โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 6 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
xcepter2016
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 20112


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 30, 2018, 05:27:34 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

  • โรคไตเป็นยังไง "ไต" มีรูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว ขนาดเท่าหมัด ๒ ข้าง อยู่ด้านหลังท้องข้างละ ๑ อัน ไตปฏิบัติภารกิจเกี่ยวกับการขับถ่ายของเสียออกจากร่างกาย ผ่านทางฉี่ ข้างละโดยประมาณ 1 ล้านหน่วย และก็ยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ และสมดุลกรด-ด่างภายในร่างกาย สร้างฮอร์โมน อาทิเช่น ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุล แคลเซียม และก็ฟอสเฟต (เป็น วิตามินดี นั่นเอง) แล้วก็ฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความเฉลี่ยวฉลาดของธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเราบางครั้งก็อาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง และจากนั้นก็ยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติ เนื่องจากว่าไตข้างที่เหลือจะปฏิบัติงานแทนได้แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ และก็ถ้าไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆร่างกายก็จะปรับพฤติกรรมไปได้เรื่อยก็ยังไม่เกิดอาการอะไรด้วยเหมือนกัน จนเมื่อไตเสียไปๆมาๆก ดำเนินงานได้เพียงแต่ราวๆ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ ก็เลยจะเกิดมีลักษณะอาการของโรคไต

    โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของคนทั่วๆไป ส่งผลเสียต่อประชาชนทุกอายุ เชื้อชาติ รวมทั้งทุกสถานะด้านเศรษฐกิจ ความชุกรวมทั้งอุบัติการณ์ของโรคที่เพิ่มขึ้นเนื่องมาจากเบาหวาน ความดันโลหิตสูง แล้วก็โรคอ้วน ในสหรัฐอเมริกามีประชากรมากกว่า 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 9 คนที่เป็นโรคไตเรื้อรัง และก็มีประชาชนกว่า 20 ล้านผู้ที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง เหตุเพราะผู้ปั่นป่วนจะไม่มีอาการในช่วงแรก อาการไตวายจะปรากฏเมื่อไตเสียหน้าที่ในการปฏิบัติงานไปมากกว่าร้อยละ 70 – 80  โรคไตเรื้อรัง เป็นภาวะที่มีการเสื่อมรูปแบบการทำงานของไตโดยตลอดเป็นเวลานานเป็นเดือนหรือปี หรือมีตัวระบุว่าไตถูกทำลายจากความผิดปกติของเลือดหรือเยี่ยวหรือการตรวจทางรังสี หรืออัตราการกรองของไตต่ำลงน้อยกว่า 60 มล./นาที/พื้นผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร ตรงเวลา 3 เดือน หรือมากยิ่งกว่า 3 เดือน ซึ่งโรคจำนวนมากชอบทำให้ไตเสื่อมลงอย่างยั่งยืน ไม่สมารถกลับมาดำเนินการอย่างปกติได้ แล้วก็ปัจจุบันพบได้ทั่วไปขึ้นในราษฎรไทยแล้วก็บางครั้งก็อาจจะร้ายแรงไปจนกระทั่งการเกิดภาวะไตวายและเสียชีวิตได้ท้ายที่สุด
    การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง  โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความรุนแรงดังนี้
    ระยะที่ 1 พบมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยเจอความแตกต่างจากปกติจากการตรวจเลือดฉี่เอกซเรย์ หรือพยาธิภาวะของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในหลักเกณฑ์ปกติ กล่าวอีกนัยหนึ่ง มากกว่าหรือพอๆกับ 90 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.มัธยม
    ระยะที่ 2 เจอมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการลดลงของอัตราการกรองของไตน้อยคืออยู่ในช่วย 60 – 89 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.
    ระยะที่ 3 มีการต่ำลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง คืออยู่ในตอน 30 – 59 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 4 มีการต่ำลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 15 – 29 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.มัธยม
    ระยะที่ 5 มีสภาวะไตวายเรื้อรังระยะในที่สุด (อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มิลลิลิตรต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม)

