Advertisement
ครูแอน สอนทำหน้าขนมเค้ก-ขนมไทย-เบเกอรี่ ไส้ถั่วแดง หมูหยองน้ำพริกเผา ช่อม่วง ขนมไทย
สอนทำขนมปัง เรียน
อาหารญี่ปุ่น#หน้าขนมเค้ก #ตกแต่ง #เค้กปอนด์ #พาย#ขนมปังไส้ไข่ #ขนมเค้กตรุษจีน #ขนมหวานทานอร่อย #เปิดร้านเบเกอรี่ #เรียนขนมเค้กไข่ #สอนทำเบเกอรี่ #ขนมไทย ขนมเค้กแบ่งได้ 3 ประเภท เป็น1. เค้กที่มีไขมันเป็นส่วนผสมหลัก (Batter cake) เป็นขนมเค้กที่มีปริมาณไขมันสูง การขึ้นฟูมีต้นเหตุมาจากผงฟูแล้วก็อากาศที่ได้จากการตีเนย โดยเม็ดไขมันจะเก็บฟองอากาศเข้าไว้ และก็เมื่อได้รับความร้อนจากเตาอบ ผงฟูจะทำให้กำเนิดก๊าซรวมทั้งฟองอากาศ จะขยายตัวทำให้เค้กขึ้นฟู ขนมเค้กประเภทนี้ได้แก่ เค้กกล้วยหอม ขนมเค้กผลไม้
2. ขนมเค้กที่มีไข่เป็นส่วนผสมหลัก (Foam cake) เป็นขนมเค้กที่มีไข่ในปริมาณสูง การขึ้นฟูของเค้กขึ้นอยู่กับการขยายตัวของฟองอากาศที่ได้จากการตีไข่ แล้วก็ขยายตัวเมื่อนำเข้าอบ เค้กประเภทนี้เนื้อจะเบาและไม่อยู่ตัวเหมือนจำพวกแรก การทำจึงต้องระมัดระวัง
เค้กประเภทนี้เช่น แยมโรล สปันจ์เค้ก ฯลฯ
3. ชิฟฟ่อนขนมเค้ก (Chiffon cake) เป็นขนมเค้กที่มีลักษณะรวมของขนมเค้กที่มีไขมันเป็นส่วนผสมหลัก และก็ไข่เป็นส่วนประกอบหลัก ขนมเค้กชนิดนี้ทำโดยเค้กไข่ขาว แล้วก็ไข่แดง ลักษณะองค์ประกอบของเค้กชนิดนี้จะละเอียดเสมือนเค้กที่มีไข่เป็นส่วนประกอบหลัก แล้วก็มีเนื้อวาวเงาเหมือนขนมเค้กที่มีไขมันเป็นส่วนประกอบหลัก ไม่เหมือนกันที่ใช้น้ำมันพืชผสมแทนเนย และแตกต่างที่ แนวทางการผสมด้วย เช่น ชิฟฟ่อนโรล คัสตาร์ดชิฟฟ่อนเค้ก ฯลฯ
วิธีการทำเค้กทั่วไป1. ควรร่อนแป้งทุกหนก่อนชั่งน้ำหนักหรือตวงเพื่อให้อากาศเข้าแทรกระหว่างเนื้อแป้งทำให้แป้งฟูและก็ค่อย
2. เนย จำต้องนำออกมาจากตู้แช่เย็นก่อนนำมาใช้ แต่ว่าไม่สมควรนำไปตั้งไฟเพื่อรีบให้อ่อนตัวเร็วขึ้นเพราะว่าจะทำให้เนยสดละลายและเหลวเกินไปซึ่งไม่อาจจะตีให้ขึ้นฟูได้
3. เค้กที่มีปริมาณน้ำตาลสูง ควรจะตีแป้งกับเนยก่อนก็เลยเพิ่มเติมส่วนผสมอื่นๆสำหรับน้ำตาลทรายควรละลายในส่วนประกอบของของเหลวก่อนจึงเพิ่มลงในส่วนประกอบที่เหลือเพราะเหตุว่าจะก่อให้เปลือกขนมที่อบแล้วนุ่มขึ้น
4. การตีส่วนประกอบควรจะใช้พายยางเฉือนข้างอ่างผสมแล้วก็ที่ตีเสมอๆเพื่อช่วยให้ส่วนผสมเข้ากันได้ง่ายมากยิ่งขึ้นนอกจากนี้ควรจะหยุดเครื่องตีก่อนจึงใช้ พายปาดทุกครั้ง
5. การเติมไข่หรือส่วนประกอบที่เป็นของเหลวควรจะเบาๆเพิ่มลงไปทีละเล็กละน้อยหรือแบ่งเพิ่มเติมไปทีละส่วน ไม่ควรใส่หมดในทีเดียว ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้ไขมันแยกตัวออกจากส่วนผสม
6. การผสมขนมเค้กช่วงสุดท้าย เป็นการผสมนมหรือของเหลวอื่นสลับกับแป้งคุ้มครองป้องกันการแยกตัวของไขมัน เพื่อแป้งดูดซับของเหลวบางส่วนไว้
7.ไข่ไก่ที่เหมาะสมในการทำขนมเค้กควรจะเป็นไข่ไก่สด รวมทั้งจะต้องไม่แช่ตู้แช่เย็น
