Advertisement
โรคโปลิโอ (Poliomyelitis)โรคโปลิโอคืออะไร โรคโปลิโอค้นพบคราวแรกเมื่อ ค.ศ. 1840 โดย Jakob Heine ส่วนไวรัสโปลิโอซึ่งเป็นต้นเหตุของโรคถูกพ้นพบเมื่อ คริสต์ศักราช 1908 โดย Karl Landsteiner โรคโปลิโอ หรือ ไข้ไขสันหลังอักเสบ เป็นโรคที่สร้างความทรมาณแสนสาหัสแก่เด็กทั้งโลก ซึ่งมีผู้ป่วยในสมัยก่อนมากกว่า 350,000 รายต่อปี เนื่องจากก่อกำเนิดความพิกลพิการ ขา หรือ แขนลีบ และเสียชีวิต ซึ่งเป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสโปลิโอ โดยผู้เจ็บป่วยส่วนมากมักไม่มีอาการแสดงของโรค ส่วนในกรุ๊ปคนไข้ที่มีลักษณะอาการนั้นส่วนใหญ่จะมีลักษณะอาการเพียงแค่เล็กๆน้อยๆอย่างไม่เฉพาะและก็หายได้เองภายในช่วงเวลาไม่กี่วัน แต่จะมีคนป่วยเพียงส่วนน้อยที่จะมีอาการของกล้ามเหน็ดเหนื่อยแล้วก็เมื่อผ่านไปหลายๆปีหลังการดูแลและรักษา คนเจ็บที่เคยมีลักษณะอาการกล้ามอ่อนเพลียนี้อาจจะมีการเกิดอาการกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยซ้ำขึ้นมาอีก และก็อาจกำเนิดกล้ามเนื้อฝ่อลีบแล้วก็เกิดความพิการของข้อตามมาได้ ในตอนนี้โรคนี้ยังไม่มียารักษา แต่ว่ามีวัคซีนที่ใช้คุ้มครองป้องกันโรคได้
โรคโปลิโอ นับเป็นโรคที่มีความจำเป็นมากมายโรคหนึ่ง เนื่องจากเชื้อ ไวรัสโปลิโอ จะมีผลให้มีการอักเสบของไขสันหลังทำให้มีอัมพาตของกล้ามแขนขา ซึ่งในรายที่อาการร้ายแรงจะมีผลให้มีความพิการตลอดชีพ รวมทั้งบางรายบางทีอาจถึงเสียชีวิตได้ ในปี พุทธศักราช 2531 องค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้ทุกประเทศร่วมมือกำจัดโรคโปลิ โอ ทำให้อัตราการป่วยทั้งโลกต่ำลงไปมากถึง 99% โดยลดน้อยลงจาก 350,000 ราย (จาก 125 ประเทศทั้งโลก) ในปี พุทธศักราช 2531 เหลือเพียง 820 รายใน 11 ประเทศในปี พศาสตราจารย์ 2550 ซึ่งประ เทศที่ยังพบโรคมากมายอยู่คือ ประเทศอินเดีย (400 กว่าราย) ปากีสถาน ไนจีเรีย รวมทั้งอัฟกานิสถาน
ส่วนในประเทศไทยไม่พบคนเจ็บโรคโปลิโอมาตรงเวลาหลายปีแล้ว โดยพบรายสุดท้ายในปี พ.ศ. 2540 ที่ จังหวัด เลย แม้กระนั้นเด็กทุกคนยังคงจำต้องได้เรื่องฉีดรับวัคซีนตามมาตรการกวาดล้างโรคโปลิโอร่วมกับนานาประเทศทั่วโลก เนื่องจากว่าโปลิโอเป็นโรคร้ายแรงที่สร้างความสูญเสียทางด้านร่างกายแล้วก็เศรษฐกิจ และปัจจุบันแม้ องค์การอนามัยโลก CWHO ได้ประกาศรับรองให้เป็นประเทศที่ปราศจากโรคโปลิโอแล้วช่วงวันที่ 27 เดือนมีนาคม พุทธศักราช 2557 แต่ว่าประเทศไทยยังที่มีความเสี่ยงต่อโรคโปลิโออยู่ ด้วยเหตุว่ามีอาณาเขตติดกับประเทศที่มีการระบาดของโรคโปลิโออย่างประเทศพม่าและก็ลาวที่พึ่งเจอเชื้อโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธ์ไปเมื่อปี พ.ศ. 2558
