โรคภูมิเเพ้-อาการ-สาเหตุ-การรักษา-การรักษา-วิธีการป้องกัน-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคภูมิเเพ้-อาการ-สาเหตุ-การรักษา-การรักษา-วิธีการป้องกัน-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 8 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Jeatnarong9898
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 24436


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 05, 2018, 05:17:31 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคภูมิแพ้ (Allergy)

  • โรคภูมิแพ้ เป็นยังไง โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่เกิดจาการตอบสนองของร่างกายมากมายไม่ปกติต่อสิ่งกระตุ้นบางจำพวก ก็เลยทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น ซึ่งจะเกิดขึ้นกับคนที่มีอาการไวไม่ดีเหมือนปกติต่อสิ่งซึ่งสามารถส่งผลให้เกิดภูมิแพ้ ซึ่งธรรมชาติสารพวกนี้อาจไม่ก่อเกิดภูมิแพ้กับคนปกติทั่วไป โดยโรคภูมิแพ้เกิดได้ทุกเพศทุกวัย เด็กอายุ 5 ถึง 15 ปี มักพบว่าเป็นบ่อยครั้งกว่าช่วงอายุอื่นๆเพราะว่าเป็นช่วงๆเวลาที่โรคแสดงออกหลังจากได้รับ “สิ่งกระตุ้น” มานานพอเพียง เช่นไรก็บางบุคคลอาจจะเริ่มต้นเป็นโรคภูมิแพ้ตอนเป็นผู้ใหญ่แล้วก็ได้ โรคภูมิแพ้ (Allergy) เป็นโรคที่พบมากทั้งโลกและในประเทศไทย จากการสำรวจในประเทศ ไทยพบว่ามีอุบัติการณ์มากขึ้น 3 - 4 เท่าภายในระยะเวลา 40 ปีที่ผ่านมา  จากรายงานการเกิดภาวะภูมิแพ้บอกว่า เมืองไทยมีคนไข้โรคภูมิแพ้ปริมาณโดยประมาณ 10-15 ล้านคน รวมทั้งมีลักษณะท่าทางเพิ่มขึ้นอีก 3-4 เท่าภายใน 5 ปี ข้างหน้า

    นอกเหนือจากนั้น จำพวกของโรคภูมิแพ้ สามารถแบ่งได้เป็น 4 โรค เป็น

  • โรคหืด (Asthma)
  • โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือ โรคไซนัสอักเสบ
  • โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (Allergic conjunctivitis)
  • โรคผื่นภูมิแพ้ (Atopic eczema)
  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ มีต้นเหตุที่เกิดจากการที่ร่างกายผลิตภูมิต้านทานเพื่อกำจัดสิ่งแปลกปลอมที่รับเข้ามา ด้วยการขับสารตัวกลางออกมาต้านทานสิ่งเจือปนเหล่านั้น กล่าวอีกนัยหนึ่ง จะสร้างโปรตีนอีกประเภทหนึ่งขึ้นมา (ทางหมอเรียกว่า อิมมูนโนโกบูลิน-อี) ซึ่งมีคุณสมบัติชอบจับกับเซลล์พิเศษ 2 ประเภทเป็นมาสต์เซลล์ และก็เม็ดเลือดขาวชนิดเบโซฟิล และสารตัวกลางนั้นก็นำมาซึ่งการอักเสบรวมทั้งอาการแพ้แก่ร่างกายด้วย การเกิดโรคภูมิแพ้เป็นเหตุมาจากภูมิต้านทานของร่างกายสถานที่สำหรับทำงานมากจนเกินความจำเป็น กระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ต่อบางสิ่งที่อาจไม่เป็นอันตรายต่อคนทั่วไป แต่ทำให้เป็นอันตรายต่อตัวบุคคลที่แพ้เพียงแค่นั้น สารที่ร่างกายรับเข้ามาและก็ทำให้มีการเกิดอาการแพ้ในรูปแบบต่างๆเรียกว่า “สารก่อภูมิแพ้” โดยร่างกายจะมีปฏิกิริยาต่อสารก่อภูมิแพ้ด้วยการแสดงอาการแพ้ในแบบที่แตกต่างกัน ตามชนิดของโรคภูมิแพ้จำพวกต่างๆโดยสารภูมิคุ้มกันซึ่งเป็นโปรตีนที่อยู่ในเลือด