โรคเก๊าท์ (Gout) อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา - สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเก๊าท์ (Gout) อาการ สาเหตุ วิธีการรักษา - สมุนไพร  (อ่าน 82 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
pramotepra222
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 11838


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 24, 2018, 08:03:54 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคเก๊าท์ (Gout)
โรคเก๊าท์คืออะไร  โรคเก๊าท์ เป็นโรคโบราณที่มีผู้บันทึกในรายงานหมอมานับพันปี ยุคฮิปโปโปเตมัสเคความกำหนัดส (Hippocrates) ซึ่งเป็นพ่อการแพทย์สากลของภาษากรีกเมื่อสองพันปีก่อน ก็ได้เอ่ยถึงอาการโรคนี้ แล้วก็ได้เรียกชื่อเป็นคำศัพท์แพทย์หลายๆชื่อตามตำแหน่งของข้อที่มีอาการอักเสบ คำว่า เก๊าท์ (Gout) เป็นคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่แปลงมาจากภาษาลาตินว่า Gutta ซึ่งมีความหมายว่าหยดน้ำ โดยมีผู้สันนิษฐานว่า ข้ออักเสบจำพวกนี้เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากพิษ "หยด" เข้าไปอยู่ในไขข้อ ซึ่งปรากฏว่าเป็นจริงสำหรับในการแพทย์เดี๋ยวนี้ กล่าวคือ สารพิษที่ทำให้เกิดโรคเก๊าท์ก็คือ กรดยูริกในเลือดนั่นเอง
                ส่วนนิยามของโรคเกาต์ในตอนนี้นั้นคือ เป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรังประเภทหนึ่งที่เกิดจากความไม่ดีเหมือนปกติทางพันธุกรรม ทำให้ร่างกายมีการสะสมของกรดยูริกมากเกินจนกระทั่งกำเนิดอาการและภาวะแทรกซ้อนต่างๆโดยเก๊าท์ นับเป็นโรคปวดข้อเรื้อรังประเภทหนึ่งที่พบได้มากโรคหนึ่ง บางทีอาจเจอได้โดยประมาณ 2-4 คน ใน 1,000 คน จัดเป็นโรคของผู้ใหญ่ในวัยตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป โดยอายุ 40-60 ปี จะเจอโรคนี้ได้ราว 2% และก็อายุ 60 ปีขึ้นไป จะเจอได้ราวๆ 4% ยิ่งอายุมากขึ้นช่องทางที่จะเป็นโรคนี้ก็มากขึ้นตามไปด้วย รวมทั้งเจอได้ในเพศชายมากกว่าสตรีประมาณ 9-10 เท่า ส่วนที่พบในเพศหญิงมักจะเป็นหญิงข้างหลังวัยหมดประจำเดือนไปแล้ว โดยธรรมดามักกำเนิดกับข้อเพียงแต่ข้อเดียว ในบางครั้งบางทีอาจกำเนิดกับหลายข้อได้พร้อมๆกันก็ได้ โรคเกาต์ นับว่าเป็นโรคข้ออักเสบที่มักพบในประเทศไทยซึ่งมีอุบัติการณ์การเกิด 4.3 คนต่อสามัญชนไทย 100,000 คน
สาเหตุของโรคเก๊าท์ โรคเก๊าท์มีต้นเหตุจากสภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) ซึ่งเป็นภาวการณ์ของร่างกายที่มีการสะสมของกรดยูริกในจำนวนที่มากเกินความจำเป็น (มีค่ามากยิ่งกว่า 6 – 7 มิลลิกรัม/ดล.) ก่อให้เกิดการสะสมผลึกเกลือโมโนโซเดียมยูเรต (monosodium urate) ในน้ำไขข้อและเยื่อต่างๆอาทิเช่น  ข้อก็จะ กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดข้ออักเสบ  ไตก็จะมีผลให้กำเนิดนิ่วในไตแล้วก็และไตวาย เป็นต้น
                ซึ่งกรดยูริกเป็นสารเคมีในเลือดที่ได้มาจากการสลายตัวสารพิวรีน (Purines) ในเนื้อเยื่อทั่วร่างกายและของกินที่รับประทานเข้าไป โดยร่างกายจะมีการปรับสมดุลของกรดยูริกด้วยการกรองจากไตก่อนมีการขับออกทางเยี่ยวรวมทั้งอุจจาระ เมื่อมีปริมาณกรดยูริกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆจากการผลิตของร่างกาย จากการกินอาหารที่มีสารพิวรีนสูง อาทิเช่น อาหารประเภทเครื่องในสัตว์ ถั่วเม็ดแห้ง ฯลฯ หรือไตมีความผิดปกติสำหรับเพื่อการกรองสารพิวรีน มักส่งผลให้เกิดภาวการณ์กรดยูริกในเลือดสูงได้ง่าย
