Advertisement
โรคไซนัสอักเสบ (Sinusitis)โรคไซนัสอักเสบเป็นยังไง ไซนัสหมายถึงโพรงอากาศที่อยู่ข้างในกระดูกบริเวณรอบๆหรือใกล้เคียงกับจมูก ซึ่งมีอยู่ 4 กลุ่มใหญ่ๆในแต่ละข้าง ไซนัสที่ใหญ่ที่สุดอยู่ด้านในกระดูกโหนกแก้ม (maxillary sinus) อีกกรุ๊ปหนึ่งมีอยู่หลายโพรง มีขนาดเล็ก และก็อยู่ระหว่างรอบๆโคนจมูก และหัวตาแต่ละข้าง (ethmoidal sinuses) ในกระดูกหน้าผากก็มีไซนัสด้านใน (frontal sinus) นอกจากนี้ยังมีไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (sphenoidal sinus) ด้วย หน้าที่ของไซนัสนั้นไม่เคยทราบชัดแจ้ง แต่ว่าเชื่อว่าอาจช่วยให้เสียงที่พวกเราเปล่งออกมา กังวานขึ้น, ช่วยให้กะโหลกศีรษะค่อยขึ้น และก็ช่วยรักษาสมดุลของศีรษะ, ช่วยสำหรับในการปรับความดันของอากาศข้างในโพรงจมูก ในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงของความดัน แล้วก็สร้างสารคัดเลือกหลั่งที่คุ้มครองป้องกันการตำหนิดเชื้อของโพรงจมูกรวมทั้งไซนัส
ซึ่งในคนธรรมดาทั่วไป เมือกที่ทำขึ้นในโพรงไซนัสจะระบายลงตามทางเชื่อมมาออกที่รูเปิดในโพรงจมูก เปลี่ยนเป็นน้ำมูก หรือเสมหะใส เพื่อความชุ่มชื้นและชำระล้างโพรงจมูก แม้กระนั้นถ้ารูเปิดดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นถูกอุดกั้น (ได้แก่ ป่วยหวัด หรือโรคไข้หวัดภูมิแพ้) ทำให้มูกในโพรงไซนัสไม่สามารถ ระบายออกมาได้ เมือกก็จะหมักหมมเปลี่ยนเป็นอาหารในการเจริญเติบโตของเชื้อโรคที่แผ่ขยายมาจากโพรงจมูกเข้าไปในไซนัส ทำให้เยื่อบุภูมิแพ้บวม ขนอ่อนในไซนัสสูญเสียหน้าที่สำหรับการขับมูก ทำให้มีการสะสมของเมือกมากขึ้นกลายเป็นหนองขังอยู่ในไซนัส กำเนิดอาการของโรคภูมิแพ้ขึ้นมา
โรคไซนัสอักเสบ ยังสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด เป็นชนิดกระทันหัน (มีลักษณะอาการน้อยกว่า 30 วัน) จำพวกครึ่งหนึ่งกะทันหัน (มีลักษณะอยู่ระหว่าง 30-90 วัน) แล้วก็จำพวกเรื้อรัง (มีลักษณะมากกว่า 90 วัน) โดยการอักเสบบางทีอาจเกิดกับไซนัสได้ทุกตำแหน่ง เช่น ไซนัสข้างตา (Ethmoid sinus), ไซนัสหน้าผาก (Frontal sinus), ไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) และไซนัสที่อยู่ใต้ฐานกะโหลกศีรษะ (Sphenoidal sinus) แม้กระนั้นที่พบบ่อยที่สุดหมายถึงไซนัสโหนกแก้ม (Maxillary sinus) ซึ่งจะมีผลให้มีลักษณะปวดที่บริเวณโหนกแก้ม แต่ว่าโรคนี้ส่วนมากชอบไม่มีความรุนแรง เว้นเสียแต่สร้างความรำคาญหรือปวดทรมาน ส่วนน้อยที่อาจเกิดภาวะสอดแทรกรุนแรง ถ้าได้รับการรักษาอย่างถูกต้องตั้งแต่ต้น ก็ชอบหายได้ หรือลดภาวะแทรกซ้อนลงได้
โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดโรคหนึ่งที่ทำให้คนไข้มาเจอหมอ ราวๆกันว่าราษฎรทั่วๆไป 1 ใน 8 คน จะเป็นโรคไซนัสอักเสบในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต อุบัติการของการเกิดภูมิแพ้ มีลักษณะท่าทางที่เกิดมากขึ้นเรื่อยๆในช่วงฤดูกาลที่มีคนเป็นไข้หวัดหรือมีการอักเสบติดโรคในทางเดินหายใจมาก โดยธรรมดา