  • ต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังเป็น โรคไตเรื้อรังมีสาเหตุการเกิดโรคได้หลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งสาเหตุการเกิดได้ดังนี้ ปัจจัยนอกไต ดังเช่นว่า เบาหวาน พบว่ามีคนไข้ที่เป็นโรคเบาหวานจำพวกที่ 1 ที่พึ่งพิงอินสุลิน 20-50% ที่ส่งผลให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะในที่สุดภายในระยะเวลา 20-30 ปี ที่เริ่มรักษาด้วยการใช้การให้อินสุลิน และก็เบาหวานยังทำให้เกิดโรคไตเรื้อรังได้ถึงปริมาณร้อยละ 30-40 และกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดไตวายเรื้อรังระยะในที่สุดได้ถึงปริมาณร้อยละ 45 นอกเหนือจากนั้นเบาหวานยังเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจและก็เส้นโลหิต ความดันโลหิตสูง แล้วก็ไขมันในเลือดสูงได้ โรคเบาหวานทำให้มีความผิดปกติของหลอดเลือดหลอดฝอยไต ทำให้เส้นโลหิตแข็งเพิ่มแรงต้านทานของเส้นเลือดที่ไต รวมทั้งระบบความดันเลือดสูงขึ้น ไตได้รับเลือดน้อยลง และก็ขาดเลือด จึงนำมาซึ่งไตล้มเหลวตามมา  โรคความดันโลหิตสูง พบว่าความดันโลหิตสูงเป็นต้นเหตุที่ทำให้มีการเกิดโรคไตเรื้องรังได้ถึงร้อยละ 28 เนื่องมาจากไตควรต้องได้รับเลือดมาเลี้ยงจำนวนไม่ใช่น้อยจากการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งมีผลต่ออัตราการกรองแล้วก็การทำหน้าที่ของไต ความดันดลหิตสูงทำให้เลือดมาเลี้ยง ไตลดลงจึงทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของไตไม่ดีเหมือนปกติเหมือนกัน ความดันดลหิตสูงเกิดเนื่องมาจากเส้นเลือดแดงที่ไตตีบแข็ง หรือขาดเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตลดน้อยลง และกระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนสิน อัลโดสเตอโรน ทำให้เพิ่มระดับความดันดลหิต นอกจากนั้น ความดันเลือดสูงยังเกี่ยวกับโรคของเนื้อไต ตัวอย่างเช่น Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyelonephritis เป็นต้น ทำให้ไตขับน้ำ แล้วก็เกลือได้ลดน้อยลง มีการคั่งของน้ำแล้วก็เกลือมากขึ้น ความดันเลือดต่ำ ภาวะช็อคจากหัวใจและก็เส้นโลหิต หรือความดันโลหิตต่ำมีผลต่อวิธีการทำหน้าที่ของไต ทำให้เส้นเลือดที่ไตหดตัว เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง  โรคระบบหัวใจและเส้นเลือด มีผลต่อปริมาณเลือดที่ออกมาจากหัวใจ รวมทั้งระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งมีผลต่อการทำหน้าที่ไต ทำให้ไตลดการขับน้ำแล้วก็โซเดียม มีการคั่งของน้ำในเส้นโลหิต นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการบวม โรคของเส้นโลหิตส่วนปลาย ดังเช่น การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในเส้นโลหิต (Thromboembolic) ภาวะ Disseminated Intravascular Coagulopathy ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของโลหิตที่ไต เป็นต้นเหตุให้ไตขาดเลือด การติดเชื้อในกระแสโลหิต อาจมีผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ของไต มีผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำแล้วก็จะกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกายทำให้เกิดGlomerulonepritis การตั้งครรภ์ มีผลต่อการทำหน้าที่ขอบงไต การมีท้องในไตรมาสแรก ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งบางทีอาจจะคงอยู่ 9 -1 2 สัปดาห์ ทำให้อัตราการกรองของไตเพิ่มขึ้น 30 – 50 % ระหว่างตั้งท้อง ทำให้ Creatinine Clearance เพิ่มขึ้น การขับกรดยูริกน้อยลง การตั้งครรภ์อาจทำให้โปรตีนในเยี่ยวมากขึ้น เยี่ยวเยอะขึ้น แล้วก็เยี่ยวบ่อยมากในตอนการคืน

