โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรตกรดไหลย้อนที่เราเจอกันบ่อยๆ มีสรรพคุณเเละประโยชน์เเละวิธีรักษาดังนี้  (อ่าน 29 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 30, 2018, 07:23:03 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคกรดไหลย้อน (Gastroesophageal reflux disease : GERD)
โรคกรดไหลย้อนคืออะไร 
โรคกรดไหลย้อน” (Gastroesophageal reflux disease ,GERD) เป็นโรคที่เกิดจากการไหลย้อนของกรด (น้ำย่อย) ในกระเพาะอาหารกลับไปที่หลอดของกิน ซึ่งโดยทั่วไปร่างกายของเราจะมีการไหลย้อนของกรดในกระเพาะอาหารขึ้นไปในหลอดอาหารอยู่บ้าง โดยยิ่งไปกว่านั้นหลังรับประทานอาหารแม้กระนั้นผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีจำนวนกรดที่ย้อนมากขึ้นเรื่อยๆหรือย้อนบ่อยกว่าผู้ที่ไม่เป็นโรค หรือหลอดของกินมีความไวประมือดมากขึ้นแม้ว่าจะมีปริมาณกรดที่ย้อนขึ้นไปไม่เกินกว่าปกติ ส่งผลให้มีลักษณะอาการระคายบริเวณคอ รวมทั้งแสบอกหรือจุกเสียดบริเวณใต้ลิ้นปี่ และมีลักษณะท้องอืดท้องเฟ้อร่วมด้วย คล้ายกับอาการของโรคกระเพาะอาหาร ทำให้คนส่วนใหญ่หลงผิดว่าเป็นโรคกระเพาะอาหาร แล้วก็ไปซื้อยาลดกรด (antacids)  ที่มีจัดจำหน่ายตามตลาดมารับประทานเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งเป็นการรักษาที่ไม่ตรงจุด จึงพบว่าในตอนนี้มีคนไข้มาเจอแพทย์ด้วยโรคกรดไหลย้อนเพิ่มสูงมากขึ้น  รวมทั้งถ้าเกิดปล่อยให้กำเนิดอาการเรื้อรังและรักษาด้วยวิธีที่ผิดจะต้อง บางทีอาจก่อให้เกิดการเกิดหลอดของกินอักเสบ แผลที่หลอดอาหาร หรือหลอดของกินตีบ ซึ่งบางทีอาจเพิ่มความเสี่ยงสำหรับการเกิดโรคมะเร็งหลอดของกินได้
นอกจากนั้นยังสามารถแยกเป็นชนิดและประเภทของโรคกรดไหลย้อนได้เป็น 2 จำพวก คือ

  • โรคกรดไหลย้อนธรรมดา หรือ CLASSIC GERD ซึ่งกรดที่ไหลย้อนขึ้นมาจะอยู่ข้างในหลอดของกิน ไม่ไหลย้อนเกินกล้ามเนื้อหูรูดของหลอดอาหารส่วนบน จำนวนมากจะมีลักษณะอาการของหลอดของกินเพียงแค่นั้น
  • โรคกรดไหลย้อนขึ้นมาที่คอและก็กล่องเสียง (Laryngopharyngeal Reflux : LPR) ซึ่งก็คือโรคที่มีลักษณะทางคอและก็กล่องเสียง ซึ่งมีต้นเหตุมาจากการไหลย้อนกลับของกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหารขึ้นมาเหนือกล้ามหูรูดของหลอดอาหารส่วนบนอย่างเปลี่ยนไปจากปกติ กระตุ้นให้เกิดลักษณะของคอและกล่องเสียง จากการระคายเคืองของกรด

ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้ เป็นโรคที่พบได้ราวๆ 10-15% ของผู้ที่มีอาการของกินไม่ย่อย (Syspepsia) แล้วก็พบได้ทั่วไปทั้งยังในสตรีแล้วก็ในเพศชาย โดยเจอได้ใกล้เคียงกัน เป็นโรคที่เจอได้ในทุกช่วงอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนไปจนถึงคนสูงอายุ แม้กระนั้นเจออัตรากำเนิดสูงขึ้นในอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป และพบได้สูงสุดในช่วงอายุ 60 - 70 ปีขึ้นไป มีรายงานว่าประเทศแถมตะวันตกเจอโรคนี้ได้โดยประมาณ 10 - 20% ของราษฎรอย่างยิ่งจริงๆ
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกรดไหลย้อน
โรคกรดไหลย้อนมีต้นสายปลายเหตุที่เกี่ยวพันกับความผิดปกติ ของการทำหน้าที่ของกล้ามหูรูดที่อยู่ตรงส่วนล่างของหลอดอาหาร (lower esophageal sphincter, LES) ในคนธรรมดาขณะกลืนของกินหูรูดนี้จะคลายตัวเพื่อเปิดทางให้อาหารไหลผ่านลงสู่กระเพาะอาหาร เมื่อของกินผ่านลงกระเพาะอาหารจนถึงหมดแล้วหูรูดนี้จะหดรัดเพื่อห้ามไม่ให้น้ำย่อย (ซึ่งเป็นกรดเกลือ) ที่อยู่ในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหาร
แต่คนที่เป็นโรคกรดไหลย้อน พบว่ากล้ามหูรูดตรงด้านล่างของหลอด ของกินนี้หย่อนยานความสามารถ ทำให้มีน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นไปที่หลอดอาหารมากกว่าธรรมดา (คนทั่วๆไปข้างหลังรับประทานข้าวอาจมีน้ำย่อยไหลย้อนได้ 1-4 ครั้ง ซึ่งไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการ) นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการผิดปกติ และการอักเสบของเยื่อบุหลอด ของกินได้
ส่วนปัจจัยที่ทำให้หูรูดดังที่กล่าวถึงแล้วทำงานเปลี่ยนไปจากปกติยังไม่รู้จักกระจ่างแจ้ง แต่ว่าเชื่อว่าอาจเกิดจากความเสื่อมถอยตามอายุ (เจอในคนแก่กว่า 40 ปี) หรือหูรูดยังเจริญก้าวหน้าไม่เต็มกำลัง (เจอในเด็กแรกเกิด) หรือมีความผิดปกติที่เป็นมาโดยกำเนิด
นอกจากนั้นความประพฤติปฏิบัติในชีวิตประจำวัน หรือโรคบางประเภทมีส่วนกระตุ้นการทำงานของหลอดอาหารให้เกิดความเปลี่ยนไปจากปกติได้ หรือทำให้กระเพาะหลั่งกรดในจำนวนมากขึ้น ได้แก่ เข้านอนหลังรับประทานอาหารโดยทันที ทานอาหารปริมาณมากข้างในมื้อเดียว อยู่ในช่วงตั้งท้อง การกระทำที่ได้กล่าวมาแล้วเหล่านี้ล้วนเป็นสาเหตุของการเกิดภาวะกรดไหลย้อนได้ง่ายขึ้นด้วยเหมือนกัน
ลักษณะโรคกรดไหลย้อน  อาการของคนป่วยนั้นขึ้นกับอวัยวะที่ถูกระคายเคืองโดยกรด อาทิเช่น

