โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคถุงลมโป่งพอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 45 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 09, 2018, 05:56:03 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)
โรคถุงลมโป่งพอ[/color]เป็นยังไง โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกรุ๊ปของโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งถุงลมโป่งพอง โดยธรรมดาแล้วจะเจอลักษณะของ 2 โรคนี้ด้วยกัน แต่ถ้าหากตรวจเจอว่าปอดมีพยาธิสภาพของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นจุดเด่น ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งก็คือ สภาวะพิการอย่างถาวรของถุงลมในปอด ซึ่งมีเหตุมาจากผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นและเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการเปลี่ยนอากาศ และผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองรวมทั้งทุพพลภาพ ส่งผลให้จำนวนพื้นผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ทั้งหมดทั้งปวงลดน้อยลงกว่าธรรมดา รวมทั้งมีอากาศด้านในปอดมากยิ่งกว่าปกติได้ผลให้ออกสิเจนก็เลยไปสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้ลดลง คนไข้จึงมีอาการหายใจตื้นและก็กำเนิดอาการหอบง่ายตามมา
โรคนี้ชอบเจอในคนแก่ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) เจอในเพศชายได้มากกว่าเพศหญิง แล้วก็มักพบร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังรวมทั้งแยกออกจากกันยาก คนไข้โดยมากจะมีประวัติการสูบยาสูบจัด  มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลภาวะทางอากาศในปริมาณมากและก็ติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นละออง ควัน หรือมีอาชีพดำเนินงานในโรงงานหรือเหมืองที่หายใจเอาสารระคายเข้าไปเป็นประจำ [url=http://www.disthai.com/16827806/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%96%E0%B8%B8%E0%B8%87%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9B%E0%B9%88%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B8%AD%E0%B8%87-emphysema]โรคถุงลมโป่งพอง
เป็นโรคที่พบได้มากและก็เป็นต้นเหตุลำดับหนึ่งของการเสียชีวิตในประชาชนทั่วทั้งโลก โดยในประเทศอเมริกาพบเป็นลำดับที่ 4 ของต้นสายปลายเหตุการตายของมวลชน ถ้าหากนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการเจอโรคเป็น18 คน ในประชากร 1,000 คน  ส่วนสถานการณ์ตอนนี้ของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีลัษณะทิศทางสูงมากขึ้นตามลำดับเช่นเดียวกันกับทั่วทั้งโลก แล้วก็เป็นหนึ่งในสิบ สิ่งที่ทำให้เกิดการเสียชีวิต ของพลเมืองไทย ก็เลยนับเป็นโรคที่เป็นปัญหาทางสาธารณสุขของเมืองไทยอีกโรคหนึ่ง
สาเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง ปัจจัยสำคัญที่นำมาซึ่งถุงลมโป่งพอง เป็นการสูบบุหรี่ แต่ว่าจากการศึกษาเล่าเรียนพบว่าผู้ที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากยิ่งกว่าผู้ที่ไม่ได้ดูดบุหรี่มากถึง 6 เท่า ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติดูดบุหรี่จัด (มากยิ่งกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป พิษในบุหรี่จะเบาๆทำลายเยื่อบุหลอดลมและก็ ถุงลมในปอด ทีละน้อยๆ ใช้เวลานานนับสิบๆปี จนถึงท้ายที่สุดถุงลมปอดพิการ เป็นสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการแลกเปลี่ยนอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกจากร่างกาย แล้วก็นำออกซิเจนซึ่งเป็นอากาศดีเข้าสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบฟุตบาทหายใจ) กำเนิดอาการหอบอิดโรยง่าย รวมทั้งเกิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำซาก
เว้นเสียแต่ยาสูบซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้เจ็บป่วยส่วนน้อยยังอาจเป็นเพราะมูลเหตุอื่น ยกตัวอย่างเช่น มลภาวะในอากาศ การหายใจเอามลภาวะในอากาศ อาทิเช่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้กำเนิดถุงลมโป่งพอง เพราะว่าพบว่าประชากรที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกันเรื้อรังซึ่งรวมทั้งโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าประชาชนที่อาศัยอยู่ในต่างจังหวัด มลภาวะทางอากาศจึงน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องไม่มากมายก็น้อย ควันพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือควันพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นจากไม้ ฝ้าย หรือวิธีการทำบ่อแร่ ถ้าหายใจเข้าไปในจำนวนที่มากแล้วก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ก็มีโอกาสในการเสี่ยงที่ก่อให้เกิดถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มช่องทางมากขึ้นไปอีกถ้าหากเป็นผู้ที่สูบบุหรี่ ภาวการณ์พร่องสารต้านทริปสิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นเอนไซม์คุ้มครองป้องกันการถูกทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวเนื่องจากสารต่างๆก็เลยช่วยปกป้องไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษ ภาวการณ์นี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมซึ่งสามารถถ่ายทอดไปสู่ลูกหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมประเภทนี้ส่วนมากจะพบในคนเชื้อชาติผิวขาว มักเกิดอาการในกลุ่มผู้เจ็บป่วยที่แก่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 40-50 ปี แล้วก็ผู้ป่วยมักจะไม่สูบบุหรี่ แต่ ภาวการณ์นี้ก็เจอเกิดได้น้อยมากคือประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งผอง
อาการโรคถุงลมโป่งพอง ระยะเริ่มต้นจะมีลักษณะของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งจะมีอาการไอมีเสลดเรื้อรังเป็นนานนับเดือนนานแรมปี คนป่วยมักจะไอหรือขากเสลดในคอหลังจากตื่นนอนช่วงเช้าเสมอๆ กระทั่งนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้ตั้งใจดูแล ถัดมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นทั้งวัน แล้วก็มีเสมหะเยอะมาก ในช่วงแรกเสมหะมีสีขาว ต่อมาบางครั้งอาจจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือเขียว เป็นไข้ หรือหอบเหนื่อยเป็นบางครั้งบางคราวจากโรคติดเชื้อสอดแทรก เว้นเสียแต่อาการไอเรื้อรังดังที่กล่าวผ่านมาแล้วแล้ว คนป่วยจะมีลักษณะอาการอ่อนเพลียง่ายเวลาออกแรงมาก  อาการหอบอ่อนล้าจะค่อยๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลากล่าวหรือทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกอิดโรยง่าย
                   แม้คนป่วยยังสูบบุหรี่ถัดไป สุดท้ายอาการจะรุนแรง กระทั่งแม้แต่อยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบเหนื่อย ทั้งนี้เนื่องจากว่าถุงลมปอดทุพพลภาพอย่างรุนแรง ไม่สามารถที่จะปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนอากาศ นำออกซิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้กำเนิดพลังงาน ผู้เจ็บป่วยมักมีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานหนักเป็นครั้งคราว เหตุเพราะมีการติดโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) เข้าแทรก ทำให้มีไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว กระทั่งต้องเข้ารักษาตัวในโรงหมอ  เมื่อเป็นถึงขั้นระยะรุนแรง ผู้ป่วยมักมีลักษณะอาการเบื่อข้าว น้ำหนักลด รูปร่างผอมบาง มีลักษณะหอบเมื่อยล้า อยู่ตลอดเวลา มีลักษณะปวดร้าวทรมาณแสนสาหัสและก็บางทีอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรกซ้อน
                ยิ่งไปกว่านั้น ในบางรายบางทีอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มเหตุเพราะขาดออกสิเจน หรือแม้มีอาการหายใจตื้นเป็นระยะเวลานานหลายเดือนแล้วก็มีลักษณะที่ห่วยแตกลงอีกด้วย
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ปเป็น