มากกว่า 0.5% ของคนเจ็บที่เป็นโรคหวัด มีโอกาสเกิดเป็นไซนัสอักเสบตาม มา ผู้ป่วยที่เป็นโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) หรือโรคหืดจะมีไซนัสอักเสบร่วมด้วยประมาณ 40-50% อุบัติการของภูมิแพ้ประเภททันควันที่เกิดขึ้นมาจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียในผู้ใหญ่ที่เกิดตามหลังไข้หวัดพบได้ราวๆร้อยละ 0.5-2 แล้วก็ในเด็กเจอได้โดยประมาณร้อยละ 5-10 สำหรั
โรคแพ้อากาศ[/url]เรื้อรังนั้น ในกรุ๊ปราษฎรทั่วๆไปเจอโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังโดยประมาณปริมาณร้อยละ 1.2-6
สาเหตุของโรคไซนัสอักเสบ- การตำหนิดเชื้อของระบบทางเดินหายใจตอนบน (Upper respiratory tract infec tion) ระยะต้นเกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสโรคไข้หวัด ซึ่งจะไปทำให้เยื่อบุจมูกอักเสบ ซึ่งบางทีอาจอักเสบต่อ เนื่องเข้าไปถึงในไซนัส ถัดมามีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียร่วมด้วย โดยปกติก็จะหายได้ปกติ แต่ถ้าการติดเชื้อนั้นรุนแรง บางทีอาจมีการทำลายของเยื่อบุจมูกแล้วก็เยื่อบุไซนัส ทำให้มีการบวมและก็มีพังผืด นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอุดตันของรูเปิดระหว่างไซนัสกับโพรงจมูก ร่วมกับการที่เซลล์ขน (Cilia) ที่มีบทบาทส่งเสริมสารคัดหลั่งในไซนัส ไม่ทำงาน ก็จะมีผลให้การอักเสบแปลงเป็นการอักเสบเรื้อรังได้
- การติดเชื้อของฟัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งฟันกรามน้อยและก็ฟันกรามแถวบน โดยทั่วไปพบว่า ราวๆ 10% ของการอักเสบของไซนัสแมกซิลลาจะเป็นผลมาจากฟันผุ (เนื่องจากผนังด้านล่างของไซนัสแมกซิลลาจะใกล้กับรากฟันดังที่กล่าวถึงแล้ว) บางรายจะออกอาการเด่นชัดภายหลังที่ไปถอนฟันแล้วเกิดรูทะลุระหว่างไซนัสแมกสิลลาและเหงือก (Oroantral fistula) ขึ้น
- โรคติดเชื้ออื่นๆอย่างเช่น ไข้หวัดใหญ่ โรคฝึกฝน โรคไอกรน
- การว่ายน้ำ ดำน้ำ ซึ่งบางทีอาจมีการสำลักน้ำเข้าไปในจมูกและเข้าไปในไซนัสได้ โดยอาจมีเชื้อโรคเข้าไปด้วย ส่งผลให้เกิดการอักเสบได้ นอกนั้น สารคลอรีน (Chlorine) ในสระว่ายน้ำ ยังเป็นสารเคมีที่นำไปสู่การอักเสบของเยื่อบุไซนัสได้
- การกระทบกระแทกอย่างแรงใบหน้า อาจจะเป็นผลให้ไซนัสโพรงอันใดโพรงหนึ่งแตกหัก ช้ำบวม หรือมีเลือดออกข้างในโพรง ก่อให้เกิดการอักเสบติดเชื้อตามมาได้
- มีสิ่งเจือปนในจมูก เป็นต้นว่า เมล็ด ก็เลยก่อการตันโพรงจมูก จึงเป็นสาเหตุให้มีการติดเชื้อโรคทั้งยังในโพรงจมูก รวมทั้งในไซนัส
- จากความเคลื่อนไหวความดันอากาศบริเวณตัวในทันที (Barotrauma หรือ Aero sinusitis) ได้แก่ ขณะเครื่องบินขึ้นหรือลงหยุด รวมทั้งการมุดน้ำลึก เป็นต้น ถ้าเกิดรูเปิดของไซนัสขณะ นั้นบวมอยู่ เช่น กำลังเป็นหวัด หรือโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ (Allergic rhinitis) กำเริบเสิบสาน จะส่งผลให้เยื่อบุ บวมเยอะขึ้น และก็อาจมีการหลั่งของเหลว/สารคัดหลั่งออกมา หรือมีเลือดออกได้ ก็เลยก่อการอักเสบขึ้น ซึ่งพบได้มากที่ไซนัสฟรอนตัล ที่มา : wikipedia