มีหน้าที่รอปกป้อง รวมถึงกำจัดเชื้อโรคแล้วก็สิ่งเจือปนที่ไปสู่ร่างกาย ทำปฏิกิริยาตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้บางจำพวกที่คนเจ็บแพ้ เป็นต้นว่า คนเจ็บโรคภูมิแพ้อาหารโดยมาก มักแพ้อาหารชนิดไข่ นม ถั่ว ปลารวมทั้งอาหารทะเล การแพ้ของกินจะเกิดขึ้นกับผู้ที่มีร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้ในอาหารชนิดนั้นแค่นั้น คนที่มิได้เจ็บไข้จะไม่ปรากฏอาการแพ้   สารก่อภูมิแพ้ที่พบมากจากภูมิแพ้จมูกหรือภูมิแพ้อากาศ มักมาจากไรฝุ่นละออง เชื้อรา ต้นหญ้า ละอองเกสร ขนสัตว์ ที่ฟุ้งกระจายอยู่กลางอากาศและก็ไปสู่ร่างกายผ่านการหายใจ  สารก่อภูมิแพ้ที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางผิวหนังมีหลากหลายประเภท อาทิเช่น สารเคมีจากสินค้าชำระล้าง ถุงมือยาง ยาย้อมสีผม โลหะ เงิน หรือแม้แต่ผงฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคที่ลอยปนเปอยู่ในอากาศ   ส่วนภูมิแพ้ตา มักเกิดจากสารก่อภูมิแพ้ชนิดไรฝุ่นผง ควัน สารเคมี ละอองเกสร ขนหรือสะเก็ดผิวหนังของสัตว์ที่แปดเปื้อนอยู่กลางอากาศรวมทั้งกระแสลม เข้าสู่ร่างกายผ่านทางเยื่อบุดวงตา ส่งผลให้เกิดอาการระคายเคืองและมีอาการแพ้ที่แสดงออกทางดวงตาในหลายต้นแบบฯลฯ

    ตัวอย่าง กลไกการเกิดภูมิแพ้ โรคภูมิแพ้ที่มีต้นเหตุมาจากฝุ่นละอองรวมทั้งควัน มักเกี่ยวโยงกับระบบภูมิคุ้มกัน โดยสิ่งที่พวกเราแพ้ในฝุ่นผงเป็นโปรตีนนั่นเอง ซึ่งคล้ายกับกลไกการแพ้ของกินในบางคน อาทิเช่น แพ้กุ้ง เพราะว่าโปรตีนบางสิ่งบางอย่างในเนื้อหรือเปลือกกุ้ง ดังนี้ ในหนแรกที่รับฝุ่นละอองดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นเข้าไป ร่างกายจะยังไม่แพ้ แต่ว่าระบบภูมิต้านทานจะเรียนรู้ว่าโปรตีนซึ่งเป็นองค์ประกอบของฝุ่นละอองดังกว่างนั้นเป็นสิ่งแปลกปลอก รวมทั้งแล้วจะสร้างภูมิต้านทานต่อโปรตีนประเภทดังกล่าวมาแล้วข้างต้น (lgE) เมื่อได้รับฝุ่นประเภทเดียวกันในคราวต่อไป โปรตีนในฝุ่นผงจะเข้าไปจับกับ (lgE) ซึ่งอยู่บนเม็ดเลือดขาว ทำให้เม็ดเลือดขาวนี้แตกออกแล้วก็ปล่อยสารประเภทหนึ่งเรียกว่าฮีสตามีน (Histamine) ออกมา ส่งผลให้เยื่อบุจมูก เยื่อบุตา คอ เกิดการอักเสบ บวม แล้วก็สร้างมูกออกมามากยิ่งกว่าปกติ ทำให้มีการเกิดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และก็คันจมูกตามมา
    ทั้งนี้ สาเหตุที่เกิดโรคภูมิแพ้เนื่องมาจากระบบภูมิต้านทานมีปฏิกิริยาที่ไวเกินความจำเป็นสำหรับการสนองตอบสิ่งเจือปนแบบไม่ปกติแม้ว่าสิ่งปลอมปนนั้นไม่มีอันตรายต่อสภาพร่างกาย แม้กระนั้นเป็นความรู้ผิดของร่างกายที่มีความรู้สึกว่าสิ่งแปลกปลอมบางอย่างเป็นอันตรายก็เลยมีปฏิกิริยาตอบสนอง โดยการผลิตภูมิต้านทางขึ้นเพื่อกำจัดแล้วก็ทำลายสิ่งเจือปนนั้น รวมทั้งแทนที่สารภูมิคุ้มกันที่ร่างกายทำขึ้นจะเป็นเครื่องคุ้มครองร่างกาย กลับกลายเป็นตัวกระตุ้นให้ร่างกายปวดเอง ก็เลยส่งผลให้เกิดอาการแพ้นั่นเอง

  • ลักษณะของโรคภูมิแพ้ พวกเราสามารถแบ่งอาการของโรคภูมิแพ้ตามระบบอวัยวะที่แสดงอาการได้ 6 อย่าง คือ
