โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 14 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 28, 2018, 10:02:48 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


กลุ่มบุคคลผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค

  • ผู้ที่มีภูมิต้านทานต่ำ ที่พบได้มากเป็นผู้เจ็บป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (มีโอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงชีวิตถึงปริมาณร้อยละ 50 หรือมากกว่าปริมาณร้อยละ 10 ต่อปี) เบาหวาน ไตวาย ผู้ที่กินยาสตีรอยด์นานๆหรือใช้ยาเคมีบำบัด ผู้เจ็บป่วยติดโรคบางชนิด (ตัวอย่างเช่น หัด ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ เป็นต้น) คนที่บากบั่นงานหนักหรือมีความเคร่งเครียดสูง
  • ผู้ติดสิ่งเสพติดหรือแอลกอฮอล์
  • คนที่มีภาวการณ์ขาดอาหาร คนร่อนเร่
  • ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัดคับแคบ การถ่ายเทอากาศไม่ดี เป็นต้นว่า เรือนจำ ศูนย์อพยพ ฯลฯ
  • ผู้ที่สัมผัสสนิทสนมกับคนไข้เป็นระยะนาน เช่น สมาชิกในบ้านผู้เจ็บป่วย เพื่อนที่เรียนห้องเดียวกันพัก หรือห้องทำงาน
  • พนักงานสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลผู้เจ็บป่วย
  • คนชรา (พบอุบัติการณ์สูงในกลุ่มอายุมากกว่า 65 ปี)
  • ทารกแรกเกิด

