Advertisement
อหิวาต์ (Cholera)- อหิวาตกโรค คืออะไร อหิวาตกโรคมีชื่อเรียกหลายชื่อด้วยกัน ได้แก่ โรคอหิวาต์, โรคอุจจาระร่วงอย่างแรง, โรคลงราก หรือโรคห่า (Cholera) เป็นโรคติดต่อที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ไปสู่ร่างกายโดยการรับประทานเข้าไป เชื้อจะไปอยู่รอบๆลำไส้ และจะสร้างพิษออกมา ทำปฏิกิริยากับเยื่อบุผนังลำไส้เล็ก นำมาซึ่งอาการท้องเสียอย่างยิ่ง
เริ่มด้วยอาการอุจจาระเป็นน้ำเป็นอย่างมากโดยไม่มีลักษณะของการปวดท้อง บางรายอุจจาระขาวขุ่นเสมือนน้ำแช่ข้าว บางทีมีคลื่นไส้ คลื่นไส้ สูญเสียน้ำอย่างเร็วกระทั่งเกิดภาวะเป็นกรดในเลือด และการไหลเวียนโลหิตล้มเหลว คร่าวๆ 1 ใน 10 หรือคิดเป็นร้อยละ 5-10 ของคนไข้ทั้งสิ้น จะมีอาการร้ายแรง ได้แก่ ถ่ายเหลวเป็นน้ำมาก อ้วก ส่งผลให้ร่างกายสูญเสียน้ำรวมทั้งเกลือแร่อย่างเร็วและก็นำมาซึ่งการก่อให้เกิดภาวการณ์ขาดน้ำรวมทั้งช็อคได้ ถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษา คนป่วยสามารถเสียชีวิตข้างในไม่กี่ชั่วโมง
อหิวาต์พบเกิดได้ในทุกอายุตั้งแต่เด็กไปจนกระทั่งคนสูงอายุ ผู้หญิงรวมทั้งผู้ชายมีโอกาสเกิดโรคได้เสมอกัน เป็นโรคพบบ่อยในประเทศยังไม่พัฒนา ซึ่งเกิดขึ้นตลอดทั้งปีและก็มีการระบาด เป็นบางครั้งบางคราวเสมอ ทั่วทั้งโลกพบโรคนี้ได้ราว 3 - 5 ล้านคนต่อปี รวมทั้งอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ในปี 2553 ประมาณ 58,000 - 130,000 คน ส่วนในประเทศไทยรายงานจากสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุข เหตุการณ์อหิวาตก โรคที่มีสาเหตุเนื่องมาจาก 1 ม.ค. พ.ศ. 2555 ถึง 18 เดือนกันยายน ปีเดียวกัน พบโรคนี้ที่วิเคราะห์ได้แน่ๆคิดเป็น 0.05 รายต่อประชากร 1 แสนคน ในช่วง 10 ปีที่ล่วงเลยไปทางกระทรวงสาธารณสุขของไทยเรียกโรคนี้ว่า "โรคอุจจาระตกอย่างแรง" โดยอาศัยอาการรวมทั้งคุณลักษณะของเชื้อที่เป็นต้นเหตุการระบาดในประเทศไทยว่า มีต้นเหตุจากเชื้อ Vibrio cholerae O1 ไบโอไทป์ El Tor ซึ่งแทบจะไม่พบสาเหตุที่เกิดจาก V. cholerae ไบโอไทป์ classical.เลย
- ที่มาของอหิวาตกโรค อหิวาต์มีต้นเหตุจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรีย แกรมลบที่มีชื่อว่า “วิบริโอคอเลอเร” (Vibrio cholerae) ซึ่งมีอยู่ร่วมกันหลายกรุ๊ปหลายแบบซึ่งแบคทีเรียประเภทนี้ เป็นแบคทีเรียในเชื้อสาย Vibrionaceae มีรูปร่างเป็นแท่งงอเหมือนกล้วยหอม มี flagella ที่ปลาย 1 เส้น ติดสีกรัมลบ ขยับเขยื้อนได้รวดเร็วทันใจ ไม่สร้างสปอร์ ไม่อยากออกซิเจน มีน้ำย่อย oxidase สามารถหมักน้ำตาลเดกซ์โทรส ซูโครส และมานิทอลได้ ให้ผลลบต่อไลซีนแล้วก็ การทดสอบออนิทีนคาร์บอกซิเลส. เชื้อ V. cholerae จะมีรูปร่างกลมขณะที่อยู่ภายในสิ่งแวดล้อมในระยะพัก เมื่อสภาพแวดล้อมเหมาะสมจะปรับพฤติกรรมเป็น active form รูปร่างยาว. การแบ่งกรุ๊ปของเชื้ออาศัย O antigen สามารถแบ่งกลุ่มต่างๆได้มากกว่า 200 ซีโรกรุ๊ป เชื้อ Vibrio cholerae serogroup O(โอ)1ที่เป็นต้นเหตุของอหิวาตกจากโรค มี 2 biotypes คือ classical รวมทั้ง El Tor แต่ละ biotype แบ่งออกได้เป็น 3 serotypes คือ Inaba, Ogawa และ Hikojima เชื้อพวกนี้จะสร้างพิษเรียกว่า Cholera toxin ก่อให้เกิดอาการป่วยคล้ายคลึงกัน ปัจจุบันนี้พบว่าการระบาดจำนวนมากมีสาเหตุจากเชื้อ biotype El Tor เป็นหลักแทบจะไม่เจอ biotype classical เลย ในปี พ.ศ. 2535-2536 มีการระบาดครั้งใหญ่ในอินเดียรวมทั้งบังคลาเทศสาเหตุเกิดขึ้นจากเชื้อสายพันธุ์ใหม่เป็น Vibrio cholerae O139 ด้วยเหตุดังกล่าวในตอนนี้ ซีโรกลุ่ม O1 และ O139 เป็นกลุ่มที่มีความสำคัญทำให้มีการเกิดการระบาดได้. ส่วนซีโรกลุ่มอื่น (non-O1, non-O139) อาจจะส่งผลให้กำเนิดอาการอุจจาระหล่นได้แม้กระนั้นไม่พบว่านำมาซึ่งการระบาดของโรค.
แบคทีเรีย V.cholerae ถูกรายงานหนแรก ในปี ค.ศ.1854 ที่เมืองฟลอเรนซ์ (Florence) ประเทศอิตาลี โดย Pacini ได้ตรวจเจอแบคทีเรีย รูปร่างโค้งงอไม่น้อยเลยทีเดียวในลำไส้คนไข้ แล้วให้ชื่อว่า Vibrio cholera แต่การค้นพบครั้งนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับกระทั่งกระทั่ว Robert Koch ได้เรียนรู้คนป่วยชาวอียิปติ ในปี ค.ศ.1883 และตรวจเจอเชื้อแบคทีเรียรูปร่างคล้ายตัวเขียน comma และสามารถแยกเชื้อบริสุทธิ์ จึงตั้งชื่อว่า Kommabazillen แม้กระนั้นถัดมากลายเป็น Vibrio comma รวมทั้งใช้มีชื่อเสียงกล่าวมาหลายสิบปี จนกระทั่วคณะทำงานในกรุ๊ปของ Pacini ได้เปลี่ยนแปลงชื่ออีกรอบเป็น Vibrio cholera จากประวัติเริ่มแรก พบว่าดรคนี้มีมาตั้งแต่ก่อนปี คริสต์ศักราช1800 หรือก่อนศตวรรษที่ 19 สันนิษฐานว่าจุดเริ่มมาจากแม่น้ำคงคา รวมทั้งแม่น้ำพรหมบุตร ในประเทศประเทศอินเดีย ส่วนความหมายของ cholera ได้รับอิทธิพลมาจากภาษากรีก คือ ‘bilious’ มีความหมายว่า เกี่ยวกับน้ำดี การระบาดใหญ่ทั้งโลกเจอครั้งแรกเมื่อ คริสต์ศักราช1817 ตราบจนกระทั่ง ค.ศ.1923 รวม 6 ครั้ง มีเหตุมาจาก Vibrio cholerae serogroup O1 biotype Classical สิ้นปี คริสต์ศักราช1992 เกิดโรคระบาดใหญ่คล้ายอหิวาต์อีกครั้งในทางตอนใต้และก็ตะวันออกของอินเดีย รวมทั้งบังคลเทศ ลักษณะเชื้อคล้ายกับ V.cholerae serogroup O1 biotype El Tor แต่ว่าไม่ตกตะกอนกับ antiserum ทั้งยัง 138 serogroup ที่มีอยู่เดิม จึงจัดให้เป็น V.cholerae สายพันธุ์ใหม่ serogroup O139 หรือ V.cholerae Bengal.
