Advertisement
งาดำชื่อสมุนไพร งาดำ
ชื่อสามัญ Black Sasame seeds Black
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesamum indicum Linn
สกุล Pedaliaceae
ถิ่นเกิด งามีบ้านเกิดเมืองนอนในทวีปแอฟริกา รอบๆประเทศเอธิโอเปีย แล้วแผ่กระจายไปยังประเทศอินเดีย จีน แล้วก็ประเทศต่างๆในแถบเอเชียรวมถึงเมืองไทยด้วย ส่วนในประเทศอินเดียมีการกล่าวว่ามีการปลูกงามาแล้วหลายพันปี ก่อนที่จะพ่อค้าชาวอาหรับ แล้วก็เมดิเตอร์เรเนียลจะนำงาไปปลูกแถบอาหรับ แล้วก็ ยุโรป
นอกเหนือจากนั้นยังมีผู้พบหลักฐานว่า ชาวบาบิโลนในประเทศโซมาเลียมีการปลูกงามายาวนานกว่า 2,500 ปี ก่อนคริสตกาล รวมทั้งใช้นํ้ามันงาสำหรับทำยา รวมทั้งของกิน ซึ่งมีบันทึกใน Medical Papyrus of Thebes กล่าวว่า ทหารโรมันได้นำงาไปปลูกภายในประเทศอิตาลีในคริสศตวรรษที่ 1 แม้กระนั้นปรากฏว่าสภาพอากาศไม่เหมาะสมกับการปลูก รวมทั้งในช่วงปลายศตวรรษที่17 และ18 มีการนำงามาปลูกในประเทศสหรัฐอเมริกาโดยข้าทาสชาวแอฟริกัน
ด้านการใช้ประโยชน์จากงาดำนั้นประเทศอินเดีย จีน รวมทั้งประเทศอื่นๆในแถบเอเซียจะใช้งาทำเป็นนํ้ามันเพื่อทำกับข้าว ส่วนคนยุโรปจะนำงามาทำขนมเค้ก เหล้าองุ่น แล้วก็นํ้ามัน รวมทั้งใช้สำหรับในการประกอบอาหาร รวมทั้งเป็นเครื่องหอม ส่วนชาวแอฟริกันใช้ใบงาทำ ดอกไม้เพลิง และก็พอกผิวหนัง แล้วก็ใช้เป็นสารไล่แมลงให้สัตว์เลี้ยงเป็นต้น
ลักษณะทั่วไปงาดำ เป็นพืชล้มลุกที่แก่ฤดูเดียว มีลำต้นตั้งตรง อาจแตกกิ่งไหมแตกกิ่งกิ่งก้านสาขา ลำต้นสูงประมาณ 50-150 ซม. ลำต้นมีลักษณะสีเหลี่ยม มีร่องตามทางยาว ไม่มีแก่น มีลักษณะอวบน้ำ แล้วก็มีขนสั้นปกคลุม เปลือกลำต้นบาง มีสีเขียว ใบงาดำ ออกเป็นใบโดดเดี่ยว เรียงตรงข้ามกันเป็นชั้นๆตามความสูง ประกอบด้วยก้านใบสั้น ยาวโดยประมาณ แผ่นใบมีรูปหอก สีเขียวสด กว้างราวๆ 3-6 เซนติเมตร ยาวราวๆ 8-16 เซนติเมตร โคนใบมนกว้าง ปลายใบแหลม ขอบใบหยักบางส่วน มีเส้นกิ้งก้านใบตรงข้ามกันเป็นคู่ๆยาวถึงขอบใบ ดอกงาดำเป็นดอกเดี่ยวหรือเป็นกรุ๊ปตรงซอกใบ จำนวน 1-3 ดอก ดอกย่อยมีก้านดอกสั้น มีกลีบรองดอก จำนวน 5 กลีบ ส่วนกลีบดอกมีลักษณะเป็นกรวย ห้วยลงดิน กลีบอ่อนมีสีเขียวอมเหลือง กลีบเมื่อบานมีสีขาว ยาวราว 4-5 ซม. แบ่งเป็น 2 ส่วน คือ กลีบล่าง และกลีบบน โดยกลีบด้านล่างจะยาวกว่ากลีบบน ภายในดอกมีเกสรตัวผู้ 2 คู่ มี 1 คู่ยาว ส่วนอีกคู่สั้นกว่า ส่วนเกสรตัวเมียมี 1 อัน มีก้านเกสรยาว 1.5-2 เซนติเมตร ปลายก้านเกสรวิ่นเป็น 2-4 แฉก ผลงาดำเรียกว่า ฝัก มีลักษณะทรงกระบอกยาว ผิวฝักเรียบ ปลายฝักแหลมเป็นติ่ง และก็แบ่งได้ร่องพู 2-4 ร่อง กว้างราวๆ 1 เซนติเมตร