8. กระบวนการทำเค้กจำพวกใช้ไข่เป็นหลัก ตะล่อมแป้งให้ถูกกันทีละน้อย เนื่องจากว่าจะก่อให้แป้งเบาๆซึมซับของเหลวและไม่จับตัวกันจบกลายเป็นก้อน ทำให้ผสมกันได้มากขึ้น
9. การตีไข่ขาวหรือไข่แดง สำหรับขนมเค้กประเภทที่จำเป็นต้องตีไข่ให้ขึ้นฟูควรตีด้วยความเร็วสูง จนไข่เริ่มตั้งยอดอ่อนๆจึงเพิ่มเติมน้ำตาลลงทีละเล็กทีละน้อยและก็เมื่อส่วนประกอบของไข่ขาวและน้ำตาล เริ่มฟูเป็นฟองขึ้นจึงลดความเร็วลง ใช้ความเร็วปานกลางเพื่อฟองอากาศยังคงอยู่ในส่วนผสม ข้อพึงระวังการตีไข่ขาวนั้นเครื่องมือเครื่องใช้ทุกสิ่งอาทิเช่นอ่างผสมที่ตี พายยางต้องสะอาดและแห้งสนิท ไม่เลอะเทอะไขมัน ไข่ขาวไม่สมควรมีส่วนของไข่แดงปนอยู่แม้แต่น้อย
10. การอบขนมเค้กทุกชนิด ควรจะจุดเตาอบให้อุณหภูมิของเตาอบได้ตามความปรารถนา ถ้าเกิดอบของหวานให้มีลักษณะดีล้นง เป็นประจำผู้กระทำต้องเรียนรู้การใช้เตาอบนั้นๆจนเคยชิน
11. การทดลองว่าเค้กที่อบสุกหรือยังนั้น ทำเป็นโดย ใช้ไม้ปลายแหลมจิ้มตรงกลางขนมถ้าเกิดไม่มีเศษขนมติดไม้ออกมาหมายความว่าสุกและสังเกตว่าขอบขนมร่อนออกจากพิมพ์รอบๆ
12. การอบ ขนมเค้กควรจะวางพิมพ์ให้อยู่กลางเตาอบให้เยอะที่สุด หรือเมื่ออยากอบพร้อมสองพิมพ์ หรือมากยิ่งกว่านั้น ควรจัดวางพิมพ์ห่างกันประมาณ 1 นิ้ว ไม่สมควรวางพิมพ์ติดหรือติดฝาผนังเตาอบถ้าเกิดอบทั้งคู่ชั้น ก็ควรวางสับหว่างกัน
13. การเปิดเตาอบ ไม่สมควรเปิดเตาอบขณะขนมกำลังขึ้นฟู แม้จึงควรเปิดเตาอบดูของหวาน ควรจะเปิดอย่างช้าๆมิฉะนั้นขนมจะไม่ขึ้น รวมทั้งยุบได้
ทำไมธุรกิจร้านเบเกอรี่ถึงน่าลงทุนสามารถทำผู้เดียวได้ ด้วยเหตุว่าหากพวกเราเริ่มต้น จากการรับขนมจากที่อื่นมาขาย นั้นก็ไม่มีความจำเป็นต้องจ้างผู้ช่วย ซึ่งผู้เดียวก็สามารถดูแลร้านค้าได้เอง ทั้งผอง ไม่ต้องลงทุนในการจ้างผู้รับจ้าง แล้วก็วุ่นวายกับคนโดยส่วนใหญ่
-ปัจจุบัน ร้านขนมปัง นั้น กับ Lifestyle ของคนสมัยใหม่ เพราะว่าคนรุ่นใหม่นิยม ไปนั่งตามร้านค้าขนม เพื่อพักผ่อน นั่งคุย เสวนากับเพื่อน หรือนั่งอ่านหนังสือ เพื่อผ่อนคลาย การเปิดร้านขนมแบบเต็มรูปแบบ ก็เลยตอบปัญหาข้อนี้ได้ แล้วก็ทำรายได้ให้กับธุรกิจได้ อย่างมาก อย่างแน่นอน
-ความนิยมชมชอบเบเกอรี่ ของคนรุ่นหลัง ที่มีเวลาน้อย เลือกรับประทานเบเกอรี่เป็น อาหารจานด่วน หรือรองท้อง คนไม่ใช่น้อยคงจะเคยได้ฟังคำว่า “กองทัพจำต้องเดินด้วยท้อง” เมื่อคุณเดินทางไกล หรืออยู่ในเวลาเร่งด่วน ไม่สามารถที่จะหาที่นั่งรับประทานอาหารได้ การกินขนมที่ซื้อข้างทาง จะช่วยให้คุณคลายหิวไปได้ ก่อนที่จะคุณจะทำธุระเสร็จ และไปรับประทานอาหารมื้อใหญ่ถัดไป
การเตรียมความพร้อมก่อนลงทุนในธุรกิจเบเกอรี่ก่อนที่จะลงทุนในธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ก็ต้องมีการเตรียมพร้อมให้พร้อมกั่น ซึ่งธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดก็ไม่ได้มีความแตกต่างกัน จำเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนจำเป็นต้องพิจารณาถึงความพร้อมก่อนจะมีการลงทุน ซึ่งอย่างเช่น
เงินลงทุน