ต้นเหตุของโรคโปลิโอ โรคโปลิโอมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอ single-stranded RNA virus ไม่มีเปลือกหุ้มจัดอยู่ใน Family Picornaviridae, Genus Enterovirus มี 3 ทัยป์ คือ ทัยป์ 1, 2 แล้วก็ 3 โดยแต่ละประเภทอาจจะก่อให้กำเนิดอัมพาตได้ พบว่า type 1 นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอัมพาตแล้วก็มีการระบาดได้หลายครั้งกว่าทัยป์อื่นๆรวมทั้งเมื่อติดเชื้อโรคชนิดหนึ่งแล้วจะมีภูมิต้านทานถาวรเกิดขึ้นเฉพาะต่อทัยป์นั้น ไม่มีภูมิคุ้มกันต่อทัยป์อื่น โดยเหตุนั้น ตามแนวความคิดนี้แล้ว คน 1 คน บางทีอาจติดโรคได้ถึง 3 ครั้ง และแต่ละทัยป์ของไวรัสโปลิโอ จะแบ่งย่อยได้อีก 2 สายพันธุ์ คือ
- สายพันธุ์รุนแรงก่อโรค (Wild strain) ซึ่งเป็นสายพันธุ์ที่อยู่ระหว่างการเฝ้าระวังและกวาดล้าง โดยตอนนี้ยังพบสายพันธุ์รุนแรงนี้ใน 2 ประเทศ คือ อัฟกานิสถานรวมทั้งประเทศปากีสถาน
- สายพันธุ์วัคซีน (Vaccine strain หรือ Sabin strain) เป็นการทำให้เชื้อไวรัสโปลิโอทั้ง 3 จำพวกย่อยอ่อนฤทธิ์ลงจนไม่สามารถที่จะทำให้เกิดโรคได้ แล้วประยุกต์ใช้เป็นวัคซีนชนิดหยด หรือที่เรียกกันว่า OPV (Oral polio vaccine) เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกาย แม้กระนั้นอย่างไรก็ตาม ไวรัสโปลิโอสายพันธุ์วัคซีนอาจมีความเคลื่อนไหวในระดับโมเลกุลจนกระทั่งสามารถนำมาซึ่งการก่อให้เกิดสายพันธุ์วัคซีนกลายพันธุ์ และก็ก่อเกิดโรคโปลิโอได้ ซึ่งการเกิดนี้มักจะกำเนิดในชุมชนที่หรูหราความครอบคลุมของวัคซีนโปลิโอออกจะต่ำเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
โดยเชื้อโปลิโอนี้จะอยู่ในลำไส้ของคนเท่านั้น ไม่มีแหล่งรังโรคอื่นๆเชื้อจะแบ่งตัวเพิ่มจำนวนได้ในไส้ของไม่มีภูมิคุ้มกันรวมทั้งอยู่ด้านในไส้ 1-2 เดือน เมื่อถูกขับถ่ายออกมาภายนอก จะไม่อาจจะเพิ่มได้ และเชื้อจะอยู่ข้างนอกร่างกายในสิ่งแวดล้อมมิได้นาน โดยเฉพาะในเขตร้อน อายุครึ่งชีวิตของไวรัสโปลิโอ (half life) ราวๆ 48 ชั่วโมง
อาการของโรคโปลิโอ เมื่อเชื้อโปลิโอเข้าสู่ร่างกายของผู้ที่ไม่มีภูมิคุ้มกัน ไวรัสจะเข้าไปเพิ่มจำนวนในบริเวณ pharynx และก็ลำไส้ สองสามวันต่อมาก็จะกระจายไปสู่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอที่ทอนซิล แล้วก็ที่ลำไส้แล้วก็เข้าสู่กระแสโลหิตทำให้มีลักษณะอาการไข้เกิดขึ้น ส่วนน้อยของเชื้อไวรัสจะผ่านจากกระแสโลหิตไปยังไขสันหลังแล้วก็สมองโดยตรง หรือเล็กน้อยบางทีอาจผ่านไปไขสันหลังโดยทางเส้นประสาท เมื่อเชื้อไวรัสเข้าไปยังไขสันหลังแล้วมักจะไปที่ส่วนของไขสันหลังหรือสมองที่ควบคุมหลักการทำงานของกล้าม เมื่อเซลล์สมองในส่วนที่ ติดโรคมีอาการอักเสบมากจนถูกทำลายไป กล้ามเนื้อที่ควบคุมโดยเซลล์ประสาทนั้นก็จะมีอัมพาตรวมทั้งฝ่อไปในที่สุด