  • อาการแพ้ทางตา เรียกว่า เยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic conjunctivitis) คนไข้จะมีลักษณะคันและก็เคืองตา ตาแดง  ร้องไห้  หนังตาบวม  แสบตา
  • อาการแพ้ทางจมูก เรียกว่า โรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ (allergic rhinitis) หรือโรคแพ้อากาศ คนป่วยจะมีลักษณะอาการจาม คันจมูก  น้ำมูกไหลออกมาทางจมูก หรือไหลลงคอ  คัดจมูก  คันเพดานปากหรือคอ
  • อาการแพ้ทางหลอด เรียกว่า โรคหลอดลมอักเสบจากภูมิแพ้ หรือโรคหอบหืด (asthma) ผู้ป่วยจะมีลักษณะ ไอ หอบอ่อนเพลีย หายใจขัด แน่นหน้าอก หายใจมีเสียงวี้ด หายใจติดขัดหรือหายใจเร็ว โดยยิ่งไปกว่านั้นเวลาช่วงเวลาค่ำคืน รุ่งอรุณมืด หรือขณะออกกำลังกาย  หรือขณะเจ็บป่วยหวัด
  • อาการแพ้ทางผิวหนัง เรียกว่า โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ (atopic dermatitis) คนเจ็บจะมีลักษณะคัน มีผื่นผื่นเรียกตัว  ผื่นมักแห้ง แดง มีสะเก็ดบางๆหรือมีน้ำเหลืองแห้งกรังปกคลุมอยู่  ในเด็กเล็ก มักเป็นที่แก้ม, ก้น, หัวเข่ารวมทั้งศอก  ในเด็กโตมักเป็นที่ข้อพับของแขนและขา  ในรายที่เป็นเรื้อรัง ผิวหนังบริเวณที่เป็นจะดกตัวขึ้นแล้วก็มีสีคล้ำขึ้น    นอกจากนั้นผิวหนังบางทีอาจมีการอักเสบจากการสัมผัสกับสารบางประเภทที่แพ้ได้ เป็นต้นว่า แฟ้บ  เครื่องสำอาง    ผิวหนังอาจมีการอักเสบเป็นตุ่มนูนคัน หรือใหญ่เป็นปื้นนูนแดง รวมทั้งคันมากมายที่เรียกว่า ลมพิษ  ซึ่งมักจะมีต้นเหตุมาจากการแพ้อาหาร โดยยิ่งไปกว่านั้นอาหารทะเล หรือ แพ้แมลงกัดต่อย หรือแพ้ยา
  • อาการแพ้ ทางเดินอาหาร เรียกว่า โรคแพ้ของกิน (food allergy) ผู้ป่วยจะมีลักษณะอาการ อ้วก คลื่นไส้  ท้องร่วง ปากบวม  เจ็บท้อง  ท้องเฟ้อ อาจมีอาการของระบบทางเดินหายใจ (อย่างเช่น หอบหืด, แพ้อากาศ) และก็ผิวหนัง (ดังเช่น ผื่นคัน, ผื่นคัน) ร่วมด้วย  ของกินที่เป็นสาเหตุได้บ่อยมาก ยกตัวอย่างเช่น นมวัว ไข่ ถั่ว อาหารทะเล ผักแล้วก็ผลไม้บางชนิด ผงชูรส สารกันเสีย สารแต่งกลิ่นรวมทั้งสี
  • อาการช็อกจากภูมิแพ้ อาการภูมิแพ้ประเภทนี้จัดว่าน่าสะพรึงกลัวแล้วก็ร้ายแรงที่สุด มักมีเหตุมาจากการแพ้สารหรือยาที่ฉีดมากยิ่งกว่า แต่ว่าบางทีอาจแพ้สารหรือยาที่รับประทานเข้าไป หรือยาที่เอามาทาผิวหนังก็ได้ ซึ่งเจอน้อยกว่า การดูแลรักษาไม่ได้ทำยาก ถ้าหากพบแพทย์ทันท่วงที แต่ถ้าหากเป็นร้ายแรงมากมาย หรือรักษาไม่ทันบางทีอาจถึงแก่กรรมได้
  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคภูมิแพ้ ทางพันธุกรรม หากพ่อหรือแม่เป็นโรคนี้ เปอร์เซ็นต์ที่ลูกจะเป็น 30% แม้กระนั้นถ้าเกิดทั้งยังบิดาและก็แม่เป็น ลูกมีสิทธิ์เป็นถึง 50% โดยมีการวิจัยแล้วก็มีหลักฐานหลายชนิดที่ทำให้มั่นใจว่า โรคนี้ถ่ายทอดทางกรรมพันธุ์ ด้วยเหตุว่าถ้าทั้งยังบิดาและแม่เป็นโรคภูมิแพ้ ลูกจะมีโอกาสเป็นโรคนี้จำนวนร้อยละ 30 ถ้าบิดาหรือแม่เป็นโรคภูมิแพ้เพียงคนเดียว ลูกมีโอกาสเป็นภูมิแพ้ได้ปริมาณร้อยละ 25 แต่ว่าถ้าหากบิดามารดาไม่มีใครเป็นเลย ลูกมีโอกาสเป็นร้อยละ 12.5 เอาง่ายๆก็คือ ถ้าพ่อแล้วก็แม่เป็นภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นภูมิแพ้สูงยิ่งกว่าเด็กอื่นถึง 2-4 เท่าเลยทีเดียว สัมผัสสารก่อภูมิแพ้หมายถึงสารที่ทำให้คนไข้เกิดลักษณะของโรคภูมิแพ้ซึ่งอาจเป็นสารที่ร่างกายได้รับโดยการ ฉีด กิน หายใจ สัมผัส หรือ ถูกกัดต่อยบนผิวหนังก็ได้ มีอีกทั้งสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน (อาทิเช่น ไรฝุ่น แมลงสาบ เศษผิวหนังแล้วก็ขนย้ายสัตว์เลี้ยง เชื้อรา ควันบุหรี่) แล้วก็สารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน (เป็นต้นว่า ฝุ่นผงในสถานที่สำหรับทำงาน เกสรดอกไม้ ควันต่างๆ) นอกนั้น อุณหภูมิของอากาศก็เป็นอีกหนึ่งต้นเหตุของอาการภูมิแพ้ อากาศหนาวเย็นจะมีผลให้มีลักษณะแพ้ง่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งสารก่อภูมิแพ้เหล่านี้จะเข้าไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวให้ก่อเป็นภูมิแพ้ขึ้นได้
  • แนวทางการรักษาโรคภูมิแพ้ การวิเคราะห์โรค

ซักเรื่องราว โดยอาศัยเอกลักษณ์ของอาการ เมื่อสัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้และก็หมอจะถามหาโรคภูมิแพ้อื่นๆ(atopic diseases) รวมทั้งลักษณะโรคพวกนั้น ที่ผู้เจ็บป่วยบางทีอาจเป็นด้วย ได้แก่ โรคหอบหืด โรคเยื่อบุตาอักเสบจากภูมิแพ้ โรคผิวหนังอักเสบจากภูมิแพ้ นอกเหนือจากนั้นจะถามเรื่อง อาชีพ สัตว์เลี้ยง และสภาพแวดล้อม ของผู้ป่วยทั้งๆที่บ้านแล้วก็สถานที่ทำงานรวมทั้งสารที่ผู้ป่วยมีความรู้สึกว่าตนแพ้ ประวัติครอบครัวก็มีส่วนช่วยสำหรับการวินิจฉัยโรค โดยคนไข้โรคภูมิแพ้อาจมีพ่อ แม่ หรือพี่น้อง เป็นโรคนี้ได้
ตรวจร่างกาย แพทย์จะตรวจร่างกายข้างนอกว่ามีลักษณะแสดงใดบ้างที่บ่งชี้ถึงโรคภูมิแพ้ เป็นต้นว่า ตรวจตา จมูก คอ ช่วงอก แล้วก็ผิวหนังทั่วๆไป ในบางรายบางทีอาจจำต้องตรวจการปฏิบัติงานของปอดด้วยเครื่องเป่าลม หรือบางทีอาจจะต้องเอกซเรย์เพื่อมองหลักการทำงานของปอดร่วมด้วย
การหา IgE ที่ผิวหนัง  โดยการทดลองภูมิแพ้ทางผิวหนัง (allergy skin test) จะช่วยทำให้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งที่คนเจ็บแพ้ ทำให้คนเจ็บหลีกเลี่ยงได้ถูก รวมทั้งให้ข้อมูลในกรณีที่จะต้องรักษาผู้ป่วยด้วยวิธี immunotherapy การตรวจวิธีนี้เป็นวิธีที่มีความไวและความจำเพาะสูงสุด ในการตรวจวินิจฉัยโรคภูมิแพ้ มี 2 แนวทางเป็น

  • Skin prick test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ หยดลงบนผิวหนังที่แขน แล้วใช้เข็มสะกิดกึ่งกลางหยดน้ำยา เพื่อเปิดผิวหนังข้างบนออก หากผู้ป่วยมี IgE ที่เจาะจงต่อสารก่อภูมิแพ้นั้น ก็จะเกิดปฏิกิริยา allergic inflammation ขึ้นโดยเกิดรอยนูน (wheal) รวมทั้งผื่นแดง (flare) อ่านผลประโยชน์ในเวลา 20 นาที ข้างหลังการทดสอบ
  • Intradermal test ใช้น้ำยาสกัดจากสารก่อภูมิแพ้ จำนวน 0.02 มล.ฉีดเข้าในชั้นผิวหนัง ให้เกิดรอยนูนที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางราว 5 มัธยมมัธยมอ่านผลในเวลา 20 นาที ข้างหลังฉีดโดยวัดขนาดของรอยนูนที่ขยายใหญ่ขึ้น