ยาวโดยประมาณ 2-3 เซนติเมตร ฝักอ่อนมีสีเขียว และก็มีขนปกคลุม ฝักแก่กลายเป็นสีน้ำตาล รวมทั้งค่อยๆกลายเป็นสีดำอมเทา แล้ว ร่องพูจะปริแตก เพื่อเม็ดหล่นลงดิน ข้างในฝักมีเม็ดขนาดเล็ก สีดำจำนวนไม่ใช่น้อย เม็ดเรียงซ้อนในร่องพู เมล็ดมีรูปรี และแบน ขนาดเม็ดประมาณ 2-3 มิลลิเมตร เปลือกเม็ดบางมีสีดำ มีกลิ่นหอมยวนใจ แต่ละฝักมีเมล็ดราว 80-100 เมล็ด
การขยายพันธุ์ งาดำแพร่พันธุ์ด้วยการใช้เม็ด ซึ่งนิยมปลูกร่วมกัน 2 แบบหมายถึงการหว่านเมล็ด แล้วก็โรยเม็ดเป็นแถว แบ่งตอนปลูกออกเป็น 3 ช่วง คือ- ช่วงต้นฤดูฝน ประมาณพฤษภาคม-เดือนมิถุนายน แล้วก็เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม
- ช่วงปลายฤดูฝน โดยประมาณกรกฎาคม-เดือนสิงหาคม และก็เก็บเกี่ยวในตอนกันยายน-เดือนตุลาคม
- ช่วงหลังการเก็บเกี่ยวข้าว โดยประมาณพ.ย.-ธ.ค. แล้วก็เก็บเกี่ยวในช่วงเดือนมกราคม-กุมภาพันธ์
การเตรียมแปลงปลูก ในพื้นที่ที่มีระบบชลประทานเข้าถึง สามารถปลูกงาดำได้ทุกฤดู ส่วนพื้นที่ที่ไม่มีระบบชลประทานมักปลูกไว้ในตอนหลังเก็บเกี่ยวข้าวเสร็จ
พื้นที่แปลงปลูกต้องไถกลบดิน 1 รอบก่อน และก็ตากดินนาน 7-10 วัน หลังจากนั้น หว่านด้วยปุ๋ยหมัก ราวๆ 1-2 ตัน/ไร่ ก่อนไถพรวนดินกลบอีกครั้ง หรือหว่านปุ๋ยหมักตั้งแต่ตอนไถรอบแรก (ใช้สำหรับพื้นที่ไม่เกลื่อนกลาดมากมาย) เพราะว่ารอบถัดมาจะเป็นการหว่านเมล็ดได้เลย ส่วนการปลูกแบบหยอดเม็ด ให้ไถร่องตื้นหรือใช้คราดดึงทำแนวร่องก่อน
การปลูก- การปลูกแบบหว่านลงแปลง ข้างหลังไถกลบรอบแรกหรือไถลูกพรวนดินในรอบ 2 แล้ว ให้หว่านเมล็ดงาดำ อัตรา 0.5-1 กิโลกรัม/ไร่ ควรหว่านเม็ดให้กระจายให้มากที่สุด ก่อนไถพรวนหน้าดินตื้นๆกลบ
- การปลูกแบบหยดเม็ดเป็นแนว หลังไถชูร่องหรือดึงคราดทำแนวร่องเสร็จ ให้โรยเม็ดตามความยาวของร่อง ให้เม็ดห่างกันอย่างสม่ำเสมอ ใช้เม็ดในอัตราเดียวกับการหว่านเม็ด ก่อนคราดหรือเกลี่ยหน้าดินกลบ
การรักษา ข้างหลังการหว่านเม็ด ถ้าหากปลูกไว้ในช่วงแล้ง เกษตรมักจัดตั้งระบบให้น้ำ ซึ่งควรจะให้เสมอๆ 2-3 ครั้ง/สัปดาห์ ส่วนการปลูกภายในหน้าฝน เกษตรมักปลดปล่อยให้งาดำเติบโตโดยอาศัยน้ำฝนจากธรรมชาติ ทั้งนี้ ถ้าเกิดพบโรคหรือแมลงให้ฉีดพ่นด้วยสารเคมีกำจัด ส่วนการใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 ในระยะ 1-1.5 เดือน แรกข้างหลังปลูก รวมทั้งอาจใส่ร่วมกับปุ๋ยหมัก อัตรา 1-2 ตัน/ไร่ ส่วนการกำจัดวัชพืช ให้ลงแปลงถอนวัชพืชด้วยมือเป็นประจำ ทุก 2 ครั้ง/ เดือน โดยยิ่งไปกว่านั้นใน 1-1.5 เดือนแรก
