Advertisement
กลุ่มบุคคลผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค- ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ที่พบบ่อยคือคนไข้เอดส์ (ได้โอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงชีวิตถึงจำนวนร้อยละ 50 หรือมากกว่าร้อยละ 10 ต่อปี) โรคเบาหวาน ไตวาย ผู้ที่รับประทานยาสตีรอยด์นานๆหรือใช้ยาเคมีบำบัดรักษา ผู้ป่วยติดโรคบางประเภท (ดังเช่น ฝึกฝน โรคไอกรน ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น) คนที่บากบั่นงานหนักหรือมีความเคร่งเครียดสูง
- ผู้ติดสิ่งเสพติดหรือแอลกอฮอล์
- คนที่มีสภาวะไม่ได้กินอาหาร คนพเนจร
- คนที่อยู่ในสถานที่ยัดเยียด การถ่ายเทอากาศไม่ดี ยกตัวอย่างเช่น เรือนจำ ศูนย์อพยพ เป็นต้น
- คนที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนไข้เป็นระยะนาน ได้แก่ สมาชิกในบ้านคนเจ็บ เพื่อนร่วมห้องพัก หรือห้องทำงาน
- พนักงานสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลคนป่วย
- คนวัยชรา (เจออุบัติการณ์สูงในกลุ่มวัยมากยิ่งกว่า 65 ปี)
- ทารกแรกเกิด
วิธีการรักษา
วัณโรค ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งส่วนใดมักไม่มีอาการแสดงที่แจ่มกระจ่าง การวินิจฉัยจึงจำเป็นที่จะต้องใช้หลักฐานหลายสิ่งหลายอย่างประกอบกันตั้งแต่ประวัติการสัมผัสวัณโรค อาการแสดง ยกตัวอย่างเช่น ไข้ต่ำๆเบื่อข้าว น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่เฉพาะเจาะจง คนป่วยมีลักษณะป่วยรวมทั้งไอนานเกิน 1-2 อาทิตย์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงลักษณะการทำงานของปอดในช่วงเวลาที่หายใจ
ต่อจากนั้นแพทย์บางทีอาจทำตรวจพื้นฐานด้วยวิธีการตรวจคัดกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้วิธีการของการโต้ตอบโดยกลไกภูมิต้านทานของร่างกายที่จะสามารถให้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยหมอจะกระทำการฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน ต่อจากนั้นราว 48-72 ชั่วโมง ต้องกลับมาให้หมอหรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าหากบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มิลลิเมตร แปลว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดโรค (ให้ผลลบ) แต่หากบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มม.ขึ้นไป หมายความว่าบุคคลคงจะติดโรควัณโรค (ได้ผลบวก) และจะต้องกระทำตรวจอื่นๆ
ทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยวิเคราะห์วัณโรคตัวอย่างเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดอย่างเช่น เจอการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรทำในคนเจ็บทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย ยืนยันการวิเคราะห์ โดยจะเก็บเสลดตอนเวลาเช้าหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว 3 วันติดต่อกัน จะทราบผลข้างในราว 30 นาที แม้กระนั้นมีข้อเสียเป็น แนวทางแบบนี้มีโอกาสตรวจพบเชื้อวัณโรคได้เพียงโดยประมาณกึ่งหนึ่งของผู้เจ็บป่วย เพียงแค่นั้น เพราะฉะนั้นผู้เจ็บป่วยที่ตรวจไม่เจอเชื้อวัณโรคในเสมหะก็ยังบางทีอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสลด จุดเด่นก็คือ วิธีแบบนี้สามารถตรวจเจอเชื้อได้มากถึง 80 - 90% ของคนป่วย แต่จำเป็นต้องใช้เวลาราวๆสองเดือนจึงทราบผล
เมื่อแพทย์วิเคราะห์ว่าเป็นวัณโรคปอด หมอจะให้ยารักษาวัณโรค โดยธรรมดาจะนิยมใช้สูตรยากิน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 ชนิด อย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราสิท้องนาไมด์ (pyrazinamide) และอีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายบางทีอาจใช้ สเตรปโตไมสินจำพวกฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ประเภท ได้แก่ ไอเอ็นเอช แล้วก็ไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน
หมอจะย้ำเตือนให้คนไข้รับประทานยาให้ตามกำหนดทุกเมื่อเชื่อวัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน สั่งย้ำให้พี่น้องดูแลให้คนป่วยรับประทานยาได้เป็นประจำ ไม่เช่นนั้นอาจจะก่อให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่ได้ผล หรือจำเป็นต้องแปรไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น ส่วนผู้ป่วยที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด นอกจากให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ยังต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนสูตรยาที่แตกต่างออกไป) เป็นเวลานาน 9 เดือน
หมอจะนัดหมายผู้เจ็บป่วยมาติดตามผลการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยธรรมดาเมื่อใช้ยาได้ 2 อาทิตย์ ลักษณะของการมีไข้และไอจะเริ่มดีขึ้นกว่าเดิม กินข้าวได้ และก็น้ำหนักขึ้น
แพทย์จะทำการตรวจเสลด (ดูว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นระยะๆอาทิเช่น เมื่อกินยาครบ 2 เดือน 5 เดือน รวมทั้งเมื่อสิ้นสุดการใช้ยารักษา นอกจากนั้นบางทีอาจกระทำเอกซเรย์ปอดดูว่ารอยโรคหายดีหรือยัง