  • อาการทางคอหอยและหลอดอาหาร
  • ลักษณะของการปวดแสบร้อนรอบๆอก รวมทั้งลิ้นปี่ (Heartburn) ข้างหลังทานอาหาร 30-60 นาที หรือหลังทานอาหารแล้วล้มตัวนอนลงราบ นั่งขดตัว โค้งตัวลงต่ำ คาดเข็มขัดแน่น หรือใส่กางเกงคับเอว มักมีลักษณะอาการมากยิ่งกว่า 2 ครั้งต่ออาทิตย์และอาการเป็นๆหายๆเรื้อรัง แต่ละครั้งมักปวดอยู่นาน 2 ชั่วโมงรวมทั้งบางทีบางทีอาจปวดร้าวไปที่รอบๆคอได้
  • รู้สึกคล้ายมีก้อนอยู่ในคอ หรือแน่นคอ
  • กลืนตรากตรำ กลืนเจ็บ หรือกลืนติดขัดคล้ายสะดุดสิ่งปลอมปนในคอ
  • เจ็บคอ แสบคอหรือปาก หรือแสบลิ้นเรื้อรัง โดยเฉพาะในตอนเช้า
  • รู้สึกราวกับมีรสขมของน้ำดี หรือรสเปรี้ยวของกรดในคอหรือปาก (bile or acid regurgitation)
  • มีเสลดอยู่ในลำคอ หรือระคายคอตลอดระยะเวลา
  • เรอบ่อยครั้ง อาเจียน เหมือนมีของกิน หรือน้ำย่อยไหลย้อนขึ้นมาในอก หรือคอ
  • รู้สึกจุกแน่นอยู่ในหน้าอก คล้ายของกินไม่ย่อย (dyspepsia)
  • มีน้ำลายมากเปลี่ยนไปจากปกติ มีกลิ่นปาก เสียวฟัน หรือมีฟันผุได้
  • อาการทางกล่องเสียง และก็หลอดลม
  • เสียงแหบเรื้อรัง หรือ แหบเฉพาะตอนตอนเช้า หรือมีเสียงไม่ปกติไปจากเดิม
  • ไอเรื้อรัง โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารหรือขณะนอน
  • ไอ หรือ รู้สึกสำลักน้ำลาย หรือหายใจไม่ออกในยามค่ำคืน
  • กระแอมไอบ่อย
  • อาการหอบหืดที่เคยเป็นอยู่ (ถ้ามี) ห่วยลง ไหมจากการใช้ยา
  • เจ็บหน้าอก (non – cardiac chest pain)
  • เป็นโรคปอดอักเสบ เป็นๆหายๆ
  • อาการทางจมูก และหู
  • คัน จาม คัดจมูก น้ำมูกไหล หรือมีน้ำมูก หรือเสลดไหลลงคอ
  • หูอื้อเป็นๆหายๆหรือปวดหู
  • บางรายอาจมาเจอแพทย์ด้วยภาวะแทรกซ้อน อาทิเช่น มีลักษณะกลืนของกินแข็งตรากตรำ ด้วยเหตุว่าปลดปล่อยให้เกิดภาวะหลอดอาหารอักเสบเรื้อรังจนแคบ
  • ส่วนในเด็กแรกเกิดบางทีอาจเป็นโรคกรดไหลย้อนตั้งแต่ทีแรกเกิดได้ เนื่องจากหูรูดส่วนล่างของหลอดของกินยังก้าวหน้าไม่สุดกำลัง ทารกจึงมักมีลักษณะอาการงอแง ร้องกวน คลื่นไส้บ่อยมาก ไอหลายครั้งช่วงเวลาค่ำคืน เสียงแหบ หรือหายใจมีเสียงวี้ด เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวไม่ขึ้น เด็กทารกบางรายอาจสำลักน้ำย่อยเข้าปอดทำให้ปอดอักเสบ ซึ่งอาจกำเริบได้หลายครั้ง แม้กระนั้นอาการชอบหายไปเมื่ออายุได้ราวๆ 6-12 เดือน แม้กระนั้นบางรายก็อาจรอจนกระทั่งไปสู่วัยรุ่นอาการจึงจะดียิ่งขึ้น
ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน
แพทย์วินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนได้จาก ประวัติอาการ การตรวจคอ การตรวจร่างกาย การตรวจภาพปอดด้วยเอกซเรย์แยกจากโรคปอดต่างๆการส่องกล้องตรวจกล่องเสียง หลอดของกิน กระเพาะ รวมทั้งไส้ แล้วก็อาจตัดชิ้นเนื้อในรอบๆที่ผิดปกติเพื่อการตรวจทางพยาธิวิทยา เพื่อแยกจากโรคมะเร็งหลอดของกิน แล้วก็อาจมีการตรวจวิธีเฉพาะอื่นๆเพิ่ม ตัวอย่างเช่น วัดภาวะความเป็นกรดของหลอดของกินในขณะส่องกล้อง ทั้งนี้ขึ้นกับดุลพินิจของหมอ ดังเช่นว่า การเอกซเรย์กลืนสารทึบแสง, การตรวจทางเวชศาสตร์ปรมาณู, การตรวจการบีบตัวของหลอดอาหาร เป็นต้น
แต่โดยส่วนมากแล้ว แพทย์มักจะวินิจฉัยโรคกรดไหลย้อนจากอาการแสดงก็เพียงพอต่อการวินิจฉัยโรคแล้ว ซึ่งอาการแสดงที่พบมาก ดังเช่น อาการแสบลิ้นปี่ จุกแน่นยอดอก แล้วก็เรอเปรี้ยวหลังทานอาหารที่เป็นตัวกระตุ้น หรือมีความประพฤติที่เป็นเหตุกำเริบ แต่ในรายที่กำกวมบางทีอาจจะต้องกระทำตรวจพิเศษ (ซึ่งพบได้ไม่บ่อย)
ขั้นตอนการรักษาโรคกรดไหลย้อน

