สัตววัตถุ เม่น

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ เม่น  (อ่าน 30 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ณเดช2499
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 76


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤศจิกายน 15, 2017, 02:05:51 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


เม่[/size][/b]
เม่นเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม
จัดอยู่ในตระกูล Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒  ประเภท  ตัวอย่างเช่น
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix  brachyuran  Linnaeus
ชื่อสามัญว่า  Malayan  porcupine
เม่นจำพวกนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐  เซนติเมตร หางยาว ๖ – ๑๐ เซนติเมตร น้ำหนักตัว  ๓-๗ กก. ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ป้องกันตัว  หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ และไหล่  มีขนแข็ง  สั้น  สีดำ  ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนและปลายสีขาว กึ่งกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนเหมือนหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นประเภทนี้ชอบออกหากินโดยลำพังในเวลากลางคืน รักสงบ เวลาเจอศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดกึกแล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ติดตามมาอย่างรวดเร็วหากหยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ รวมทั้งแม้ศัตรูใช้ตีนตะปบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นเดียวกัน  ได้รับความเจ็บปวดเจ็บมากมาย เมื่อศัตรูหนีจากไปแล้ว  เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่แตกหน่อขึ้นมาแทนที่ เม่นประเภทนี้รับประทานผัก หญ้าสด หน่อไม้ กาบไม้ ผลไม้ รวมทั้งกระดูกสัตว์  เริ่มสืบพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี ตั้งท้องนาน  ๔  เดือน  ตกลุกครั้งละ  ๑ -๓  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นแรกเกิดมีขนที่อ่อน  แต่เมื่อถูกอากาศภายนอกขนจะค่อยๆแข็งขึ้น  อายุราว ๒๐ ปีพบทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างถิ่นเจอที่มาเลเชียรวมทั้งอินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus  macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า  bush-tailed  porcupine
เม่นประเภทนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง  ๔๐ – ๕๐  เซนติเมตร หางยาว ๑๕ – ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕  กิโลกรัม จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งรวมทั้งปลายแหลมมาก  เหมือนหนาม  ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่รอบๆกึ่งกลางหลังขนแบน  มีร่องยาวอยู่ข้างบน ช่วงกึ่งกลางหางไม่ค่อยมีขน แม้กระนั้นเป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนขึ้นดกครึ้มเป็นกระจุก ดูเป็นพวง ขนดัขี้งกล่าวแข็งและแหลมคม ส่วนขนที่ศีรษะรอบๆขาอีกทั้ง ๔ แล้วก็บริเวณใต้ท้อง แหลม แม้กระนั้นไม่แข็ง ขาออกจะสั้น ใบเครื่องทอผ้าลมและก็เล็กมากมาย เล็บเท้าเหยียดตรง ทู่ แล้วก็แข็งแรงมาก  เหมาะสำหรับขุดดิน เม่นจำพวกนี้ออกหากินในช่วงกลางคืน  ช่วงกลางวันมักแอบอยู่ในโพรงดิน  ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง  ใช้ขนเป็นอาวุธป้องกันตัว รับประทานหัวพืช หน่อไม้  เปลือกไม้  รากไม้  ผลไม้  แมลง เขารวมทั้งกระดูกสัตว์  ตกลูกครั้งละ ๓- ๕  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย  ลูกเม่นแรกเกิดมีขนอ่อนนุ่ม แต่ว่าจะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี พบในทุกภาคของประเทศไทย ในต่างแดนเจอทางภาคใต้ของจีน และก็ที่ลาว เวียดนาม  กัมพูชา มาเลเซีย  แล้วก็อินโดนีเซีย

[url=http://www.disthai.com/]ประโยชน์ทางย[/size][/b]
แพทย์แผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง  แก้พิษรอยแดง  พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะของเม่นใช้ปรุงเป็นยากินบำรุงน้ำดี ช่วยให้ไส้มีกำลังบีบย่อยของกิน พระคัมภีร์ปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาใช้ภายนอกตัวเด็ก ดังต่อไปนี้ ภาคหนึ่งยาใช้ภายนอกตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งมวล รวมทั้งจะเป็นไข้อภิฆาฏก็ดีแล้ว  โอปักกะมิกาพาธก็ดี ท่านให้เอาใบมะชน รอยเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง  บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมวัว ทาตัวกุมาร จ่ายความมัวหมองโทษทั้งหมดดีนัก



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