Advertisement
โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)- โรคไตคืออะไร "ไต" มีรูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น ๒ ข้าง อยู่ข้างหลังช่องท้องข้างละ ๑ อัน ไตทำหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย ผ่านทางเยี่ยว ข้างละราวๆ 1 ล้านหน่วย แล้วก็ยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ รวมทั้งสมดุลกรด-ด่างภายในร่างกาย สร้างฮอร์โมน ดังเช่นว่า ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุล แคลเซียม แล้วก็ฟอสเฟต (เป็น วิตามินดี นั่นเอง) แล้วก็ฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความฉลาดของธรรมชาติอย่างหนึ่ง มนุษย์เราบางครั้งก็อาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง และก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เพราะเหตุว่าไตข้างที่เหลือจะทำงานแทนได้เกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ รวมทั้งถ้าหากไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆร่างกายก็จะปรับพฤติกรรมไปได้เรื่อยก็ยังไม่กำเนิดอาการอะไรเช่นเดียวกัน จนถึงเมื่อไตเสียไปมาก ดำเนินงานได้เพียงแค่ประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ ก็เลยจะกำเนิดมีลักษณะอาการของโรคไต
โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของคนทั่วไป ทำให้เกิดผลเสียต่อพลเมืองทุกอายุ เชื้อชาติ และทุกสถานะทางเศรษฐกิจ ความชุกและอุบัติการณ์ของโรคที่เพิ่มขึ้นเนื่องจากเบาหวาน ความดันเลือดสูง รวมทั้งโรคอ้วน ในอเมริกามีประชาชนมากกว่า 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 9 คนที่เป็นโรคไตเรื้อรัง รวมทั้งมีราษฎรกว่า 20 ล้านมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง เนื่องมาจากผู้ปั่นป่วนจะไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น อาการไตวายจะปรากฏเมื่อไตขายหน้าที่ในการทำงานไปๆมาๆกกว่าร้อยละ 70 – 80 โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวะที่มีการเสื่อมลักษณะการทำงานของไตอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานเป็นเดือนหรือปี หรือมีตัวบ่งชี้ว่าไตถูกทำลายจากความไม่ปกติของเลือดหรือเยี่ยวหรือการตรวจทางรังสี หรืออัตราการกรองของไตน้อยลงน้อยกว่า 60 มิลลิลิตร/นาที/พื้นผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร ตรงเวลา 3 เดือน หรือมากกว่า 3 เดือน ซึ่งโรคโดยมากชอบทำให้ไตเสื่อมลงอย่างยั่งยืน ไม่สมารถกลับมาดำเนินงานอย่างธรรมดาได้ และตอนนี้พบได้มากขึ้นในประชาชนไทยแล้วก็บางทีก็อาจจะร้ายแรงไปจนกระทั่งการเกิดสภาวะไตวายแล้วก็เสียชีวิตได้สุดท้าย
การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความรุนแรงดังต่อไปนี้
ระยะที่ 1 เจอมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยพบความแปลกจากการวิเคราะห์เลือดเยี่ยวเอกซเรย์ หรือพยาธิสภาพของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในหลักเกณฑ์ธรรมดา พูดอีกนัยหนึ่ง มากกว่าหรือพอๆกับ 90 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.มัธยม
ระยะที่ 2 เจอมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการน้อยลงของอัตราการกรองของไตนิดหน่อยคืออยู่ในช่วย 60 – 89 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.
ระยะที่ 3 มีการต่ำลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 30 – 59 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม
ระยะที่ 4 มีการลดลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 15 – 29 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม
ระยะที่ 5 มีภาวการณ์ไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่สุด (อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.)