  • การเปลี่ยนแปลงนิสัย รวมทั้งการดำรงชีวิตทุกวัน (lifestyle modification) การดูแลและรักษาวิธีแบบนี้มีความสำคัญที่สุดสำหรับในการทำให้คนเจ็บมีลักษณะอาการลดลง คุ้มครองปกป้องไม่ให้เกิดอาการ รวมทั้งลดการกลับเป็นซ้ำ โดยลดปริมาณกรดในกระเพาะอาหาร และป้องกันไม่ให้กรดไหลถอยกลับขึ้นไปที่ หลอดของกิน คอรวมทั้งกล่องเสียงเยอะขึ้น ด้วยเหตุว่าโรคนี้ไม่อาจจะรักษาให้หายขาด (นอกจากจะผ่าตัดปรับปรุง) การรักษาแนวทางนี้ควรปฏิบัติไปตลอดชีวิต ด้วยเหตุว่าเป็นการรักษาที่ตัวการ ถึงแม้คนป่วยจะมีลักษณะอาการ หรือหายดีแล้วโดยไม่ต้องรับประทานยาแล้วก็ตาม คนไข้ควรปฏิบัติตนดังต่อไปนี้

             ควรพากเพียรลดน้ำหนัก
             พากเพียรเลี่ยงความตึงเครียด
             เลี่ยงการใส่เสื้อผ้าที่คับหรือรัดแน่นเหลือเกิน
             ถ้าหากมีอาการท้องผูก ควรรักษา รวมทั้งหลบหลีกการเบ่ง
             ควรจะออกกำลังกายเป็นประจำ
             ภายหลังรับประทานอาหารโดยทันที เพียรพยายามหลบหลีกการนอนราบ
             หลบหลีกการกินอาหารมื้อมืดค่ำ
             กินอาหารจำนวนพอดิบพอดีในแต่ละมื้อ
             หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มบางประเภท ดังเช่น กาแฟ น้ำอัดลม
             ถ้าเกิดจะนอนหลังรับประทานอาหาร ควรจะคอยประมาณ 3 ชั่วโมง

  • การดูแลและรักษาด้วยยา ในกรณีที่ปรับเปลี่ยนความประพฤติปฏิบัติแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น จำเป็นต้องใช้ยาร่วมด้วย ควรจะกินยาตามที่ได้มีการกำหนดอย่างเคร่งครัด รวมทั้งถ้าเกิดมีข้อสงสัยควรหารือแพทย์หรือเภสัชกร

             ปัจจุบันนี้ยาที่ได้ประสิทธิภาพที่ดีที่สุด เป็นยาลดกรดในกรุ๊ปยับยั้งโปรตอนปั๊ม (Proton pump inhibitors) เช่น โอเมพราโซล (omeprazole)ขนาด 20 มิลลิกรัม วันละ 1-2 ครั้ง ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงมากมายในการปกป้องลักษณะของโรคกรดไหลย้อน โดยให้กินยาติดต่อกันเป็นเวลา 6 - 8สัปดาห์ หรืออาจจะต้องใช้ยาเป็นระยะเวลานานนับเป็นเวลาหลายเดือนขึ้นอยู่กับผู้เจ็บป่วยแต่ละราย เป็นต้นว่ากรณีที่เป็นมากหรือมีอาการมานาน ซึ่งอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการปรับการกินยาเป็นระยะๆตามอาการที่มี  หรือกินโดยตลอดเป็นระยะเวลานาน
             ในบางครั้งบางทีอาจใช้ยาเพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหารร่วมด้วย อย่างเช่น เมโทโคลพราไมด์ (metoclo-pramide) ขนาด 10 มก. 1 เม็ด วันละ 3-4 ครั้ง ซึ่งยานี้ควรรับประทานก่อนรับประทานอาหารโดยประมาณ 30 นาที

  • การผ่าตัด เพื่อเป็นการป้องกันและยังเป็นการไม่ให้กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปที่ หลอดอาหาร คอและกล่องเสียง การรักษาแนวทางนี้จะทำใน

             คนเจ็บที่มีลักษณะรุนแรง ซึ่งให้การรักษาโดยการใช้ยาอย่างเต็มเปี่ยมแล้วไม่ดีขึ้น
             คนไข้ที่ไม่อาจจะกินยาที่ใช้สำหรับในการรักษาสภาวะนี้ได้
             คนป่วยที่ดีขึ้นภายหลังการใช้ยา แม้กระนั้นไม่ได้อยากที่จะรับประทานยาต่อ
             คนป่วยที่กลับเป็นซ้ำบ่อยครั้งข้างหลังหยุดยา
ทั้งนี้ผู้เจ็บป่วยที่ต้องได้รับการผ่าตัดมีเพียงแค่ร้อยละ 10 แค่นั้น การรักษาโดยการผ่าตัดมีหลายวิธี ได้แก่ endoscopic fundoplication, radiofrequency therapy, injection / implantation therapy ฯลฯ

ปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลให้เกิดโรคกรดไหลย้อน

  • อายุ ยิ่งสูงขึ้น โอกาสเกิดโรคนี้ยิ่งสูงมากขึ้น
  • การกินของกินแต่ละมื้อในจำนวนสูง โดยเฉพาะกินมื้อเย็นก่อนนอน เนื่องจากจำนวนอาหารยังค้างอยู่ในกระเพาะ รวมทั้งการนอนราบยังเพิ่มแรงกดดันในกระเพาะอาหาร ของกินแล้วก็กรดก็เลยไหลย้อนกลับเข้าหลอดอาหารได้ง่าย
  • การกินอิ่มมากมายไป (กินอาหารมื้อใหญ่หรือจำนวนมาก)กระตุ้นให้มีน้ำย่อยหลั่งออกมามาก ประกอบกับการขยายตัวของกระเพาะทำให้หูรูดคลายตัวมากยิ่งขึ้น
  • การดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์หรือกาเฟอีน (ได้แก่ กาแฟ ยาชูกำลัง) เว้นแต่กระตุ้นให้หลั่งกรดในกระเพาะเพิ่มมากขึ้นแล้ว ยังเสริมให้หูรูดคลายตัวอีกด้วย
  • การกินของกินที่ไขมันสูง ข้าวผัด ของทอดรวมทั้งอาหารผัดน้ำมัน ทำให้กระเพาะอาหารขยับเขยื้อนช้าลง ทำให้ได้โอกาสเกิดกรดไหลย้อนได้มากขึ้น
  • โรคหืด เชื่อว่าเป็นผลมาจากการไอและหอบ ทำให้เพิ่มแรงกดดันในท้อง ทำให้กรดไหลย้อน
  • การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์บอเนต (น้ำอัดลม) การกินอาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ น้ำองุ่น น้ำผลไม้เปรี้ยว (อาทิเช่น น้ำส้มคั้น) ผลไม้เปรี้ยว ช็อกโกแลต หรือสะระแหน่ การใช้ยาบางชนิด (ตัวอย่างเช่น ยาขยายหลอดลม ยาแอนติวัวลิเนอร์จิก ยาลดระดับความดันกลุ่มกีดกันอนุภาคบีตาและกรุ๊ปต้านทานแคลเซียม ยาใช้ภายนอกงจิตประสาท ฮอร์โมนโพรเจสเตอโรน ฯลฯ) จะเสริมให้หูรูดคลายตัว หรือมีกรดหลั่งเยอะขึ้น
  • แผลเพ็ปติก แล้วก็การใช้ยากลุ่มอนุพันธ์ฝิ่น ทำให้ของกินขับลงสู่ลำไส้ช้าลง ทำให้มีกรดไหลย้อนได้
  • โรคอ้วน เพราะเหตุว่าจะทำให้มีความดันในช่องท้องสูงมากขึ้น ความดันในกระเพาะจึงสูงขึ้นตามไปด้วย
  • การท้อง เนื่องจากจะเป็นการเพิ่มระดับความดันในกระเพาะอาหารจากครรภ์ที่ใหญ่ขึ้น
  • เบาหวาน เมื่อเป็นโรคนี้นานๆจะมีการเสื่อมของประสาทกระเพาะ ทำให้กระเพาะเคลื่อนช้า จึงทำให้มีการเกิดกรดไหลย้อนได้
  • ความเคร่งเครียด เนื่องจากความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดในกระเพาะเพิ่มมากขึ้น
  • การมีโรคไส้เลื่อนกะบังลม (Hiatal hernia, Diaphragmatic hernia ซึ่งมีกระเพาะบางส่วนไหลเลื่อนลงไปที่กะบังลม) ขนาดใหญ่ ทำให้หูรูดอ่อนแอมากขึ้น

การติดต่อของโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อนมีต้นเหตุที่เกิดจากความผิดปกติของกล้ามหูรูดข้างล่างของหลอดอาหาร ทำให้มีกรด (น้ำย่อย) จากกระเพาะไหลย้อนไปขึ้นไปที่หลอดของกินและก็เกิดการอักเสบแล้วก็อาการต่างๆตามมา ซึ่งโรคกรดไหลย้อนนี้มิได้เป็นโรคติดต่อ เพราะไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน

  • กินยาให้ครบรวมทั้งตลอดตามคำแนะนำของหมอ
  • สังเกตว่าบริโภคสิ่งใดบ้างที่ทำให้อาการแย่ลง แล้วบากบั่นหลบหลีก ดังเช่น อาหารมัน (รวมถึงข้าวผัด ของทอด ของผัดที่อมน้ำมัน) อาหารเผ็ดจัด หัวหอม กระเทียม แอลกอฮอล์ ยาสูบ ชา กาแฟ เครื่องดื่มผสมกาเฟอีน น้ำอัดลม     น้ำผลไม้เปรี้ยว ผลไม้เปรี้ยว ซอสมะเขือเทศ น้ำมะเขือเทศ ช็อกโกแลต ยาบางจำพวก
  • หลีกเลี่ยงการกินอาหารจำนวนมาก (หรืออิ่มจัด) และเลี่ยงการกินน้ำมากมายๆระหว่างทานอาหาร ควรทานอาหารมื้อเย็นในปริมาณ น้อย และทิ้งช่วงห่างจากเวลาเข้านอนขั้นต่ำ 3 ชั่วโมง
  • ข้างหลังกินอาหารควรปลดเข็มขัดแล้วก็ตะขอกางเกงให้หละหลวม ไม่ควรนอนราบหรือนั่งงอตัว โค้งตัวลงต่ำ ควรจะนั่งตัวตรง ยืน หรือให้รู้สึกสบายท้อง เลี่ยงการยกของหนักและการออกกำลังกายหลังรับประทานอาหารใหม่ๆ
  • หมั่นบริหารร่างกายและก็ความเครียดลดลง เนื่องเพราะความเคร่งเครียดมีส่วนทำให้หลั่งกรดมากขึ้น ทำให้อาการกำเริบได้
  • ถ้าน้ำหนักเกินหรืออ้วน ควรจะหาทางลดน้ำหนัก
  • ถ้าเกิดมีลักษณะอาการกำเริบตอนไปนอน หรือตื่นนอนตอนเวลาเช้า มีอาการเจ็บคอ เจ็บลิ้น เสียงแหบ ไอ ควรจะหนุนหัวสูง 6-10 นิ้ว โดยการหนุนขาเตียงด้านหัวให้สูง หรือใช้อุปกรณ์พิเศษ (bed wedge pillow) สอดใต้ที่พักผ่อนให้เอียงลาดจากหัวลงมาถึงระดับเอว หรือใช้เตียงที่มีกลไกปรับหัวเตียงให้สูงได้ ไม่ชี้แนะให้ใช้แนวทางหนุนหมอนหลายใบให้สูง เพราะว่าอาจทำให้ท้องโค้งงอ ทำให้ความดันในช่องท้องมากขึ้น ดันให้น้ำย่อยไหลย้อนได้
  • งด/เลิก ไม่ดูดบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมรักษาโรคที่เป็นต้นเหตุ/ปัจจัยเสี่ยง
  • เจอแพทย์ตามนัดเสมอ และรีบพบแพทย์ก่อนนัดหมายเมื่ออาการต่างๆสารเลวลงหรือผิดไปจากเดิม

การป้องกันตนเองจากโรคกรดไหลย้อน การป้องกันโรคกรดไหลย้อนนั้นตัวเราเองเป็นข้อสำคัญที่จะสามารถปกป้องการเกิดโรคได้ โดยการปรับเปลี่ยนความประพฤติการดำรงชีวิตของพวกเรา อย่างเช่น

  • เลือกกินอาหารและเสี่ยงกินอาหารโดยของกินที่พึงเลี่ยง อาทิเช่น

             ชา กาแฟ และน้ำอัดลมทุกประเภท
             ของกินทอด ของกินไขมันสูง
             ของกินรสจัด รสเผ็ด
             ผลไม้รสเปรี้ยว ส้ม มะนาว มะเขือเทศ
             หอมหัวใหญ่ สะระแหน่ เปปเปอร์มิ้นต์
             ช็อกโกแลต