สำคัญเป็นอันดับแรกๆก็เพราะเหตุว่าเงินทุนเป็นปัจจัยหลักที่จะช่วยทำให้การเตรียมวัสดุอุปกรณ์ก่อนจะมีการผลิตเบเกอรี่เป็นไปด้วยดี จำนวนเงินลงทุนย่อมแตกต่างกันไปตามรูปแบบของธุรกิจว่าอยากให้ออกมาในลักษณะใด ซึ่งก็ต้องวิเคราะห์แล้วก็ใคร่ครวญตามกำลังของตัวอง เนื่องจากว่าด้วยทั่วๆไปแล้วการลงทุนในขั้นแรกจะเน้นไปที่อุปกรณ์ปกรณ์ ซึ่งถือได้ว่าต้นทุนคงที่ และจะให้ผลทดแทนกลับมาภายในระยะเวลาไม่นาน ด้วยเหตุนี้ควรจะเลือกใช้เครื่องใช้ไม้สอยที่คุณภาพดี มีการค้ำประกัน แม้จะราคาแพงแม้กระนั้นมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพ
ส่วนเงินลงทุนอีกอย่างคราวเรียกกันว่าต้นทุนแปรเปลี่ยนแปร อาทิเช่น ค่าใช้จ่ายสำหรับเช่าพื้นที่ ค่าขนส่ง หรือค่าใช้จ่ายที่เปลี่ยนได้ นับว่ากลุ่มนี้เป็นเงินลงทุนที่ผู้ร่วมลงทุนเองต้องจัดเตรียมไว้ล่วงหน้า เพื่อให้สามารถเงินลงทุนสามารถหมุนวนได้อย่างไม่ติดขัด
-วิชาความรู้ความเชี่ยวชาญ
จำเป็นสำหรับผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจเบเกอรี่โฮมเมดมากมาย เพราะว่าควรจะทำความเข้าใจถึงใอุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้และก็วัตถุดิบทุกสิ่งในการทำเบเกอรี่ ควรเรียนรู้ว่าแป้งมีกี่จำพวก น้ำตาลหรือวัตถุดิบตัวอึ่นๆมีคุณสมบัติเช่นไรใช้เป็นส่วนผสมในเบเกอรี่แต่ละประเภทเพื่ออะไร นอกจากนี้ยังจะต้องฝึกซ้อมและก็ช่ำชองสำหรับเพื่อการทำ
เบเกอรี่มากพอที่จะควบคุมคุณภาพรวมทั้งรสได้ เพื่อของหวานที่ผลิตมีคุณภาพรวมทั้งรสชาติที่เหมือนกัน
ขณะนี้ มีโรงเรียนสอนทำเบเกอรีมาก เราสามารถเลือกเรียนได้ ได้ตามต้องการ ทั้งยังสามารถเลือกเฉพาะวิชาที่พึงพอใจได้ ซึ่งส่วนมากถึงแม้เขาเรียนเพียงแต่หลักสูตรเดียวก็สามารถเอามาปรับใช้และทำขายได้ในทันที และก็การเรียนรู้สูตรรวมทั้งขั้นตอนการทำจากเพื่อนฝูงหรือวงศ์วาน ก็ถือเป็นเรื่องที่ดีที่จะไม่ต้องเลยค่าใช้สอยในการเข้าเรียนกับสถานศึกษาสอนทำเบเกอรี่ต่างๆ
-ศึกษาเล่าเรียนตลาดและก็คู่ปรปักษ์
ผู้ผลิตควรศึกษาเรียนรู้ถึงสภาวะการตลาดเพื่อวิธีการทำความเข้าใจสำหรับการดำเนินธุรกิจของเรา ควรศึกษาค้นคว้าว่ากาตลาดเบเกอรี่ในช่วงนั้นๆคืออะไร มีกรุ๊ปคู่แข่งขันจำนวนราวกี่ราย และก็แต่ละรายมีจุดเด่นจุดด้วยอะไรบ้าง และพวกเราต้องหาลักษณะเด่นของเรา และก็ปรับยุทธวิธีเพื่อให้สู้กับคู่แข่งขันให้ได้ การ มองหา ร้านค้าสำหรับฝากขายมีความสำคัญมากในการที่จะช่วยให้ธุรกิจของพวกเราก้าวไปข้างหน้าหรือจะถอยหลัง ร้านที่เห็นควรมีความสนใจคือร้านค้าที่อยู่ในย่านชุมชน มีทำเลดี มีที่จอดรถสำหรับลูกค้าไว้พร้อม มีการขยับเขยื้อนของจำนวนลูกค้ารวมทั้งหมุนวนผลิตภัณฑ์ทั้งวัน และก็ทางร้านค้ามีทิศทางที่จะช่วยนำเสนอผลิตภัณฑ์ของพวกเรา เพื่อไม่ให้สินค้าของพวกเราถูกกักไว้เพื่อคอยส่งกลับคืนสิ่งเดียว
-หาแหล่งวัตถุดิบที่เหมาะสมทั้งยังเรื่องราคาและคุณภาพ