ส่วนไซนัสอักเสบเรื้อรังมักได้ผลเข้าแทรกจากภูมิแพ้กระทันหันที่ มิได้รับการดูแลและรักษาที่ถูก นอกเหนือจากนั้น ยังอาจเกิดจากปัจจัยอื่นๆได้แก่ โรคหวัดภูมิแพ้เรื้อรัง ริดสีดวงจมูก เนื้องอกในโพรงจมูกหรือไซนัส ผนังกั้นจมูกคด การต่อว่าดเชื้อของฟุตบาทหายใจส่วนต้นซ้ำซากจำเจ การสูบบุหรี่ มลพิษทางอากาศ โรคกรดไหลย้อน (หูรูดปลายหลอดของกินเสื่อม ทำให้มีน้ำย่อยซึ่งเป็น กรดไหลย้อนขึ้นมาที่ไซนัส เวลาเข้านอนเวลากลางคืน) โรคฟันและก็ช่องปากเรื้อรัง สภาวะภูมิต้านทานต่ำ (เช่น เบาหวาน เอดส์) เป็นต้น
อนึ่งสำหรับในการอักเสบทันควันของไซนัส มักมีสาเหตุจากการต่อว่าดเชื้อไวรัส เป็นต้นว่า ไวรัสโรคหวัด แต่เมื่อเป็นการอักเสบเรื้อรัง มักมีเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ Streptococci, Staphylococcus, Haemophilus influenzae, Klebsiella pneumoniae, Bacteroides melaninogenicus, แม้กระนั้นบางทีอาจพบจากการต่อว่าดเชื้อราได้ เช่น Aspergillus แล้วก็ Dematiaceous fungi
ลักษณะโรคไซนัสอักเสบไซนัสอักเสบกะทันหัน ในคนแก่มักมีลักษณะปวดใบหน้าบริเวณไซนัสที่อักเสบ ตัวอย่างเช่น ปวดที่บริเวณหัวตา หน้าผาก โหนกแก้ม รอบๆกระบอกตา หรือข้างหลังกระบอกตา บางรายบางทีอาจรู้สึก คล้ายปวดฟัน ที่มา : wikipedia
ตรงฟันซี่บน บางทีอาจปวดเพียงแต่ข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ลักษณะของการปวดมักเป็นมากช่วงเวลาเช้าหรือบ่าย เวลาก้มศีรษะหรือเปลี่ยนท่า คนป่วยมักมีลักษณะอาการคัดแน่นจมูก พูดเสียงขึ้นจมูก มีน้ำมูกเป็นหนองออกข้นเหลืองหรือเขียว
หรือมีเสลดข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอ จำต้องรอสูดหรือขากออก อาจมีลักษณะของการปวดศีรษะ เป็นไข้ หมดแรง เจ็บคอ ปวดหู ไอ หายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึก สำหรับในการรับรู้กลิ่นหรือรสชาติต่ำลง
ในเด็ก อาการมักไม่ชัดเจนเท่าผู้ใหญ่ อาจมีอาการเป็นหวัดนานกว่าปกติ กล่าวคือมีน้ำมูก (ใสหรือข้นเป็นหนองก็ได้) และก็ไอเป็นเวลานานกว่า 10 วัน ชอบไออีกทั้งกลางวันรวมทั้งยามค่ำคืน อาจมีไข้ต่ำๆและหายใจมีกลิ่นเหม็นร่วมด้วย เด็กบางรายอาจออกอาการเป็นหวัดรุนแรงกว่าธรรมดา ดังเช่น จับไข้สูงขึ้นมากยิ่งกว่า 39 องศาเซลเซียส น้ำมูกข้นเป็นหนอง ปวดที่ใบหน้า หลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้วมองเห็นอาการบวมรอบๆตา ซึ่งลักษณะของไซนัสอักเสบตอนนี้มีระยะเวลาฟื้นจนถึงหายดีราว 2 – 4 อาทิตย์
ไซนัสอักเสบเรื้อรัง มักมีอาการสม่ำเสมอวันแล้ววันเล่านานเกิน 90 วัน โดยในผู้ใหญ่มักมีลักษณะอาการคัดจมูก มีเสมหะข้นเหลืองหรือเขียวไหลจากด้านหลังจมูกลงในคอหายใจมีกลิ่นเหม็น ความรู้สึกสำหรับการรับทราบกลิ่นลดลง ส่วนมากมักไม่มีไข้และอาการปวดไซนัสแบบที่พบในภูมิแพ้ฉับพลัน ในเด็กมักมีลักษณะไอ น้ำมูกไหล จาม หายใจมีกลิ่นเหม็น มีโรคติดเชื้อของทางเดินหายใจส่วนต้น หรือหูชั้นกลางอักเสบ โดยในลักษณะของไซนัสอักเสบช่วงนี้มักกำเนิดตลอดเกิด 12 สัปดาห์ และพบได้บ่อยร่วมกับโรคภูมิแพ้