ทั้งนี้สามารถแบ่งผู้เจ็บป่วยโปลิโอตามกลุ่มอาการได้เป็น 4 กรุ๊ปหมายถึง- กรุ๊ปผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ คนเจ็บกลุ่มนี้มีราวๆ 90 – 95% ของผู้ติดเชื้อโปลิโอทั้งหมดทั้งปวง มีความสำคัญทางด้านระบาดวิทยา เพราะเชื้อไวรัสโปลิโอที่เข้าไปจะไปเพิ่มจำนวนในลำไส้ แล้วก็ขับถ่ายออกมาเป็นเวลา 1-2 เดือน นับเป็นแหล่งแพร่โรคที่สำคัญในชุมชน
- กลุ่มคนป่วยที่มีอาการน้อยมาก (Abortive poliomyelitis) หรือที่เรียกว่า abortive case หรือ minor illness ซึ่งจะเจอได้ราวๆ 5-10% ของผู้ติดเชื้อโรคโปลิโอทั้งหมด ชอบมีลักษณะไข้ต่ำๆเจ็บคอ อ้วก เจ็บท้อง เบื่อข้าว รวมทั้งอ่อนเพลีย อาการจะเป็นอยู่ 3-4 วัน ก็จะหายเรียบร้อยโดยไม่มีอาการอัมพาต ซึ่งจะวินิจฉัยโรคแยกจากโรคติดเชื้อไวรัสอื่นมิได้
- กลุ่มผู้ป่วยที่มีลักษณะเยื่อหุ้มสมองอักเสบจากเชื้อไวรัสโปลิโอ (Nonparalytic poliomyelitis) กลุ่มนี้จะเจอได้เพียงแต่ 1% ของผู้ติดเชื้อโปลิโอทั้งปวง จะมีลักษณะอาการเหมือนกับที่เกิดจากเชื้อไวรัสอื่นๆคนป่วยจะมีลักษณะคล้าย abortive case แม้กระนั้นจะตรวจพบคอแข็งแจ่มชัด มีอาการปวดศีรษะ ปวดตามกล้ามเนื้อ เมื่อตรวจน้ำไขสันหลังก็จะพบแตกต่างจากปกติแบบการตำหนิดเชื้อไวรัส มีเซลล์ขึ้นไม่มากส่วนมากเป็นลิมโฟซัยท์ ระดับน้ำตาลแล้วก็โปรตีนปกติ หรือเปลี่ยนแปลงเพียงแค่เล็กๆน้อยๆ
- กลุ่มผู้เจ็บป่วยที่มีอาการกล้ามเหน็ดเหนื่อย (Paralytic poliomyelitis) เป็นอัมพาต กลุ่มนี้เจอได้น้อยมากจะมีอาการแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ระยะแรกคล้ายกับใน abortive case หรือเป็น minor illness เป็นอยู่ 3-4 วัน หายไป 3-4 วัน เริ่มเป็นไข้กลับมาใหม่ พร้อมด้วยมีลักษณะอาการปวดกล้ามเนื้ออาจมีการเกร็งตัวของกล้ามก่อนที่จะมีอัมพาตเกิดขึ้น กล้ามเนื้อจะเริ่มมีอัมพาตและเพิ่มกล้ามเนื้อที่มีอัมพาตอย่างรวดเร็ว โดยมากจะกำเนิดเต็มที่ภายใน 48 ชั่วโมง และจะไม่ขยายมากขึ้นวันหลัง 4 วัน เมื่อตรวจสอบรีเฟลกซ์บางครั้งบางคราวจะพบว่าหายไปก่อนที่กล้ามเนื้อจะมีอัมพาตสุดกำลัง