- ที่มาของโรคไตเรื้อรังเป็น โรคไตเรื้อรังมีต้นสายปลายเหตุการเกิดโรคได้หลายกรณี ซึ่งแบ่งสาเหตุการเกิดได้ดังนี้ มูลเหตุนอกไต อย่างเช่น โรคเบาหวาน พบว่ามีผู้ป่วยที่เป็นโรคเบาหวานประเภทที่ 1 ที่พึ่งอินสุลิน 20-50% ที่ก่อให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายภายในระยะเวลา 20-30 ปี ที่เริ่มรักษาโดยใช้การให้อินสุลิน รวมทั้งเบาหวานยังส่งผลให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้ถึงร้อยละ 30-40 และนำมาซึ่งไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายได้ถึงจำนวนร้อยละ 45 นอกจากนี้โรคเบาหวานยังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคหัวใจแล้วก็เส้นโลหิต ความดันเลือดสูง และไขมันในเลือดสูงได้ โรคเบาหวานทำให้มีความผิดปกติของเส้นโลหิตหลอดฝอยไต ทำให้หลอดเลือดแข็งเพิ่มแรงต้านทานของเส้นโลหิตที่ไต และระบบความดันเลือดสูงขึ้น ไตได้รับเลือดลดน้อยลง และขาดเลือด ก็เลยส่งผลให้เกิดไตล้มเหลวตามมา โรคความดันเลือดสูง พบว่าความดันเลือดสูงเป็นต้นเหตุที่ก่อให้เกิดโรคไตเรื้องรังได้ถึงปริมาณร้อยละ 28 เหตุเพราะไตควรต้องได้รับเลือดมาเลี้ยงไม่น้อยเลยทีเดียวจากการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งส่งผลต่ออัตราการกรองและแนวทางการทำหน้าที่ของไต ความดันดลหิตสูงทำให้เลือดมาเลี้ยง ไตน้อยลงจึงทำให้กระบวนการทำหน้าที่ของไตไม่ปกติเช่นกัน ความดันดลหิตสูงเกิดเพราะเหตุว่าเส้นเลือดแดงที่ไตตีบแข็ง หรือขาดเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตต่ำลง รวมทั้งกระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนซิน อัลโดสเตอโรน ทำให้เพิ่มความดันดลหิต ยิ่งกว่านั้น ความดันเลือดสูงยังเกี่ยวข้องกับโรคของเนื้อไต อย่างเช่น Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyelonephritis ฯลฯ ทำให้ไตขับน้ำ รวมทั้งเกลือได้น้อยลง มีการคั่งของน้ำรวมทั้งเกลือเพิ่มขึ้น ความดันโลหิตต่ำ ภาวการณ์ช็อคจากหัวใจแล้วก็เส้นเลือด หรือความดันเลือดต่ำส่งผลต่อแนวทางการทำหน้าที่ของไต ทำให้เส้นโลหิตที่ไตหดตัว เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดน้อยลง โรคระบบหัวใจและเส้นโลหิต ส่งผลต่อปริมาณเลือดที่ออกมาจากหัวใจ รวมทั้งระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งมีผลต่อการทำหน้าที่ไต ทำให้ไตลดการขับน้ำและโซเดียม มีการคั่งของน้ำในเส้นโลหิต กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการบวม โรคของเส้นเลือดส่วนปลาย อย่างเช่น การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือด (Thromboembolic) สภาวะ Disseminated Intravascular Coagulopathy มีผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือดที่ไต เป็นสาเหตุให้ไตขาดเลือด การตำหนิดเชื้อในกระแสโลหิต อาจมีผลต่อแนวทางการทำหน้าที่ของไต มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันโลหิตต่ำรวมทั้งจะทำการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดGlomerulonepritis การมีครรภ์ ส่งผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ขอบงไต การมีท้องในไตรมาสแรก ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งบางทีก็อาจจะดำรงอยู่ 9 -1 2 สัปดาห์ ทำให้อัตราการกรองของไตมากขึ้น 30 – 50 % ระหว่างท้อง ทำให้ Creatinine Clearance มากขึ้น การขับกรดยูริกต่ำลง การมีท้องอาจทำให้โปรตีนในฉี่เพิ่มขึ้น เยี่ยวมากเพิ่มขึ้น และก็ฉี่บ่อยมากในตอนการคืน
สารที่มีพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ กำเนิด Acute Tubular Necrosis Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก เป็นต้นว่า ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองคำลิเทียม พิษต่างๆได้แก่ เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสงสว่าง ยาพารา ดังเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID ฯลฯ
โรคที่มีสาเหตุมาจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเคลื่อนที่มาอุดตันได้ในระบบฟุตบาทปัสสาวะ รวมทั้งมีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวมากขึ้น กรรมวิธีอักเสบทำให้มีการเกิดการบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการดูแลและรักษาก็จะมีผลให้เกิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับแล้วก็การขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนไป ทำให้วิธีการทำหน้าที่ของไตน้อยลง ภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต และก็ Calices ทำให้มีการอุดกั้นของปัสสาวะ การสะสมของน้ำฉี่ ทำให้เกิดแรงกดดันในกรวยไตมากขึ้น และเป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย มะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างเร็วกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอุดกันของระบบฟุตบาทปัสสาวะ และกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดไตบวมน้ำตามมา
- อาการของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้องรังส่วนมากทำให้ไตผิดปกติทั้งสองข้าง ในช่วงแรกคนไข้มักไม่มีอาการ เมื่อโรคดำเนินไปๆมาๆกขึ้น อาจมีอาการต่างๆเพราะว่าไตดำเนินงานแตกต่างจากปกตินำมาซึ่งการคั่งของเกลือแร่น้ำส่วนเกินและก็ของเสียในเลือด เป็นต้นว่า ปริมาณเยี่ยวลดลง ความดันโลหิตสูงขึ้น ซีด เหนื่อยง่ายมากยิ่งขึ้น ไม่อยากกินอาหาร อ้วกอ้วก นอนไม่หลับ คันเรียกตัว มีลักษณะอาการบวมที่หน้า ขา รวมทั้งลำตัว ความรู้สึกตัวน้อยลง หรือมีลักษณะอาการชัก ฯลฯ
ซึ่งลักษณะโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งได้ 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกมาจากเลือดได้มากแค่ไหน โดยในคนทั่วไปจะมีค่านี้อยู่โดยประมาณ 90-100 มล./นาที โดยระยะขอ
โรคไตเรื้อรัง[/url]นั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการแสดงให้เห็นแจ่มกระจ่าง แต่ทราบได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา ตัวอย่างเช่น การพิสูจน์เลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในช่วงแรกนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ราวๆ 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แต่ว่าอาจพบอาการไตอักเสบหรือภาวะโปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในเยี่ยว ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตน้อยลง แต่ว่ายังไม่มีอาการใดๆก็ตามชี้ให้เห็นนอกจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียงแค่ 60-89 มล./นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการใดๆก็ตามแสดงออกมาให้เห็น เว้นเสียแต่ค่า eGFR ที่ลดน้อยลงโดยตลอด โดยในตอนนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะย่อยหมายถึงระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มิลลิลิตร/นาที รวมทั้งระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของผู้ป่วยจะค่อยแสดงในเวลานี้ เว้นเสียแต่ค่า eGFR จะต่ำลงเหลือเพียงแค่ 15-29 มล./นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีฉี่ออกมากและฉี่หลายครั้งช่วงกลางคืน คนไข้จะมีอาการอ่อนล้า อ่อนเพลียง่าย ไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักตัวลดลง อ้วก อาเจียน นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดหัว ตามัว ท้องเสียบ่อยครั้ง ชะตามปลายมือปลายเท้า ผิวหนังแห้งและมีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นสาเหตุก่อให้เกิดสารให้สีของผิวหนังเปลี่ยนแปลง) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งก่อกำเนิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบอ่อนแรง สะอึก กล้ามเนื้อเป็นตะคิวบ่อยมาก ใจหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก มีลักษณะอาการบวมเรียกตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ขา และเท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรือคลื่นไส้เป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกไม่สบายเนื้อสบายตัวตลอดระยะเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะสุดท้ายของสภาวะไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มล./นาที นอกจากคนเจ็บจะมีลักษณะอาการคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวะโลหิตจางที่รุนแรงขึ้น รวมทั้งอาจตรวจพบการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด เอามาสู่ภาวะกระดูกบางแล้วก็เปราะหักง่าย ถ้ามิได้รับการดูแลและรักษาอย่างทันการก็บางครั้งอาจจะเสียชีวิตได้
- กลุ่มบุคคลที่เสี่ยงที่จะเกิดโรคไตเรื้อรัง
- ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
- ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
- คนที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