ทั้งนี้ภูมิแพ้มักมีสาเหตุจากการติดเชื้อไวรัส พบในอัตรา 90% ของคนป่วย หากว่าไม่มีภาวะแทรกซ้อนหรือการพัฒนาโรคที่ร้ายแรงขึ้น อาการจะดีขึ้นกว่าเดิมและหายดีเองภายในระยะเวลาประมาณ 10 วัน ในตอนที่การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียกระทั่งทำให้ภูมิแพ้จะพบได้ไม่บ่อยนัก โดยประมาณ 5-10% เท่านั้น แล้วก็จำต้องได้รับการรักษาด้วยยาต่อต้านเชื้อแบคทีเรียโดยเฉพาะ ซึ่งมักมีลักษณะนานกว่า 10 วัน หรืออาการเกิดขึ้นอีกหลังจากเป็นมานาน 5 วัน
กระบวนการรักษาโรคภูมิแพ้ ในพื้นฐานหมอจะซักถามอาการแล้วก็เรื่องราวป่วยไข้ ร่วมกับการตรวจร่างกายเป็นหลักและก็อาจมีการตรวจพิเศษเพิ่ม ดังนี้
เรื่องราวรักษา/ประวัติอาการ- ประวัติความเป็นมาที่ช่วยในการวินิจฉัยโรคไซนัสอักเสบกะทันหัน เช่น เป็นหวัดมานานมากกว่า 7-10 วัน, เป็นหวัดที่มีลักษณะร้ายแรงมากมาย, ไข้สูง, คัดจมูก, มีน้ำมูกเหลืองข้น, ได้กลิ่นลดน้อยลง, ปวดหรือ
- ตื้อทึบบริเวณโหนกแก้มคล้ายปวดฟันบน, ปวดรอบๆจมูก หัวคิ้ว หรือหน้าผาก, เจ็บคอ, เสมหะไหลลงคอ, ไอ, ปวดศีรษะ, อาการทางจมูกที่ไม่ดีขึ้นหลังให้ยาหดหลอดเลือด โดยมีอาการดังกล่าวภายในระยะเวลาไม่เกิน 1 เดือน ผู้ป่วยโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังมักมีอาการไม่เฉพาะเจาะจงเช่น คัดจมูก, การรับกลิ่นลดลงหรือไม่ได้กลิ่น, มีน้ำมูกสีเขียวเหลืองในจมูกหรือไหลลงคอ, ปวดศีรษะ, มีกลิ่นปาก, ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น, ลิ้นเป็นฝ้า, คอแห้ง, มีเสมหะในคอ, เจ็บคอ ระคายคอเรื้อรัง, ไอ, ปวดหูหรือ หูอื้อ
- การตรวจร่างกาย ได้แก่
- การตรวจในโพรงจมูก มักพบว่าเยื่อบุจมูกบวมแดง อาจพบมีหนองหรือมูก บางรายอาจพบหนองตามตำแหน่งที่มีรูเปิดของไซนัส
- มีอาการเจ็บ โดยเมื่อกดลงบนใบหน้า ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสแม็กซิลล่าอยู่ที่ผนังด้านหน้าชิดกับจมูก จุดกดเจ็บของไซนัสฟรอนตัลอยู่ที่ใต้หัวคิ้วใกล้กับดั้งจมูก หรืออาจจะเคาะเบาๆที่บริเวณหน้าผากซึ่งถ้ามีการอักเสบจะรู้สึกเจ็บ จุดกดเจ็บของไซนัสเอธมอยด์อยู่ที่บริเวณหัวตา ส่วนไซนัสสฟีนอยด์ไม่สามารถตรวจได้เนื่องจากอยู่ลึกมาก แต่ทั้งนี้ ในไซ นัสอักเสบเรื้อรัง มักไม่มีอาการกดเจ็บอย่างชัดเจน ยกเว้นแต่มีการอักเสบเฉียบพลันแทรกซ้อน
- การตรวจในช่องปาก อาจพบมีหนองไหลจากโพรงหลังจมูกลงมาบนผนังลำคอ เรียกว่า Postnasal drip ซึ่งเป็นตัวช่วยในการวินิจฉัยไซนัสอักเสบเรื้อรังที่ค่อนข้างจะแน่นอนอย่างหนึ่ง อาจพบผนังลำคอเป็นตุ่ม ขรุขระ เนื่องจากมีเนื้อเยื่อน้ำเหลืองในช่องคอโตขึ้น จากต้องทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคที่ติดมากับหนองจากไซนัส ซึ่งไหลลงมาในลำคอเป็นประจำ แต่ลักษณะขรุขระนี้ อาจจะพบได้ในผู้ป่วยโรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ คอหอยอักเสบ และผู้ป่วยที่ผ่าตัดต่อมทอนซิล และอาจพบมีฟันผุโดยเฉพาะ ฟันกรามบน