การซื้อวัตถุดิบสำหรับเฉพาะการทำเบเกอรี่ ย่อมทำให้ได้วัตถุดิบที่แพงถูกกว่าซื้อตามห้างทั่วไป รวมทั้งยังคงได้เครื่องไม้เครื่องมือสำหรับในการทำเบเกอรี่อย่างสมบูรณ์
รูปแบบของธุรกิจร้านขนมปัง อาชีพอิสระ รายได้ดี-รับขนมจากที่อื่นมาขาย
Bakery ยี่ห้อ HOME ของมหาวิทยาลัยราชภัฎ สวนดุสิต เป็นตัวอย่างสุด Classic ของ ร้านขนมปัง ลักษณะนี้ เราจะมองเห็นคนนำขนมแบรนด์ HOME มาเดินขายตามที่ต่างๆหรือตั้งโต๊ะขายก็ตาม ลักษณะนี้เป็นแบบอย่างที่เริ่มง่าย เพียงแต่ไปรับขนม และนำมาตั้งขาย ไม่ต้องจมทุนไปกับการซื้อเครื่องอบของหวาน ไม่ต้องเปลืองแรงทำ และของหวานที่ขายอร่อยแน่นอน
- ทำขนมขายเอง
ถ้าหากคุณมีเงินทุนมากยิ่งขึ้นมาหน่อย และเคยไปเรียนทำ Bakery มา หรือเชื่อมั่นในความสามารถ ธุรกิจร้านเบเกอรี่จำพวกนี้ จะทำเงินได้มากกว่า เพราะว่าพวกเราไม่ต้องไปรับของหวาน มาจากที่อื่นๆ ซึ่งมีต้นทุนที่ซื้อมา แพงกว่าขนมที่เราทำเองอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ว่าก็จำต้องทดลองชั่งน้ำหนักมองว่า เงินทุนที่ลงเพิ่มไป จะคุ้มกับรายได้ที่ได้มากขึ้นมาหรือเปล่า
- ร้านขนมปังพร้อมที่นั่ง แบบเต็มแบบอย่าง
ถ้าหากไม่ได้อยากขายเพียงแค่ Bakery อย่างเดียว แล้วก็รู้สึกว่าของหวานที่สร้างขึ้นมา มีดีกว่าเพียงแค่จะเป็นร้านค้าทั่วๆไป ก็เปิดร้านเบเกอรี่พร้อมที่นั่ง แบบเต็มต้นแบบได้เลย เนื่องจากว่าราคาขนมจะขายได้แพงกว่า 2 แบบแรก โดยมีจุดหมาย ให้เป็นจุดสำหรับนัดพบ สำหรับผู้ที่มาทานขนม นั่งคุยกัน หรือนั่งอ่านหนังสือ ซึ่งเข้ากับ Lifestyle ของคนสมัยใหม่ด้วย
สูตรขนมไทย {ข้าวเหนียวดำเปียกใส่เผือก ส่วนผสม • ข้าวเหนียวดำ 1 ถ้วย
• เผือกหั่นเต๋า
• น้ำปูนใส
• แป้งมันสำปะหลัง หรือแป้งข้าวโพดละลายน้ำ
• น้ำตาลปี๊บ
• กะทิอบควันเทียนแบบกล่อง
• เกลือป่น เล็กน้อย
วิธีทำข้าวเหนียวดำเปียกใส่เผือก • 1. ซาวข้าวเหนียวสัก 2 รอบ แช่น้ำไว้ประมาณ 3 ชั่วโมง หรือ 1 คืน ยิ่งแช่นานจะทำให้เปื่อยเร็วครับ
• 2. พอข้าวเหนียวจวนจะได้เวลาก็นำเผือกไปแช่น้ำปูนใส ประมาณ 30 นาที เสร็จแล้วล้างให้สะอาด พักไว้
• 3. เทข้าวเหนียวดำพร้อมน้ำแช่ข้าวเหนียวดำใส่หม้อใช้ไฟแรง ๆ ต้มไปเรื่อย ๆ ถ้าน้ำงวดลงไปก็เติมใหม่ทีละน้อย ๆ หมั่นคนอยู่เรื่อย ๆ เดี๋ยวจะติดก้นหม้อ คอยเช็กดูว่าข้าวเปื่อยได้ที่หรือยัง
• 4. พอน้ำเริ่มงวด ใส่เผือกที่แช่น้ำปูนใสแล้วลงไปต้มต่อให้เผือกสุก
• 5. ใส่น้ำตาลปี๊บลงไป ชิมรสให้หวานตามใจชอบ
• 6. ใส่แป้งมันละลายน้ำลงไปนิดหน่อยครับ จะทำให้ข้าวเหนียวดำเปียกข้น น่าทานขึ้น คนเร็ว ๆ สักครู่ ปิดไฟ
• 7. เอากะทิอบควันเทียนตั้งไฟให้เดือด ใส่เกลือลงไปหน่อย พอเดือดก็ใส่แป้งมันลงไปคนเร็ว ๆ ปิดไฟ
• 8. ตักข้าวเหนียวดำเปียกใส่เผือกที่เย็นลงแล้ว ใส่ภาชนะ อาจจะเป็นชามหรือแก้วทรงสูงก็ได้ ราดด้วยน้ำกะทิ รับประทานตอนอุ่น ๆ ก็อร่อย หากอยากรับประทานแบบเย็น ก็เพียงแค่นำเข้าแช่ตู้เย็น ก็ได้รสชาติความอร่อยที่แปลกไปอีกแบบ
|ขนมบุหลันดั้นเมฆ