ส่วนคนที่เป็นกรุ๊ปมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ อาทิเช่น ผู้เจ็บป่วยดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์เสมอๆ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เมื่อรับประทานยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจส่งผลให้ตับอักเสบได้ หมอจะทำการตรวจเลือดดูระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (AST, ALT) เพื่อมองว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นไหม
ดังนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทยหมายถึงการเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การดูแลรักษาหายสนิทเป็นได้ยากขึ้น แล้วก็บางทีอาจเกิดภาวะแทรกถึงชีวิตได้ทั้งในเด็กและก็ผู้ใหญ่ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากการกินยาที่ไม่สม่ำเสมอของคนป่วยอันเนื่องมาจากปัญหาหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น การที่จำต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน (อย่างต่ำ 6 เดือน) ทำให้คนไข้ที่มีอาการดีขึ้นบางส่วนหยุดยาไหมมีตามนัด หรือในรายที่บางทีอาจทนผลข้างเคียงของยาไม่ได้จึงหยุดยาเอง ฯลฯ
การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่ไปได้ทางอากาศ จากคนป่วยที่เป็นวัณโรคปอดแล้วก็กล่องเสียง การตำหนิดเชื้อมีสาเหตุมาจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของผู้เจ็บป่วย ซึ่งมีต้นเหตุจากการไอหรือจาม พูดหรือร้องเพลง เป็นต้น การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากมายราว1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อจึงสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้นานแล้วก็ไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบฟุตบาทหายใจที่ถุงลมของปอดแล้วก็บางทีอาจเกิดการติดเชื้อโรคที่ปอดและก็แพร่กระจายเชื้อสู่อวัยวะต่างๆภายในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสเลือดได้
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อขึ้นกับจำนวน หรือความเข้มข้นของเชื้อในอากาศรวมทั้งระยะเวลาสำหรับเพื่อการสัมผัสเชื้อคืออยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียวกันกับคนไข้เป็นวันหรือสัปดาห์ เช่นอยู่ห้องเดียวกัน ฯลฯ วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อที่มีลักษณะพิเศษคือ คนไข้ที่ติดโรคหรือรับเชื้อเข้าไปภายในร่างกายทุกรายไม่จำเป็นที่ต้องเจ็บป่วยเป็น ไม่มีอาการรวมทั้งอาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การต่อว่าดเชื้อเวลานี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะปกปิด/ระยะแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection) เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อไปเสี่ยงต่อโรคได้ประมาณ ปริมาณร้อยละ 10ซึ่งประมาณปริมาณร้อยละ 5 (หรือราวๆ ร้อยละ50) มีโอกาสเป็นโรคในช่วง 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกปริมาณร้อยละ 5 จะได้โอกาสเป็นโรคต่อไปหากร่างกายมีระบบภูมิคุ้มกันปกติ ในกรุ๊ปที่มีภูมิคุ้มกันภายในร่างกายบกพร่องจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าร้อยละ 10
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค- กินยาให้สม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์ หากระหว่างการรักษามีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ทันที ห้ามหยุดยาเอง หรือเปลี่ยนที่รักษาใหม่หลังกินยา 2-3 เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้นแต่อาการที่ดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยหายจากโรคแล้ว ต้องกินยาจนแพทย์มีความเห็นว่าหายขาดและสั่งให้หยุดยา ถ้าด่วนหยุดยาเองโรคจะกำเริบและเชื้ออาจดื้อยาที่เคยรักษาอยู่ ทำให้รักษาหายยากขึ้น
- ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
- บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ทำลายเชื้อโรคในเสมหะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
- งดสิ่งเสพติดเช่น เหล้า บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประ โยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
- ให้บุคคลใกล้ชิดเช่น คนในบ้านพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเอกซเรย์ปอด ซึ่งในผู้ใหญ่ ถ้าผลเอ็กซเรย์ไม่พบความผิดปกติจะถือว่าไมเป็นวัณโรค[/url]ไม่จำเป็นต้องมีการรักษา แต่ในเด็ก เล็ก ถึงแม้จะไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
- ในช่วงแรกของการรักษา (โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก) จะถือเป็นระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจึงควรแยกตัวออกให้ห่างจากผู้อื่น โดยการอยู่แต่ในบ้าน แยกห้องนอน ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน ภายในห้องควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและให้แสงแดดส่องถึง (เนื่องจากแสงแดดและความร้อนจะทำลายเชื้อวัณโรคได้ดี) หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดด และไม่ออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้ยังควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหากด้วย (หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่นหรือเข้าไปในที่ชุมชน ควรสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเสมอ)
- ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกลับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรแยกตัวออกห่างจากคนเหล่านี้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคแล้ว
การป้องกันตนเองจากวัณโรค - ถ้ามีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำๆโดยเฉพาะตอนบ่ายๆหรือค่ำๆ เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบไปรับการตรวจรักษาโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ
- รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
- ประชาชนทั่วไป ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซ์เรย์ปอดหรือตรวจเสมหะ (AFB) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รีบรักษาก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
- ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรกำชับให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงที่ผู้ป่วยยังกินยารักษาวัณโรคได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ หรือยังไม่หายจากอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการนอนในห้องเดียวกับผู้ป่วย และถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเสมอ รวมถึงต้องล้างมือทุกครั้งหลังการสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของๆผู้ป่วย
- ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับผู้ป่วย แม้ว่าจะยังรู้สึกสบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจทูเบอร์คูลิน ถ้าพบว่าให้ผลเป็นบวกซึ่งแสดงว่าเป็นผู้ติดเชื้อวัณโรค
- ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) (Beeilus Calmette Guerin)ให้ทารกแรกเกิดทุกราย วัคซีนชนิดนี้มีผลในการป้องกันวัณโรค ชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจีมาแล้วก็ยังมี โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้
ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้ ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า
เอกสารอ้างอิง- แนวทางการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ พ.ศ.2556. สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม.2556.พิมพ์ที่สำนักกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมรารูปถัมภ์.186 หน้า
- นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์.วัณโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 323.คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง.มีนาคม 2549
- วัณโรค-อาการ,สาเหตุ,การรักษา http://www.disthai.com/[/b]
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “วัณโรคปอด (Tuberculosis)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 424-429.
- วัณโรค.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
- วัณโรคปอด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 380.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม 2553
- รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาสถานการณ์วัณโรคและโรคเอดส์ปี2550-2555สำ นักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.
- กระทรวงสาธารณสุข.แนวทางระดับชาติ:ยุทธศาสตร์การผสมผสานการดำ เนินงานวัณโรคและโรคเอดส์เพื่อการควบคุมและป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่2กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2546
- ศิริลักษณ์ อภิวาณิชย์,ถนอมวงศ์ มัณฑจิตร์ ,กำธร มาลาธรรม.การเฝ้าระวังการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรในทีมสุขภาพโรงพยาบาลรามาธิบดี.วารสารรามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่18ฉบับที่2.กันยายน-ธันวาคม 2555.หน้า273-286
- Jarvis, W. (2007). Tuberculosis. In W. R. Jarvis (Ed.), Bennett & Brachman's hospital infections (pp.539-560). Philadelphia: Lippincott Williams &Wilkins.
- วัณโรค.แผ่นพับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะกรรมการแผ่นพันเพื่อการประชาสัมพันธ์.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2552.
- เจริญ ชูโชติถาวร. (2548). โรคติดเชื้อ ใน พรรณทิพย์ ฉายากุล และคณะ (บก.), ตําาราโรคติดเชื้อ 1 (หน้า 683-719). กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง
- Centers for Disease Control and (2005a). Guidelinesfor preventing the transmission of Mycobacterium tuberculosis in health-care settings, 2005. Retrieved March 16, 2011, from Morbidity and Mortality Weekly Report Web site:
- Kumar V, Abbas AK, Fausto N, Mitchell RN (2007). Robbins Basic Pathology (8th ed.). Saunders Elsevier. pp. 516– ISBN 978-1-4160-2973-1.