- การตรวจพิเศษ เช่น
- การตรวจเพื่อดูการผ่านทะลุของแสง (Transillumination test) ใช้ช่วยการวินิจฉัยการอัก เสบของไซนัสแม็กซิลล่า และ ของไซนัสฟรอนตัล ถ้าไซนัสไม่มีแสงสว่างผ่านลอดไปได้เลยจะช่วยบอกว่ามีโรคได้อย่างแม่นยำ แต่ในเด็กอายุต่ำกว่า 10 ปี วิธีนี้มักไม่ได้ประโยชน์เพราะเยื่อบุและผนังกระดูกเด็กที่ล้อมไซนัส มักจะหนากว่าผู้ใหญ่ แสงจึงมักผ่านไม่ได้
- การตรวจภาพไซนัสด้วยอัลตราซาวด์ สามารถตรวจหาหนองในโพรงไซนัสได้ดี
- การเจาะไซนัส (Antral proof puncture) ใช้ตรวจไซนัสแมกซิลลา
- Sinuscopy เป็นการส่องกล้องตรวจในไซนัส ปัจจุบันเกือบจะเข้ามาแทนที่วิธีเจาะไซนัส Antral proof puncture โดยทำต่อจากการถ่ายภาพเอกซเรย์ธรรมดา ไซนัสสำหรับผู้ป่วยโพรงอากาศข้างจมูกแม็กซิลล่าอักเสบเรื้อรัง ถ้าพบหนองก็สามารถเก็บตัวอย่างส่งเพาะเชื้อ และล้างหนองได้ในคราวเดียวกัน ถ้าพบเป็นถุงน้ำ หรือ ริดสีดวงขนาดเล็กก็จะตัดออกผ่านทางกล้องส่องได้ นอกจากนี้ การเห็นพยาธิสภาพและการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุและของรูเปิดไซนัสด้วยตาโดยตรง ทำให้สามารถวินิจฉัยและวางแผนให้การรักษาไซนัสอักเสบที่เหมาะสมต่อไปได้อย่างเหมาะสม
- การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอมอาร์ไอ ใช้แยกก้อนเนื้อ หรือถุงน้ำออกจากของเหลว
- การตรวจด้วยการส่องกล้องโพรงจมูก (Nasal endoscopy)
- การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์
- การถ่ายภาพไซนัสด้วยเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นวิธีดีที่สุดในการตรวจหาพยาธิสภาพของไซนัสในปัจจุบัน แต่ค่าใช้จ่ายในการตรวจค่อนข้างแพง
- หลักในการรักษาโรคไซนัสอักเสบ ประกอบด้วย
- กำจัดเชื้อโรคที่เป็นสาเหตุ โดยการให้ยาต้านจุลชีพ เพื่อทำให้อาการของโรคดีขึ้นเร็ว การเลือกชนิดของยาต้านจุลชีพขึ้นอยู่กับความรุนแรงของการติดเชื้อ, การดำเนินโรค, ความไวต่อยาต้านจุลชีพของเชื้อนั้นๆ และ อุบัติการของการดื้อยา ระยะเวลาของการให้ยาต้านจุลชีพนั้น ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเฉียบพลันควรให้ยาต้านจุลชีพอย่างน้อย 10-14 วัน หรือให้จนผู้ป่วยไม่มีอาการผิดปกติแล้วให้ต่ออีก 1 สัปดาห์หลังจากนั้น ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรังควรให้ยาต้านจุลชีพเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 3-6 สัปดาห์ เช่น ยากลุ่ม Amoxicillin, Clarithromycin และ Azithromycin แต่หากผู้ป่วยต้องอยู่อาศัยในบริเวณที่มีโอกาสติดเชื้อสูง หรืออาการไม่ดีขึ้นหลังรับยาไปแล้ว 2-3 วัน แพทย์จะใช้ยารักษาในขั้นถัดไป เช่น Amoxicillin-clavulanate, Cephalosporins, Macrolides, Fluoroquinolones และ Clindamycin เป็นต้น
- ทำให้การไหลเวียนของสารคัดหลั่งและอากาศภายในไซนัสดีขึ้น