                ส่วนสิ่งที่ทำให้เกิดกรดยูริกในเลือดสูง เนื่องมาจากร่างกายสร้างกรดยูริกมากกว่าปริมาณที่ขับถ่าย รวมทั้งจากการที่ร่างกายสร้างกรดยูริกปกติแต่ว่าจำนวนที่ถ่ายออกจากร่างกายน้อยกว่า ส่วนเหตุอีกประการหมายถึง ทางกรรมพันธุ์จากการขาดเอนไซม์บางตัวหรือโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีบางตัวทำงานมากเกินไป รวมทั้งประการในที่สุดมีต้นเหตุมาจากโรคบางประเภทที่สร้างกรดยูริกเกิน เป็นต้นว่า โรคทาลัสซีเมีย (โรคพันธุกรรมที่ทำให้ร่างกายสร้างเม็ดเลือดแดงที่ไม่ปกติและก็แตกสลายง่าย) โรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว การใช้ยาเคมีบำบัด หรือฉายรังสีในคนไข้โรคมะเร็ง บางรายอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะไตขับกรดยูริกได้ลดน้อยลง (ดังเช่น ภาวะไตวาย) หรือมีต้นเหตุที่เกิดจากผลข้างเคียงของยา ตัวอย่างเช่น ยาขับเยี่ยวกรุ๊ปไทอาไซด์ รวมทั้งจากการดื่มสารที่มีแอลกอฮอล์ผสม ได้แก่ สุรา เบียร์ เหล้าองุ่น  การที่มีกรดยูริกในเลือดสูงโดยไม่มีอาการถ้าหากไม่ได้รับการรักษาจะมีลักษณะอาการข้ออักเสบโรคเกาต์รุนแรง เพศชายเริ่มเป็นเมื่ออายุ 40 ปี เพศหญิงเริ่มเป็นอายุ 55 ปี
ลักษณะโรคเก๊าท์ ข้ออักเสบจากโรคเก๊าท์มีลักษณะเฉพาะเจาะจงมากมาย กล่าวคือ มีลักษณะอาการอักเสบของข้อเกิดขึ้นรวดเร็วและร้ายแรงมากคล้ายกับมีฝีเกิดขึ้นที่รอบๆข้อ ซึ่งมีอาการปวดข้อรุนแรง ซึ่งเกิดขึ้นฉับพลันทันที     หากเป็นการปวดครั้งแรกชอบเป็นเพียงแต่ข้อเดียว โดยข้อที่พบได้มาก เช่น นิ้วหัวแม่เท้า (ส่วนข้อเท้า ข้อเข่า ก็อาจเจอในผู้เจ็บป่วยบางราย) ข้อจะบวมรวมทั้งเจ็บมากจนเดิน    ไม่ไหว ผิวหนังในบริเวณนั้นจะตึง ร้อนรวมทั้งแดง รวมทั้งจะเจอลักษณะเฉพาะเจาะจงเป็น ขณะที่อาการเริ่มทุเลา ผิวหนังในรอบๆที่ปวดนั้นจะลอกและคัน  คนป่วยมักเริ่มมีลักษณะอาการปวดช่วงเวลาค่ำคืน รวมทั้งชอบเป็นหลังกินเหล้า เบียร์ หรือเหล้าองุ่น หรือหลังกินเลี้ยง หรือกินอาหารมากเปลี่ยนไปจากปกติ หรือเดินสะดุด บางคราวอาจมีอาการขณะมีภาวะเครียดทางด้านจิตใจ เป็นโรคติดเชื้อ หรือได้รับการผ่าตัดด้วยปัจจัยอื่น บางโอกาสอาจมีไข้ หนาวสั่น ใจสั่น (ชีพจรเต้นเร็ว) อ่อนล้า เบื่ออาหาร ร่วมด้วย
สำหรับในการปวดข้อหนแรก มักจะเป็นอยู่เพียงไม่กี่วัน ถ้าคนไข้ไม่ได้รับการรักษา ในระยะแรกๆบางทีอาจกำเริบเสิบสานทุก 1-2 ปี โดยเป็นที่ข้อเดิม แต่ถัดมาจะเป็นถี่ขึ้นเรื่อยเป็นต้นว่า ทุก 4-6 เดือน แล้วเป็นทุก 2-3 เดือน จนตราบเท่าทุกเดือน หรือเดือนละหลายครั้ง และระยะการปวดจะนานวันขึ้นเรื่อยๆดังเช่น เปลี่ยนเป็น 7-14 วัน กระทั่งยาวนานหลายสัปดาห์หรือปวดตลอดระยะเวลา ส่วนข้อที่ปวดก็จะเพิ่มจากข้อเดียวเป็น 2-3 ข้อ (เป็นต้นว่า ข้อมือ ศอก ข้อเข่า ข้อเท้า นิ้วมือ นิ้วเท้า) ตราบจนกระทั่งเป็นเกือบทุกข้อ
ในระยะที่มีข้ออักเสบหลายๆข้อ คนเจ็บมักพินิจได้ว่ามีปุ่มก้อนขึ้นรอบๆที่เคยอักเสบเป็นประจำรวมทั้งก้อนจะโตขึ้นเรื่อยๆเรียกว่า ตุ่มโทฟัส (tophus / tophi) จนบางโอกาสอาจแตกออกมีสารขาวๆเหมือนแป้งดินสอพองหรือยาสีฟันไหลออกมา แผลที่แตกออกจะหายช้ามาก และจะเป็นแผลเป็น ถัดไปข้อต่างๆจะผิดรูปผิดรอยแล้วก็ใช้งานไม่ได้ในที่สุด
จากอาการที่เริ่มมีข้ออักเสบหนึ่งข้อจนถึงหลายๆข้อ แล้วก็มีปุ่มก้อนมักกินเวลา 5-20 ปี สุดแท้แต่ความร้ายแรง สำหรับชาวไทยพบว่าบางคนเพียงแต่ 2-3 ปี เพียงแค่นั้นจะเริ่มมีปุ่มก้อนและมีลักษณะไตวายได้ โดยเหตุนั้นโรคเก๊าท์ในคนไทยก็เลยมีความร้ายแรงมากยิ่งกว่าชาวต่างประเทศมากมายทั้งที่มิได้อยู่ดีมีสุขกว่าเขาเลยราวๆร้อยละ 25 ของผู้ป่วยโรคเก๊าท์จะมีนิ่วของทางเดินฉี่ร่วมด้วย ซึ่งครึ่งเดียวจะมีประวัติของนิ่งก่อนอาการข้ออักเสบ ด้วยเหตุผลดังกล่าวคนไข้ที่มีนิ่วของทางเท้าฉี่จำเป็นที่จะต้องเช็คกรดยูริคทุกราย
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคเก๊าท์

  • มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นโรคเก๊าท์ โดยพบว่า 1 ใน 5 ของผู้เจ็บป่วยโรคเก๊าท์จะมีบุคคลในครอบครัวเจ็บไข้ได้ป่วย
  • โรคประจำตัวหรือสภาวะของร่างกายบางอย่าง ดังเช่น ภาวการณ์อ้วน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดเปลี่ยนไปจากปกติ ไตทำงานผิดปกติ โรคเบาหวาน โรคพร่องโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี ความแตกต่างจากปกติของไขกระดูก โรคเส้นเลือดไม่ปกติ
  • เกิดจากเพศ เพราะว่าพบโรคนี้ได้ในเพศชายมากกว่าผู้หญิง
  • การกินอาหารทีมีสารพิวรีนมากเกินไป ดังเช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก กุ้งเคยหรือกะปิ ปลาซาร์ดีน หอยแมลงภู่ สารสกัดจากยีสต์
  • การดื่มน้ำอัดลมเกินปริมาณที่พอดีต่อวัน ซึ่งมีการเรียนพบว่าการดื่มน้ำอัดลมประเภทที่มีน้ำตาลฟรุกโตสบางทีอาจเพิ่มการสะสมกรดยูริกในเลือดได้มากถึง 85% นอกเหนือจากนั้นยังรวมถึงผลไม้และก็น้ำผลไม้บางประเภทที่มีน้ำตาลฟรุกโตสอยู่มาก
  • มีเหตุมาจากการได้รับบาดเจ็บที่ข้อกระดูก การกระทบชนที่ข้อ
  • ผลข้างเคียงจากการใช้ยาบางจำพวก อาจกระตุ้นให้อาการเกิดขึ้นอีกได้ เพราะยาบางชนิดมีผลทำให้ไตขับกรดยูริกออกทางเยี่ยวได้ลดน้อยลง ได้แก่ แอสไพริน (Aspirin), ไฮโดรคลอโรไทอาไซด์ (Hydrochlorothiazide – HCTZ), ไซโคลสปอริน (Cyclosporin), เลโวโดขว้าง (Levodopa) ฯลฯ
  • การดื่มแอลกอฮอล์ ดังเช่น เหล้า เบียร์สด เหล้าองุ่น โดยเฉพาะเบียร์สด เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ลดการขับกรดยูริกออกทางไตหรือทางเยี่ยว หลังการดื่มก็เลยทำให้ไตขับกรดยูริกได้ลดน้อยลง กรดยูริกก็เลยคั่งอยู่ในเลือดสูงยิ่งกว่าธรรมดา