ลักษณะของอัมพาตในโรคโปลิโอมักจะพบที่ขามากกว่าแขนแล้วก็จะเป็นฝ่ายเดียวมากยิ่งกว่า 2 ข้าง (asymmetry) มักจะเป็นกล้ามต้นขา หรือต้นแขนมากกว่าส่วนปลาย เป็นแบบปวกเปียก (flaccid) โดยไม่มีความเคลื่อนไหวในระบบความรู้สึก (sensory) ที่พบได้ทั่วไปเป็นเป็นแบบ spinal form ที่มีอัมพาตของแขน ขา หรือกล้ามเนื้อลำตัว ในรายที่เป็นมากอาจมีอัมพาตของกล้ามส่วนลำตัวที่หน้าอกแล้วก็หน้าท้อง ซึ่งมีความจำเป็นสำหรับในการหายใจ ทำให้หายใจเองมิได้ บางทีอาจจนตายได้ถ้าเกิดช่วยไม่ทัน
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดโรคโปลิโอ โรคโปลิโอพบได้มากได้ในเด็กมากยิ่งกว่าผู้ใหญ่ โดยทั้งผู้ชายและก็หญิงได้โอกาสติดเชื้อนี้ได้เสมอกัน แล้วก็มีโอกาสติดโรคโปลิโอได้ง่าย แม้กระนั้นมีคนเจ็บน้อยมากที่จะมีลักษณะอาการกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง เชื้อไวรัสจำพวกนี้จะเติบโตอยู่ในลำไส้ เชื้อก็เลยถูกขับออกจากร่างกายมาพร้อมกับอุจจาระและก็แพร่ไปสู่คนอื่นๆผ่านการกินอาหารหรือกินน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ป่วย ซึ่งมีต้นเหตุจากการขับถ่ายที่ผิดความถูกอนามัยและไม่ล้างมือก่อนที่จะกินอาหาร โรคนี้ก็เลยพบบ่อยมากมายในประเทศที่ล้าหลังแล้วก็กำลังพัฒนาที่ขาดการดูแลเรื่องสุขอนามัยที่ดี
ทั้งยังผู้ที่ไม่ได้รับการฉีดวัคซีนโปลิโอนั้น จะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อยิ่งขึ้นถ้าอยู่ในข้างในกลุ่มเสี่ยงดังนี้
หญิงตั้งท้องและก็คนที่มีภูมิต้านทานอ่อนแอ ดังเช่นว่า ผู้ติดโรคเอชไอวี แล้วก็เด็กตัวเล็กๆซึ่งจะมีความไวต่อการได้รับเชื้อโปลิโอ
เดินทางไปยังพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดของเชื้อโปลิโอหรือพึ่งมีการระบาดของโรคเมื่อเร็วๆนี้
เป็นผู้ดูแลหรืออาศัยอยู่กับผู้ติดโรคโปลิโอ
ทำงานในห้องทดลองที่สัมผัสสนิทสนมกับเชื้อไวรัส
ผู้ที่ผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออกไป
กรรมวิธีการรักษาโรคโปลิโอ แพทย์จะวินิจฉัยโรคโปลิโอด้วยการไต่ถามอาการจากผู้เจ็บป่วยว่ารู้สึกปวดบริเวณข้างหลังแล้วก็คอ หรือมีปัญหาเกี่ยวกับการกลืนหรือหายใจไหม ตรวจตราปฏิกิริยาสะท้อนกลับของร่างกาย รวมถึงการตรวจทางเรือเหลือง โดยเก็บตัวอย่างในช่วงระยะฉับพลันและก็ระยะแฝงของโรค ตรวจสารภูมิคุ้มกัน IgM หรือ IgG นอกจากนั้นเพื่อรับรองให้แน่ใจอาจมีการตรวจค้นเชื้อไวรัสโปลิโอด้วยการเก็บตัวอย่างสารคัดหลั่งจากลำคอ อุจจาระ หรือน้ำหล่อเลี้ยงสมองและไขสันหลังส่งไปทำการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ในกรณีคนไข้ที่มีลักษณะกล้ามเนื้ออัมพาตแบบอ่อนปวกเปียก (acute flaccid paralysis : AFP) หมอจะดำเนินการสืบสวนโรค พร้อมกับเก็บอุจจาระส่งไปเพื่อทำการตรวจเพื่อ แยกเชื้อโปลิโอ การวิเคราะห์ที่แน่นอนเป็น แยกเชื้อโปลิโอได้จากอุจจาระ แล้วก็ทำตรวจว่าเป็นทัยป์ใดเป็นสายพันธุ์ wild strain หรือ vaccine strain (Sabin strain)