แนวทางการรักษาวัณโรค ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งส่วนใดมักไม่มีอาการแสดงที่ชัดแจ้ง การวินิจฉัยก็เลยจำเป็นที่จะต้องใช้หลักฐานหลายแบบประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง ได้แก่ ไข้ต่ำๆไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่จำเพาะ คนไข้มีอาการไม่สบายและก็ไอนานเกิน 1-2 สัปดาห์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงการทำงานของปอดในขณะหายใจ
แล้วต่อจากนั้นหมออาจกระทำการตรวจพื้นฐานด้วยแนวทางตรวจคัดเลือกกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้หลักการของการโต้ตอบโดยกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 อาทิตย์ ภายหลังที่ได้รับเชื้อวัณโรคไปสู่ร่างกาย โดยแพทย์จะกระทำฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน ต่อไปราวๆ 48-72 ชั่วโมง จำต้องกลับมาให้แพทย์หรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา ถ้าเกิดรอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มม. แสดงว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อโรค (ได้ผลลบ) แต่ถ้าเกิดบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มม.ขึ้นไป แปลว่าบุคคลน่าจะติดโรควัณโรค (ให้ผลบวก) รวมทั้งจะต้องทำการตรวจอื่นๆ
ทางห้องทดลองที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคอาทิเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดเป็นต้นว่า พบการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรทำในคนเจ็บทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย รับรองการวิเคราะห์ โดยจะเก็บเสลดตอนเวลาเช้าหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว 3 วันติดต่อกัน จะทราบผลข้างในโดยประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสียคือ วิธีนี้มีโอกาสตรวจเจอเชื้อวัณโรคได้เพียงแต่โดยประมาณครึ่งหนึ่งของคนเจ็บ เพียงแค่นั้น ด้วยเหตุนั้นคนป่วยที่ตรวจไม่เจอเชื้อวัณโรคในเสมหะก็ยังบางทีอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสลด จุดเด่นก็คือ วิธีนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้มากถึง 80 - 90% ของผู้เจ็บป่วย แต่ต้องใช้เวลาราวๆสองเดือนจึงทราบผล
เมื่อหมอวินิจฉัยว่าเป็นวัณโรคปอด หมอจะให้ยารักษาวัณโรค โดยทั่วไปจะนิยมใช้สูตรยารับประทาน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 ชนิด อย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราสิที่นาไมด์ (pyrazinamide) รวมทั้งอีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายบางทีอาจใช้ สเตรปโตไมซินประเภทฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 จำพวก ได้แก่ ไอเอ็นเอช และก็ไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน
    แพทย์จะย้ำเตือนให้ผู้เจ็บป่วยกินยาให้ทันเวลาทุกวัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน กำชับให้เครือญาติดูแลให้คนไข้รับประทานยาได้เป็นประจำ ไม่เช่นนั้นอาจก่อให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่ได้ผล หรือจะต้องแปรไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น    ส่วนผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด เว้นแต่ให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ยังจำเป็นต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนแปลงสูตรยาที่ไม่เหมือนกันออกไป) เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 9 เดือน
    หมอจะนัดหมายคนป่วยมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยธรรมดาเมื่อใช้ยาได้ 2 อาทิตย์ อาการไข้รวมทั้งไอจะเริ่มทุเลา ทานข้าวได้ รวมทั้งน้ำหนักขึ้น
    หมอจะทำตรวจเสลด (มองว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นช่วงๆเป็นต้นว่า เมื่อกินยาครบ 2 เดือน 5 เดือน และเมื่อสิ้นสุดการใช้ยารักษา นอกจากนั้นบางทีอาจกระทำการเอกซเรย์ปอดมองว่ารอยโรคหายดีหรือยัง
    ส่วนผู้ที่เป็นกรุ๊ปมีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ ได้แก่ ผู้ป่วยดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บ่อยๆ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรือแก่กว่า 35 ปี เมื่อกินยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจจะเป็นผลให้ตับอักเสบได้ แพทย์จะกระทำการตรวจเลือดมองระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (AST, ALT) เพื่อมองว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือเปล่า
ดังนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทย คือ การเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การดูแลและรักษาหายขาดเป็นได้ยากขึ้น และก็บางทีอาจเกิดภาวะเข้าแทรกถึงชีวิตได้ในเด็กและคนแก่ ส่วนหนึ่งส่วนใดมาจากการกินยาที่ไม่บ่อยนักของผู้ป่วยอันเนื่องมาจากปัญหาหลายประเภท อย่างเช่น การที่จะต้องรับประทานยาเป็นระยะเวลานาน (อย่างต่ำ 6 เดือน) ทำให้คนป่วยที่มีอาการดีขึ้นบางส่วนหยุดยาหรือเปล่ามีตามนัด หรือในรายที่บางทีอาจทนผลกระทบของยาไม่ได้ก็เลยหยุดยาเอง เป็นต้น
การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่ระบาดได้ทางอากาศ จากคนเจ็บที่เป็นวัณโรคปอดรวมทั้งกล่องเสียง การต่อว่าดเชื้อมีเหตุที่เกิดจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของผู้เจ็บป่วย ซึ่งมีเหตุที่เกิดจากการไอหรือจาม กล่าวหรือร้อง เป็นต้น การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากโดยประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อก็เลยสามารถลอยอยู่กลางอากาศได้นานรวมทั้งไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบทางเท้าหายใจที่ถุงลมของปอดและบางทีอาจมีการติดเชื้อที่ปอดแล้วก็แพร่ขยายเชื้อสู่อวัยวะต่างๆภายในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสเลือดได้
                สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อขึ้นกับปริมาณ หรือความเข้มข้นของเชื้อในอากาศแล้วก็ช่วงเวลาสำหรับการสัมผัสเชื้อคืออยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับผู้เจ็บป่วยเป็นวันหรืออาทิตย์ ได้แก่อยู่ห้องเดียวกัน เป็นต้น วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อโรคที่มีลักษณะพิเศษเป็น ผู้ป่วยที่ติดโรคหรือรับเชื้อเข้าไปภายในร่างกายทุกรายไม่จำเป็นต้องป่วยเป็น ไม่มีอาการและก็อาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การตำหนิดเชื้อเวลานี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะปกปิด/ระยะแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection)  เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อไปเสี่ยงต่อการเกิดโรคได้โดยประมาณ ร้อยละ 10ซึ่งราวร้อยละ 5  (หรือโดยประมาณ ร้อยละ50) มีโอกาสเป็นโรคในตอน 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกจำนวนร้อยละ 5   จะมีโอกาสเป็นโรคจากนั้นถ้าหากร่างกายมีระบบระเบียบภูมิต้านทานปกติ ในกรุ๊ปที่มีภูมิคุ้มกันในร่างกายขาดตกบกพร่องจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากยิ่งกว่าจำนวนร้อยละ 10
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค

  • กินยาให้สม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์ หากระหว่างการรักษามีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ทันที ห้ามหยุดยาเอง หรือเปลี่ยนที่รักษาใหม่หลังกินยา 2-3 เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้นแต่อาการที่ดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยหายจากโรคแล้ว ต้องกินยาจนแพทย์มีความเห็นว่าหายขาดและสั่งให้หยุดยา ถ้าด่วนหยุดยาเองโรคจะกำเริบและเชื้ออาจดื้อยาที่เคยรักษาอยู่ ทำให้รักษาหายยากขึ้น
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
  • บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ทำลายเชื้อโรคในเสมหะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • งดสิ่งเสพติดเช่น เหล้า บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประ โยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
  • ให้บุคคลใกล้ชิดเช่น คนในบ้านพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเอกซเรย์ปอด ซึ่งในผู้ใหญ่ ถ้าผลเอ็กซเรย์ไม่พบความผิดปกติจะถือว่าไม่เป็นวัณโรคไม่จำเป็นต้องมีการรักษา แต่ในเด็ก เล็ก ถึงแม้จะไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
  • ในช่วงแรกของการรักษา (โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก) จะถือเป็นระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจึงควรแยกตัวออกให้ห่างจากผู้อื่น โดยการอยู่แต่ในบ้าน แยกห้องนอน ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน ภายในห้องควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและให้แสงแดดส่องถึง (เนื่องจากแสงแดดและความร้อนจะทำลายเชื้อวัณโรคได้ดี) หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดด และไม่ออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้ยังควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหากด้วย (หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่นหรือเข้าไปในที่ชุมชน ควรสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเสมอ)
  • ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกลับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรแยกตัวออกห่างจากคนเหล่านี้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคแล้ว

การป้องกันตนเองจากวัณโรค

  • ถ้ามีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่เป็นวัณโรค[/url] เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำๆโดยเฉพาะตอนบ่ายๆหรือค่ำๆ เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบไปรับการตรวจรักษาโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
  • ประชาชนทั่วไป ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซ์เรย์ปอดหรือตรวจเสมหะ (AFB) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รีบรักษาก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
  • ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรกำชับให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงที่ผู้ป่วยยังกินยารักษาวัณโรคได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ หรือยังไม่หายจากอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการนอนในห้องเดียวกับผู้ป่วย และถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเสมอ รวมถึงต้องล้างมือทุกครั้งหลังการสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของๆผู้ป่วย
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับผู้ป่วย แม้ว่าจะยังรู้สึกสบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจทูเบอร์คูลิน ถ้าพบว่าให้ผลเป็นบวกซึ่งแสดงว่าเป็นผู้ติดเชื้อวัณโรค
  • ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) (Beeilus Calmette Guerin)ให้ทารกแรกเกิดทุกราย วัคซีนชนิดนี้มีผลในการป้องกันวัณโรค ชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจีมาแล้วก็ยังมี โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้

ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ  พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า
เอกสารอ้างอิง

  • แนวทางการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ พ.ศ.2556. สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม.2556.พิมพ์ที่สำนักกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมรารูปถัมภ์.186 หน้า
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์.วัณโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 323.คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง.มีนาคม 2549
  • วัณโรค-อาการ,สาเหตุ,การรักษา http://www.disthai.com/[/b]
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “วัณโรคปอด (Tuberculosis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 424-429.
  • วัณโรค.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • วัณโรคปอด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 380.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม 2553
  • รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาสถานการณ์วัณโรคและโรคเอดส์ปี2550-2555สำ นักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.
  • กระทรวงสาธารณสุข.แนวทางระดับชาติ:ยุทธศาสตร์การผสมผสานการดำ เนินงานวัณโรคและโรคเอดส์เพื่อการควบคุมและป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่2กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2546
  • ศิริลักษณ์ อภิวาณิชย์,ถนอมวงศ์ มัณฑจิตร์ ,กำธร มาลาธรรม.การเฝ้าระวังการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรในทีมสุขภาพโรงพยาบาลรามาธิบดี.วารสารรามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่18ฉบับที่2.กันยายน-ธันวาคม 2555.หน้า273-286
  • Jarvis, W.    (2007). Tuberculosis. In   W.    R.   Jarvis (Ed.), Bennett & Brachman's hospital infections (pp.539-560). Philadelphia: Lippincott Williams &Wilkins.
  • วัณโรค.แผ่นพับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะกรรมการแผ่นพันเพื่อการประชาสัมพันธ์.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2552.
  • เจริญ ชูโชติถาวร. (2548). โรคติดเชื้อ ใน พรรณทิพย์ ฉายากุล และคณะ (บก.), ตําาราโรคติดเชื้อ 1 (หน้า 683-719). กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง
  • Centers for Disease Control and    (2005a). Guidelinesfor  preventing  the  transmission  of  Mycobacterium tuberculosis  in  health-care  settings,  2005. Retrieved March 16,    2011, from Morbidity and    Mortality Weekly Report Web site:
  • Kumar V, Abbas AK, Fausto N, Mitchell RN (2007). Robbins Basic Pathology (8th ed.). Saunders Elsevier. pp. 516– ISBN 978-1-4160-2973-1.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