อาการของอหิวาตกโรค คนที่ติดเชื้อแต่ละคน บางทีอาจแสดงอาการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับจำนวนเชื้อที่ได้รับและก็ความต้านทานทางของแต่ละบุคคล ระยะฟักตัวของเชื้อราว 1-5 วัน อาการที่เห็นได้ชัด อาทิเช่น อุจจาระร่วง ลักษณะอุจจาระในระยะเริ่มต้นมักมีเศษอาหารคละเคล้าอยู่ ต่อมามีลักษณะอาการถ่ายเป็นน้ำคล้ายน้ำแช่ข้าว มีกลิ่นคาว ถ้าหากถ่ายนานๆอาจมีน้ำดีปนออกมาด้วย อุจจาระไม่มีมูกเลือด คนไข้อาจมีคลื่นไส้ร่วมด้วย ส่วนอาการปวดท้องและก็มีไข้ไม่ค่อยเจอ ในรายที่อาการไม่รุนแรงมักมีอาการคล้ายกับของโรคติดเชื้อในลำไส้จากเชื้อต่างๆดังเช่นว่า Salmonella, Shigella และ Escherichia coli เป็นต้น แม้เป็นอย่างไม่ร้ายแรง พวกนี้มักหายด้านใน 24 ชั่วโมง หรืออย่างช้า 5 วัน มีอาการขี้เหลวเป็นน้ำ วันละหลายที แต่จำนวนอุจจาระไม่เกินวันละ 1 ลิตร ในผู้ใหญ่อาจมีเจ็บท้องหรือ คลื่นไส้อาเจียนได้ ในรายที่อาการร้ายแรง จะพบสภาวะร่างกายขาดสารน้ำรวมทั้งแร่ธาตุ ทำให้หมดแรง อยากกินน้ำ เป็นตะคิว เสียงแหบ แก้มตอบ เบ้าตาลึก ผิวหนังและก็เยื่อเมือกต่างๆแห้ง มือและนิ้วเหี่ยวย่น ตัวเย็น ชีพจรเบาตราบจนกระทั่งจับมิได้ เลือดข้น มีความเป็นกรดในเลือดสูง ความดันเลือดต่ำ ลักษณะนี้ถ้าให้การรักษาไม่ถูกจะต้องและทันท่วงที คนป่วยอาจช็อก ไตวายอย่างกระทันหัน เป็นต้นเหตุให้เสียชีวิตได้รวดเร็ว อาการอุจจาระหล่นและอ้วกอาจจะก่อให้คนไข้สูญเสียน้ำไปมากกว่า 1 ลิตรต่อชั่วโมง หรือ 10-15 ลิตรต่อวัน (ร่างกายของคนเรามีน้ำโดยประมาณ 20-40 ลิตร) อุจจาระของผู้ป่วยจะประกอบด้วย epithelial cell, mucosa cell อีเลคโตรไลท์ แล้วก็เชื้อ V.cholerae ประมาณ 10-10 ต่อมิลลิลิตร รูปทรง ผู้ติดโรค biotype Classical และ biotype El Tor ที่ออกอาการประเภทร้ายแรงต่อประเภทไม่ รุนแรงพอๆกับ 1:5-1:10 รวมทั้ง 1:25-1:100 ตามลำดับ
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำไปสู่อหิวาต์แบคทีเรียวิบริโอ โคเลอรี หรือเชื้ออหิวาต์ พบมากในอาหารหรือน้ำที่ปนเปื้อนสิ่งสกปรกหรืออุจจาระของคนซึ่งมีเชื้อนี้อยู่ในนั้น โดยเหตุนั้นสาเหตุที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้วก็แพร่ระบาดของโรคก็เลยมักมาจากน้ำ อาหารบางจำพวก และก็ต้นสายปลายเหตุอื่นๆดังรายละเอียดตั้งแต่นี้ต่อไป
แหล่งน้ำ เชื้ออหิวาต์สามารถลอยอยู่บนผิวน้ำได้เป็นระยะเวลานาน โดยแหล่งน้ำสาธารณะที่ได้รับการปนเปื้อนจากเชื้อแบคทีเรียประเภทนี้นับว่าเป็นแหล่งแพร่ระบาดของโรคชั้นยอด ผู้ที่อาศัยอยู่ในชุมชนแออัดและก็ไม่มีการจัดการด้านเขตสุขาภิบาลที่ดีอย่างพอเพียงก็เลยเสี่ยงมีอาการป่วยด้วยอหิวาต์ได้
อาหารทะเล การกินอาหารสมุทรดิบหรือเปล่าได้ปรุงสุก โดยยิ่งไปกว่านั้นอาหารทะเลประเภทหอย ซึ่งเกิดในแหล่งน้ำที่น้ำแปดเปื้อนพิษนั้น จะทำให้ร่างกายได้รับเชื้ออหิวาต์