- ผู้ที่กินยาบางชนิดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆเกินความจำเป็น ยกตัวอย่างเช่น ยาปฏิชีวนะบางประเภท ดังเช่นว่า Tetacyclines, Amphoteracin B ฯลฯ และยาพารา เป็นต้นว่า ยากลุ่ม NSAIDs, Acitaminophen Salieylates เป็นต้น
- กระบวนการรักษาโรคไตเรื้อรัง การวิเคราะห์โรคไตเรื้อรังประกอบด้วยดังนี้ การวัดอัตราการกรองของไตโดยใช้สูตร Cockcroft-gault หรือสูตร Modification of Diet in Renal Disease (MDRD) การประมาณจำนวนโปรตีนในฉี่ โดยใช้แถบตรวจฉี่ (Dipstick Test) เมื่อแถบตรวจตรวจวัดผลประโยชน์ 1 บวกขึ้นไป ควรจะตรวจฉี่ยืนยันจำนวนโปรตีนด้วยการประมาณค่ารูปร่างของโปรตีนต่อครีเอตินิน การตรวจอื่นๆด้วยการตรวจขี้ตะกอนเยี่ยว (Urine Sediment)
หรือใช้แถบ ตรวจวัดหาเม็ดเลือดแดง รวมทั้งเม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อดูว่ามีการตัน มีนิ่ว รวมทั้งมี Polycystic Kidney Disease แล้วก็ยังมีการวิเคราะห์แยกโรคที่ทำเป็นทางคลินิกจากอาการแล้วก็อาการแสดงของโรค และตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine รวมทั้งระดับฮอร์โมนไทรอยด์อื่นๆแนวทางการทำงานของตับ รวมถึง X-ray หัวใจ และก็ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ
การดูแลและรักษาไตวายเรื้อรัง หากสงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะส่งคนไข้ไปโรงหมอเพื่อกระทำตรวจฉี่ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆและก็บางรายบางทีอาจจำเป็นต้องทำการเจาะเก็บเยื่อจากไตเพื่อส่งไปตรวจด้วย โดยการดูแลรักษานั้นจะแบ่งออกเป็น 2 ช่วงใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วยเป็นโรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องทำการรักษา แต่จะต้องมาเจอหมอเพื่อตรวจทานค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งแพทย์อาจนัดมาตรวจทุก 3 เดือน หรือบางทีอาจนัดมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดหากค่าประเมินอัตราการกรองของไตน้อยลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) และโรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตดำเนินงานน้อยลงเป็นอย่างมาก คนเจ็บจำเป็นต้องได้รับการดูแลและรักษาหลายๆวิธีร่วมกันเพื่อช่วยเหลืออาการให้อยู่ในระดับคงเดิมเพื่อรอคอยการปลูกถ่ายไต และการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งออกเป็น
การดูแลและรักษาที่ต้นสายปลายเหตุ ถ้าคนเจ็บมีต้นสายปลายเหตุเด่นชัด แพทย์จะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ ให้ยาควบคุมเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ ยิ่งไปกว่านี้ยังจำต้องรักษาสภาวะแตกต่างจากปกติต่างๆที่มีต้นเหตุมาจากสภาวะไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับคนเจ็บไตวายเรื้อระยะด้านหลัง (มักมีระดับยูเรียไนโตรเจนแล้วก็ระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 แล้วก็ 10 มก./ดล. ตามลำดับ) การดูแลและรักษาด้วยยาจะไม่ได้ผล คนไข้ต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยถูล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ร่วมกันหลายแนวทาง ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แม้กระนั้นก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างแพงอยู่ ทั้งนี้การจะเลือกล้างไตด้วยแนวทางใดนั้นก็ขึ้นกับดุลยพินิจของหมอเป็นหลัก เพราะเหตุว่าการล้างไตจะส่งผลข้างเคียงหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนหัว หน้ามืด อาเจียน ทั้งการล้างไตบางแนวทางอาจไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคนป่วยอีกด้วย ด้วยเหตุนี้ ก็เลยจำต้องให้หมอเป็นผู้วินิจฉัยรวมทั้งตัดสินใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะกับคนป่วยสูงที่สุด)
การเปลี่ยนถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนเจ็บโรคไตเรื้อรังระยะด้านหลังบางราย แพทย์อาจไตร่ตรองให้การรักษาโดยใช้การผ่าตัดเปลี่ยนถ่ายไต ซึ่งแนวทางแบบนี้ถือได้ว่าเป็นแนวทางที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากว่าถ้าหากการปลูกถ่ายไตได้ประสิทธิภาพที่ดีก็จะสามารถช่วยให้ผู้เจ็บป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนธรรมดาแล้วก็แก่ได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป แต่ การปลูกถ่ายไตก็เป็นกระบวนการรักษาที่มีความยุ่งยากซับซ้อนหลายประการ มีราคาแพง แล้วก็ต้องหาไตจากพี่น้องสายตรงหรือผู้สงเคราะห์ที่มีไตเข้ากับเนื้อเยื่อของคนป่วยได้ ซึ่งไม่ใช้ว่าจะง่าย ทั้งปริมาณของไตที่ได้รับการให้ทานก็ยังมีน้อยกว่าคนที่รอคอยรับการให้ทาน ผู้ป่วยก็เลยอาจจำเป็นต้องทำความสะอาดโดยการล้างไตถัดไปเรื่อยๆกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้จะได้รับการล้างไตแล้ว แม้กระนั้นอาการของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งคนป่วยจะต้องได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเท่านั้น) นอกจากนี้ คราวหลังการเปลี่ยนถ่ายไต คนป่วยต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานแต่ละวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต้านทานไตใหม่