สารที่มีพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ เกิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก ตัวอย่างเช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองคำลิเทียม พิษต่างๆยกตัวอย่างเช่น เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสงสว่าง ยาแก้ปวด ดังเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID ฯลฯ
โรคที่มีสาเหตุเนื่องมาจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเขยื้อนมาอุดตันได้ในระบบทางเท้าฉี่ และมีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวมากขึ้น กรรมวิธีอักเสบนำไปสู่การบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการดูแลรักษาก็จะมีผลให้เกิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับและก็การขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนไป ทำให้การทำหน้าที่ของไตลดลง ภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต รวมทั้ง Calices ทำให้มีการอุดกั้นของฉี่ การสะสมของน้ำเยี่ยว ก่อให้เกิดแรงดันในกรวยไตเพิ่มขึ้น และก็เป็นต้นเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย มะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างเร็วกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอุดกั้นของระบบทางเท้าปัสสาวะ และทำให้มีการเกิดไตบวมน้ำตามมา

  • อาการของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้องรังส่วนมากทำให้ไตเปลี่ยนไปจากปกติทั้งสองข้าง ในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่มีอาการ เมื่อโรคดำเนินไปๆมาๆกขึ้น อาจมีอาการต่างๆเพราะเหตุว่าไตดำเนินการไม่ดีเหมือนปกติทำให้เกิดการคั่งของเกลือแร่น้ำส่วนเกินรวมทั้งของเสียในเลือด ยกตัวอย่างเช่น จำนวนปัสสาวะน้อยลง ความดันเลือดสูงขึ้น ซีดเซียว อ่อนล้าง่ายดายมากยิ่งขึ้น เบื่อข้าว อ้วกอ้วก นอนไม่หลับ คันเรียกตัว มีอาการบวมที่หน้า ขา รวมทั้งลำตัว ความรู้สึกตัวต่ำลง หรือมีอาการชัก ฯลฯ

ซึ่งลักษณะของโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งออกเป็น 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไร โดยในคนทั่วๆไปจะมีค่านี้อยู่ราว 90-100 มล./นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการบ่งบอกถึงแจ่มชัด แม้กระนั้นทราบได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา ยกตัวอย่างเช่น การตรวจเลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในระยะแรกนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่โดยประมาณ 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แต่บางทีอาจพบอาการไตอักเสบหรือภาวะโปรตีนรั่วออกมาปนเปในเลือดหรือในปัสสาวะ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตน้อยลง แต่ยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ชี้ให้เห็นนอกเหนือจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียง 60-89 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการใดๆก็ตามแสดงออกมาให้มองเห็น เว้นแต่ค่า eGFR ที่ต่ำลงโดยตลอด โดยในช่วงนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะย่อยเป็นระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มิลลิลิตร/นาที แล้วก็ระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของคนป่วยจะค่อยแสดงในตอนนี้ เว้นเสียแต่ค่า eGFR จะลดน้อยลงเหลือแค่ 15-29 มล./นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีฉี่ออกมากรวมทั้งปัสสาวะบ่อยครั้งช่วงกลางคืน ผู้ป่วยจะมีอาการเหน็ดเหนื่อย เหน็ดเหนื่อยง่าย ไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักตัวลดลง คลื่นไส้ อาเจียน นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดหัว ตามัว ท้องร่วงบ่อยมาก ชาตามปลายมือปลายตีน ผิวหนังแห้งรวมทั้งมีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นต้นเหตุนำไปสู่สารให้สีของผิวหนังเปลี่ยนแปลง) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบอ่อนแรง สะอึก กล้ามเป็นตะคริวบ่อยมาก ใจหวิว ใจสั่น เจ็บอก มีอาการบวมตามตัว (โดยเฉพาะรอบดวงตา ขา รวมทั้งเท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออ้วกเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกเจ็บป่วยเนื้อสบายตัวตลอดเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะในที่สุดของภาวการณ์ไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มิลลิลิตร/นาที นอกจากคนไข้จะมีลักษณะคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีภาวะโลหิตจางที่รุนแรงขึ้น รวมทั้งอาจตรวจเจอการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด เอามาสู่ภาวะกระดูกบางแล้วก็เปราะหักง่าย ถ้าเกิดมิได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็บางครั้งอาจจะเสียชีวิตได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงที่จะกำเนิดโรคไตเรื้อรัง


  • ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคโรคเบาหวาน
  • คนที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • คนที่กินยาบางชนิดติดต่อกันนานเกินความจำเป็น อาทิเช่น ยาปฏิชีวนะบางประเภท ตัวอย่างเช่น Tetacyclines, Amphoteracin B อื่นๆอีกมากมาย และก็ยาแก้ปวด ยกตัวอย่างเช่น ยากลุ่ม NSAIDs, Acitaminophen Salieylates ฯลฯ
  • กระบวนการรักษาโรคไตเรื้อรัง การวิเคราะห์โรคไตเรื้อรังมีดังต่อไปนี้  การวัดอัตราการกรองของไตโดยใช้สูตร  Cockcroft-gault หรือสูตร Modification  of Diet in Renal Disease (MDRD) การวัดจำนวนโปรตีนในฉี่ โดยใช้แถบตรวจฉี่  (Dipstick  Test) เมื่อแถบตรวจตรวจวัดผลตอบแทน 1 บวกขึ้นไป ควรตรวจปัสสาวะยืนยันปริมาณโปรตีนด้วยการประเมินค่าสัดส่วนของโปรตีนต่อครีเอตินิน  การตรวจอื่นๆด้วยการตรวจตะกอนเยี่ยว  (Urine Sediment)

หรือใช้แถบ วัดหาเม็ดเลือดแดง รวมทั้งเม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการตัน มีนิ่ว และมี Polycystic Kidney Disease แล้วก็ยังมีการวินิจฉัยแยกโรคที่ทำเป็นทางคลินิกจากอาการรวมทั้งอาการแสดงของโรค และก็ตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine รวมทั้งระดับฮอร์โมนไทรอยด์อื่นๆรูปแบบการทำงานของตับ และ X-ray หัวใจ และตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ
                การดูแลรักษาไตวายเรื้อรัง ถ้าสงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรส่งคนไข้ไปโรงพยาบาลเพื่อทำตรวจเยี่ยว ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆแล้วก็บางรายอาจจำเป็นต้องกระทำเจาะเก็บเยื่อจากไตเพื่อส่งไปตรวจด้วย โดยการดูแลและรักษานั้นจะแบ่งได้เป็น 2 ตอนใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วย คือ โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องทำการรักษา แต่จะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งแพทย์บางทีอาจนัดหมายมาตรวจทุก 3 เดือน หรืออาจนัดหมายมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าเกิดค่าประเมินอัตราการกรองของไตน้อยลงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) แล้วก็โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตปฏิบัติงานลดน้อยลงอย่างมาก คนป่วยจำเป็นต้องได้รับการดูแลรักษาหลายๆวิธีด้วยกันเพื่อช่วยเหลืออาการให้อยู่ในระดับคงเดิมเพื่อคอยการปลูกถ่ายไต รวมถึงการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลและรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งได้เป็น
การรักษาที่มูลเหตุ ถ้าเกิดคนไข้มีต้นสายปลายเหตุแจ่มกระจ่าง หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ อย่างเช่น ให้ยาควบคุมเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ นอกจากนั้นยังจำต้องรักษาภาวะไม่ปกติต่างๆที่มีต้นเหตุที่เกิดจากสภาวะไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับคนเจ็บไตวายเรื้อระยะท้าย (มักหรูหรายูเรียไนโตรเจนรวมทั้งระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 และ 10 มิลลิกรัม/ดล. ตามลำดับ) การดูแลและรักษาด้วยยาจะไม่ได้ผล ผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยฟอกล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ด้วยกันหลายแนวทาง ซึ่งจะสามารถช่วยให้ผู้เจ็บป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แต่ก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างจะแพงอยู่ ดังนี้การจะเลือกล้างไตด้วยแนวทางใดนั้นก็ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์เป็นหลัก เนื่องจากว่าการล้างไตจะส่งผลข้างๆหลายประเภทไม่ว่าจะเป็นความดันเลือดต่ำ เวียนศีรษะ หน้ามืด อ้วก ทั้งยังการล้างไตบางแนวทางอาจไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยอีกด้วย ด้วยเหตุดังกล่าว จึงจำต้องให้หมอเป็นผู้วินิจฉัยและตัดสินใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะกับผู้เจ็บป่วยสูงที่สุด)