ผักแล้วก็ผลไม้สด พื้นที่ที่อหิวาตกโรคระบาดในท้องถิ่นนั้น ผักรวมทั้งผลไม้สดที่มิได้ปอกเปลือกมักเป็นแหล่งเพาะเชื้ออหิวาตกโรค สำหรับประเทศกำลังพัฒนาที่มีการใช้ปุ๋ยหมักที่ไม่ได้หมักหรือแหล่งน้ำเน่า ผลิตภัณฑ์ที่ปลูกบางทีอาจแปดเปื้อนเชื้ออหิวาตกโรคได้
ธัญพืชต่างๆสำหรับพื้นที่ที่อหิวาตกโรคระบาดนั้น การทำอาหารด้วยธัญพืชอย่างข้าวหรือข้าวฟ่างอาจได้รับเชื้อ
อหิวาตกโรคปนเปื้อนภายหลังปรุงเสร็จ แล้วก็เชื้อจะอยู่ในของกินอีกหลายชั่วโมงที่อุณหภูมิระดับห้อง โดยเชื้อที่ยังคงอยู่จะกลายเป็นพาหะทำให้มีการเกิดการเติบโตของของเชื้ออหิวาต์
การจัดการสุขาภิบาลไม่ดี เนื่องมาจากอหิวาต์จะเกิดการติดโรคและก็แพร่ระบาดผ่านทางทะเล ถ้าพื้นที่ใดมีการจัดแจงระบบสุขาภิบาลไม่ดี ก็จะก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคได้ง่าย เช่น ในค่ายลี้ภัย ประเทศหรือพื้นที่ที่เจอสภาวะยากจน ขาดอาหาร เกิดการสู้รบ หรือได้รับภัยทางธรรมชาติ อื่นๆอีกมากมาย
ภาวการณ์ไม่มีกรดในกระเพาะ (Hypochlorhydria/Chlorhydria) เนื่องแต่เชื้ออหิวาต์ไม่สามารถอยู่ได้ในภาวการณ์ที่มีกรด ด้วยเหตุผลดังกล่าว กรดในกระเพาะของมนุษย์ถือเป็นด่านกำแพงชั้นแรกที่ช่วยคุ้มครองไม่ให้ร่างกายติดเชื้อแบคทีเรียชนิดนี้ แต่ว่าสำหรับผู้ที่มีกรดในกระเพาะต่ำ อย่างเด็ก คนวัยชรา หรือคนที่ใช้ยาลดกรดหรือยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร จะไม่มีกรดมาป้องกันเชื้ออหิวาตกโรค ก็เลยเสี่ยงเป็นอหิวาต์ได้สูงยิ่งกว่าคนปกติทั่วไป
การอยู่ร่วมกับผู้ที่มีอาการป่วยเป็นอหิวาตกโรค ผู้ที่อาศัยอยู่ร่วมกับคนที่มีอาการป่วยเป็นอหิวาตกโรคมีแนวโน้มเสี่ยงเป็นโรคนี้ได้
กรรมวิธีรักษาอหิวาต์ แพทย์สามารถวินิจฉัยอหิวาต์ได้จากประวัติความเป็นมาอาการ ความเป็นมาสัมผัสโรค ลักษณะอุจจาระ (วิเคราะห์ทางสถานพยาบาล) การตรวจอุจจาระ รวมทั้งการเพาะเชื้อจากอุจจาระดังนี้
การวินิจฉัยทางคลินิก อาศัยเรื่องราว อาการ และก็อาการแสดง แล้วก็ลักษณะอุจจาระ. ในถิ่นที่มีการระบาดเมื่อมีคนป่วยอุจจาระร่วงอย่างแรงร่วมกับอาการของภาวการณ์ขาดน้ำอย่างรวดเร็วรุนแรง ให้สงสัยว่าคนไข้ เป็นอหิวาต์ไว้ก่อน.
การวิเคราะห์ทางห้องทดลอง ทำเป็นโดยตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์ จะไม่เจอเม็ดเลือดแดงและก็เม็ดเลือดขาว ถ้าใช้ dark-field microscope จะเห็นเชื้อ V. cholerae ขยับเขยื้อนอย่างรวดเร็วไปทางเดียว กันแบบดาวตก (shooting star หรือ darting). หากมี antisera ต่อ V. cholerae O1 หรือ O139 หยดลงในอุจจาระ เชื้อจะหยุดเคลื่อนไหวในทันที น่าจะเป็น V. cholerae O1 หรือ O139 ซึ่งทำเป็นเร็ว แม้กระนั้นแนวทางลักษณะนี้ยังมีความไวและก็ความจำเพาะไม่ดีนัก.