วิธีการรักษาโรคเก๊าท์  การวินิจฉัยโรคเก๊าท์หมอจะมีการไต่ถามอาการ เรื่องราวเป็นโรคเก๊าท์ของบุคคลในครอบครัว รวมทั้งการตรวจร่างกายทั่วๆไป โดยหมอจะวิเคราะห์พื้นฐานจากอาการแสดง ซึ่งโรคเกาต์จะมีลักษณะสะดุดตาเป็นมีการอักเสบร้ายแรงของข้อหัวแม่เท้าเพียง ๑ ข้อ เกิดขึ้นกระทันหันหลังดื่มเบียร์ หรือไวน์ กินเลี้ยง หรือกินอาหารที่มีกรดยูริกสูง ซึ่งคนป่วยเป็นโรคเก๊าท์มักจะมีอาการปวดข้ออย่างกระทันหันหนแรกพบได้ทั่วไปที่ข้อเท้าหรือหัวแม่เท้า โดยมีอาการบวมเมื่อลูบคลำดูเหมือนรู้สึกร้อน เวลากดเจ็บมากมายอาจมีลักษณะของการมีไข้นิดหน่อยถึงไข้สูงเป็นโดยประมาณ 3-7 วัน และก็ในบางรายอาจตรวจพบตุ่มโทฟัส (Tophus) ร่วมด้วย  ส่วนการวินิจฉัยทางห้องทดลองที่แจ้งชัด จำเป็นที่จะต้องกระทำเจาะเลือดเพื่อตรวจระดับกรดยูริกในเลือด (ค่าปกติ 3-7 มก. ต่อเลือด 100 มิลลิลิตร) ถ้าผลของการตรวจไม่กระจ่าง อาจจะต้องกระทำการเจาะดูดน้ำจากข้อที่อักเสบไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ นอกจากนั้น บางทีอาจจะต้องทำตรวจพิเศษอื่นๆดังเช่นว่า การตรวจเลือด เมื่อการตรวจวิเคราะห์โดยการเจาะข้อไม่สามารถที่จะทำได้ แพทย์บางครั้งก็อาจจะให้มีการเจาะเลือด เพื่อตรวจวัดระดับของกรดยูริกรวมทั้งสารครีเอติเตียนนินว่าเข้าขั้นปกติหรือไม่ แต่ว่าแนวทางนี้บางทีอาจกำเนิดความบกพร่องได้ ดังเช่น ผู้ป่วยบางรายหรูหรากรดยูริกสูงแตกต่างจากปกติ แต่ว่าอาจไม่เป็นโรคเก๊าท์ หรือบางรายที่มีอาการของโรคก็บางทีอาจตรวจพบระดับกรดยูริกได้ในระดับปกติ  การเจาะข้อ มักถูกใช้เป็นแนวทางหลักในการตรวจวินิจฉัย แพทย์จะนำเข็มเจาะรอบๆข้อที่มีอาการ เพื่อดูดเอาน้ำในข้อออกมาตรวจทานการสั่งสมของผลึกยูเรต (Urate Crystals) ภายใต้กล้องจุลทรรศน์  การอัลตราซาวด์ จะช่วยตรวจเจอการสั่งสมของผลึกยูเรตตามข้อกระทั่งเป็นปุ่มนูนหรือก้อนที่เรียกว่า โทฟี้ (Tophi)  การเอกซเรย์ การถ่ายเอกซเรย์บริเวณข้อที่มีอาการ เพื่อตรวจสอบว่าเกิดการอักเสบตามข้อหรือไม่  การตรวจปัสสาวะ เพื่อดูกรดยูริกที่ปนเปในน้ำปัสสาวะ

โรคเกาต์เป็นโรคที่รักษาง่าย รักษาหายขาดได้ เป็นไม่กลับมาเป็นข้ออักเสบอีก หากผู้เจ็บป่วยปฏิบัติตามคำแนะตำและก็กินยาอย่างสม่ำเสมอ หลักการรักษาโรคเก๊าท์จะต้องแบ่งเป็น 3 ข้อความสำคัญ ดังต่อไปนี้

  • การดูแลรักษาข้ออักเสบ ในระยะกระทันหัน และเป็นนานไม่เกิน 48 ชั่วโมง บางทีอาจให้วัวซิซิน (Colchicine) 2-3 เม็ดต่อวัน ข้อจะหายปวดเร็วมากด้านใน 2-3 วัน แล้วลดยาลงเหลือ 1 เม็ดต่อวัน จุดเด่นของยาเป็นไม่กัดกระเพาะเป็นแผล จุดบกพร่องเป็นบางทีอาจเกิดอาการท้องเสียได้ถ้าขนาดของยามากขึ้นไป ซึ่งหากมีลักษณะอาการท้องเสียให้หยุดยานี้จนกระทั่งหายท้องร่วงแล้วเริ่มรับประทานยาใหม่ในขนาดที่ลดลง