คุ้นชื่อขนมบุหลันดั้นเมฆกันบ้างไหมเอ่ย ? ขนมไทยโบราณเมนูนี้หลายคนอาจไม่รู้จักรวมทั้งไม่เคยเห็นหน้าตาอีกด้วย ตัวขนมสีสวยจากน้ำดอกอัญชัน ตรงกลางหยอดกะทิและไข่แดงลงไป หน้าตาสวยงามประณีต ถ้าสนใจจะลองทำ มาดูสูตรจาก คุณ BlackPiano สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม แล้วจะได้รู้กันไปว่าอร่อยขนาดไหน
ส่วนผสม ขนมบุหลันดั้นเมฆ
• ดอกอัญชัน
• น้ำร้อน (สำหรับคั้นน้ำอัญชัน)
• กะทิ 120 กรัม
• แป้งข้าวเจ้า 10 กรัม (สำหรับผสมกับกะทิ)
• เกลือ เล็กน้อย
• ไข่แดง 10 ฟอง
• น้ำตาลไอซิ่ง 60 กรัม
• กลิ่นวานิลลา เล็กน้อย
• แป้งข้าวเจ้า 100 กรัม (สำหรับผสมกับน้ำดอกอัญชัน)
• แป้งเท้ายายม่อม 40 กรัม
• น้ำเปล่า 200 กรัม
• น้ำเชื่อม 350 กรัม (พักไว้จนเย็น)
• ถ้วยตะไล (สำหรับนึ่งขนม)
วิธีทำขนมบุหลันดั้นเมฆ
1. คั้นดอกอัญชันกับน้ำร้อนให้ได้ปริมาณ 100 กรัม พักไว้
2. ผสมกะทิกับแป้งข้าวเจ้า 10 กรัม เข้าด้วยกันแล้วนำไปเคี่ยวในกระทะให้พอข้น ๆ ใส่เกลือลงไปเล็กน้อย คนให้เข้ากัน ปิดไฟพักไว้
3. ตีผสมไข่แดงกับน้ำตาลไอซิ่งให้เข้ากัน เติมกลิ่นวานิลลาลงไปเล็กน้อยเพื่อดับกลิ่นคาว คนผสมให้เข้ากัน จากนั้นนำไปกรองให้เนื้อเนียน ๆ เตรียมไว้
4. ผสมแป้งข้าวเจ้า 100 กรัม กับแป้งเท้ายายม่อมให้เข้ากัน ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าทีละน้อยลงไปผสม นวดแป้งประมาณ 5 นาที จนแป้งมีลักษณะเงา เทน้ำเปล่าที่เหลือลงไปจนหมด ตามด้วยน้ำเชื่อมที่เย็นแล้ว เทน้ำดอกอัญชันลงไปผสม คนผสมให้เข้ากันแล้วนำไปกรอง พักไว้
5. นำถ้วยตะไลไปนึ่งให้ร้อน หยอดส่วนผสมแป้งลงไปจนเกือบเต็ม ปิดฝานึ่งในน้ำเดือดประมาณ 2-2.30 นาที โดยสังเกตจากขอบขนมเริ่มมีสีเข้มขึ้นและตรงกลางมีสีอ่อน ๆ เป็นใช้ได้ รีบนำออกมาจากชุดนึ่งแล้วคว่ำถ้วยขนมลงชาม แป้งที่ยังไม่สุกก็จะไหลออกมา ทำให้ขนมเป็นหลุมตรงกลาง
6. บีบหรือหยอดกะทิที่เคี่ยวไว้ลงไปในหลุม นำไปนึ่งต่ออีก 1 นาที พอครบเวลาก็หยอดส่วนผสมไข่แดงลงในหลุม จากนั้นนำไปนึ่งต่ออีกประมาณ 5 นาที ตักใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟ
|ขนมอินทนิล
รู้ไหมคะว่า มีขนมอินทนิลอยู่บนโลกใบนี้ด้วย สมัยนี้ถ้าไปหาซื้อมากินคงไม่มีขายแล้วค่ะ มาทำเองกันดีกว่า สูตรจาก คุณ lennon forever แป้งเหนียว ๆ สีเขียวใบเตย กินคู่กับน้ำกะทิอบควันเทียน ก่อนเสิร์ฟใส่น้ำแข็งลงไปอีกนิด อร่อยมากบอกเลย
ส่วนผสม ตัวขนม
• แป้งมันสำปะหลัง 2 ถ้วย
• น้ำใบเตย 4 ถ้วย
ส่วนผสม น้ำกะทิ
• น้ำกะทิ 4 ถ้วย (หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง กับ หางกะทิ 3 ถ้วยตวง) หรือกะทิกระป๋อง 4 ถ้วยตวง
• น้ำตาลทราย 1+1/2 ถ้วยตวง
• เกลือป่น 1 ช้อนชา
• เทียนสำหรับอบขนม
วิธีทำขนมอินทนิล
1. ทำน้ำกะทิอบควันเทียน โดยเทน้ำกะทิลงอ่าง จุดเทียนอบขนมให้ไฟลามถึงตรงขี้ผึ้งแล้วดับเทียน ใส่เทียนลงในถ้วยเล็ก ๆ แล้วเอาใส่อ่างน้ำกะทิ ปิดฝา อบน้ำกะทิไว้ประมาณ 30 นาที แล้วจุดเทียนอบซ้ำอีก 1-2 ครั้ง ถ้ามีดอกกระดังงาก็เอาไปอบพร้อมเทียนเลย