  • เหตุด้านคนเจ็บ ดังเช่นว่า ลักษณะทางกรรมพันธุ์ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ขาดเอนไซม์ (Enzyme) ชื่อ Alpha-one antitrypsin ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีคุ้มครองปกป้องการถูกทำลายของเยื่อเกี่ยวเนื่องจากสารต่างๆซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดไปสู่บุตรหลานได้
  • เหตุด้านสภาวะโอบล้อม มีความจำเป็นมากที่สุด ได้แก่
  • ควันที่เกิดจากบุหรี่ เป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดของโรคนี้ พบว่ามากยิ่งกว่าร้อยละ 75.4 ของคนไข้ COPD มีต้นเหตุที่เกิดจากยาสูบ การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุด ซึ่งรวมทั้งบุหรี่ยาเส้นท้องถิ่นด้วย ปริมาณและก็ช่วงเวลาที่สูบบุหรี่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค ยิ่งสูบบุหรี่มากมายแล้วก็สูบมานานหลายปี ก็มีโอกาสกำเนิดโรคนี้ได้มาก นอกนั้นคนที่ไม่ได้ดูดบุหรี่เอง แต่ว่าได้รับควันของบุหรี่จากผู้อื่นติดต่อกันนานๆก็ได้โอกาสกำเนิดโรคนี้ได้ด้วยเหมือนกัน
  • มลพิษในรอบๆบ้าน สถานที่สำหรับทำงาน และที่ส่วนรวมที่สำคัญคือการเผาไหม้เชื้อเพลิงในการประกอบอาหาร (biomass fuel) และสำหรับเคลื่อนเครื่องจักรต่างๆ(diesel exhaust)

กรรมวิธีรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แพทย์จะอาศัยองค์ประกอบหลายชนิด เช่น ประวัติความเป็นมาสัมผัสสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงดังที่กล่าวมาแล้ว ร่วมกับ อาการ ผลการตรวจร่างกาย ภาพรังสีหน้าอก แล้วก็ยืนยันการวิเคราะห์ด้วย spirometry ดังอาการดังกล่าวต่อไปนี้
อาการ จำนวนมากผู้เจ็บป่วยที่มาพบหมอจะมีลักษณะอาการเมื่อพยาธิสภาพแผ่ขยายไปๆมาๆกแล้ว อาการที่ตรวจพบ ได้แก่ หอบ อ่อนล้าซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยไอเรื้อรังหรือมีเสมหะโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาเช้า อาการอื่นที่พบได้เป็นแน่น หน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีด
การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีหน้าอกมีความไวน้อยสำหรับในการวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แต่มี ความสำคัญสำหรับเพื่อการแยกโรคอื่น ในคนไข้ emphysema อาจพบลักษณะ hyperinflationหมายถึงกะบังลมแบน ราบรวมทั้งหัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าปกติ ในคนไข้ที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา แล้วก็ pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น แล้วก็ peripheral vascular marking ต่ำลง
การตรวจสมรรถภาพปอด Spirometry มีความจำเป็นสำหรับในการวินิจฉัยโรคนี้มาก รวมทั้งสามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้จะต้องตรวจเมื่อคนเจ็บมีอาการคงเดิม (stable) และไม่มีลักษณะกำเริบเสิบสานของโรคอย่างต่ำ 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่ผู้ป่วยยังไม่มีอาการ  โดยหมอจะให้คนป่วยหายใจเข้าให้สุดกำลัง แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดมองค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งหมายถึง ความจุอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที และก็ค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ขนาดอากาศที่หายใจออกทั้งหมดจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะเจอรูปแบบของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าร้อยละ 70 รวมทั้งแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 หลังให้ยาขยายหลอดลม

การตรวจด้วยเครื่องวัดออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือด ซึ่งในคนไข้โรคถุงลมโป่งพองมักจะมีออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นวัดค่าความอิ่มตัวของออกซิเจนในเลือดได้น้อยกว่าธรรมดา เพราะร่างกายไม่ได้รับออกสิเจนอย่างพอเพียง (โดยค่าธรรมดาจะอยู่ที่ 96-99% หากต่ำกว่านี้คนเจ็บจะรู้สึกอ่อนล้าอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ)
การตรวจค้นระดับสารทริปซินในเลือด ถ้าหากคนไข้ที่เป็นโรคถุงลมโป่งพองแก่น้อยกว่า 40-50 ปี ต้นเหตุอาจมาจากภาวะพร่องสารต่อต้านทริปสินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ ผู้ป่วยก็เลยจำเป็นต้องตรวจหาจำนวน α1-antitrypsin ในเลือด
การดูแลรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายปัจจุบันให้เยี่ยมที่สุด และก็เพื่อ ลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มี หลัก 4 ประการเป็น การหลบหลีกปัจจัยเสี่ยง  การดูแลรักษา stable COPD  การคาดการณ์และติดตามโรค  การรักษาภาวะกําเริบกะทันหันของโรค (acute exacerbation)

  • การเลี่ยงหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง สำหรับการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญเป็นการช่วยเหลือให้ผู้เจ็บป่วยเลิกสูบบุหรี่อย่างถาวร โดยใช้พฤติกรรมบำบัด หรือร่วมกับยาที่ใช้ช่วยเลิกบุหรี่ แล้วก็หลบหลีกหรือลดมลพิษ ตัวอย่างเช่น เลี่ยงการใช้เตาถ่านในที่อากาศถ่ายเทไม่ดี ฯลฯ
  • การรักษา stable COPD การดูแลและรักษาผู้เจ็บป่วยอาศัยการคาดการณ์ความร้ายแรงของโรคตามอาการแล้วก็ผล spirometry ส่วนสาเหตุอื่นที่ใช้ประกอบสำหรับการพินิจให้การรักษา อาทิเช่น ประวัติการเกิดภาวะกำเริบเสิบสานทันควันของโรค ภาวะแทรกซ้อน ภาวการณ์หายใจล้มเหลว โรคอื่นที่พบร่วม และก็สถานะสุขภาพ  (health status) โดยรวม