ยาอื่นๆที่ใช้ได้แต่ทุกตัวจะมีฤทธิ์ระคายกระเพาะอาหารมากมายบ้างน้อยบ้างสุดแท้แต่บุคคล ก็เลยสมควรกินหลังรับประทานอาหารเสมอ รวมทั้งอาจกินร่วมกับยาอัลมาเจล (Almagel) หรือ อลั่มไม่ลค์ (Alum Milk) แม้กระนั้นจัดว่าเป็นยาค่อนข้างไม่เป็นอันตราย เช่น ไอบลูโปรเฟน (Ibuprofen) , ไดวัวลพิแนค (diclofenac) , ที่นาโปรเซน (Naproxen) , ซูลินแดค (Sulindac) , พนารคิซิคาม (Prioxicam) , อินโดเมธาสิน (Indemethacin) ฯลฯ โดยให้วันละ 3-4 เม็ดตราบจนกระทั่งอาการดีขึ้นจึงลดปริมาณยาลงกระทั่งหยุดยาไปข้างใน 4-7 วัน
ไม่สมควรใช้ยากลุ่มฟีนิวบิวตาโซน (Phenybutazone) รวมทั้งออกซิเฟนบิวตาโซน (Oxyphenbutazone) เพราะเสี่ยงกับการเกิดสภาวะไขกระดูกไม่สร้างเลือด (Aplastic anemia) ได้โดยไม่จำเป็น เนื่องมาจากมียาอื่นที่ปลอดภัยกว่า และใช้ได้ผลในด้านที่ดีดังกล่าว แต่ว่าปรากฏว่าในท้องตลาดเมืองไทยยากลุ่มนี้ยายดีเยี่ยม เพราะเหตุว่ามักถูกจัดอยู่ในยาชุดแก้ปวดข้อแบบครบจักรวาล แถมปริมาณยาที่ผลิตนั้นมากมายกระทั่งอยู่ในขั้นอันตรายหมายถึงยาหนึ่งเม็ดมีขนาดเท่ากับยาสองเม็ดของที่มาจากเมืองนอก ก็เลยไม่น่าสงสัยเลยว่าเพราะอะไรประเทศเราจึงมีคนเจ็บโรคไขกระดูกไม่สร้างเม็ดเลือดมากแบบนี้
. การคุ้มครองป้องกันไม่ให้ข้ออักเสบกำเริบเสิบสานอีก ยาที่ได้ผลดีมากเป็น วัวชิซิน วันละ 1-2 เม็ดตลอดไป สำหรับคนที่ข้ออักเสบบ่อยจนกระทั่งไม่สามารถทำมาหากินตามปกติได้ สำหรับผู้ที่นานๆจะมีข้ออักเสบสักครั้งให้พกยาเม็ดติดตัว พอเพียงมีความคิดว่าข้อเริ่มอักเสบให้กินยาโคชิซิน 1 เม็ดทันที และก็ซ้ำได้วันละ 2-3 เม็ดเป็นเวลา 1-2 วัน ยานี้ถ้าเกิดกินแม้กระนั้นเนิ่นๆจะปกป้องไม่ให้เกิดข้ออักเสบร้ายแรงขึ้นแบบสุดกำลังแล้วก็ทำให้หายปวดข้อได้เร็วมาก

  • การลดกรดยูริคให้อยู่ในระดับต่ำ เพื่อปกป้องการตกผลึกของยูเรท และก็ไปละลายผลึกยูเรทที่ตกตะกอนจากที่ต่างๆของร่างกายให้หายไปทีละเล็กทีละน้อยด้วยเหตุนี้ยาลดกรดยูริคจำเป็นจะต้องรับประทานติดต่อกันวันแล้ววันเล่าเป็นปีๆหรือทั้งชีวิต ดังนี้สุดแต่ความร้ายแรงของโรคเก๊าท์ ยาลดกรดยูริคมี 2 พวก คือ
  • พวกที่ทำให้มีการขับยูริคออกทางไตมากขึ้นเรื่อยๆ เหมาะกับคนที่ไตปกติและไม่มีนิ่วในไต ยาที่ใช้คือ โปรเบเนสิด (Probenecid) 1-2 เม็ดต่อวัน การจัดยาต้องอาศัยตรวจระดับกรดยูริค ว่าลดน้อยลงมาอยู่ในขั้นน่าพอใจหรือไม่ คนที่รับประทานยาจำพวกนี้ควรดื่มน้ำมากๆราวๆ 1.5-2 ลิตร/วัน เพื่อคุ้มครองป้องกันการเกิดนิ่วกรดยูริคในไต ยานี้แพงถูกกว่าและก็ปลอดภัยกว่ายากลุ่ม 2 แม้กระนั้นห้ามใช้ในเป็นโรคไตวายหรือมีนิ่วในไต
  • พวกที่ตัดการสร้างของกรดยูริคภายในร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น แอบโลพูรินอล (Allopurinol) 200-300 มิลลิกรัมต่อวัน ยาตัวนี้ก่อให้เกิดอันตรายคือ เกิดตับอักเสบได้ แม้กระนั้นที่พบมากเป็น เกิดการแพ้ยาอย่างหนักถึงกับขนาดผิวหนังเป็นผื่น, พุพอง, แดงลอกหมดทั่วตัว ซึ่งมีอัตราตายสูงมากมาย แนวทางปกป้องคือ แม้รับประทานยาแล้วรู้สึกมีอาการคันเรียกตัวโดยยังไม่มีผื่น หรือเริ่มมีผื่นแดง แต่ว่าไม่รุนแรงจำเป็นต้องหยุดยาโดยทันที มิฉะนั้นจะแพ้ยารุนแรงขึ้นกระทั่งเกิดภาวะดังกล่าวมาแล้วข้างต้นได้ ซึ่งถึงแม้รับการดูแลรักษาในโรงพยาบาลก็อาจปรับแต่งไม่ทัน