- การติดต่อของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากสภาวะที่ไตปฏิบัติงานผิดปกติและก็เป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและก็จากสัตว์สู่คน
- การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะติดตามการดูแลและรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด ควรรับประทานยาและก็กระทำตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด ไม่สมควรปรับปริมาณยาเอง หรือซื้อยารับประทานเอง เพราะเหตุว่ายาบางอย่างอาจมีพิษต่อไตได้ ยิ่งไปกว่านี้ คนป่วยควรปฏิบัติตัว ดังนี้
- จำกัดปริมาณโปรตีนที่รับประทานไม่เกินวันละ ๔๐ กรัม โดยลดจำนวนของ ไข่ นม แล้วก็เนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ ๑ ฟอง มีโปรตีน ๖-๘ กรัม นมสด ๑ ถ้วยมีโปรตีน ๘ กรัม เนื้อสัตว์ ๑ ขีด มีโปรตีน ๒๓ กรัม) แล้วก็กินข้าว ธัญญาหาร ผักแล้วก็ผลไม้ให้มากเพิ่มขึ้น
- จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณฉี่ต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ราว ๘๐๐ มล./วัน) อย่างเช่น ถ้าหากคนไข้มีฉี่ ๖๐๐ มิลลิลิตร/วัน น้ำที่ควรได้รับเท่ากับ ๖๐๐ มล. + ๘๐๐ มล. (รวมเป็น ๑,๔๐๐ มิลลิลิตร/วัน)
- จำกัดจำนวนโซเดียมที่กิน หากมีลักษณะบวมหรือมีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน ควรงดของกินเค็ม งดเว้นใช้เครื่องปรุง (ได้แก่ น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกประเภท) ผงชูรส สารกันบูด อาหารที่ใส่ผงฟู (ตัวอย่างเช่น ขนมปังข้าวสาลี) อาหารบรรจุกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาแดก ของดอง หนำเลี๊ยบ)
- จำกัดจำนวนโพแทสเซียมที่กิน ถ้าหากมีปัสสาวะน้อยกว่า ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน ควรเลี่ยงของกินที่มีโพแทสเซียมสูง อย่างเช่น ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะตอ มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ ฯลฯ
ในรายที่หรูหราความดันโลหิตสูง ควรจะลดความดันเลือดให้อยู่ในเกณฑ์น้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการทานอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย และก็กินยาตามที่แพทย์ชี้แนะอย่างสม่ำเสมอ ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคเบาหวาน ร่วมด้วยควรควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงปกติ โดยเฉพาะในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังระยะต้นๆจึงจะสามารถป้องกันหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ คนป่วยควรได้รับการดูแลรักษาโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย เช่น รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินเยี่ยว รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น นอกเหนือจากนี้คนป่วยโรคไตเรื้อรังควรจะได้รับการวิเคราะห์เลือดรวมทั้งฉี่เป็นระยะ เพื่อประเมินลักษณะการทำงานของไต แล้วก็รักษาผลแทรกฝึกซ้อมที่เกิดขึ้นมาจากโรคไตเรื้อรัง
- การคุ้มครองตัวเองจากโรคไตเรื้อรัง ตรวจเช็กดูว่า เป็นความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และโรคเกาต์ หรือเปล่า ถ้าเป็นจะต้องรักษาอย่างเอาจริงเอาจังแล้วก็ตลอดจนสามารถควบคุมระดับความดันเลือด ระดับน้ำตาลรวมทั้งกรดยูริกในเลือดให้เข้าขั้นปกติ เมื่อเป็นโรคติดโรคฟุตบาทฉี่ (ดังเช่น) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แขนวมไตอับเสบ) หรือมีภาวการณ์อุดกันทางเท้าฉี่ (ยกตัวอย่างเช่น นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) จะต้องทำรักษาให้หายสนิท ควรจะรับการตรวจสุขภาพอย่างต่ำปีละครั้ง รวมถึงการวิเคราะห์เลือดแล้วก็ฉี่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง เลี่ยงการรับประทานอาหารรสเค็ม หลีกเลี่ยงการใช้ยาและสารที่มีพิษต่อไต ต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆ ไตจะเสื่อมสมรรถภาพจนกระทั่งเป็นไตวายได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาพาราข้อปวดกระดูก ยาชุด ยาหม้อ รวมทั้งยาปฏิชีวนะบางประเภท หลบหลีกผู้กระทำลั้นฉี่นานๆเพราะเหตุว่าทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะ และก็เกิดการอักเสบ เลี่ยงการสูบยาสูบ
- สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/บำรุงไต กระเจี๊ยบแดง ส่วนที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรฟอกโลหิตบำรุงไตให้เน้นย้ำไปที่ดอกสีแดงสด ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ขับฉี่ บำรุงเลือด แก้โรคนิ่วในไต ใบบัวบก ใบบัวบกถือว่าเป็นประโยชน์โดยตรงสำหรับคนที่เป็นโรคไต เพราะว่ามีสารสำคัญหลายอย่างที่เกี่ยวกับระบบโลหิตโดยตรง ดังเช่น ตรีเตอพีนอยด์(อะสิเอตำหนิโคไซ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพสำหรับในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของฝาผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังเส้นเลือดมีความหยืดหยุ่นเพื่มมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วยลดความดันเลือดสูง ใบบัวบกจึงมีคุณประโยชน์ในการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ในผู้เจ็บป่วยโรคไตได้เป็นอย่างดี คนที่กินน้ำใบบัวบกนอกเหนือจากการที่จะไม่เครียดแล้วยังช่วยขยายเส้นโลหิตนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในเส้นเลือดฝอยมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายจะสามารถจับออกซิเจนอิสระได้เยอะขึ้น ทำให้เลือดสะอาด เป็นการฟอกเลือดไปในตัว เห็ดหลินจือ คุณครูแผนกแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือมาทดลองรักษาคนเจ็บโรคไต ปรากฏว่าช่วยลดปริมาณไข่ขาวในเยี่ยวได้ และก็ช่วยชะลออาการไตเสื่อมก้าวหน้า ปัญหาของคนเจ็บโรคไต คือจะมีสารที่ก่อกำเนิดการอักเสบจะลดลดลง จากการศึกษาพบว่าเห็ดหลินจือ ช่วยลดการอักเสบของเยื้อเยื่อภายในร่างกายได้ น้ำขิงร้อนๆใช้เป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้อย่างยอดเยี่ยม สำหรับผู้ที่เป็นโรคไตดื่มเสมอๆจะดี ดื่มเพื่อบำรุงไต เพราะเหตุว่าช่วยลดการอักเสบภายใน ตลอดจนเป็นยาขับฉี่อ่อนๆช่วยขับเยี่ยวที่คั่งค้างอยู่ข้างใน สลายนิ่วแล้วก็สิ่งตัน ช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ตลอดจนช่วยกำจัดพิษที่หลงเหลือได้ เก๋ากี้ฉ่าย ผู้ที่มีความดันเลือดสูงดื่มบ่อยๆจะช่วยลดระดับความดันเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง สำหรับคนป่วยโรคไต ชาเก๋ากี้จะช่วยลดภาระหน้าที่ให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสโลหิต ช่วยดูดซับน้ำตาล ช่วยขับปัสสาวะ ชะลอการเสื่อมของไต
เอกสารอ้างอิง- Porth, C. M. (2009). Disoder ot renal function. In C.M. Porth., G. Matfin, PathophysiologyConcept of Altered Health Status (8th ed., pp. 855-874). Philadelphia: Wolters Kluwer Health Lippincott Williams & Wilkins.
- K/DOQI clinical practice guidelines on hypertension and antihypertensive agents in chronickidney disease. Am J Kidney Dis 2004; 43:S1.
- ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ. Patient with chronic kidney diseases. ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
- ศศิธร ชิดนายี.(2550).การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไดรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม.กรุงเทพฯ:ธนาเพรส
- ธนนท์ ศุข.ไตวายเรื้อรังป้องกันได้!.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 295.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.พฤศจิกายน.2547
- Ong-Ajyooth L, Vareesangthip K, Khonputsa P, Aekplakorn W.Prevalence of chronic kidney disease in Thai adults: a national health survey. BMC Nephrol 2009;10:35.
- National Kidney Foundation, (2002). K/DOQI Clinical Practice Guideline for chronic kidney disease: Evaluation, classification, and stratification. Retrieved October 15, 2009, from http://www. kidney.or/kdoqi/guideline-ckd/toc.htm. http://www.disthai.com/[/b]
- Chobanian AV, Bakris GL, Black HR, Cushman et al. The Seventh Report of the Joint NationalCommittee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure: The JNC 7 R