2. พอได้น้ำกะทิที่อบควันเทียนแล้วนำขึ้นตั้งไฟ ใส่น้ำตาลทราย และเกลือป่น คนผสมให้ละลาย รอจนเดือดแล้วยกลง
3. ทำตัวขนม โดยผสมแป้งกับน้ำใบเตย คนให้แป้งละลายเข้ากับน้ำใบเตย นำขึ้นตั้งไฟอ่อน ใช้พายกวนตลอด ระวังอย่าให้ก้นหม้อไหม้ กวนจนขนมสุก ตัวแป้งจะเหนียวและใส พอแป้งสุกทั่วกัน เอาหม้อลงแช่ในอ่างน้ำแข็งเพื่อลดอุณหภูมิตัวขนมไม่ให้ร้อนเกินไป เดี๋ยวจะจับเป็นตัวไม่ได้
4. เตรียมถ้วยใส่น้ำไว้คอยจุ่ม ป้องกันขนมติดมือ ใช้นิ้วเปียก ๆ หยิบแป้งปั้นให้กลม ๆ ขนาดพอดีคำ แล้วหย่อนลงน้ำกะทิที่เตรียมไว้ ทำจนแป้งหมด ตัวขนมอินทนิลที่ดี ต้องไม่แข็งเป็นไตตรงกลาง ตักขนมใส่ถ้วย ใส่น้ำแข็งทุบ จัดเสิร์ฟ
|ขนมโค
ขนมโค ขนมพื้นเมืองภาคใต้อาจจะหาอร่อย ๆ กินยากไปหน่อย แต่ไม่ต้องเดินทางไปถึงภาคใต้หรอกค่ะ แค่อยู่ที่บ้านก็ทำได้นะคะ สูตรจาก คุณแมวเหมียวโมจิ สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ตัวแป้งทำเป็นสีธรรมชาติหรือใส่สีตามชอบก็ได้ ใส่ไส้น้ำตาลมะพร้าว คลุกมะพร้าวขูดเพิ่มความอร่อย
ส่วนผสม ขนมโค
• แป้งข้าวเหนียว
• น้ำตาลแว่น
• มะพร้าวขูด (เราหาไม่ได้เลยเอาเนื้อมะพร้าวทึนทึกมาสับ ๆ)
• เผือกหอมนึ่ง
• เกลือป่นเล็กน้อย (ใช้สำหรับคลุกกับมะพร้าวขูด)
• เฮลซ์บลูบอยสีแดง (สีอื่น ๆ หรือน้ำคั้นจากผักสีธรรมชาติ) ไม่ใส่ก็ได้
วิธีทำขนมโค
1. ใช้ช้อนกับส้อมบดเผือกนึ่ง เสร็จแล้วนำไปผสมกับแป้งข้าวเหนียว นวดผสมกันจนเป็นก้อน ถ้าส่วนผสมแห้งเกินไปก็เติมน้ำ ถ้าเหนียวไปก็ต้องเติมแป้งเพิ่ม ถ้าต้องการแป้งสีชมพูก็เอาน้ำหวานสีแดงผสมน้ำเปล่าเทใส่ลงไปแล้วนวดจนเข้ากัน
2. แบ่งแป้งเป็นก้อนกลม ๆ กะปริมาณของแป้งจะต้องมากพอที่จะหุ้มน้ำตาลที่ตัดเตรียมไว้ได้ แผ่เป็นแผ่นบาง กะความหนาให้พอดี วางน้ำตาลลงไปตรงกลาง คลึงให้เป็นก้อนกลม ทำเสร็จแล้วพักไว้
3. เติมน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อ ตั้งไฟกลางรอจนน้ำเดือด ใส่ขนมโคลงไปลวกจนสุก สังเกตจากขนมลอยขึ้นมา ตักไปแช่น้ำเย็นไว้ครู่หนึ่งกันขนมติดกัน (ในสูตรไม่ชอบให้ขนมติดกันเลยใช้วิธีนี้ แต่สูตรเดิมคือไม่ต้องแช่น้ำ)
4. ตักขนมใส่จาน และนำมะพร้าวขูดคลุกกับเกลือป่นเล็กน้อย เสร็จแล้วก็นำไปคลุกกับตัวขนมหรือจะโรยก็ได้
|ขนมเปียกปูนกะทิสด
ขนมเปียกปูนชิ้นสี่เหลี่ยมก็เคยลองแล้วและยังหากินได้อยู่ แต่ถ้าเป็นขนมเปียกปูนกะทิสด อยากบอกว่าไม่เคยเห็นเลยล่ะ เอาล่ะ… มาทำกินกับคนพิเศษกัน สูตรจาก คุณ Kitty Chef สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ขนมเปียกปูนใส่ใบเตย ราดกะทิรสเค็ม โรยงาขาวคั่ว บอกเลยว่าทำไม่ยากอย่างที่คิด
ส่วนผสม ขนมเปียกปูนกะทิสด
• แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
• แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
• น้ำปูนใส 1 ถ้วยตวง
• น้ำใบเตย 2 ถ้วยตวง
• เกลือเล็กน้อย
• น้ำตาลทรายแดง 1/4 ถ้วยตวง