  • ทานอาหารมื้อเล็กๆพออิ่ม การกินอิ่มเกินความจำเป็นจะก่อให้หูรูดหลอดอาหารเปิดง่ายดายมากยิ่งขึ้นและก็ทำให้เกิดการย้อนของกรดง่ายขึ้น
  • ไม่สมควรไปนอนหรือเอนหลังหลังอาหารในทันที หลังรับประทานอาหารเสร็จควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมงก็เลยเอนตัวนอน เพื่อให้อาหารเคลื่อนออกมาจากกระเพาะซะก่อน
  • งดยาสูบแล้วก็เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ สารนิโคตินในบุหรี่เพิ่มความเป็นกรดในกระเพาะอาหารรวมทั้งทำให้หูรูดอ่อนแด ส่วนเครื่องดื่มแอลกอฮล์ทำให้หูรูดเปิดออกได้เหมือนกัน
  • ลดแรงกดต่อกระเพาะอาหาร เสื้อผ้าและก็เข็มขัดที่รัดแน่นบริเวณผนังหน้าท้อง การก้มตัวไปข้างหน้า น้ำหนักตัวที่เกินมาตรฐาน ล้วนเป็นสาเหตุที่เพิ่มแรงกดต่อกระเพาะของกินแล้วก็ทำให้กรดไหลย้อนกลับมา
  • ความเครียดน้อยลง ความเครียดที่มากเหลือเกินจะทำให้อาการกำเริบ จำเป็นต้องหาเวลาพักผ่อนแล้วก็บริหารร่างกายให้สมดุลกับตารางชีวิต
  • รักษาโรคประจำตัวที่เป็นปัจจัยที่จะทำให้มีการเกิดโรคกรดไหลย้อน อาทิเช่น เบาหวาน โรคหืด โรคอ้วน แผลเท็ปติเตียนก ฯลฯ
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน / รักษาโรคกรดไหลย้อน
ยอ  ชื่อวิทยาศาสตร์ Morinda citrifolia วงศ์ Rubiaceae มีรายงานการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยในหนู พบว่า “ยอ” ซึ่งมีสารสำคัญ คือ สโคโปเลว่ากล่าวน (scopoletin) เป็นองค์ประกอบอยู่ด้วยนั้น สามารถลดการอักเสบของหลอดอาหารจากการไหลย้อนของกรดได้ผลดี พอๆกับยามาตรฐานที่ใช้เพื่อการรักษากรดไหลย้อน คือ รานิติดีน (ranitidine) แล้วก็แลนโสพราโซล (lansoprazole) เนื่องมาจากมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ต้านทานการหลั่งของกรด ต้านการเกิดแผล แล้วก็ทำให้การบีบตัวของระบบทางเดินอาหารดีขึ้น โดยส่งผลต่อระบบประสาทที่เกี่ยวเนื่องโดยตรง และก็ยังมีแถลงการณ์ว่าสามารถเพิ่มการดูดซึมของรานิติดีน “ยอ” จึงเหมาะสำหรับในการเป็นสมุนไพรสำหรับรักษาอาการกรดไหลย้อนเป็นอย่างยิ่ง จากการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยข้างต้น แล้วก็การที่ “ยอ” มีรสร้อน ช่วยในการย่อยของกิน ทำให้ของกินไม่หลงเหลือ ไม่กำเนิดลมในกระเพาะอาหาร ลดการเกิดแรงดันที่ทำให้กรดไหลย้อน “ยอ” ยังช่วยทำให้กระเพาะบีบเคลื่อนเจริญขึ้น ทำให้ของกินเขยื้อนจากกระเพาะไปสู่ลำไส้เล็กได้ดิบได้ดีขึ้น
ดังนี้สมุนไพรที่อาจใช้ร่วมกัน คือ ขมิ้นชัน ด้วยเหตุว่าขมิ้นชันมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการรักษาอาการท้องอืด และช่วยขับน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ทำให้อาหารไม่หลงเหลือในกระเพาะ แล้วก็ลำไส้เล็กนานเกินความจำเป็น ทั้งช่วยรักษาแผลในกระเพาะได้อีกด้วย มีผู้แนะนำให้รับประทานขมิ้นชันก่อนที่จะรับประทานอาหาร 1-2 ชั่วโมง รุ่งเช้า ตอนกลางวัน เย็น และก่อนนอน ขนาดกินคือ ทีละ 1 ช้อนชาสำหรับแบบผง หรือ 3 เม็ดๆละ 500 มก.