การเปลี่ยนถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนป่วยโรคไตเรื้อรังระยะท้ายบางราย แพทย์บางทีอาจใคร่ครวญให้การรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งแนวทางนี้ถือว่าเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากว่าถ้าเกิดการปลูกถ่ายไตได้ผลดีก็จะสามารถช่วยทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีราวกับคนปกติแล้วก็มีอายุได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนถ่ายไตก็เป็นกรรมวิธีการรักษาที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนหลายประการ ราคาแพงแพง และก็ต้องหาไตจากพี่น้องสายตรงหรือผู้ให้ที่มีไตเข้ากับเนื้อเยื่อของผู้ป่วยได้ ซึ่งไม่ใช้ว่าจะง่าย ทั้งปริมาณของไตที่ได้รับการให้ทานก็ยังมีน้อชูว่าผู้ที่รอรับการบริจาค ผู้ป่วยจึงบางทีอาจจะต้องทำความสะอาดโดยการล้างไตต่อไปเรื่อยๆจนกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้จะได้รับการล้างไตแล้ว แต่ลักษณะของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไตเพียงแค่นั้น) นอกเหนือจากนั้น ตอนหลังการเปลี่ยนถ่ายไต ผู้ป่วยจะต้องรับประทานยากดภูมิคุ้มกันวันแล้ววันเล่าไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่

  • การติดต่อของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากภาวะที่ไตปฏิบัติงานไม่ดีเหมือนปกติและก็เป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนแล้วก็จากสัตว์สู่คน
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง ผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรติดตามการดูแลรักษากับแพทย์อย่าได้ขาด ควรกินยาแล้วก็ปฏิบัติตนตามคำแนะนำของหมออย่างเคร่งครัด ไม่ควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยารับประทานเอง เพราะว่ายาบางอปิ้งอาจมีพิษต่อไตได้ ยิ่งกว่านั้น คนป่วยควรปฏิบัติตัว ดังนี้
  • จำกัดจำนวนโปรตีนที่รับประทานไม่เกินวันละ ๔๐ กรัม โดยลดจำนวนของ ไข่ นม รวมทั้งเนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ ๑ ฟอง มีโปรตีน ๖-๘ กรัม นมสด ๑ ถ้วยมีโปรตีน ๘ กรัม เนื้อสัตว์ ๑ ขีด มีโปรตีน ๒๓ กรัม) และกินข้าว เมล็ดธัญพืช ผักและผลไม้ให้เยอะขึ้น
  • จำกัดปริมาณน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากจำนวนฉี่ต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ประมาณ ๘๐๐ มล./วัน) ตัวอย่างเช่น หากคนเจ็บมีเยี่ยว ๖๐๐ มล./วัน น้ำที่ควรได้รับเท่ากับ ๖๐๐ มิลลิลิตร + ๘๐๐ มล. (รวมเป็น ๑,๔๐๐ มิลลิลิตร/วัน)
  • จำกัดปริมาณโซเดียมที่รับประทาน หากมีลักษณะบวมหรือมีเยี่ยวน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรจะงดอาหารเค็ม งดใช้เครื่องปรุง (อาทิเช่น น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกประเภท) ผงชูรส สารกันเสีย อาหารที่ใส่ผงฟู (ได้แก่ ขนมปังสาลี) อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาร้า ของดอง หนำเลี๊ยบ)
  • จำกัดจำนวนโพแทสเซียมที่กิน ถ้าหากมีปัสสาวะน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรหลบหลีกของกินที่มีโพแทสเซียมสูง เป็นต้นว่า ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะโคน มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ เป็นต้น

