มีความแรงในการออกฤทธิ์มากยิ่งกว่า Levodopa 2-3 เท่า เมื่อเปรียบเทียบในขนาดเท่ากันกับ Levodapa เดี่ยว
โดยมีการตั้งสมมุติฐานว่าในสารสกัดเมล็ดหมามุ่ยอินเดียอาจมีสารสำคัญบางตัวที่ทำหน้าราวกับ Dopamine Decarboxylase Inhibitors ซึ่งเป็นกลุ่มยาที่ต้องให้ร่วมกับ Levodopa เสมอ เพื่อยับยั้งเอนไซม์ Dopamine Decarboxylase ที่จะทำลาย Levodopa อันจะมีผลให้การออกฤทธิ์ของ Levodopa ต่ำลง นอกจากนี้ยังพบว่าเมล็ดหมามุ่ยประเทศอินเดียยังออกฤทธิ์ได้เร็วกว่า แล้วก็มีระยะเวลาการออกฤทธิ์เป็นเวลายาวนานกว่า Levodopa/Carbidopa
แม้กระนั้นยังไม่มีข้อมูลในการศึกษาเรียนรู้ทางคลินิกแล้วก็การศึกษาในคนป่วยโรคพาร์กินสัน ด้วยเหตุนั้นจำเป็นที่จะต้องรอให้มีการทำการศึกษาเรียนรู้เพิ่ม รวมทั้งมีผลการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยยืนยันว่าปลอดภัยก่อนจะใช้
เอกสารอ้างอิง- นพ.อัครวุฒิ วิริยเวชกุล.โรคพาร์กินสัน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่382.คอลัมน์ โรคน่ารู้.กุมภาพันธ์.2554
- ศ.นพ.นิพนธ์ พวงวรินทร์.โรคพาร์กินสันกับผู้สูงอายุ.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาลมหาวิทยาลัยมหิดล
- Kedar, NP. (2003). Can we prevent Parkinson,s and Alzheimer,s disease?. Journal of Postgraduate Medicine. 49, 236-245.
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 641-645.
- Parkinson’s disease, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 17th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2008 (electronic book). http://www.disthai.com/[/b]
- โรคพาร์กินสัน.วิกิพีเดียสารานุกรม
- โรคพาร์กินสัน-โรคสั่นสันนิบาต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่219.คอลัมน์โรคน่ารู้.กรกฎาคม.2540
- พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.โรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) .หาหมอ.com
- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