- 1 ยาหดหลอดเลือด ทำให้การบวมของเยื่อบุจมูกลดลง, บรรเทาอาการคัดจมูก ทำให้รูเปิดของไซนัสโล่งขึ้น อาจให้ในรูปยาพ่นหรือยาหยอดจมูก หรือ ยารับประทาน หรือให้ร่วมกันทั้งสองชนิดก็ได้ สำหรับยาหดหลอดเลือดที่พ่นหรือหยอดจมูก ไม่ควรใช้นานกว่า 7 วัน เพราะจะทำให้เยื่อบุจมูกเสียได้ ส่วนยาหดหลอดเลือดชนิดรับประทาน ควรระวังผลข้างเคียง เช่น ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้นเร็ว นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายด้วย เช่น pseudoephedrine และ phenylephrine โดยแพทย์จะจ่ายยาในปริมาณรับประทาน 10 - 14 วัน ยาลดอาการคัดจมูกแบบพ่นหรือหยด เช่น Oxymetazoline และ Hydrochloride ใช้รักษาภายใน 3-5 วัน
- 2 ยาสตีรอยด์พ่นจมูก (Nasal Cortixosteroids) อาจมีประโยชน์ในรายที่เป็นไซนัสอักเสบเรื้อรัง หรือ ไซนัสอักเสบเป็นๆ หายๆ โดยเฉพาะถ้ามีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ หรือชนิดที่ไม่แพ้ร่วมด้วย ยาพ่นจมูกดังกล่าวจะช่วยลดการอักเสบในจมูก ทำให้รูเปิดของไซนัส ที่มาเปิดในโพรงจมูกโล่งขึ้น ช่วยให้การไหลเวียนของอากาศ การระบายของสารคัดหลั่งหรือ หนองที่อยู่ภายในไซนัสดีขึ้น
- 3 ยาต้านฮิสตะมีน ไม่แนะนำให้ใช้ ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นเก่าในผู้ป่วยไซนัสอักเสบ ที่ไม่ได้มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย เนื่องจากอาจทำให้น้ำมูกและสารคัดหลั่งแห้งและเหนียวได้ ในรายที่มีโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้ร่วมด้วย ควรเลือกใช้ยาต้านฮิสตะมีนรุ่นใหม่ เนื่องจากมีผลข้างเคียงดังกล่าวค่อนข้างน้อย
- 4 ยาละลายมูกหรือเสมหะ ยังไม่มีการศึกษาที่แสดงถึงประสิทธิภาพของยาละลายมูกในการรักษาโรค ไซนัสอักเสบชัดเจน
- 5 การล้างจมูกด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ เป็นการชะล้างเอาน้ำมูก หนอง สิ่งสกปรกในจมูก ซึ่งเกิดจากการอักเสบในโพรงจมูกและไซนัสออก เพื่อให้โพรงจมูกและบริเวณรูเปิดของไซนัสโล่ง ทำให้การพัดโบกของขนกวัดที่เยื่อบุจมูกดีขึ้น อาการต่างๆ ของผู้ป่วยจะดีขึ้นเร็ว
- 6 การสูดดมไอน้ำเดือด จะช่วยทำให้เยื่อบุจมูกยุบบวม โล่ง อาการคัดจมูกน้อยลง อาการปวดตื้อๆ ที่ศีรษะดีขึ้น นอกจากนั้นยังทำให้การพ่นยาเข้าไปในจมูก มีประสิทธิภาพมากขึ้น
- 7 การผ่าตัด ส่วนใหญ่ของผู้ป่วยที่เป็นโรคไซนัสอักเสบ มักจะหายได้โดยการใช้ยาอย่างเต็มที่ ส่วนน้อยที่ต้องรับการผ่าตัด ดังนั้นในการรักษาจึงพยายามใช้ยาอย่างเต็มที่ก่อน การผ่าตัดเป็นการแก้ไขพยาธิสภาพที่ทำให้รูเปิดระหว่างโพรงจมูกและไซนัสอุดตัน โดยแพทย์จะใช้การผ่าตัดด้วยวิธี Functional Endoscopic Sinus Surgery (FESS) เป็นการผ่าตัดผ่านทางรูจมูกด้วยกล้องเอ็นโดสโคปซึ่งเป็นกล้องขยายที่มีขนาดเล็ก แพทย์จะใช้เครื่องมือที่ถูกออกแบบมาพิเศษในการผ่าตัดนี้และมองภาพขณะผ่าตัดผ่านกล้อง ผู้ป่วยจะได้รับยาชาหรือยาสลบในขณะผ่าตัดโดยขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการป่วย
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคแพ้อากาศ- เป็นโรคหวัดเรื้อรังโดยไม่ได้รับการรักษาให้หายสนิท