การเก็บอุจจาระส่งไปเพื่อทำการตรวจจะเก็บ 2 ครั้ง ห่างกันอย่างน้อย 1 วัน ต้องเก็บให้เร็วด้านใน 1-2 สัปดาห์ภายหลังที่เจอมีอาการ AFP ซึ่งเป็นตอนๆที่มีปริมาณไวรัสในอุจจาระมากกว่าระยะอื่นๆการจัดส่งอุจจาระเพื่อส่งไปตรวจจะต้องให้อยู่ในอุณหภูมิ 4-8๐ ซ ตลอดเวลา มิฉะนั้นเชื้อโปลิโออาจตายได้ ตอนนี้
โรคโปลิโอยังไม่มีแนวทางรักษาให้หายขาด หมอสามารถให้การรักษาคนไข้ตามอาการ รวมทั้งช่วงนี้ก็ยังไม่มียารักษาโรคโปลิโอโดยยิ่งไปกว่านั้น การรักษาจะเป็นแบบทะนุถนอม เป็นต้นว่า ให้ยาลดไข้ และก็ลดอาการปวดของกล้ามเนื้อ ในรายที่มีอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อแขน ขา แนวทางการทำกายภาพ บรรเทาจะช่วยฟื้นฟูสมรรถนะของกล้ามเนื้อให้ดีขึ้น
สำหรับเพื่อการรักษาผู้ป่วยกรุ๊ปอาการหลังกำเนิดโรคโปลิโอ (Post-polio syndrome – PPS) การรักษาหลักจะย้ำไปที่การทำกายภาพบำบัดมากกว่า ดังเช่นว่า การใส่อุปกรณ์ช่วยยึดลำตัว เครื่องมือช่วยสำหรับเพื่อการเดิน อุปกรณ์ที่ช่วยป้องกันข้อบิดผิดรูปผิดรอยหรือบางทีอาจใช้การผ่าตัดช่วย การฝึกบอกและก็ฝึกหัดกลืนในผู้ป่วยที่มีปัญหา การออกกำลังกายที่เน้นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อภายใต้ข้อแนะนำที่ถูกต้องจากหมอหรือนักกายภาพบำบัด การใช้เครื่องช่วยหายใจในขณะหลับถ้าหากผู้ป่วยมีปัญหาเรื่องการหยุดหายใจในขณะหลับ รวมถึงการดูแลทางด้านอารมณ์และก็จิตใจของผู้ป่วยร่วมด้วย
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคโปลิโอ- หากได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคโปลิโอไม่ว่ามีอาการอยู่ในกลุ่มใด ถ้าหมอให้กลับไปอยู่ที่บ้านเครือญาติต้องระวังการแพร่เชื้อสู่บุคคลในบ้าน เพราะเหตุว่าผู้ป่วยจะสามารถขับเชื้อออกมาทางอุจจาระได้นานถึงราว 3 เดือนข้างหลังติดโรค และหากว่าคนไข้มีสภาวะภูมิคุ้มกันต่อต้าน ทานโรคบกพร่องด้วยแล้วจะสามารถกระจายเชื้อได้นานถึงราว 1 ปี โดยให้พี่น้องดูแลหัวข้อการขับ ถ่ายของคนเจ็บให้ถูกสุขลักษณะ การล้างมือทุกหนหลังเข้าห้องสุขาแล้วก็ก่อนจับจับของกินเข้าปาก การกินของกินปรุงสุกใหม่เสมอ การล้างผักผลไม้ให้สะอาดและก็ปอกเปลือกผลไม้ก่อนกิน และถ้าหากบุคคลในบ้านคนใดยังไม่เคยรับวัคซีนโปลิโอ ก็ให้หารือแพทย์เพื่อรับวัคซีนให้ครบ
- ให้ผู้เจ็บป่วยรับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ครบทั้งยัง 5 หมู่