คนไข้โดยมาก มักหลงผิดว่าหายจากโรคแล้ว เมื่อไม่มีอาการปวดข้อ ก็มักจะหยุดรับประทานยา รวมทั้งจะมาพบหมอเป็นบางโอกาส เฉพาะเวลามีลักษณะอาการข้ออักเสบ ความประพฤติเช่นนี้ มักทำให้ผู้เจ็บป่วยแปลงเป็นโรคเกาต์ชนิดเรื้อรัง และก็เกิดภาวะสอดแทรกต่างๆตามมาสุดท้าย ยิ่งกว่านั้น การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาโรคเกาต์ให้ดียิ่งขึ้น ได้แก่

  • เลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะอย่างยิ่งเบียร์ พบว่าคนไข้โรคเกาต์ที่ดื่มเบียร์มีโอกาสเสี่ยงต่อการเกิดอาการปวดเกาต์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆประมาณ 2.5 เท่า เหตุเพราะในเบียร์สดมีพิวรีนปริมาณมากสามารถเปลี่ยนเป็นกรดยูริกได้
  • ลดการรับประทานอาหารที่มีพิวรีนสูง ตามตารางตั้งแต่นี้ต่อไป
ตารางแสดงจำนวนพิวรีนในอาหารที่กินได้ 100 กรัม
จากหนังสือ Normal and Therapcutic Nutrition ของ Gorinne H. Robinson 1072 จากการศึกษาจำนวนพิวรีนในอาหารจำพวกต่างๆโภชนาการ 13:2522
การติดต่อของโรคเก๊าท์ เพราะเหตุว่าโรคเก๊าท์เป็นโรคที่เกิดขึ้นจาก ร่างกายมีการสะสมของกรดยูริก (uric acid) มากเกินความจำเป็น หรือมีการขับกรดยูริกที่น้อยไม่ปกติของร่างกาย ด้วยเหตุนั้นโรคเก๊าท์ก็เลยเป็นโรคที่ไม่มีการ
ติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร แม้กระนั้โรคเก๊าท์[/url]ก็มีต้นเหตุ จากความไม่ดีเหมือนปกติทางประเภทบาป เพราะฉะนั้นก็เลยพบคนเจ็บที่มีปัจจัยโรคมาจากพันธุกรรมได้ ด้วยเหมือนกัน
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคเก๊าท์ คนไข้โรคเก๊าท์ควรจะปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางส่วนอาจมีส่วน เนื่องจากช่วยให้ลักษณะของโรคทุเลาลงได้ดังนี้