การให้ข้อมูลที่เหมาะสมเกี่ยวกับโรค แล้วก็แผนการรักษาแก่คนเจ็บรวมทั้งเครือญาติ จะช่วยทำให้การดูแลและรักษามีคุณภาพ คนไข้มีความชำนาญสำหรับเพื่อการศึกษาการใช้ชีวิตกับโรคนี้ แล้วก็สามารถคิดแผนชีวิตในเรื่องที่โรคดำเนินไปสู่ระยะในที่สุด  (end of life plan)
การดูแลรักษาด้วยยา การใช้ยามีเป้าหมายเพื่อทุเลาอาการ ลดการกำเริบ และเพิ่มคุณภาพชีวิต เดี๋ยวนี้ยังไม่มียาชนิดใดที่มีหลักฐานแน่ชัดว่าสามารถลดอัตราการตาย และก็ชะลออัตราการต่ำลงของสมรรถนะปอดได้ ซึ่งการดูแลรักษาดัวยยา จะประกอบด้วยยาต่างๆได้แก่
ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการและก็สมรรถภาพลักษณะการทำงานของผู้ป่วยดีขึ้น ลดความถี่และความรุนแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของคนป่วยดียิ่งขึ้น แม้ว่าคนไข้บางรายอาจจะมีการตอบสนองต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม
ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้ 3 กลุ่ม คือ β2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative
การจัดการขยายหลอดลม ชี้แนะให้ใช้แนวทางสูดพ่น  (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นตอนแรกเนื่องด้วยมีประสิทธิภาพสูงและผลกระทบน้อย
ICS แม้ว่าการให้ยา ICS อย่างต่อเนื่องจะไม่สามารถที่จะชะลอการลดน้อยลงของค่า FEV แม้กระนั้นสามารถทำให้สถานะสุขภาพดีขึ้น และก็ลดการกำเริบของโรคในคนไข้กรุ๊ปที่มีลักษณะอาการร้ายแรงและที่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานบ่อยมาก
ยาผสม ICS และ LABA ประเภทสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีคุณภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS จำพวกสูดเดี่ยวๆโดยเฉพาะในผู้ป่วยขั้นรุนแรงและก็มีอาการกำเริบเป็นประจำแต่ว่าก็ยังมีความโน้มเอียงที่จะเกิดปอดอักเสบสูงมากขึ้นเช่นกัน
Xanthine derivatives มีประโยชน์แต่ว่าเป็นผลข้างเคียงได้ง่าย จำเป็นต้องพิจารณาเลือกยาขยายหลอดลมกรุ๊ปอื่นก่อน ดังนี้ สมรรถนะของยากลุ่มนี้ได้จากการเรียนรู้ยาประเภทที่เป็น sustained-release เพียงแค่นั้น
การรักษาอื่นๆวัคซีน แนะนำให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ระยะเวลาที่สมควรคือ มี.ค. – ม.ย. แต่ว่าอาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด  (pulmonary rehabilitation) มีเป้าหมายเพื่อลดอาการโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และเพิ่มความรู้ความเข้าใจสำหรับเพื่อการทำงานกิจวัตร ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ จะต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวโยงด้วย ดังเช่นว่า ภาวะของกล้ามเนื้อ สภาพอารมณ์และก็จิตใจ ภาวการณ์โภชนาการฯลฯ ให้การบำบัดด้วยออกซิเจนระยะยาว  การรักษาโรคการผ่าตัด แล้วก็/หรือ หัตถการพิเศษ ผู้เจ็บป่วยที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยยา และก็การฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างเต็มที่แล้ว ยังควบคุมอาการมิได้ ควรจะส่งต่ออายุรเวชผู้ที่มีความเชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการดูแลรักษาโดยการผ่าตัด เช่น
           Bullectomy
           การผ่าตัดเพื่อลดปริมาตรปอด  (lung volume reduction surgery)
           การใส่อุปกรณ์ในหลอดลม (endobronchial valve)
           การผ่าตัดเปลี่ยนปอด
การคาดการณ์และก็ติดตามโรค สำหรับการวัดผลการดูแลรักษาควรมีการประมาณทั้ง อาการผู้เจ็บป่วย  (subjective) แล้วก็ผลของการตรวจ (objective) อาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามสมควร ดังนี้ขึ้นอยู่กับระดับความร้ายแรงของโรครวมทั้งปัจจัยทางเศรษฐสังคม
ครั้งใดก็ตามเจอหมอ ควรจะติดตามอาการ อาการหอบ บริหารร่างกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจไม่สะดวก แล้วก็การคาดคะเนวิธีการใช้ยาสูด
ทุก 1 ปี ควรวัด  spirometry ในผู้ป่วยที่มีอาการเมื่อยล้าคุกคามกิจวัตรประจำวันประจําวัน ควรจะวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases
การดูแลและรักษาภาวะกำเริบทันควันของโรค  (acute exacerbation) การกำเริบกะทันหันของโรค หมายถึง สภาวะที่มีลักษณะอ่อนแรงมากขึ้นกว่าเดิมในช่วงเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงอาทิตย์) แล้วก็/หรือ มีจำนวนเสมหะเพิ่มขึ้น หรือมีเสลดเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยจะต้องแยกจากโรคหรือภาวการณ์อื่นๆอาทิเช่น หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax
การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองเกิดจาก เยื่อบุหลอดลมและถุงลมในปอดถูกทำลายขึ้นรถพิษต่างๆอย่างเช่น สารพิษในควันของบุหรี่ , มลพิษที่เกิดจากอาการรวมทั้งสารเคมี ที่เราดมกลิ่นเข้าไป เป็นระยะเวลาที่ยาวนานแล้วก็ในปริมาณที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองขาดการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แม้กระนั้นบางทีอาจเจอได้ว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากพันธุกรรม (สภาวะขาดตกบกพร่องสารต้านทริปซีน (a1-antitrypsin)) แม้กระนั้นเจอได้น้อยมาก ราว 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งสิ้น
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง

  • ติดตามการดูแลรักษากับหมออย่างสม่ำเสมอและก็ใช้ยารักษาให้ครบสมบูรณ์ตามที่แพทย์กำหนด
  • เลิกยาสูบอย่างเด็ดขาด
  • หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลภาวะ ตัวอย่างเช่น ฝุ่น ควัน
  • กินน้ำมากมายๆวันละ 10-15 แก้ว เพื่อช่วยขับเสมหะ
  • ในรายที่เป็นระยะร้ายแรง มีลักษณะอาการไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักลด ควรหาทางบำรุงของกินให้สุขภาพแข็งแรง
  • ถ้าเกิดจำเป็นจะต้องจะต้องมีถังออกซิเจนไว้ประจำบ้าน เพื่อใช้ช่วยหายใจ ทุเลาอาการหอบเหนื่อย
  • ถ้ามีอาการสอดแทรก อย่างเช่น จับไข้ หายใจหอบ ก็ควรจะรีบพาไปรักษาที่โรงหมอในทันที
  • รับประทานอาการที่มีประโยชน์ครบ อีกทั้ง 5 กลุ่ม
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
  • รักษาสุขภาพอย่างเคร่งครัด
การปกป้องตัวเองจากโรคถุงลมโป่งพอง

  • การปกป้องที่สำคัญที่สุดเป็นการไม่สูบบุหรี่ (รวมทั้งยาเส้น) แล้วก็หลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ดูดบุหรี่หรือสถานที่ที่มีควันบุหรี่
  • คนที่สูบบุหรี่จัด ถ้าหากเลิกดูดมิได้ ควรจะหมั่นไปพบหมอเพื่อรับการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าหากเริ่มมีลักษณะอาการไอบ่อยมากแต่ละวันโดยไม่มีสาเหตุที่แจ่มกระจ่าง
  • เลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลภาวะกลางอากาศ และก็รู้จักใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองจากควันแล้วก็สารพิษที่เป็นโทษต่างๆส่วนผู้ที่จำต้องทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆควรจะไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ
  • หลบหลีกการใช้ฟืนหุงหาอาหารหรือก่อไฟข้างในที่ขาดการถ่ายเทอากาศ
  • ถ้าเกิดเป็นโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งโรคหืด จะต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างจริงจังและก็กินยาอย่างเคร่งครัด
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการโรคถุงลมโป่งพอง

เอกสารอ้างอิง




 

Tags



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