การตรวจยืนยันด้วยการเพาะเชื้อจากอุจจาระเห็นผลแน่นอนที่สุด ควรเก็บตัวอย่างอุจจาระใน Cary-Blair transport medium ซึ่งเก็บได้นานถึง 7 วัน. การเพาะเชื้อจะใช้ใน thiosulphate citrate bile salt sucrose (TCBS) agar เชื้อขึ้นเจริญ. ห้องปฏิบัติการบางแห่งจะแยกเชื้อใน alkaline peptone water ด้วยเชื้อที่เพาะได้จะถูกทดสอบความไวของยาและทดสอบว่าเป็น V. cholerae O1 หรือ O139 การตรวจหาสายกรรมพันธุ์ ด้วย poly chain reaction (PCR) หรือ DNA probe มีความไวสูง รวมทั้งบางทีอาจรับรองว่า เชื้อมียีนก่อโรคหรือเปล่าด้วย
นอกนั้นในปัจจุบันยังมีวิธีการวิเคราะห์ใหม่ๆอาทิเช่น เคล็ดวิธีคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอาร์ (Polymerase Chain Reaction: PCR) วิธีนี้เป็นการสังเคราะห์องค์ประกอบดีเอ็นเอในหลอดทดลอง ซึ่งถูกคิดค้นและก็ปรับปรุงขึ้นเพื่อนำมาตรวจชื้ออหิวาตกโรคด้วย อย่างไรก็ดี เทคนิคพีซีอาร์ยังมิได้ประยุกต์ใช้ในฐานะการตรวจแอนติบอดี้ในเลือดอย่างมากมายในขณะนี้นัก การตรวจด้วยแถบตรวจอหิวาตกโรค วิธีนี้เหมาะกับคนที่อยู่ภายในเขตพื้นที่ทุรกันดาร ไม่สามารถที่จะเข้ารับการวิเคราะห์ด้วยแนวทางตรวจแบบอย่างอุจจาระได้ โดยคนเจ็บจะรู้ผลการวิเคราะห์ได้ก่อนจากแถบตรวจดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ทำให้สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคในพื้นที่ที่เกิดการระบาดของอหิวาต์และก็ส่งผลให้เกิดการให้ความช่วยเหลือเกื้อกูลจากกรุ๊ปสาธารณสุขเพื่อควบคุมการระบาดของโรคต่อไป อย่างไรก็ตาม การตรวจด้วยแถบวัดนี้อาจไม่แม่นยำเสียทีเดียว แนวทางวิเคราะห์ที่เที่ยงตรงที่สุดเป็นการตรวจตัวอย่างอุจจาระคนไข้ ซึ่งทำการตรวจในห้องทดลองด้วยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น
การดูแลรักษาคนป่วยอหิวาต์ที่ถูกและก็ได้ผลคือ การทดแทนน้ำแล้วก็เกลือแร่ที่สูญเสียไปกับอุจจาระ และก็คลื่นไส้ ด้วยปริมาณที่สมควรรวมทั้งตรงเวลาในเรื่องที่คนไข้ยังกินได้ควรให้ดื่มทางปาก แต่ว่าถ้าหากมิได้ควรจะให้ทางเส้นโลหิต ในปริมาณที่เท่ากันกับปริมาณน้ำที่สูญเสียไปโดยประมาณเป็น จำนวนร้อยละ 5 ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลในรายที่เป็นน้อยปริมาณร้อยละ 7 ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมในรายที่มีอาการปานกลาง แล้วก็จำนวนร้อยละ 10 ในคนป่วยมีอาการช็อค ควรให้น้ำเกลือ isotonic ทางเส้นเลือดในทันที น้ำเกลือควรจะมีไบคาร์บอเนต (อะสิเตรต หรือแล็กเตตไอออน) 24-48 ไม่ลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตร และ 10-15 ไม่ลลิอิควิวาเลนต์ต่อลิตรของโปแตสเซียม ซึ่งทางองค์การอนามัยโลกเสนอแนะให้ใช้ Ringer’s lactate solution ในเด็กให้เป็นสารละลาย 2 ประเภทผสมกันในอัตราส่วน 2:1เป็นisotonic salution : isotonic sodium lactate (1/6 โมลาร์) หรือ isotonic sodium bicarbonate ส่วนน้ำตาลเกลือแร่ที่ดื่มนั้น ปัจจุบันนี้ทางองค์การอนามัยโลกให้ใช้สารละลายที่เรียกกว่า oral rehydration solution (ORS) ซึ่งในส่วนประกอบของ ORS จะให้จำนวนของอีเลคโตรไลท์ครบจากที่ร่างกายอยากได้หมายถึงNa 90, K 20, CI 80 และก็ HCO3 30 mEq/L อย่างไรก็ตามการกำจัดเชื้อให้หมดจากอุจจาระนั้น ควรจะให้ยาปฏิชีวนะสำหรับเพื่อการรักษาร่วมเพื่อลดระยะเวลาการป่วยให้สั้นลงรวมทั้งเป็นการลดแหล่งแพร่เชื้อด้วย