การเก็บเกี่ยวผลิตผล งาดำ สามารถเก็บเกี่ยวเมล็ดได้ข้างหลังการปลูกโดยประมาณ 70-120 วัน ขึ้นกับสายพันธุ์ โดยพิจารณาจากฝักที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาลอมดำ ส่วนใบจะเริ่มสีเหลือง แล้วก็บางพันธุ์มีการหล่นแล้ว ทั้งนี้ จะต้องเก็บฝักก่อนที่เปลือกฝักจะปริแตก ส่วนจำพวกงาดำที่นิยมนำมาปลูกในปัจจุบันนั้นมีด้วยกัน 4 ชนิดคือ
- งาดำ จังหวัดบุรีรัมย์ จัดเป็นชนิดพื้นเมือง มีลักษณะเด่นเป็นฝักแบ่งออกเป็น 4 กลีบใหญ่ เม็ดมีขนาดใหญ่ สีเกือบจะดำสนิท มีอายุเก็บเกี่ยวปานกลาง ราวๆ 90-100 วัน ให้ผลผลิต โดยประมาณ 60-130 กิโลกรัม/ไร่
- งาดำ นครสวรรค์ จัดเป็นประเภทพื้นเมืองที่นิยมมากมายในแทบทุกภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคกลาง เหนือ และอีสาน มีลักษณะเด่นหมายถึงลำต้นออกจะสูง มีการทอดยอด และก็แตกกิ่งก้านมากมาย ใบมีขนาดใหญ่ มีลักษณะค่อนข้างจะกลม ส่วนเมล็ดมีสีดำ อ้วน และขนาดใหญ่ แก่เก็บเกี่ยวปานกลาง ประมาณ 95-100 วัน ได้ผลผลิต 60-130 กิโลกรัม/ไร่
- งาดำ มก.18 เป็นประเภทงาดำแท้ ที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ในตอนปี 2528-2530 ที่ได้จากการผสมของงาชนิด col.34 กับงาดำ จังหวัดนครสวรรค์ มีลักษณะเด่นเป็นลำต้นค่อนข้างสูง มีการทอดยอด แต่ไม่แตกกิ่ง ลำต้นมีข้อสั้น ทำให้ปริมาณของฝักต่อต้นสูง เมล็ดมีสีดำสนิท 1,000 เมล็ด มีน้ำหนักราว 3 กรัม ถ้าหากในฤดูฝนจะมีอายุการเก็บเกี่ยวราวๆ 85 วัน ถ้าหากปลูกหน้าหนาวหรือฤดูแล้ง แก่การเก็บเกี่ยว ประมาณ 90 วัน ได้ผลผลิต แต่ว่าค่อนข้างจะสูง ในตอน 60-148 กิโลกรัม/ไร่
- งาดำ มข.2 เป็นพันธุ์ไม่ไวต่อช่วงแสงสว่างที่ปรับปรุงขึ้นโดยมหาวิทยาลัยขอนแก่น มีชนิดเริ่มแรกหมายถึงงาดำ พันธุ์ ซีบี 80 ที่นำเข้ามาจากประเทศจีน มีลักษณะเด่นเป็นลำต้นสูงราวๆ 105-115 ซม. ลำต้นมีการแตกกิ่ง แต่ว่าแตกน้อย โดยประมาณ 3-4 กิ่ง/ต้น เม็ดสีดำสนิท 1,000 เม็ด หนักราว 2.77 กรัม มีอายุเก็บเกี่ยวสั้นกว่าชนิดอื่นๆโดยประมาณ 70-75 วัน ให้ผลผลิตปานกลางถึงสูง ราวๆ 80-150 โล/ไร่ เป็นพันธุ์ที่ทนแล้ง รวมทั้งต้านต่อโรค เน่าดำได้ดี
ส่วนประกอบทางเคมี ในเม็ดมีน้ำมันอยู่ราว 45-55% ประกอบด้วยกรดไขมันได้แก่ oleic acid, linoleic acid, palmitic acid, stearic acid, นอกจากนี้ยังมี สารกรุ๊ป lignan, ชื่อ Sesamin , sesamol,
d-sesamin, sesamolin, สารอื่นๆดังเช่นว่า sitosterol (สารกันหืนคือ sesamol ทำให้น้ำมันงาไม่เหม็นหืน)
ยิ่งไปกว่านี้งาดำยังมีคุณค่าทางโภชนาการดังต่อไปนี้
คุณค่าทางโภชนาการของงาดำ (งาดำ 100 กรัม)
น้ำ 4.2 กรัม
พลังงาน 603 กิโลแคลอรี่
โปรตีน 20.6 กรัม
ไขมัน 48.2 กรัม
คาร์โบไฮเดรต 21.8 กรัม
ใยอาหาร 9.9 กรัม
เถ้า 5.2 กรัม
แคลเซียม 1228 มก.