• น้ำตาลปี๊บ 120 กรัม
ส่วนผสม กะทิราดหน้าขนม
• กะทิ 500 กรัม
• เกลือแค่หยิบมือ
• แป้งข้าวเจ้า 1 ช้อนชา (จะใส่หรือไม่ใส่ก็ได้ แต่ที่ใส่เพื่อให้น้ำกะทิข้น)
• งาขาวคั่ว
วิธีทำขนมเปียกปูนกะทิสด
1. นำแป้งข้าวเจ้า แป้งมัน น้ำปูนใส และน้ำใบเตยผสมกันและนวดจนเข้ากันดี ใส่เกลือ น้ำตาลทรายแดง และน้ำตาลปี๊บ นวดต่อจนเข้ากันดี กรองส่วนผสมแป้งด้วยตะแกรง 1 รอบ
2. ตั้งกระทะเปิดไฟปานกลาง ใส่แป้งลงไปกวน พอแป้งเริ่มจับตัวเป็นก้อนให้ลดเป็นไฟอ่อน ค่อย ๆ กวนต่อจนส่วนผสมเนียนเข้ากันดี สังเกตจากการเอาไม้พายตักแป้งขึ้นมา ถ้าแป้งเหนียวติดไม้พายก็ใช้ได้แล้ว ตักขนมเปียกปูนใส่ถุงบีบ และใช้หัวบีบแต่งหน้าเค้ก บีบใส่ถ้วย
3. ใส่หัวกะทิลงในหม้อ ตามด้วยเกลือ ใส่แป้งข้าวเจ้า คนผสมจนเดือด เสร็จแล้วตักกะทิราดหน้าขนมเปียกปูน โรยงาขาวคั่ว
|ขนมหยกมณี
ใครมีสาคูหยิบมารอเลยค่ะ ชวนทำขนมไทยโบราณอย่างขนมหยกมณี สูตรจาก คุณ Rin's Cookbook (#Rinscookbook) จับสาคูใส่ใบเตย เติมน้ำตาลทราย ตักชิ้นพอดีคำคลุกมะพร้าว ทำง่ายจริง ๆ นะขอบอก
ส่วนผสม ขนมหยกมณี
• สาคูเม็ดเล็ก 1 ถ้วยตวง
• ใบเตยหั่น 5-6 ใบ
• น้ำเปล่า หรือน้ำลอยดอกมะลิ (สำหรับปั่นน้ำใบเตย) 2 ถ้วยตวง
• น้ำ (สำหรับต้มสาคู) 1+1/2 ถ้วยตวง
• น้ำตาลทราย 1 ถ้วยตวง
• มะพร้าวทึนทึกขูดฝอย 1 ถ้วยตวง
• เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
วิธีทำขนมหยกมณี
1. ล้างสาคู โดยเทสาคูลงไปบนตะแกรง ใส่น้ำเปล่าลงไป ใช้มือคนเล็กน้อย เทน้ำทิ้ง ทำซ้ำ 2 รอบ พักสาคูไว้บนตะแกรงให้สะเด็ดน้ำประมาณ 15-20 นาที
2. คั้นน้ำใบเตย โดยหั่นใบเตยเป็นชิ้นเล็ก ๆ ใส่โถปั่น เติมน้ำเปล่า หรือน้ำลอยดอกมะลิลงไป ปั่นให้ละเอียด กรองด้วยผ้าขาวบาง หรือถุงกาแฟ เตรียมไว้
3. พอพักสาคูไว้จนครบ 15 นาทีแล้ว เทน้ำเปล่าใส่กระทะ หรือหม้อ เปิดไฟแรงสูง พอน้ำเดือดพล่านให้ปรับเป็นไฟกลาง จากนั้นใส่สาคูลงไปคนอย่างเร็ว (เพราะสาคูจะจับเป็นก้อน) คนจนสาคูเริ่มจับตัวเป็นก้อน มีลักษณะเป็นตากบคือ มีสีขุ่นตรงกลางและภายนอกสีใส
4. ใส่น้ำใบเตยลงไปคนให้เข้ากัน กวนส่วนผสมไปเรื่อย ๆ ถ้าชอบสาคูเป็นแบบตากบก็ใส่น้ำตาลทรายลงไปได้เลย หรือถ้าชอบสาคูสุกมากก็กวนจนน้ำแห้งแล้วค่อยใส่น้ำตาลทรายลงไป (ชอบแบบไหนก็ใส่น้ำตาลลงไปตอนนั้น)
5. พอใส่น้ำตาลทรายเสร็จแล้วก็กวนส่วนผสมต่อไปอีกประมาณ 5 นาที หรือจนขนมค่อนข้างหนืดตัวและข้นแต่ไม่แห้ง
6. เทขนมใส่ถาด เกลี่ยให้เท่า ๆ กัน (ห้ามจุ่มมือลงไปเพราะขนมร้อนมาก ๆ) ผึ่งขนมไว้จนเย็น
7. ระหว่างรอขนมเย็นให้นึ่งมะพร้าวขูดในชุดนึ่งใช้ไฟแรงประมาณ 15 นาที จากนั้นนำมะพร้าวใส่จาน โรยเกลือป่น คลุกเคล้าให้ทั่ว
8. นำช้อนกินข้าวไปจุ่มน้ำเล็กน้อย จากนั้นนำมาตักขนมหยกมณีเป็นคำ ๆ วางขนมหยกมณีลงบนมะพร้าว คลุกเคล้าขนมหยกมณีกับมะพร้าวให้เข้ากัน ตักใส่ภาชนะ พร้อมเสิร์ฟ
|ขนมช่อม่วง