- การเกิดการติดเชื้อที่ฟัน อาทิเช่น ฟันผุ การถอนฟันแล้วเกิดการติดเชื้อตอนหลัง
- การถูกกระทบอย่างแรงที่ใบหน้าบริเวณโพรงไซนัส
- คนที่มีภาวการณ์ของโรคภูมิแพ้
- อยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ยกตัวอย่างเช่นเขตโรงงาน หรือ ชุมชนแออัด
- ผนังด้านข้างของโพรงจมูกโค้งงอผิดรูปผิดรอย (Paradoxical turbinate)
- ต่อมอะดีนอยด์โต หรือ มีสิ่งแปลกปลอมในจมูกเด็กเป็นเวลานานๆดังเช่นว่า เมล็ดผลไม้ต่างๆ
- คนเจ็บที่ใส่ท่อช่วยหายใจ หรือใส่สายให้อาหารทางจมูก อยู่เป็นระยะเวลาที่ยาวนาน
- สภาวะที่ทำให้เซลล์ขน (Cilia) ซึ่งเป็นเซลล์สนับสนุนสารคัดเลือกหลั่งออกจากไซนัส เสียไป จึงมีการคั่งของสารคัดเลือกหลั่งในไซนัส และมีการอักเสบติดเชื้อโรคได้ ดังเช่น ในสภาวะหลังเป็นโรคหวัด
การติดต่อของโรคแพ้อากาศ โรคไซนัสอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการอักเสบบวมของเยื่อบุไซนัสทำให้เกิดการแคบของรูเปิดจากไซนัสที่ไปสู่โพรงจมูก และมีการคั่งค้างของสารคัดเลือกหลั่ง (เมือก) ในโพรงไซนัสไม่อาจจะกระบายออกและก็เมื่อมีการสะสมของเมือกมากจึงกลายเป็นหนองขังในไซนัสเกิดอาการต่างๆตามมา โดยโรคไซนัสอักเสบนี้ไม่จัดอยู่ในโรคติดต่อเพราะเหตุว่าไม่เจอการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคแพ้อากาศ- ควรจะกินยาดังที่หมอสั่งให้การรักษาอย่างเอาจริงเอาจัง รวมทั้งติดตามผลของการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- กินน้ำมากมายๆ
- สูดดมละอองน้ำอุ่น และล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ (ในกรณีที่แพทย์ชี้แนะและสอนให้ทำ)
- หลบหลีกสารก่อภูมิแพ้ ควันบุหรี่ และก็มลภาวะทางอากาศ
- งดดื่มเครื่องดื่มที่ผสมแอลกอฮอล์
- เลี่ยงการว่ายน้ำในสระว่ายน้ำนานๆเนื่อง จากคลอรีนในสระอาจจะเป็นผลให้เกิดการระคายเคืองเยื่อบุจมูกและก็ไซนัสได้
- หลีกเลี่ยงการเดินทางโดยเครื่องบินในขณะป่วยหวัด หวัดภูมิแพ้ หรือไซนัสอักเสบกำเริบเสิบสาน ถ้าหากหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรจะรับประทานยาแก้คัดจมูก ดังเช่น สูโดเอฟีดรีน (pseudoephedrine) ทีละ 1-2 เม็ดก่อนเดินทาง รวมทั้งซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงระหว่างเดินทางระยะไกล
การคุ้มครองป้องกันตนเองจากโรคแพ้อากาศ- หมั่นดูแลสุขภาพทั่วไปให้แข็งแรง (ดังเช่น กินอาหาร สุขภาพ บริหารร่างกาย นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลาย)
- ปกป้องตนเองจากไข้หวัด ซึ่งเป็นต้นเหตุสำคัญของการป่วยภูมิแพ้ หรือแม้เจ็บป่วยหวัดแล้วจำเป็นต้องรีบรักษาให้หายขาดอย่างเร็ว
- อยู่ในที่มีอากาศถ่ายเท ไม่มีฝุ่นผง หรือสิ่งที่จะนำไปสู่ลักษณะโรคภูมิแพ้
- อย่าให้ร่างกายต้องเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างเร็วเกินความจำเป็น
- ไม่ว่ายน้ำ ดำน้ำ ในเวลาที่มีการติดเชื้อโรคในช่องจมูก
- ลด หรือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์