เหล็ก 8.8 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 584 มิลลิกรัม
ไทอะมีน 0.94 มก.
ไรโบฟลาวิน 0.27 มิลลิกรัม
ไนอะซีน 3.5 มิลลิกรัม
กรดกลูดามิก 3.955 กรัม
กรดแอสพาร์ตำหนิก 1.646 กรัม
เมไธโอนีน 0.586 กรัม
ทรีโอนีน 0.736 กรัม
ซีสคราวอีน 0.358 กรัม
ซีรีน 0.967 กรัม
ฟีนิลอะลานีน 0.940 กรัม
อะลานีน 0.927 กรัม
อาร์จินีน 2.630 กรัม
โปรลีน 0.810 กรัม
ไกลซีน 1.215 กรัม
ฮิสทิดีน 0.522 กรัม
ทริปโตเฟน 0.388 กรัม
ไทโรซีน 0.743 กรัม
วาลีน 0.990 กรัม
ไอโซลิวซีน 0.763 กรัม
ลิวซีน 1.358 กรัม
ไลซีน 0.569 กรัม
ธาตุแคลเซียม 975 มก.
ธาตุเหล็ก 14.55 มก.
ธาตุซีลีเนียม 5.7 มก.
ธาตุโซเดียม 11 มก.
ธาตุฟอสฟอรัส 629 มิลลิกรัม
ธาตุสังกะสี 7.75 มก.
ธาตุโพแทสเซียม 468 มก.
ธาตุแมกนีเซียม 351 มก.
ธาตุแมงกานีส 2.460 มก.
ธาตุทองแดง 4.082 มก.
ผลดี/สรรพคุณ งาดำนิยมนำมาใช้เป็นสัดส่วนผสมของของหวานต่างๆดังเช่น ไอติมงาดำ , คุกกี้งาดำ , ขนมเค้กงาดำ , น
งาดำ[/url] , กระยาสารท อื่นๆอีกมากมาย หรือใช้เป็นส่วนประกอบภัณฑ์เสริมความงดงามต่างๆตัวอย่างเช่น สบู่ ครีมดูแลผิว อื่นๆอีกมากมาย ส่วนสรรพคุณทางยาของงาดำนั้นสามารถช่วยบำรุงร่างกายดูเหมือนจะทุกรูปทรง ไม่ว่าจะเป็น ผม ผิวพรรณ กระดูก เล็บ ระบบขับถ่าย การบำรุงหัวใจ จึงเหมาะกับทุกวัย ต่อให้เด็กที่มีลักษณะป่วยไข้อยู่แล้ว หรือผู้หญิงที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยทอง งาดำจะจำเป็นมากอย่างยิ่ง เพราะเหตุว่าจะช่วยคุ้มครองโรคสภาวะกระดูกพรุนอย่างได้ผล โดยในตำราเรียนยาไทยกล่าวว่า ใช้น้ำมันระเหยยากที่บีบจากเมล็ด หุงเป็นน้ำมันใส่บาดแผล แล้วก็ผสมเป็นน้ำมันทาเช็ดนวดแก้เคล็ดขัดยอก บวมช้ำ ปวดบวม ลดการอักเสบ ใส่แผลรักษาอาการผื่นคัน ทำน้ำมันใส่ผม เป็นยาระบายอ่อนๆทาผิวหนังให้นุ่มรวมทั้งเปียกชื้น หญิงไทยโบราณใช้ทาเพื่อทำความสะอาดผิว คุณประโยชน์พื้นเมืองบอกว่า เม็ด ก่อให้เกิดกำลัง ให้ความอบอุ่นแก่ร่างกาย แม้กระนั้นทำให้ดีกำเริบเสิบสาน น้ำมัน ทำน้ำมันใส่แผล ใส่แผลเน่าเปื่อย มักใช้ผสมยาทาสำหรับกระดูกหัก บำรุงเอ็น ไขข้อ ทานวดแก้กลยุทธ์ยอก ปวดบวม หรือใช้ทาบำรุงรากผม
ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาโรคผิวหนัง ขี้กลาก เกลื้อน น้ำร้อนลวก ไฟเผา ตำรับยาน้ำมันที่ระบุในหนังสือเรียนพระยารักษาโรคพระนารายณ์: มีรวม 3 ตำรับ ที่ใช้น้ำมันงาเป็นองค์ประกอบ ดังนี้ “น้ำมันทรงแก้พระเกศาร่วง (ผมหล่น)ให้คันให้ขาว” ประกอบด้วยสมุนไพร 19 ชนิด นำมาต้มแล้วกรองกากออก เติมน้ำมันงา แล้วหุงให้เหลือแค่น้ำมันใช้แก้พระเส้นผมหล่อน คัน ขาว “น้ำมันแก้เปื่อยยุ่ยพังทลาย” มีคุณประโยชน์ แก้ขัดค่อยหรือเยี่ยวไม่ออก แก้ปวดขบ แก้หนอง มีรวม 2 ตำรับ แต่ละตำรับ มีสมุนไพร 12 จำพวก แล้วก็น้ำมันงาพอเหมาะ หุงให้เหลือแต่น้ำมัน ยานี้ใช้ ยอนเป่าเข้าไปในลำกล้องถ่ายรูป (ฟุตบาทเยี่ยวในองคชาติ)