- แม้ผู้เจ็บป่วยมีอาการกล้ามเมื่อยล้าให้พี่น้องช่วยทำกายภาพบำบัดเพื่อเกื้อหนุนทักษะการเคลื่อนไหว และก็เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อตามข้อเสนอของนักกายภาพบำบัด
- พี่น้องควรดูแลและก็ใส่ใจผู้ป่วย รวมถึงดูแลทางด้านสภาวะจิตใจ สภาพการณ์ทางอารมณ์ของคนป่วยแล้วก็ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยด้วย
- พี่น้องควรพาผู้ป่วยไปพบหมอตามนัดหมายอย่างเคร่งครัด หรือ ถ้าเกิดมีลักษณะอาการเปลี่ยนไปจากปกติที่เกิดอันตราย ก็ควรพาไปพบหมอโดยเร่งด่วน
การปกป้องคุ้มครองโรคโปลิโอ- โรคโปลิโอสามารถคุ้มครองได้ด้วยวัคซีน ซึ่งวัคซีนที่มีใช้ ทั่วโลกมี 2 จำพวกหมายถึง
- วัคซีนโปลิโอชนิดรับประทาน (Oral Poliomyelitis Vaccine: OPV, Sabin) การกวาดล้าง ในประเทศไทย โรคโปลิโอ H T กรุ๊ปโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน สำนักโรคติดต่อทั่วๆไป Albert Bruce Sabin M.D. Jonas Edward Salk M.D. เป็นวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นอ่อนฤทธิ์ (attenuated live oral poliomyelitis vaccine) สายพันธุ์ Sabin สร้างสรรค์โดย Albert Bruce Sabin คนประเทศอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2504 วัคซีนประกอบด้วยเชื้อ ไวรัสโปลิโอ 3 ทัยป์เป็นทัยป์ 1, 2 รวมทั้ง 3 ให้วัคซีนโดยการรับประทานเป็นการเอาอย่างการตำหนิดเชื้อ ตามธรรมชาติ ที่สามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันที่เยื่อบุลำคอแล้วก็ไส้ของคนรับวัคซีน แล้วก็สามารถแพร่เชื้อ วัคซีนไปกระตุ้นภูมิต้านทานให้กับผู้สัมผัสสนิทสนมได้อีกด้วย ปัจจุบันวัคซีนโปลิโอประเภทรับประทานนี้ถือว่าเป็น อุปกรณ์สำคัญในการกำจัดโรคโปลิโออย่างยิ่ง เนื่องจากว่าสามารถคุ้มครองและก็กำจัดเชื้อโปลิโอสายพันธุ์ ก่อโรคได้อย่างดีเยี่ยม แพงถูกรวมทั้งมีวิธีการให้วัคซีนง่าย แม้กระนั้นมีข้อเสีย เป็นอาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง เหมือนโรคโปลิโอ (Vaccine Associated Paralytic Polio: VAPP) ซึ่งเกิดขึ้นน้อยมาก ราว 1 ใน 2.7 ล้านโด้ส หรือบางทีอาจเกิดการกลายพันธุ์ (Vaccine Derive Polio Virus: VDPV) จนถึงก่อ โรคได้ในพื้นที่ที่มีความครอบคลุมของการได้รับวัคซีนต่ำ
- วัคซีนโปลิโอจำพวกฉีด (Inactivated Poliomyelitis Vaccine: IPV, Salk) เป็นวัคซีนที่ทำมาจากเชื้อไวรัสโปลิโอที่ตายแล้ว (kill vaccine) สร้างสรรค์โดย Jonas Edward Salk ชาว อเมริกัน เมื่อปี พุทธศักราช 2498 วัคซีนประเภทนี้ประกอบด้วยเชื้อโปลิโอ 3 ทัยป์ ให้วัคซีนโดยการฉีด