ควรใช้ข้อมูลการเฝ้าระวังการดื้อยาของเชื้อทางห้องปฏิบัติการเพื่อทราบแนวโน้มการดื้อยาประกอบกิจการตรึกตรอง เพื่อคุ้มครองการแพร่ระบาดของเชื้อดื้อยา ในขณะนี้สามารถเลือกใช้ยาที่เหมาะสม (First drug of choice) ในรายที่อาการรุนแรงให้พิเคราะห์สำหรับในการรักษาโดยให้ยาปฏิชีวนะ tetracycline หรือยาปฏิชีวนะตัวอื่นๆจะช่วยลดระยะของโรคให้สั้นลง ลดการสูญเสียน้ำ ตลอดจนลดระยะของการแพร่เชื้อลง
ยาปฏิชีวนะองค์การอนามัยโลกให้คำปรึกษาการดูแลรักษาเป็น
เด็กอายุต่ำยิ่งกว่า 8 ปี ให้ Norfloxacin 20 มก/กก/วัน นาน 3 วัน
เด็กอายุมากกว่า 8 ปี ให้ Tetracycline 30 มก/กก/วัน นาน 3 วัน ในผู้ใหญ่ให้
Tetracycline ทีละ 500 มก.วันละ 4 ครั้ง นาน 3 วันหรือ
Doxycycline ทีละ 100 มิลลิกรัมวันละ 2 ครั้ง นาน 3 วันหรือ
Norfloxacin ครั้งละ 400 มก. วันละ 2 ครั้ง นาน 3 วัน (กรณีเชื้อซุกซนต่อ Tetracycline)
- การติดต่อของอหิวาต์ การติดต่อ อหิวาต์เป็นโรคติดต่อเร็ว รุนแรง และก็ก่อการระบาดได้อย่างเร็ว เชื้ออหิวาต์สามารถมีชีวิตอยู่ได้ทั้งในน้ำทะเลแล้วก็น้ำจืด คนเป็นแหล่งเก็บกักที่สำคัญของเชื้อประเภทนี้ โดยเชื้อโรคจะอยู่ในอุจจาระของผู้ติดโรค (ทั้งคนไข้รวมทั้งพาหะ) เมื่อถูกถ่ายออกมาก็จะสามารถแพร่ไปไปสู่ผู้อื่นได้จากการแปดเปื้อนในแหล่งน้ำต่างๆ(ดังเช่น แม่น้ำ ลำคลอง ห้วย หนอง บ่อน้ำ) อาหาร น้ำ ภาชนะใส่อาหาร มือของผู้ติดเชื้อโรคที่ไม่ได้ล้างน้ำหลังจากถ่ายอุจจาระ สิ่งของและสิ่งแวดล้อมที่ถูกมือของผู้ติดโรคสัมผัส ทั้งนี้จะมีแมลงวันเป็นพาหะนำเชื้อ คนเราสามารถติดโรคเข้าสู่ร่างกายโดยทางใดทางหนึ่งดังต่อไปนี้
- การดื่มน้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติแบบดิบๆ
- การรับประทานอาหารหรือกินน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ ซึ่งการปนเปื้อนเชื้ออาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะข้อใดข้อหนึ่งดังนี้แมลงวัน ที่ไต่ตอมอุจจาระของผู้ติดเชื้อโรค เป็นพาหะนำเชื้อมือของผู้ติดเชื้อโรค หรือมือของคนสนิทกับผู้ติดเชื้อโรค (จากการสัมผัสมือของผู้ติดเชื้อโรค หรือสิ่งของ)ปนเปื้อนในดินหรือน้ำที่มีเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น ผักผลไม้ที่ปลูกโดยการใส่ปุ๋ยที่ทำมาจากอุจจาระคน แล้วก็ผักผลไม้ที่ล้างด้วยน้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน
- การติดต่อจากคนสู่คน (พบได้น้อยมาก) จากการสัมผัสสนิทสนม โดยการใช้มือสัมผัสถูกมือของผู้ติดโรคโดยตรง หรือจากการสัมผัสถูกสิ่งของ แล้วนำมือที่สกปรกเชื้อนั้นไปสัมผัสกับปากของตนเองโดยตรงหรือไปเปรอะถูกของกินหรือน้ำอีกต่อหนึ่ง หรือจากการสัมผัสอุจจาระของคนเจ็บหรือการเช็ดกคนป่วยอาเจียนใส่
- การติดต่อที่พบได้มาก การแพร่ระบาดของอหิวาต์มักมีต้นเหตุมาจากการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยเฉพาะอาหารทะเลที่นิยมกินกันแบบดิบๆ(ดังเช่น หอยแครง หอยแมลงภู่ ปูแสมเค็ม) ของกินที่มีแมลงวันตอม อาหารบรรจุกระป๋องที่เสียแล้ว แล้วก็น้ำแข็ง ไอศกรีมที่ปนเปื้อนเชื้อ โดยมีแมลงวันหรือมือเป็นตัวกลางสำหรับการนำพาเชื้อ