ในรายที่มีระดับความดันโลหิตสูง ควรลดความดันเลือดให้เข้าขั้นน้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการทานอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย และก็กินยาตามที่แพทย์แนะนำอย่างสม่ำเสมอ คนเจ็บที่เป็นโรคเบาหวาน ร่วมด้วยควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เข้าขั้นใกล้เคียงปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังช่วงแรกๆก็เลยจะสามารถคุ้มครองหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ คนเจ็บควรจะได้รับการรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย เช่น รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินฉี่ รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต เป็นต้น นอกเหนือจากนี้ผู้ป่วโรคไตเรื้อรัง[/url]ควรได้รับการวิเคราะห์เลือดและก็ปัสสาวะเป็นระยะ เพื่อประเมินรูปแบบการทำงานของไต แล้วก็รักษาผลแทรกฝึกที่เกิดจากโรคไตเรื้อรัง

  • การปกป้องตนเองจากโรคไตเรื้อรัง ตรวจเช็กมองว่า เป็นความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง โรคเบาหวาน และโรคเกาต์ หรือเปล่า ถ้าเป็นจะต้องรักษาอย่างเอาจริงเอาจังรวมทั้งต่อเนื่องจนสามารถควบคุมระดับความดันเลือด ระดับน้ำตาลแล้วก็กรดยูริกในเลือดให้เข้าขั้นธรรมดา  เมื่อเป็นโรคติดเชื้อโรคทางเดินปัสสาวะ (ตัวอย่างเช่น) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กรวมไตอับเสบ) หรือมีภาวะอุดกั้นฟุตบาทปัสสาวะ (เป็นต้นว่า นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) จะต้องทำการรักษาให้หายสนิท ควรจะรับการตรวจสุขภาพอย่างน้อยปีละครั้ง รวมทั้งการตรวจเลือดแล้วก็ปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่เสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง หลีกเลี่ยงการทานอาหารรสเค็ม หลีกเลี่ยงการใช้ยารวมทั้งสารที่เป็นพิษต่อไต ต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน ไตจะเสื่อมสมรรถนะจนเป็นไตวายได้ ยกตัวอย่างเช่น ยาแก้ปวดข้อปวดกระดูก ยาชุด ยาหม้อ และยาปฏิชีวนะบางประเภท เลี่ยงผู้กระทำลั้นเยี่ยวนานๆเพราะเหตุว่าทำให้เชื้อโรคลงสู่กระเพาะปัสสาวะ และมีการอักเสบ หลบหลีกการสูบบุหรี่
  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บำรุงไต กระเจี๊ยบแดง ส่วนที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรฟอกโลหิตบำรุงไตให้ย้ำไปที่ดอกสีแดงสด ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ขับเยี่ยว บำรุงเลือด แก้โรคนิ่วในไต ใบบัวบก    ใบบัวบกถือว่ามีสาระโดยตรงสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต เพราะว่ามีสารสำคัญหลายประเภทที่เกี่ยวเนื่องกับระบบโลหิตโดยตรง อย่างเช่น สามเตอพีนอยด์(อะซิเอติวัวไซ) ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของฝาผนังหลอดเลือด ทำให้ผนังหลอดเลือดมีความหยืดหยุ่นเพื่มเพิ่มมากขึ้น ช่วยลดระดับความดันโลหิตสูง       ใบบัวบกจึงมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ในคนไข้โรคไตได้อย่างดีเยี่ยม คนที่ดื่มน้ำใบบัวบกนอกจากจะไม่เครียดแล้วยังช่วยขยายเส้นโลหิตนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนออกซิเจนในเส้นเลือดฝอยมากขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายจะสามารถจับออกซิเจนอิสระได้เยอะขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เลือดสะอาด