  • สารก่อภูมิแพ้ที่นำมาทดสอบ มักเป็นสารก่อภูมิแพ้ ที่พบบ่อย ดังเช่นว่า ฝุ่นผงบ้าน ตัวไรในฝุ่นละออง แมลงต่างๆที่อาศัยในบ้าน อาทิเช่น แมลงสาบ แล้วก็จะมี positive (histamine) และก็ negative control (carrier substance) ร่วมสำหรับการทดสอบด้วย เพื่อให้มั่นใจว่าคนไข้ไม่ได้แพ้สารที่ใช้ละลายในสารก่อภูมิแพ้ที่เอามาทดสอบ และผิวหนังสนองตอบได้ดีต่อ histamine โดยธรรมดาจะทดลองโดยวิธี skin prick test ก่อนโดยนับได้ว่าเป็น screening test ถ้าหากผล skin prick test ได้ผลลบ ก็เลยทดสอบโดยวิธี intradermal test ต่อไป หาก skin prick test ได้ผลบวกกระจ่างแจ้ง ไม่มีความจำเป็นที่ต้องกระทำการทดสอบโดยแนวทางintradermal test อีก เพื่อลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิด systemic reaction การทดลองโดยตรวจค้น IgE ที่ผิวหนังนี้ จะต้องมีวัสดุเตรียมการสำหรับ resuscitation ด้วยเสมอ เผื่อในกรณีเกิด anaphylactic reaction
  • การหาจำนวน IgE ในเลือด ซึ่งหาได้ทั้ง total IgE คือเป็นระดับของ IgE รวม ไม่เฉพาะต่อสารก่อภูมิแพ้จำพวกใด ซึ่งหาได้โดยวิธี Paper Radio – Immunosorbent Test (PRIST) และหา specific LgE เป็นหาระดับ IgE ที่เจาะจงต่อสารก่อภูมิแพ้แต่ละประเภท ซึ่งหาโดยวิธี Radio Allergosorbent test (RAST) การหา total IgE ไม่ช่วยมากนักในการวินิจฉัยโรค ส่วนการหา specific IgE เป็นที่ชื่นชอบในต่างประเทศ ด้วยเหตุว่าไม่มีความเสี่ยงต่อ systemic reaction ผู้ป่วยไม่มีความจำเป็นต้องงดยา ไม่จำเป็นต้องใช้เวลาของคนไข้นานสำหรับการทดสอบ ไม่เหมือนการทำ skin test ทำให้สะดวกแค่เพียงเจาะเลือด 1 ครั้ง หาสารที่คนเจ็บแพ้ได้หลากหลายประเภท แม้กระนั้นในประเทศไม่นิยมใช้ เพราะแพงแพง
  • X-ray sinus เพื่อมองว่าคนเจ็บโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ มีโรคไซนัสอักเสบร่วมด้วยหรือเปล่า ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่มักพบ และควรทำทุกราย จากการเรียนรู้ plain film sinus ในผู้เจ็บป่วยโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ที่ โรงพยาบาลศิริราช ปริมาณ 356 ราย พบว่ามีพยาธิสภาพเกิดขึ้นที่ sinus ถึงจำนวนร้อยละ 40
การดูแลรักษาโรคภูเขาแพ้ อาจแบ่งออกเป็น 3 แนวทาง คือ

  • การใช้ยาสำหรับการรักษา บัดนี้มียารักษาอาการของโรคภูมิแพ้หลายสิบประเภท แม้กระนั้นพอเพียงจะจัดชนิดและประเภทได้ 4 ประเภท เป็น

ยาแก้แพ้ (แอนติฮิสตะมีน) ที่คนส่วนใหญ่รู้จักกันดีเป็นคลอร์เฟนิรามีน (ยาแก้แพ้เม็ดสีเหลือง จริงๆแล้วมีหลายสีแล้วแต่บริษัทผลิต) เดี๋ยวนี้มียาแก้แพ้ผลิตออกมากว่า 30 ประเภท ราคาตั้งแต่เม็ดละไม่กี่สตางค์จนถึง 7-8 บาท มั่นใจว่าสมรรถนะไม่ได้ต่างอะไรกัน ผลกระทบของยากลุ่มนี้โดยมากกินแล้วอยากนอน คอแห้งผาก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันมียาแบบใหม่ๆที่กินแล้วไม่ง่วงนอนและมีฤทธิ์แก้แพ้ได้นาน โดยรับประทานเพียงวันละ 1-2 ครั้งก็พอ แต่ว่าจุดอ่อนคือ ราคายังแพงอยู่ ยานี้ใช้รักษาอาการคันจมูก จาม ลดน้ำมูก รวมทั้งรักษาลมพิษผื่นคัน