  • ดื่มน้ำมากมายๆอย่างน้อยวันละ ๓ ลิตร ทุกๆวัน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดนิ่วในไตเมื่อไม่เป็นโรคที่จำต้องจำกัดน้ำ
  • ห้ามกินเหล้า เบียร์สด เหล้าองุ่น ซึ่งอาจจะทำให้โรคเกาต์กำเริบได้
  • หลีกเลี่ยงของกินที่มีกรดยูริกสูง ยกตัวอย่างเช่น เครื่องในสัตว์ สัตว์ปีกทุกชนิด กะปิ น้ำสกัดจากเนื้อ ไข่แมงดา พืชผักหน่ออ่อน (เป็นต้นว่า ถั่วงอก ยอดกระถิน ยอดแค สะเดา ชะอม หน่อไม้ แอสพารากัส ยอดผัก เป็นต้น) คนป่วยจำต้องคอยสังเกตว่าอาหารอะไรที่ทำให้โรคกำเริบเสิบสาน ก็ควรเลี่ยง
  • ควรจะเลี่ยงการกินน้ำอัดลมหรือเครื่องดื่มที่มีความหวานมากมาย โดยยิ่งไปกว่านั้นเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุกโตส
  • เลี่ยงการใช้ยาที่อาจส่งผลให้โรคกำเริบเสิบสาน อาทิเช่น แอสไพริน ยาขับเยี่ยวกรุ๊ปไทอาไซด์
  • ถ้าเกิดอ้วน ควรลดความอ้วนลงทีละน้อย อย่าลดฮวบฮาบ อาจส่งผลให้มีการย่อยสลายของเซลล์อย่างเร็ว ทำให้มีกรดยูริกสูง โรคเกาต์กำเริบได้
  • ถ้าเจอมีตุ่มโทฟัสตามผิวหนัง ห้ามบีบแกะ หรือใช้เข็มเจาะให้แตก เพราะเหตุว่าอาจก่อให้กลายเป็นแผลเรื้อรังได้
  • เมื่อมีลักษณะอาการปวดให้ใช้น้ำอุ่นจัดๆหรือใช้น้ำแข็งประคบตรงข้อที่ปวด โดยประมาณ 20 นาที รวมทั้งเลี่ยงการลงน้ำหนักตรงข้อนั้นๆ
  • เมื่อลักษณะของการปวดดีขึ้นกว่าเดิมแล้ว ควรจะไปพบหมอที่โรงหมอเพื่อตรวจยืนยันการวินิจฉัยและรับการรักษาอย่างถูกต้องต่อไป
  • เมื่อแพทย์ตรวจเจอว่าเป็นโรคเก๊าท์ควรกินอาหารตามหมอสั่งให้ครบแล้วก็ไปตรวจตามนัดหมายอย่างสม่ำเสมอ
การปกป้องตัวเองจากโรคเก๊าท์

  • ผู้ที่มีวงศาคณาญาติเป็นโรคเกาต์ ควรจะตรวจค้นระดับของกรดยูริกในเลือดเป็นช่วงๆ
  • เมื่อมีอาการแตกต่างจากปกติของข้อเกิดขึ้น อาทิเช่น ปวดข้อกระทันหัน บวมแดง ร้อนที่ข้อ ควรจะไปพบแพทย์เพื่อตรวจวิเคราะห์อย่างเร่งด่วน
  • หลบหลีกการทานอาหารที่มีพิษพิวรีนสูง โดยเฉพาะอาหารทะเล เครื่องในสัตว์ รวมทั้งสัตว์ปีก
  • ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้เกินค่ามาตรฐาน (BMI)
  • เลี่ยงจำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกฮอลล์ หรือ น้ำอัดลมให้พอดิบพอดี
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/เยียวยารักษาโรคเก๊าท์ การใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเกาต์มีข้อมูลสนับสนุนออกจะน้อย อาจเนื่องมาจากโรคนี้เกี่ยวพันกับหลายปัจจัยโดยเฉพาะอย่างยิ่งรูปแบบการทำงานของไต ซึ่งการใช้สมุนไพรมิได้เป็นการรักษาที่ต้นเหตุ แค่เพียงช่วยบรรเทาอาการเพียงแค่นั้น แม้กระนั้นมีข้อมูลของศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยแมรีแลนด์ อเมริกา ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกี่ยวโยงทางด้านสุขภาพที่ค่อนข้างน่าไว้วางใจ มีผลงานศึกษาค้นคว้าและทำการวิจัยออกมาว่าสมุนไพรที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการโรคเก๊าท์ คือ

  • ขมิ้นชัน มีสารออกฤทธิ์ที่สำคัญเป็นเคอร์คิวไม่นมีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขนาดทั่วไปที่แนะนำต่อวันเป็น 1.5-3.0 กรัม ถ้าหากรับประทานขมิ้นชันแคปซูล 500 มิลลิกรัม สามารถรับประทานได้วันละ 3-6 แคปซูล ซึ่งจะช่วยบรรเทาการอักเสบของข้อรวมทั้งกระดูกที่มีลักษณะอาการปวดของโรคเก๊าท์
  • โบรมีเลน (bromelain) เป็นเอนไซม์จากสับปะรด มีคุณลักษณะรลดอักเสบ ลดปวดโดยขนาดรับประทานที่แนะนำคือ 500 มก. วันละ 2 ครั้ง ช่วยลดอาการอักเสบและอาการปวดของโรคเก๊าท์ได้
  • ชาเขียว มีฤทธิ์เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ (antioxidant) มีการศึกษาเล่าเรียนในคนสุขภาพแข็งแรงปริมาณ 30 รายโดยแบ่งเป็น 3 กรุ๊ปให้ได้รับสารสกัดชาเขียว 2, 4, หรือ 6 กรัมต่อวัน พบว่าภายหลังจากผ่านไป 2 อาทิตย์ กรุ๊ปที่บริโภคสารสกัดชาเขียว 2 กรัมต่อวันสามารถลดระดับกรดยูริกในเลือดได้มากที่สุดคือจาก 4.81 ± 0.81 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร เป็น 4.64 ± 0.92 มิลลิกรัมต่อดล. จึงมีการแนะนำให้ดื่มน้ำชาเขียวที่ไม่มีส่วนผสมของคาเฟอีนวันละ 2-4 ถ้วยชา