เป็นการฟอกเลือดไปในตัว เห็ดหลินจือ อาจารย์แผนกแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำสรรพคุณของเห็ดหลินจือมาทดลองรักษาคนป่วยโรคไต ปรากฏว่าช่วยลดปริมาณไข่ขาวในเยี่ยวได้ รวมทั้งช่วยชะลออาการไตเสื่อมก้าวหน้า    ปัญหาของผู้เจ็บป่วยโรคไต คือจะมีสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบจะลดลดน้อยลง จากการศึกษาพบว่าเห็ดหลินจือ ช่วยลดการอักเสบของเยื้อเยื่อภายในร่างกายได้ น้ำขิงร้อนๆใช้เป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้อย่างดี  สำหรับคนที่เป็นโรคไตดื่มเสมอๆจะดี ดื่มเพื่อบำรุงไต เพราะเหตุว่าช่วยลดการอักเสบภายใน ตลอดจนเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆช่วยขับฉี่ที่ค้างอยู่ข้างใน สลายนิ่วและสิ่งตัน ช่วยลดไขมันในหลอดเลือด ตลอดจนช่วยกำจัดพิษที่ตกค้างได้ เก๋ากี้ฉ่าย    ผู้ที่มีความดันเลือดสูงดื่มบ่อยๆจะช่วยลดความดันเลือด ทำให้หัวใจแข็งแรง สำหรับคนไข้โรคไต ชาเก๋ากี้จะช่วยลดภาระให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสเลือด ช่วยซับน้ำตาล ช่วยขับเยี่ยว ชะลอการเสื่อมของไต
เอกสารอ้างอิง

  • Porth, C. M. (2009). Disoder ot renal function. In C.M. Porth., G. Matfin, PathophysiologyConcept of Altered Health Status (8th ed., pp. 855-874). Philadelphia: Wolters Kluwer Health Lippincott Williams & Wilkins.
  • K/DOQI clinical practice guidelines on hypertension and antihypertensive agents in chronickidney disease. Am J Kidney Dis 2004; 43:S1.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ. Patient with chronic kidney diseases. ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ศศิธร ชิดนายี.(2550).การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไดรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม.กรุงเทพฯ:ธนาเพรส
  • ธนนท์ ศุข.ไตวายเรื้อรังป้องกันได้!.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 295.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.พฤศจิกายน.2547
  • Ong-Ajyooth L, Vareesangthip K, Khonputsa P, Aekplakorn W.Prevalence of chronic kidney disease in Thai adults: a national health survey. BMC Nephrol 2009;10:35.
  • National Kidney Foundation, (2002). K/DOQI Clinical Practice Guideline for chronic kidney disease: Evaluation, classification, and stratification. Retrieved October 15, 2009, from http://www. kidney.or/kdoqi/guideline-ckd/toc.htm. http://www.disthai.com/[/b]
  • Chobanian AV, Bakris GL, Black HR, Cushman et al. The Seventh Report of the Joint NationalCommittee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure: The JNC 7 Report. JAMA 2003; 289:2560.
  • ผศ.นพ.สุชาติ อินทรประสิทธิ์.โรคไต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 9.คอลัมน์โรคน่ารู้.มกราคม.2523



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