ยาแก้คัดจมูก มักเป็นยาทำให้เส้นเลือดฝอยหดตัว แล้วก็ทำให้น้ำมูกลดลง ผู้เจ็บป่วยจึงรู้สึกสบายขึ้น มีอีกทั้งยากินแล้วก็ยาพ่น แต่ว่ายาพ่นมีปัญหาเป็นเมื่อใช้แล้วในระยะเริ่มต้นจะได้ประสิทธิภาพที่ดี แม้กระนั้นถ้าเกิดใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆจะก่อให้ดื้อยาและก็เป็นมากขึ้นได้ จำเป็นจะต้องใช้ในระยะสั้นๆแค่นั้น
ยาขยายหลอดลม (ยาแก้หืด) สำหรับแพ้กระทั่งมีลักษณะเป็นหืด มีทั้งยารับประทาน ยาฉีด และก็ยาพ่นโดยปกติยังนิยมใช้ยารับประทาน  ส่วนยาพ่น ในต่างแดนเป็นที่ยอมรับกันมาก ส่วนในเมืองไทยกำลังเป็นที่ยอมรับเยอะขึ้น ลักษณะเด่นคือ ส่งผลข้างเคียงน้อย ไม่ดูดซึมเข้ากระแสโลหิตแล้วก็ออกฤทธิ์รวดเร็ว แม้กระนั้นมีข้อเสียเป็น ก่อนใช้ควรมีการสาธิตการใช้อย่างแม่นยำ มิฉะนั้นจะไม่ได้เรื่อง ส่วนยาฉีดจะใช้ในกรณีที่หอบมากและก็กินยา พ่นยาแล้วไม่ได้เรื่อง
ยาคุ้มครองปกป้องภูมิแพ้ มีทั้งยังยารับประทานและก็ยาพ่น ยารับประทานคุ้มครองป้องกันภูมิแพ้เห็นผลในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่ ส่วนยาพ่นบางชนิดเป็นประโยชน์ในผู้ใหญ่ด้วย

  • การหลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ อาทิเช่น จัดห้องนอนและก็บ้านให้ไม่ยุ่งยากต่อการขจัดฝุ่นหรือมีฝุ่นละอองต่ำที่สุด แนวทางการสำคัญๆก็คือ อย่าให้บ้านรก มีเครื่องเรือนเท่าที่จำเป็น เฟอร์นิเจอร์ควรเป็นไม้ พลาสติก หรือหุ้มห่อเบาะหนัง ไม่สมควรบุนวม หุ้มผ้า เพื่อจะได้ลดฝุ่นและก็ทำความสะอาดได้อย่างง่ายดาย พื้นควรเป็นพื้นธรรมดาหรือไม้ขัดมัน ไม่สมควรปูพรม วิธีการทำความสะอาดพื้น ควรจะใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดหรือขัด หรือใช้เครื่องดูดฝุ่น ไม่สมควรใช้ไม้ปัดกวาด แม้กระนั้นบางทีอาจให้ผู้อื่นปัดกวาดในช่วงเวลาที่คุณไม่อยู่ก็ได้ ไม่ควรนำสัตว์เลี้ยงเข้าในบ้าน คนที่แพ้ไรฝุ่นผง ควรห่อหุ้มที่นอนด้วยหนังหรือพลาสติก (ก่อนนอนหุ้มด้วยผ้าที่มีไว้เพื่อปูที่นอนอีกชั้นสูงสุด) จะได้ใช้น้ำอุ่นเช็ดทุกครึ่งเดือนหรือหนึ่งเดือนได้ ควรจะใช้หมอนจำพวกใยสังเคราะห์แล้วก็ซักน้ำร้อนทุกหนึ่งเดือนเป็นขั้นต่ำ การผึ่งแดดไม่ได้ฆ่าไรฝุ่นผงอะไร ไม่สมควรปลูกต้นไม้ดอกไม้ในห้องนอน เพราะเหตุว่าเป็นแหล่งเปียกชื้นอย่างหนึ่ง ควรกำจัดเพื่อลดปริมาณเชื้อรา หน้ากากเครื่องเครื่องปรับอากาศที่เปียกแฉะหรือผนังที่เปียกชื้น ควรจะใช้น้ำยาไลซอลเพื่อขจัดเชื้อรา การหลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่างๆก็มีความสำคัญเป็นควันของบุหรี่ ควัน และก็กลิ่นฉุนทั้งหลาย
  • วิธีภูเขามิคุ้นกันบำบัด (Immuno therapy) หรือการฉีดยา ถ้าเกิดพยายามเลี่ยงสิ่งที่แพ้อย่างเต็มเปี่ยมแล้ว และรับประทานยารักษาอาการที่แพ้ต่างๆแล้วอาการยังเป็นอยู่มาก หรือจำต้องใช้ยาหลายตัว หมออาจพินิจพิเคราะห์แนะนำให้ฉีดวัคซีนภูมิแพ้ เป้าหมายของการฉีดยาภูมิแพ้ ก็คือ ต้องการปรับเปลี่ยนสภาพการโต้ตอบของร่างกายจากภูมิแพ้ให้แปลงเป็นมีภูมิคุ้มกันแพ้แทน กรรมวิธีฉีดวัคซีนภูมิแพ้มีว่าหลังจากทดสอบทางผิวหนังจนถึงรู้แล้วว่าแพ้อะไรบ้าง