- การกระทำตนเมื่อป่วยด้วยโรคอหิวาตกโรค
- รักษาสุขอนามัย อย่างเคร่งครัด
- ล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่เสมอๆทุกครั้งก่อนรับประทานอาหาร หลังเข้าห้องน้ำ รวมทั้งหลังการดูแลคนเจ็บ
- ทำลายอุจจาระด้วยการใส่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคคลอรีนหรือตามคำแนะนำของหมอ/พยาบาล
- เสื้อผ้า เครื่องใช้สอย จำเป็นต้องซักล้างให้สะอาดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรคคลอรีนหรือน้ำต้มเดือดด้วยเหมือนกัน
- ดื่มแต่น้ำสะอาดหรือต้มสุก ของกินทุกประเภทจะต้องปรุงสุก แล้วก็บริโภคทันทีข้างหลังปรุง ไม่ทิ้งค้าง
- กินน้ำชาแก่แทนน้ำ หรืออาจจำเป็นต้องงดของกินชั่วครั้งคราว เพื่อลดการระคายเคืองในไส้
- ดื่มน้ำเกลือแร่ ORS เพื่อลดการสูญเสียน้ำภายในร่างกาย สลับกับน้ำสุกสุก ถ้าหากเป็นเด็กเล็กควรปรึกษาแพทย์
- หากท้องร่วงอย่างรุนแรง จำเป็นต้องรีบไปพบหมอโดยเร็ว
- ไปพบหมอดังที่หมอนัดอย่างเคร่งครัด
- การคุ้มครองป้องกันตนเองจากอหิวาตกโรค อหิวาต์นั้นมีต้นเหตุมาจากผู้ป่วย ทานอาหารและก็น้ำที่มีเชื้อปนเปื้อน ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรรอบคอบเรื่องของกินแล้วก็น้ำดื่ม ตลอดจนรักษาความสะอาดตามหลักสุขอนามัย ดังนี้
- ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ๆแล้วก็กินน้ำสะอาด เช่น น้ำต้มสุก ภาชนะที่ใส่ของกินควรล้างสะอาด ทุกครั้งก่อนใช้ หลีกเลี่ยงของกินหมักดอง สุกๆดิบๆของกินที่ปรุงทิ้งเอาไว้นานๆของกินที่มีแมลงวันตอม
- ระมัดระวังการกินน้ำแข็ง
- กินแต่ว่าอาหารปรุงสุกโดยเฉพาะอาหารทะเล
- ผักผลไม้จะต้องล้างให้สะอาด
- ล้างมือฟอกสบู่ให้สะอาดทุกครั้งก่อนกินอาหาร หรือก่อนทำอาหาร และก็หลังการขับถ่าย
- ไม่เทอุจจาระ ฉี่และก็สิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำลำคลอง หรือทิ้งเกลื่อนกลาดกระจัดกระจาย จำเป็นต้องถ่ายลงในส้วมที่ถูกสุขลักษณะ และกำจัดสิ่งสกปรกโดยการเผาหรือฝัง เพื่อคุ้มครองการแพร่ของเชื้อโรค
- ระวังอย่าให้น้ำเข้าปาก เมื่อลงเล่นหรืออาบน้ำในลำคลอง
- หลบหลีกการสัมผัสผู้เจ็บป่วยที่เป็นอหิวาต์
- ควบคุมแมลงวันโดยใช้มุ้งลวด พ่นยาฆ่าแมลง หรือใช้กับดัก ควบคุมการขยายพันธุ์ด้วยการเก็บและทำลายขยะโดยวิธีที่เหมาะสม
- ผู้ที่จำต้องเดินทางไปยังท้องที่ซึ่งมีความเสี่ยงในการติดเชื้อสูงบางทีอาจกินยาปฏิชีวนะ จะช่วยป้อง กันโรคได้ สำหรับระยะเวลาสั้นๆดังเช่น ภายใน 2 สัปดาห์แม้กระนั้นเชื้อบางทีอาจดื้อยาได้
- การให้วัคซีนปกป้องโรคอหิวาตกโรคในระหว่างที่มีการระบาดตอนนี้ไม่ชี้แนะให้ใช้แล้วเพราะว่าสามารถคุ้มครองปกป้องได้เพียงแค่จำนวนร้อยละ 50 และก็มีอายุสั้นเพียงแค่ 3-6 เดือน สำหรับวัคซีนประเภทกินที่ให้ภูมิต้านทานสูงต่อเชื้อหิวาตกโรค[/url]สายพันธุ์ o1 ได้นับเป็นเวลาหลายเดือนมีใช้แล้วหลายประเทศ มีสองจำพวก ชนิดแรกวัคซีนเชื้อยังมีชีวิตกินครั้งเดียว (สายพันธุ์ CVD 103-HgR) ส่วนประเภทลำดับที่สองเป็นเชื้อตายแล้วประกอบด้วยเชื้ออหิวาห์ตายแล้วกับ cholera toxin ประเภท B-subunit กิน 2 ครั้ง
- สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง/รักษาอหิวาตกโรค
เนื่องแต่อหิวาต์เป็นโรคติดต่อรวดเร็วรุนแรง แล้วก็ก่อการระบาดได้อย่างรวดเร็ว โดยมีต้นเหตุจากการได้รับเชื้ออหิวาตกโรคซึ่งอยู่ในอุจจาระของผู้เจ็บป่วย (ซึ่งแบคทีเรียสามารถอยู่ได้นานถึง 7 - 14 วัน) แล้วปนเปื้อนในของกิน น้ำดื่ม จากผิวน้ำในแหล่งน้ำดื่ม น้ำใช้ และก็เมื่อกินหรือดื่มของกิน/น้ำแปดเปื้อนกลุ่มนี้ก็เลยก่อการติดเชื้อโรค
ซึ่งผู้ที่ได้รับเชื้อ จะเกิดอาการได้ตั้งแต่ 1 วัน ถึง 5 วัน แม้กระนั้นโดยเฉลี่ยแล้วจะกำเนิดอาการข้างใน 1-2 วัน โดยเหตุนั้นอหิวาต์ก็เลยไม่เหมาะสำหรับในการใช้สมุนไพรมาทำบรรเทา เนื่องจากว่าเป็นโรคที่มีการติดต่อ การระบาดที่รวดเร็วทันใจและก็มีความร้ายแรง จนกระทั่งชีวิตได้แม้มิได้รับการรักษาอย่างทันเวลา
เอกสารอ้างอิง- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “อหิวาต์ (Cholera)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 492-496.
- Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
- อหิวาตกโรค – อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบหมอ http://www.disthai.com/[/b]
- ศาสตรจารย์ พญ.วันดี วราวิทย์.อหิวาตกโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่284.คอลัมน์เวชปฏิบัติปริทัศน์.สิงหาคม.2551
- ศาสตรจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.อหิวาตกโรค (Cholera).หาหมอ.
- อหิวาตกโรค.แผนกพยาบาลอายุรศาสตร์และจิตเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
- Ryan, E, and Ferraro, M. Z2011). Case 20-2011. N Engl J Med. 364, 2536-2541.
- Swerdlow,D.L. and Ries,A.A. 1993 Vibrio cholera non-O1-the eighth pandemic? Lancet. 342:382-383.
- Hall, R.H., Khambaty, F.M., Kothary, M. and Keasler, S.P. 1993. Non-Ol Vibrio cholera. Lancet. 342:430.
- Cholera .กลุ่มระบาดวิทยาโรคติดต่อ.สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.
- อรษา สุตเธียรกุล.2541. โรคติดเชื้อ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง จำกัด
- Kaper, J.B., Morris, J.G., Jr. and Levine, M.M. 1995. Cholera. Clin. Microbiol. Rev.8 8:48-86.
- Benenson, A.S. 1991. Cholera. In: Evans, A.S. and Brachman, P.S. (eds.). Bacterial Infections of Humans, Epidemiology and Control.,2 nd. P.207-225.New York: Plenum.
- Farmer,J.J.1991. The family Vibrionaceae. In Balows,A., Truper, H.G., Dworkin, M., Harder, W. and Schleifer, K.H. (eds.) The Prokaryotes, (2nd) A Handbook on the Biology of Bacteria: Ecophysiology, Isolation, Identification, Applications.p. 2938-2951.New York: Springer-Verlag.
- Lee,JV.1990. Vibrio Aeromonas and Plesiomonas In: Parker, M.T. and Collier, L.H. (eds.). Principles of Bacteriology, Virology and Lmmunity, 8 th Vol III. P.514-524. Philadelphia: B.C. Deeker