ยิ่งกว่านั้นยังมีสมุนไพรอื่นๆที่ช่วยป้องกัน/ทุเลาอาการของโรคเก๊าท์ได้อีกอาทิเช่น เห็ดหลินจือ ช่วยฟื้นฟูรูปแบบการทำงานของไต สร้างสมดุลของระบบภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบของไต รวมทั้งเพิ่มประสิทธิภาพให้กับระบบหมุนเวียนโลหิต ต้นหญ้าใต้ใบ มีสรรพคุณเป็นยาขับเยี่ยว สามารถขับกรดยูริคออกทางเยี่ยวได้ ไพรที่คนไทยรู้จักกันดีว่ามีประโยชน์ในด้าน แก้ลักษณะของการปวดเมื่อยต่างๆชูกำลัง และยังส่งผลการศึกษาทำการค้นคว้าและทำการวิจัยจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ รับรองสรรพคุณดังที่กล่าวมาข้างต้นด้วย คือ แก้ปวดเมื่อย แก้กล้ามเนื้ออักเสบ เถาวัลย์เปรียง แก้เมื่อย แก้กล้ามเนื้ออักเสบ รักษาอาการข้อเข่าเสื่อม เมื่อทานเถาวัลย์เปรียงทำให้เยี่ยวบ่อยซึ่งมีคุณประโยชน์สำหรับในการช่วยขับกรดยูริคออกมาทางปัสสาวะได้อีกทางหนึ่ง หญ้าหนวดแมว สมุนไพรอย่างต้นหญ้าหนวดแมวที่มีคุณประโยชน์สำหรับในการขับกรดยูริค หญ้าหนวดแมว มีเกลือโปรแตสเซียม ช่วยสำหรับในการขับเยี่ยวและขยายหลอดไตให้กว้าง ช่วยขับกรดยูริคเนื่องด้วยหญ้าหนวดแมวทำให้ปัสสาวะเป็นด่าง ผู้ที่รับประทายหญ้าหนวดแมว จะมีการขับกรดยูริคออกมาทางฉี่เพิ่มขึ้น รวมทั้งทำให้ฉี่เป็นด่าง ทำให้กรดยูริคนอนก้นลดลงด้วย
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.พญ.เล็ก ปริวิสุทธิ์.โรคเก๊าท์.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่.49.คอลัมน์ โรคน่ารู้.พฤษภาคม.2526
  • นศภ.ปณิดา ไทยอ่อน.โรคเก๊าท์(gout) ดูแลอย่างไรดี.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.คลังข้อมูลยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Choi HK, Atkinson K, Karlson EW, Willett W, Curhan G. Alcohol intake and risk of incident gout in men: a prospective study. Lancet. 2004;363:1277-81. http://www.disthai.com/[/b]
  • Neogi T. Gout. N Engl J Med 2011;364(5):443-52.
  • รศ.นพ.สุรเกียรต์ อาชานานุภาพ.เกานต์.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่346.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กุมภาพันธ์.2551
  • เก๊าท์-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “โรคเกาต์ (Gout)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 823-826.
  • Neogi T, Chen C, Niu J, Chaisson C, Hunter DJ, Choi H, et al. Relation of temperature and humidity to the risk of recurrent gout attacks. Am J Epidemiol 2014;180:372-7.
  • สมาคมรูมาติสซั่มแห่งประเทศไทย. แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาโรคเกาต์; 2555
  • Zhang Y, Chen C, Choi H, Chaisson C, Hunter D, Niu J, et al. Purine-rich foods intake and recurrent gout attacks. Ann Rheum Dis 2012;71:1448-53.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ นิลกานุวงศ์.โรคเกาต์.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Zhang Y, Woods R, Chaisson CE, Neogi T, Niu J, McAlindon TE, et al. Alcohol consumption as a trigger of recurrent gout attacks. Am J Med 2006;119:800 e13-8.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
boiopil020156889
หัดขับ
*

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 28


ดูรายละเอียด อีเมล์
« ตอบ #1 เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2018, 12:22:12 pm »

โรคเก๊า อาการโรคเก๊า การรักษาโรคเก๊า disthai.com

บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  


ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