- รักษาสุขภาพฟันคุ้มครองปกป้องไม่ให้ฟันผุเพื่อหลบหลีกการตำหนิดเชื้อในช่องปากที่เป็นต้นเหตุของโรภูมิแพ้
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคภูมิแพ้ฟ้าทะลายโจร ชื่อวิทยาศาสตร์Andrographis paniculata (Burm. f.) Nees วงศ์ Acanthaceae สารออกฤทธิ์ andrographolide, deoxyandographolide, didehydro-deoxyandrographolide และก็ neoandrographolide ฟ้าทะลายมิจฉาชีพให้ผลสำหรับในการป้องกันหวัดและบรรเทาอาการหวัด การเรียนในเด็กนักเรียนโตตอนหน้าหนาว ให้กินยาเม็ดฟ้าทะลายขโมยแห้ง ขนาด 200 มิลลิกรัม/วัน ในเดือนแรกของการทดลองยังไม่พบไม่เหมือนกันระหว่างกรุ๊ปที่รับประทานยารวมทั้งกรุ๊ปควบคุม หลังจาก 3 เดือนของการทดลอง อุบัติการณ์การเป็นหวัดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกรุ๊ปควบคุม อัตราการเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายโจรเท่ากับ 20% เวลาที่กรุ๊ปควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดเท่ากับ 62% การเรียนรู้ทางคลินิก ในผู้ที่มีอาการติดเชื้อโรคของระบบฟุตบาทหายใจส่วนบนอย่างกระทันหัน รวมทั้งกลุ่มอาการภูมิแพ้ด้วย กลุ่มทดลอง 95 คน รับประทานยา Kan Jang (ประกอบด้วยสารสกัดมาตรฐานของฟ้าทะลายมิจฉาชีพ 85 มก. (มี andrographolide 5 มก.) แล้วก็สารสกัด Eleutherococcus senticosus 120 มิลลิกรัม) กรุ๊ปควบคุม 90 คน รับประทานยาหลอก ทั้งสองกรุ๊ปรับประทานยานาน 5 วัน วัดผลโดยให้คะแนนจากการคาดการณ์อุณหภูมิ ลักษณะของการปวดหัว ปวดกล้าม อาการแสดงทางคอ ไอ อาการแสดงทางจมูก ความรู้สึกป่วยตัว และก็อาการทางตา ผลวิจัยพบว่า คะแนนรวมยอดของกลุ่มทดลองสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม โดยจะมีอาการปวดศีรษะ อาการทางจมูก อาการทางคอ และก็ความรู้สึกเจ็บป่วยตัวต่ำลง
ปีบ ชื่ออื่นๆ กาซะลอง กาดสะทดลอง (เหนือ) ชื่อวิทยาศาสตร์ Millingtonia hortensis L.f. ชื่อวงศ์Bignoniaceae คุณประโยชน์ ตำรายาไทย ดอก รสหวานขมหอม ขยายหลอดลม มวนเป็นยาสูบดูดรักษาโรคหืด สูบแก้ริดสีดวงจมูก ภูมิแพ้ บำรุงน้ำดี เพิ่มการหลั่งน้ำดี บำรุงเลือด ส่วนประกอบทางเคมี ดอกมีสารฟลาโวนอยด์ hispidulin ช่วยขยายหลอดลม และพบฟลาโวนอยด์อื่นๆดังเช่นว่า scutellarein, scutellarein-5-galactoside, hortensin, cornoside, recimic, rengyolone, rengyoside B, rengyol, rengyoside A, iso rengyol, millingtonine ใบเจอฟลาโวนอยด์ hispidulin, dinatin และก็สารอื่นๆเช่น ß carotene, rutinoside เปลือกต้น เจอสารที่ให้ความขม รวมทั้งสารแทนนิน รากพบ Lapachol, β-sitosterol, poulownin
เอกสารอ้างอิง- ผศ.นพ.สุรเกียรติ อาศนะเสน.ไซนัสอักเสบ..รักษาได้.สาขาวิทยาโรคจมูกและภูมิแพ้ ภาควิชาโสต นาสิก ลาริงซ์วิทยา คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล.
- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไซนัสอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่332.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม.2549
- ไซ