ส่วนหนังสือเรียนหมอแผนปัจจุบันระบุว่าสารออกฤทธิ์ในงาดำมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ ลดคอเลสเตอรอลในเลือด ต่อต้านเซลล์ของโรคมะเร็ง รักษาอาการไอ จากการกำหนดสมรรถนะการรักษาโรคของเมล็ดงาโดยฐานข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ที่ว่าช่วยทุเลาอาการไอ นับมีประโยชน์ข้อเดียวของงาดำและงาขาวที่มีข้อมูลเยอะที่สุดในปัจจุบัน ลดระดับคอเลสเตอรอล น้ำมันงายอดเยี่ยมในน้ำมันจากพืชที่พูดกันว่าดีต่อร่างกาย โดยเชื่อว่าอุดมไปด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัว ซึ่งเป็นไขมันจำพวกดีที่ช่วยลดจำนวนคอเลสเตอรอลรวมทั้งในน้ำมันงานี้ยังเจอไขมันอิ่มตัวในจำนวนน้อย วัยทอง หญิงที่เข้าสู่วัยหมดประจำเดือนซึ่งเป็นภาวะของความเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจจากการที่ร่างกายไม่ผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนอีกต่อไป บางทีอาจได้ใช้ประโยชน์จากสารเซซาไม่น (Sesamin) ในเม็ดงาที่เชื่อว่าเมื่อเข้าสู่ร่างกายจะถูกจุลอินทรีย์ในลำไส้เปลี่ยนไปเป็นสารสำคัญอย่างเอนเทอโรแลกเปลี่ยนโตน (Enterolactone) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์เอสโตรเจนแล้วก็มีองค์ประกอบทางเคมีเหมือนฮอร์โมนเอสโตเจนของเพศหญิงอย่างไฟโตเอสโตรเจน (Phytoestrogens) งาเป็นอาหารที่มีธาตุมากที่สำคัญเป็นธาตุเหล็ก ไอโอดีน แคลเซียม ธาตุฟอสฟอรัส โดยปริมาณแคลเซียมที่พบจะมีมากกว่าผักทั่วๆไปกว่า 40 เท่า รวมทั้งธาตุฟอสฟอรัสมากกว่าผักทั่วๆไปกว่า 20 เท่า ซึ่งเป็นธาตุที่ปฏิบัติหน้าที่สร้างเสริมกระดูก โดยยิ่งไปกว่านั้นเด็กเล็ก รวมทั้งสตรีวัยหมดระดู กรดไขมันไลโนเลอิค แล้วก็กรดไขมันชนิดโอเลอิค ช่วยสำหรับในการลดระดับไขมันชนิดต่างๆในเส้นเลือด รวมทั้งช่วยปกป้องการเกิดเกล็ดเลือด และลิ่มเลือด งามีคาร์โบไฮเดรตในปริมาณตํ่า แม้กระนั้นมีวิตามินบีทุกประเภทสูงก็เลยถือได้ว่างามีวิตามินบีอยู่แทบทุกชนิด ก็เลยมีสรรพคุณช่วยทำนุบำรุงระบบประสาท บำรุงสมอง ทุเลาอาการเหน็บชา แก้ร่างกายอ่อนแรง แก้อาการปวดเมื่อยล้า แล้วก็แก้การเบื่ออาหาร งามีปริมาณใยอาหารในปริมาณสูง ปฏิบัติภารกิจสร้างเสริม รวมทั้งกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทั้งยังการย่อย การดูดซึม รวมทั้งการขับถ่าย ช่วยป้องกันอาการท้องผูก ยั้ง และดูดซึมสารพิษ พร้อมขับออกทางอุจจาระ ทำให้ปกป้องมะเร็งในลำไส้ แล้วก็ควบคุมระดับไขมันในเลือด กรดไลโนเลอิคพบในเมล็ดงาเยอะแยะ เป็นกรดที่มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโต แล้วก็ช่วยรักษาความชุ่มชื้นของผิวหนัง เนื่องจากว่าทำให้ฝาผนังเซลล์ข้างในด้านนอกทำงานอย่างปกติ
แบบอย่าง/ขนาดวิธีใช้ ในตอนนี้งาดำนั้นส่วนใหญ่จะนิยมเอามาทำเป็นขนมหรือส่วนผสมของของหวานแล้วก็ผลิตภัณฑ์ที่ใช้บริโภคมากกว่าการใช้ผลดีในด้านอื่นๆแม้กระนั้นก็มีตำรายาไทยแผนโบราณที่ได้ระบุปริมาณการใช้เพื่อเยียวยารักษาโรคต่างๆได้แก่