ขมิ้น ชื่อวิทยาศาสตร์     Curcuma longa L. สกุล     Zingiberaceae ชื่อพ้อง  C. domestica Valeton  ชื่ออื่นๆ   ขมิ้นแกง ขมิ้นหยอกล้อ ขมิ้นหัว ขมิ้นชัน ขี้มิ้น หมิ้น ตายอ สะยอ Turmeric สารออกฤทธิ์                curcumin, ar-turmerone curcumin จากขมิ้นลดการอักเสบจากรอยแผลได้ดิบได้ดี การทดสอบในหลอดทดสอบ โดยใช้สารสกัดขมิ้น 160 มิลลิกรัม/กิโลกรัม กรอกเข้าทางกระเพาะ (intragastric) ของหนูขาว ยั้งการอักเสบคิดเป็น 29.5% curcumin มีฤทธิ์ต้านการอักเสบที่เกิดขึ้นจากการเหนี่ยวนำด้วยคาราจีแนน การทดสอบเทียบระหว่าง phenylbutazone กับ sodium curcuminate 30 มิลลิกรัม/กิโลกรัม พบว่าได้ผลดี แม้กระนั้นหากสูงมากขึ้นเป็น 60 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ฤทธิ์ต้านการอักเสบจะต่ำลง และ sodium curcuminate ยังสามารถยั้งการบีบตัวของลำไส้หนูในหลอดทดลองที่รั้งนำจากนิโคติน อะซีตำหนิลโคลีน 5-hydroxy-tryptamine ฮีสตามีนแล้วก็แบเรียมคลอไรด์ นอกเหนือจากนั้น sodium curcuminate ยังลดจังหวะการบีบรัดตัวของลำไส้เล็กของกระต่าย โดยไปลดระยะห่างของจังหวะการบีบรัดตัวของไส้
ขมิ้นสามารถต้านทานการเกิดแผลในกระเพาะ โดยกระตุ้นการหลั่งไม่วสินมาฉาบแล้วก็ยับยั้งการหลั่งน้ำย่อยต่างๆสารสำคัญสำหรับการออกฤทธิ์เป็น curcumin ในขนาด 50 มก./กก. สามารถกระตุ้นการหลั่งมิวสินออกมาเคลือบกระเพาะ แม้กระนั้นถ้าหากใช้ในขนาดสูงอาจจะเป็นผลให้กำเนิดแผลในกระเพาะได้
มีการทดสอบในกระต่ายเปรียบเทียบกับกลุ่มที่มีการหลั่งกรดมาก พบว่าผงขมิ้นไม่เปลี่ยนแปลงปริมาณน้ำย่อยและก็กรดในกระเพาะ แม้กระนั้นเพิ่มองค์ประกอบของไม่วซิน
ย่านาง หรือใบย่านาง มีชื่อด้านวิทยาศาสตร์ว่า Tiliacora triandra (Colebr.) Diels มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Bamboo grass อยู่ในตระกูล Menispermaceae ใบของย่านาง คือเป็นส่วนที่มีสาระและถูกประยุกต์ใช้สำหรับในการรักษาโรคสูงที่สุด ด้วยเหตุว่าเป็นพืชที่มีฤทธิ์เย็น และมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณสูง นอกนั้นถูกจัดเอาไว้ภายในตำราสมุนไพรว่าเป็นยาอายุวัฒนะอีกด้วย ซึ่งประโยชน์ของใบย่านางในการรักษาโรคมีดังนี้
ระบบทางเดินอาหาร -ช่วยรักษาโรคกระเพาะ ไส้อักเสบ   -ช่วยลดอาการหดเกร็งตามไส้          -ช่วยรักษาอาการกรดไหลย้อน
รักษารวมทั้งคุ้มครองป้องกันโรคภัยต่างๆ-ช่วยรักษาโรคความดันเลือดสูง  -ช่วยคุ้มครองปกป้องและบำบัดรักษาการเกิดโรคหัวใจ  -ช่วยป้องกันรวมทั้งลดอัตราการเกิดโรคมะเร็งได้  -ช่วยรักษาอาการของโรคเบาหวาน โดยไปลดระดับน้ำตาลในเลือดให้ลดลง
ระบบผิวหนัง  -ช่วยสำหรับเพื่อการรักษาโรคเริม งูสวัด   -ช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ระบบสืบพันธุ์และฟุตบาทปัสสาวะ  -ช่วยรักษาโรคนิ่วในไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ นิ่วในถุงน้ำดี   -ช่วยรักษาอาการเยี่ยวแสบขัด ออกร้อนในทางเท้าเยี่ยว
ขึ้นฉ่าย (Apium graveolens L.) ช่วยบำรุงระบบที่ทำหน้าที่ในการย่อยอาหารภายในร่างกายรวมทั้งช่วยลดลักษณะของโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ซึ่งรวมทั้งโรคกรดไหลย้อน
เอกสารอ้างอิง

  • Rao TS, Basu N, Siddiqui HH.  Anti-inflammatory activity of curcumin analogs.  Indian J Med Res 1982;75:574-8.
  • รศ.ดร.สุจิตรา ทองประดิษฐ์โชติ.เกิร์ด (GERD)-โรคกรดไหลย้อน.ภาควิชาสรีรวิทยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.  “โรคกรดไหลย้อน/เกิร์ด (Gastroesophageal reflux disease/GERD)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 533-536.
  • โรคกรดไหลย้อน.ความรู้สู่ประชาชน.สมาคมประสาททางเดินอาหารและการเคลื่อนไหว(ไทย)
  •   Nutakul W.  NMR analysis of antipeptic ulcer principle from Curcuma longa L.  Bull Dept Med Sci 1994;36(4):211-8.
  • Kahrilas, P. (2003). GERD pathogenesis, pathophysiology, a



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