ในตอนนี้เมืองไทยมีการใช้วัคซีนโปลิโอในแผนงานเสริมสร้างภูมิต้านทานโรค โดยให้วัคซีน OPV 5 ครั้ง เมื่ออายุ 2, 4, 6 เดือน 1 ปีครึ่ง แล้วก็ 4 ปี แล้วก็ให้วัคซีน IPV 1 ครั้ง เมื่ออายุ 4 เดือน
- คุ้มครองปกป้องการต่อว่าดเชื้อแล้วก็การแพร่กระจายของเชื้อโปลิโอ ด้วยการกินอาหารและก็ดื่มน้ำสะอาดถูกสุขลักษณะ และการขี้ลงส้วมที่ถูกสุขลักษณะทุกคราว
- ภายหลังเข้าไปคลุกคลีสนิทสนมผู้ป่วยโรคโปลิโอ หรอเข้าไปดูแลเปลี่ยนผ้าให้แก่คนป่วยควรล้ามือด้วยสบู่ทุกคราว
- เมื่ออยู่ภายในเขตพื้นที่มีการระบาดของโรคโปลิโอ ควรจะดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรงปฏิบัติตามหลักสุขข้อบังคับให้เข้มงวด
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาโรคโปลิโอ เนื่องมาจากโรคโปลิโอเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไวรัสที่มีการติดต่อได้ง่าย และในผู้เจ็บป่วยที่มีความร้ายแรงของโรคนั้นอาจก่อให้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพได้ ซึ่งในปัจจุบันนั้นยังไม่มียาที่ใช้รักษาโรคโปลิโอให้หายได้ รวมทั้งยังไม่มีข้อมูลว่ามีสมุนไพรชนิดไหนที่ใช้รักษาหรือบรรเทาลักษณะของโรคโปลิโอได้เช่นเดียวกัน
เอกสารอ้างอิง- การกวาดล้างโรคโปลิโอในประเทศไทย.กลุ่มโรคติดต่อที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีนสำนักโรคติดต่อทั่วไป.วารสาร ดร.สัมพันธ์.ปีที่ 3.ฉบับที่ 4.เมษายน-พฤษภาคม 2559.หน้า 2-3
- โปลิโอ.อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โปลิโอ (Poliomyelitis)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 571-572.
- Paul JR (1971). A History of Poliomyelitis. Yale studies in the history of science and medicine. New Haven, Conn: Yale University Press. pp. 16– ISBN 0-300-01324-8. http://www.disthai.com/[/b]
- Cohen JI (2004). "Chapter 175: Enteroviruses and Reoviruses". In Kasper DL, Braunwald E, Fauci AS, et al. (eds.). Harrison's Principles of Internal Medicine (16th ed.). McGraw-Hill Professional. p. ISBN 0-07-140235-7.
- โรคโปลิโอ(Poliomyelitis).ความรู้เรื่องโรคติดต่อ.สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข
- Ryan KJ, Ray CG (eds.) (2004). "Enteroviruses". Sherris Medical Microbiology (4th ed.). McGraw Hill. pp. 535– ISBN 0-8385-8529-9.
- Jeffrey I. Cohen, enteroviruses and reoviruses, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
- โรคโปลิโอ(Polio).สำนักโรคติดต่อทั่วไป.กรมควบคุมโรค.กระทรวงสาธารณสุข.