แพทย์ก็จะนำสารสกัดที่แพ้มาฉีดเข้าใต้ชั้นผิวหนัง โดยเริ่มจากขนาดต่ำๆและค่อยๆเพิ่มขนาดรวมทั้งปริมาณมากขึ้น โดยตอนแรกฉีดทุกหนึ่งอาทิตย์จนถึงขนาดสมควร ต่อไปจะฉีดห่างออกไปเรื่อยจากทุกหนึ่งอาทิตย์ท้ายที่สุดเป็นทุกเดือนถึงเดือนครึ่ง เมื่ออาการแพ้ดียิ่งขึ้นมากและก็ลดขนาดยารับประทานต่างๆได้ มีความหมายว่าได้ผล ซึ่งมักจำเป็นต้องใช้เวลาขั้นต่ำ 3 เดือนกว่าจะเห็นผล ต่อไปจะฉีดทุก 1-2 เดือนจนกระทั่งครบ 3-4 ปี (เฉลี่ยแล้วฉีดปีละ 6-12 ครั้งเพียงแค่นั้น) ท่านใดที่อาการแพ้หายไป รวมทั้งหยุดยาต่างๆได้ เมื่อครบกำหนด 3-4 ปี แพทย์จะพินิจพิเคราะห์หยุดฉีดยาสุดท้าย
  • การกระทำตนเมื่อเป็นโรคภูมิแพ้
  • ใส่หน้ากากปกป้องฝุ่นละอองขณะที่ทำงานกับฝุ่นละออง
  • ทำความสะอาด เอาวัตถุที่ไม่มีความสำคัญออกจากห้องทำงานแล้วก็ห้องนอนให้มากหนสุด ในห้องนอนจะต้องมีเครื่องตกแต่งน้อยชิ้นที่สุดเพื่อเป็นการป้องกันและไม่ให้เป็นแหล่งเก็บฝุ่นละออง
  • ในกรณีแพ้ไรฝุ่นผง ควรทำความสะอาดเครื่องนอน (ที่นอน หมอน ผ้าที่เอาไว้ห่ม) โดยซักด้วยน้ำร้อน 60 องศาเซลเซียส ตรงเวลา 15-20 นาที ขั้นต่ำทุก 2 อาทิตย์
  • ควรจะตัดหญ้า หรือ วัชพืชรอบๆบ้านเป็นประจำเพื่อลดจำนวนเกสรแล้วก็สารก่อภูมิแพ้ในวัชพืชและก็ดอกไม้
  • ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน ตัวอย่างเช่น สุนัข แมว นก
  • กำจัดเศษอาหารและก็ขยะต่างๆรวมถึงปิดฝาท่อระบายน้ำเพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์แมลงสาบ
  • ชำระล้างเครื่องปรับอากาศบ่อยๆแล้วก็ใช้แบบที่มีที่กรองอาการประเภท HEPA filter (High Efficiency Particulate Air Filter)
  • ระวังอย่าให้บ้าน ส้วม อับชื้น และไม่ควรจะปลูกต้นไม้ในบ้านเพาะทำให้เชื้อราเติบโต
  • หลีกเลี่ยงรอบๆที่มีควันบุหรี่ ควันไฟ และก็รอบๆที่มีฝุ่นละอองมากมาย
  • บริหารร่างกายให้บ่อย ถ้าหากมีลักษณะหอบอ่อนเพลียเวลาออกกำลังกาย ควรสูดยา ป้องกันอาการหอบก่อน
  • ใช้ยาดังที่แพทย์สั่งแค่นั้น ไม่สมควรซื้อยามาใช้เอง เนื่องจากว่าบางจำพวกถ้าหากใช้สม่ำเสมอนานอาจมีอันตรายได้
  • การติดต่อของโรคภูมิแพ้ เนื่องด้วยโรคภูมิแพ้เป็นโรคที่มีเหตุมาจากการทำงานที่ไม่ดีเหมือนปกติที่ไวต่อสารก่อภูมิแพ้ของภูมิคุ้มกันในร่างกายของบางคนเพียงแค่นั้น จึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คน (แต่ว่ามีการสืบทอดทางกรรมพันธุ์ได้)
  • การป้องกันตนเองจากโรคภูมิแพ้ เป็นการลดความเสี่ยงในการเกิดโรค เป็นการรักษาสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงบริบูรณ์ รับประทานอาหารที่มีสาระและก็ถูกสุขลักษณะ บริหารร่างกายอย่างเหมาะสมเป็นประจำ แล้วก็หมั่นตรวจเช็คสุขภาพประจำปี  รวมทั้งเพราะโรคภูมิแพ้เป็นโรคไม่ติดต่อ และจะกำเนิดกับคนที่ร่างกายแพ้ต่อสารก่อภูมิแพ้เท่านั้น โดยเหตุนั้น การคุ้มครองส่วนมากจึงเป็นวิธีการสำหรับคนไข้ เพื่อไม่ให้อาการแพ้นั้นกำเริบร้ายแรง  อาทิเช่น หลีกเลี่ยงสารก่อภูมิแพ้ หากป่วยด้วยโรคภูมิแพ้อยู่แล้ว ควรจะหลีกเลี่ยงการสัมผัสหรือพบเจอกับสิ่งที่มีสารที่ตนแพ้ เป็นต้นว่า คนไข้ที่แพ้อาหารทะเล ควรจะหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ทำจากสัตว์ทะเลทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นของกินแปรรูป อาหารสด หรืออาหารแห้ง ผู้ที่แพ้ฝุ่นควรหลีกเลี่ยงการเดินทางบนถนนที่มีฝุ่นควัน ไม่ลดกระจกลงขณะขึ้นรถอยู่บนรถยนต์ เลี่ยงการเดินผ่านเขตรอบๆที่มีการก่อสร้าง แล้วก็รักษาความสะอาดด้านในภายรวมทั้งห้องนอน ให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวก แสงอาทิตย์เข้าถึง เพื่อคุ้มครองปกป้องการสั่งสมฝุ่นผงรวมทั้งไรฝุ่นผงที่จะก่อเกิดอาการแพ้ได้ เขียนบันทึก ลงบันทึกประจำวันว่าทำกิจกรรมอะไรหรือกินอะไรแล้วมีอาการอย่างไร เป็นการศึกษาเล่าเรียนอาการแพ้ รวมถึงให้ทราบสิ่งที่แพ้รวมทั้งสิ่งที่ไม่แพ้ เพื่อเป็นการให้ข้อมูลแก่หมอผู้รักษา แล้วก็การวางเป้าหมายรักษาอย่างเหมาะสมถัดไป รับประทานยา ยาจะช่วยคุ้มครองป้องกันแล้วก็บรรเทาอาการแพ้ โดยคนป่วยภูมิแพ้จะต้องรับประทานยาจากที่แพทย์ระบุ ไม่หยุดใช้ยาโดยพลการ เพราะว่าอาจมีผลข้างเคียง มีลักษณะดื้อยา หรือมีอาการแพ้ที่กำเริบเสิบสานขึ้น  จัดเตรียมในภาวะฉุกเฉิน สำหรับคนเจ็บที่มีอาการแพ้รุนแรง ควรแจ้งลักษณะการป่วยของตนเองกับบุคคลใกล้ชิด หรือในบางราย หมอจะให้คนป่วยพกยาฉีดเอพิเนฟรินสำหรับฉีดรักษาด้วยตัวเองถ้าอาการไม่ดีขึ้น และตระเตรียมเบอร์โทรรีบด่วนที่จำเป็นจะต้องเอาไว้ภายในคราวที่มีความเร่งด่วนเสมอ

    นอกจากนี้ควรไปพบหมอเมื่อมีลักษณะอาการต่อไปนี้

  • น้ำมูลไหล คัดจมูก จาม คันจมูกเรื้อรัง
  • ไซนัสอักเสบเรื้อรัง
  • ไอมากหรืออิดโรยเวลาเป็นหวัด ตอนออกกำลังกาย หรือตอนค่ำ
  • ผื่นคันเรื้อรังตามผิวหนังส่วนต่างๆของร่างกาย
  • เป็นลมเป็นแล้งพิษหลายครั้ง
  • สัมผัสสารบางสิ่งแล้วผื่นขึ้น
  • รับประทานอาหารบางชนิดแล้วมีผื่น น้ำมูกไหล หรือแน่นหน้าอก
  • คันตา แสบตา ร้องไห้เรื้อรัง
  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคโรคหอบหืด
  • ถั่งเช่า มีสรรพคุณลดการต่อว่าดเชื้อและทุเลาอาการ อย่าง ไซนัสอักเสบ โรคหอบหืด ถั่งเช่ามีฤทธิ์สำหรับการควบคุมสมดุลของ Allergen-reactive helper T cells Type I รวมทั้ง II คนป่วยที่เป็นโรคภูมิแพ้มักมีการทำงานของ Type II มากเกินปกติ อันเป็นที่มาของการเกิดโรค ยิ่งกว่านั้นมีฤทธิ์ลดการจับตัวของสารก่อภูมิแพ้กับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย การลดกลไกนี้ลงจะก่อให้ร่างกายตอบสนองต่อสารก่อภูมิแพ้ลดลง รวมทั้งยังช่วยลดขั้นตอนการสร้างอิมมูโนมายากลอบูลิน จำพวก อี (IgE) +ที่มากเกินไป ซึ่งเป็นสารเคมีที่ร่างกายผลิตขึ้นเมื่อได้รับสารก่อภูมิแพ้รวมทั้งเป็นตัวกระตุ้นให้อาการแย่ลง
  • กระเทียม สารอัลลิสินที่สกัดได้จากกระเทียมมีคุณลักษณะ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิต้านทานของร่างกาย ช่วยทำให้คนเจ็บไม่เป็นหวัด ช่วยบำบัดรักษาอาการโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรัง
  • ไพล เ



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