- รักษาลักษณะของการปวดตามข้อ ใช้งาคั่วกิน 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
- รักษาอาการอ่อนเพลีย เมื่อตามร่างกาย กินงาคั่ว 2-3 ช้อนโต๊ะ 2-3 อาทิตย์
- รักษาอาการเหน็บชา คั่วเมล็ดงา 1 ลิตร ร่วมกับรำข้าว 1 ลิตร รวมทั้งกระเทียมหั่น 1 กำมือ แล้ว ตำบดผสมกัน รวมทั้งผสมน้ำผึ้งหรือน้ำตาลกิน 1 เดือน
- รักษาอาการคัดจมูก ใช้งาคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ ผสมกับกับข้าวสุกหรือนมถั่วเหลืองรับประทาน 2-3 วัน
- รักษาอาการเป็นหวัด รับประทานงาคั่ว วันละ 4 ช้อนโต๊ะ
- รักษาอาการท้องผูก ใช้งาคั่วผสมกับเกลือกินร่วมกับข้าว
- รักษาลักษณะของการปวดเมนส์ กินงาผง ½ ช้อนชา วันละ 2 ครั้ง
- ใช้บำรุงสมอง แล้วก็ระบบประสาท ใช้งาคั่วผสมกับมะขามป้อม และก็น้ำผึ้ง กินวันละ 1 ครั้ง
การเรียนทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ลดการอักเสบ สาร sesamin จากน้ำมันเม็ดงา เมื่อทำการทดลองโดยผสมลงในของกินของหนูถีบจักร แล้วก็ป้อนให้หนูที่ถูกรั้งนำให้มีการติดเชื้อ และก็การอักเสบที่ลำไส้ใหญ่ ซึ่งหนูที่มีการอักเสบจะมีการหลั่งสาร dienoic, eicosanoids, TNF-a (tumor necrosis factor-a) รวมทั้ง cyclooxygenase มากยิ่งขึ้น จากผลการทดสอบ พบว่าสาร sesamin ในน้ำมันเมล็ดงา มีฤทธิ์ลดการอักเสบที่ลำไส้ของหนูได้ โดยลดการผลิตสารพวก Prostaglandin E2 (PGE2), Thromboxane B2 (TXB2) และ TNF-a อย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ (1) เมื่อทำการทดสอบในชายปกติ 11 คน โดยฉีดสารที่นำไปสู่การอักเสบ Auromyose ซึ่งเป็นสารสังเคราะห์ของ TNF-a, PGE2 และก็ leukotriene B4 (LTB4) ต่อจากนั้นให้ชายอีกทั้ง 11 คน รับประทานอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา 18 ก./วัน นาน 12 สัปดาห์ และกระทำวัดระดับ TNF-a, PGE2 และ LTB4 ในกระแสเลือดก่อนและก็หลังให้อาหารเสริมที่มีส่วนผสมของน้ำมันงา พบว่าระดับของสารที่กระตุ้นให้เกิดการอักเสบดังกล่าวมาแล้วข้างต้นไม่มีความเคลื่อนไหว แปลว่าน้ำมันงาไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ (2) 0.5 กรัม ของสารสกัดเมทานอล 100% จากเมล็ดงา 100 ก. ไม่เป็นผลยั้ง cyclooxygenase 2 และ nitric oxide ในเซลล์ RAW 264.7 ที่ถูกเหนี่ยวนำโดย lipopolysaccharide (3)
ฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย สารสกัดอัลกอฮอล์หรืออะซีโตนจากเมล็ดงา ความเข้มข้น 25 มคก./มล. (4) และก็สารสกัดเอทานอล 80% จากใบ ลำต้น ราก และผล ความเข้มข้น 500 มิลลิกรัม/มิลลิลิตร (5) ไม่เป็นผลยั้งเชื้อ Staphylococcus aureus (4, 5) รวมทั้งเชื้อ Pseudomonas aeruginosa (5)