สมัยนี้ขนมช่อม่วงหากินยาก ถ้ามีขายก็ราคาแพง ถ้าใครมีเวลาว่างอยากชวนมาทำกินกันเอง มีทั้งสูตรส่วนผสมแป้งและไส้หมู ขั้นตอนอาจเยอะแต่ไม่ยากค่ะ วิธีการจับจีบแรก ๆ อาจมือไม้สั่น แต่ถ้าทำไปเรื่อย ๆ รับรองออกมาสวยแน่นอน
ส่วนผสม ไส้ช่อม่วง
• น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
• หมูสามชั้นต้มสุก 1/4 ถ้วย (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• ฟักเชื่อมแห้ง 150 กรัม (หั่นสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ)
• เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
• น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ
• งาขาวคั่ว 50 กรัม
• ถั่วลิสงคั่ว 50 กรัม
ส่วนผสม แป้งช่อม่วง
• แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
• แป้งเท้ายายม่อม 1/2 ช้อนโต๊ะ
• แป้งมันสำปะหลัง 1/2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำลอยดอกมะลิ 1 ถ้วย (หรือน้ำผสมกลิ่นมะลิ)
• ดอกอัญชัน 10 ดอก
• แป้งมันสำปะหลัง เล็กน้อย (สำหรับทาแหนบตอนจับจีบขนม)
• ผักกาดหอม สำหรับเสิร์ฟ
• กระเทียมเจียว (โรยหน้า)
• พริกขี้หนูสวน (โรยหน้า)
อุปกรณ์ที่ควรมี
• กระทะทองเหลือง
• แหนบทองเหลืองสำหรับจับจีบ
• ชุดนึ่ง
วิธีทำไส้ขนมช่อม่วง
1. ตั้งกระทะใส่น้ำมันพืชลงไป เอาหมูสามชั้นที่หั่นไว้ลงไปผัด ใช้ไฟปานกลาง รอจนน้ำมันหมูออกมาและหมูเริ่มสุกสีเหลือง
2. ใส่ฟักเชื่อมลงไปผัดใช้ไฟอ่อน ปรุงรสด้วยเกลือและน้ำตาลทราย ใส่งาขาวและถั่วลิสงลงไป ผัดให้เข้ากันดีจนแห้ง ตักใส่ชาม เตรียมไว้
วิธีทำแป้งขนมช่อม่วง
1. ร่อนแป้งข้าวเจ้า แป้งมันสำปะหลัง และแป้งเท้ายายม่อมเข้าด้วยกัน 2-3 รอบจนเนียนละเอียด
2. ใส่น้ำมันพืชลงไป ค่อย ๆ เติมน้ำเปล่าและน้ำดอกมะลิลงไปจนหมด ใช้มือขยำคนนวดส่วนผสมแป้งให้ละเอียดเข้ากัน แบ่งส่วนผสมแป้งเป็น 2 ส่วนเท่า ๆ กัน
3. คั้นน้ำดอกอัญชันแล้วบีบน้ำมะนาวลงไป เทใส่ลงในส่วนผสมแป้ง 1 ถ้วยคลุกเคล้าให้เข้ากัน
4. ใส่ส่วนผสมแป้งลงในกระทะทองเหลือง ใช้ไฟกลางค่อนข้างอ่อน ใช้ไม้พายกวนไปเรื่อย ๆ จนส่วนผสมร่อนจากกระทะ ประมาณ 5-10 นาที ตักใส่ภาชนะ พักไว้จนแป้งเริ่มอุ่น
5. โรยแป้งนวลลงไปเล็กน้อยแล้วลงมือนวดแป้งให้เนียนแล้วคลุมด้วยผ้าขาวบางหมาด ๆ เพื่อไม่ให้แป้งแห้ง
วิธีทำดอกช่อม่วง
1. เริ่มทำดอกช่อม่วงโดยปั้นแป้งให้เป็นก้อนกลม ๆ ประมาณ 3/4 นิ้ว แล้วแผ่แป้งให้เป็นแผ่นบาง ๆ กะพอให้หุ้มไส้ได้จนมิด ตักไส้ที่ผัดไว้ใส่ลงไปแล้วห่อจากมุมเข้าหากัน จากนั้นใช้มือคลึงให้แป้งหุ้มไส้จนมิด ทำจนหมด เตรียมไว้
2. เริ่มทำจีบโดยเอาทาแป้งข้าวเจ้าที่ปลายแหนบทองเหลืองเล็กน้อย เริ่มจับจีบชั้นที่ 1 โดยจับจากกึ่งกลางของขนม จับจีบวนไปเรื่อย ๆ จนครบรอบ (อย่าจับจีบให้ติดกันมาก)
3. เริ่มชั้นที่ 2 โดยจับจีบให้เอียงจากชั้นแรกเล็กน้อย (ประมาณ 45 องศา) และสับหว่างกันกับชั้นแรก จับจีบจนครบรอบ
4. เริ่มจับจีบชั้นที่ 3 ประมาณ 2-3 จีบและสับหว่างกันกับกลีบชั้นที่ 2
5. นำไปเรียงบนใบตองที่ทาน้ำ