การเล่าเรียนเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของงาดำแล้วก็งาขาวที่ช่วยรักษาอาการไอ เป็นการทดสอบในเด็กอายุ 2-12 ปี จำนวน 107 คน ที่มีลักษณะอาการไอจากโรคหวัด โดยให้กินน้ำมันงา 5 มิลลิลิตรก่อนนอนต่อเนื่องกัน 3 วัน เพื่อลดความร้ายแรงแล้วก็ความถี่ของการไอ ผลลัพธ์พบว่าในวันแรกอาการไอของเด็กที่กินน้ำมันงากว่ากรุ๊ปรับประทานยาหลอก แต่อยู่ในระดับไม่มากเท่าไรนัก แล้วก็เมื่อผ่านไป 3 วัน เด็ก 2 กรุ๊ปต่างมีอาการ และไม่พบว่าการใช้น้ำมันงาก่อเกิดผลข้างเคียงใดๆก็ตามศึกษาค้นคว้าผู้ป่วยที่บาดเจ็บในโรงหมอทั้งผอง 150 คน โดยกรุ๊ปหนึ่งให้การรักษาโดยใช้การทาน้ำมันงาพร้อมกันไปกับการรักษาธรรมดา ส่วนอีกกลุ่มให้การดูแลรักษาธรรมดาเพียงอย่างเดียว ผลปรากฏว่าน้ำมันงาช่วยลดความร้ายแรงของความเจ็บปวดรวมทั้งนำมาซึ่งการทำให้ผู้ป่วยรับประทานยาแก้ปวดลดน้อยลง
คณะแพทย์ศาสตร์มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้ค้นพบว่าในเมล็ดงาดำ มีสารเซซามินอยู่ภายในซึ่งสารตัวนี้สามารถที่จะช่วยสำหรับเพื่อการยับยั้งการพัฒนาเซลล์ต้นกำเนิดของเซลล์สลายกระดูก ที่ให้เกิดโรคข้อเสื่อม โรคกระดูกพรุน ได้โดยจะเข้าไปทำให้แคลเซียมผสานกับกระดูกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆนอกจากนั้นยังช่วยในเรื่องของโรคสมอง ไม่ว่าจะมีลักษณะเป็นเส้นเลือดอุดตันในสมองเส้นเลือดแตก ที่ทำให้เป็นโรคอัมพฤกษ์ อัมพาตโดยสารเซซามินจะเข้าไปช่วยคุ้มครองเซลล์ประสาทที่ยังดีอยู่ และช่วยฟื้นฟูเซลล์ประสาทที่เสื่อมสภาพสุดท้ายก็เป็นโรคมะเร็ง ที่ถือเป็นโรคที่เกิดมากเป็นอันดับ 1 ในตอนนี้ซึ่งเซลล์มะเร็งนั้นจะแพร่ไปอย่างรวดเร็วเพราะว่ามีเส้นเลือดใหม่ที่เกิดขึ้นมาแล้วไปสร้างการหลอมเลี้ยงให้กับเซลล์มะเร็งนั้นๆจากนั้นก็จะแพร่ไปเรื่อยๆซึ่งสารเซซาไม่น ก็จะเข้าไปคุ้มครองปกป้องเซลล์พร้อมด้วยตัดวงจรหรือลดเส้นโลหิตใหม่ที่เป็นน้ำเลี้ยงให้กับเซลล์ของมะเร็งพร้อมด้วยเบาๆฟื้นฟูสภาพเซลล์ให้กลับมา
โดยผลจากการวิจัยในห้องแลปที่ได้ร่วมกับนิสิตปริญญาโท ได้ทดสอบกับไข่ไก่ที่ธรรมดาแล้วต่อจากนั้นได้ทำฉีดเซลล์หรือสารพิษเข้าไป ก็พบว่าไข่ไก่จะกำเนิดอาการเป็นพิษหรือคล้ายกับการเป็นโรคมะเร็ง จากนั้นก็กระทำฉีดสารเซซาไม่น เข้าไปก็พบว่าการบูรณะของเซลล์เริ่มกลับคืนมารวมทั้งได้ทดสอบด้วยการฉีดสารเซซาไม่นเข้าไปในไข่ไก่ธรรมดา แล้วเมื่อเวลาผ่านไป 6 ชั่วโมงถึงฉีดพิษ หรือเซลล์ของมะเร็งเข้าไป ก็พบว่ามีการคุ้มครองปกป้องเซลล์ได้มากกว่าไข่ไก่ที่ผิดฉีดสารเซซาไม่นอย่างเห็นได้ชัด
การเรียนทางพิษวิทยา - การทดลองความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) เข้าทางช่องท้องของหนูถีบจักร พบว่าขนาดที่ทำให้หนูตายเป็นจำนวนครึ่งหนึ่ง (LD50) มีค่าพอๆกับ 500 มก./กิโลกรัม น้ำมันจากเม็ดงาไม่กำหนดความเข้มข้น พบว่ามีพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดแดง และเมื่อฉีดน้ำมันจากเมล็ดงาเข้าทางเส้นเลือดดำของกระต่าย พบว่า MIC มีค่าพอๆกับ 0.74 มล./กิโลกรัม เมื่อป้อนอาหารที่มีส่วนผสมของข้าวโพด เม็ดฝ้าย น้ำมันที่ทำจากมะกอก รวมทั้งน้ำมันงาให้กับหนูเพศผู้-ภรรยา ในขนาด 0.1, 0.5% ของของกินเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน 105 วัน พบว่าหนูทุกตัวมีการเปลี่ยนของระดับไขมันที่ตับ แล้วก็ในหนูเพศเมีย เนื้อเยื่อที่
ต่อม thyroid ชนิด microfollicular จะมีจำนวนเซลล์เพิ่มขึ้นมากผิดปกติ และในหนูทุกตัวที่ป้อนอาหารที่มีส่วนผสมในขนาด 0.5% ของอาหาร พบว่าน้ำหนักของหัวใจเพิ่มมากขึ้น- ทำให้เกิดอาการแพ้ มีรายงานว่าคนรับประทานเมล็ดงา แล้วเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง เช่น ในคนเพศชายพบว่ามีอาการแพ้ด้วยการสูดดม และทำ skin prick tests ผล positive และเมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 2 มก./วัน พบว่าเกิดอาการผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ นอกจากนี้มีรายงานในคนเพศหญิง เมื่อรับประทานเมล็ดงาขนาด 10 ก./คน และสูดดม พบว่าเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง มีอาการหอบ จมูกอักเสบ และมีผื่นขึ้นคล้ายลมพิษ และมีรายงานว่าผู้ที่รับประทานเมล็ดงา และเกิดอาการแพ้แบบ anaphylactic shock เนื่องจากสารในเมล็ดงาไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันชนิด non-IgE ผู้ป่วยอายุ 46 ปี เกิดอาการแพ้หลังจากการใช้น้ำมันงาในเยื่อหุ้มฟัน ทำให้เกิด anaphylactic shock ด้วยเช่นกัน มีรายงานในผู้ป่วยที่รับประทานอาหารที่มีงาเป็นส่วนผสม และเกิดอาการแพ้อย่างรุนแรง 10 ราย ผู้ป่วยทุกคนทำ skin prick test ต่องา และตรวจ IgE antibodies พบว่าได้ผล positive ทั้ง 2 ชนิด ทุกคน และพบว่าสารที่ทำให้เกิดการแพ้อย่างรุนแรงในงาคือ 2S albumin
- พิษต่อระบบสืบพันธุ์ สารสกัดเมล็ดด้วยบิวทานอล เอทานอล (95%) และน้ำ เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียขนาด 3.05 ก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ขนาด 200 มก./กก. กรอกเข้าทางกระเพาะอาหาร พบว่าไม่มีผลทำให้แท้ง และไม่มีผลต้านการฝังตัวของตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเอทานอล:น้ำ (1:1) เมื่อป้อนให้กับหนูขาวเพศเมียทางปากขนาด 200 มก./กก. พบว่าไม่มีพิษต่อตัวอ่อน สารสกัดเมล็ดด้วยเบนซีนและปิโตรเลียมอีเทอร์ เมื่อป้อนให้กับหนูขาวที่ตั้งครรภ์ทางสายยางให้อาหารขนาด 150 มก./กก. พบว่าไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน น้ำมันจากเมล็ดงาเมื่อป้อนให้หนูที่ตั้งครรภ์ทางสายยางสู่กระเพาะอาหาร ในขนาด 4 มล./ตัว โดยให้ในช่วงสัปดาห์ที่ 6-10 ของการตั้งครรภ์ พบว่าไม่มีผลทำให้เกิดความพิการของตัวอ่อน
- พิษต่อเซลล์ สารสกัดทั้งต้นด้วยเอทานอล (90%) ขนาด 0.25 มก./มล. พบว่ามีพิษต่อเซลล์เม็ดเลือดขาวในคน (Lymphocytes Human) แ