ผักปลังมีสรรพคุณเเละประโยชน์ดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ผักปลังมีสรรพคุณเเละประโยชน์ดังนี้  (อ่าน 15 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
itopinter_111
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 19201


ดูรายละเอียด










« เมื่อ: มิถุนายน 01, 2018, 09:06:22 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

ผักปลัง
ชื่อสมุนไพร ผักปลัง
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น ผักปั๋ง (ภาคเหนือ) , ผักปลังแดง , ผักปลังขาว , ผักปลังใหญ่ (ภาคกึ่งกลาง) , ลั่วขุย (จีนกลาง) , เหลาะขุ้ย โปแดงฉ้าย (จีนแต้จิ๋ว) , มั้งฉ่าว (ม้ง)
ชื่อสามัญ East Indian spinach, Malabar nightshade , Ceylon spinach ,Indian spinach
ชื่อวิทยาศาสตร์                     Basella alba L. (ผักปลังขาว)
                                         Basella rubra L.(ผักปลังแดง)
ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์     B. lucida L., B. cordifolia Lam., B, nigra Lour., B. japonica Burm.f.,
สกุล  Basellaceae
บ้านเกิด ผักปลัง เป็นพืชที่มีถิ่นเกิดในแถบแอฟริกา และมีการกระจัดกระจายประเภทในทวีปเอเชีย ยกตัวอย่างเช่น จีน ญี่ปุ่น พม่า ลาว เขมร เป็นต้น ในประเทศไทย เป็นพืชซึ่งพบได้ทั่วไป ดูเหมือนจะทุกภาค ชนิดที่มีลำต้นสีเขียวที่เรียกว่า ผักปลังขาว แล้วก็จำพวกลำต้นสีแดงซึ่งเรียกกันว่า ผักปลังแดง แล้วก็พบได้มากในหมู่บ้านหรือตามนามากกว่าในป่า พบได้ทั่วไปในภาคเหนือและอีสาน ส่วนภาคใต้ไม่ค่อยเจอ เพราะว่าไม่เป็นที่นิยมในการกินก็เลยไม่มีการปลูกไว้ตามบ้านที่พัก
ลักษณะทั่วไป   ไม้เถาเลื้อยล้มลุก ลำต้นอวบน้ำ หมดจด กลม แตกกิ่งก้านสาขา ยาวโดยประมาณ 2-6 เมตร หากลำต้นมีสีเขียว เรียกว่า “ผักปลังขาว” มีใบสีเขียวเข้ม ส่วนจำพวกลำต้นสีม่วงแดง เรียกว่า “ผักปลังแดง” มีใบสีเขียวเข้ม ก้านใบสีม่วงแดง  ใบ เป็นใบเดี่ยว ออกสลับ รูปไข่ หรือรูปหัวใจ ใบกว้าง 2-8 เซนติเมตร ยาว 2.5-12 เซนติเมตร ใบอวบน้ำ มีลักษณะเป็นเงาดกนุ่มมือ ฉีกขาดง่าย หลังใบและก็ท้องใบเกลี้ยงไม่มีขน ขยี้จะเป็นมูกเหนียว ปลายใบแหลม โคนใบรูปหัวใจ ขอบใบเรียบ ก้านใบยาว 1-3 ซม. ดอกเป็นดอกช่อเชิงลด ออกตรงซอกใบ ยาว 3-21 ซม. ดอกย่อยหลายชิ้น ขนาดเล็ก ไม่มีก้านชูดอก แต่ละดอกมี 5 กลีบ ผักปลังขาวมีดอกสีขาว ผักปลังแดงออกดอกสีม่วงแดง ยาวราวๆ 4 มม. มีใบตกแต่งเล็ก 2 ใบ ติดที่โคนของกลีบรวม กลีบรวมรูประฆัง ยาว 0.1-3 มม. โคนเชื่อมติดกันเป็นท่อ ปลายแยกเป็นห้าแฉกน้อย เกสรเพศผู้มีปริมาณ 5 อัน ติดที่ฐานของกลีบดอกไม้ อับเรณูรูปกลม ยาว 0.1-0.5 มิลลิเมตร ติดก้านชูเกสรที่ด้านหลัง ก้านยกเกสรเพศผู้ เป็นแท่งยาว 0.1-1 มิลลิเมตร เกสรเพศเมีย 1 อัน กลม ยอดเกสรเพศเมียแยกเป็น 3 แฉก แต่ละแฉกเป็นรูปแท่งปลายแหลม ยาว 0.1-0.5 มิลลิเมตร รังไข่ 1 ช่อง รังไข่อยู่เหนือวงกลีบ รูปออกจะรี ยาว 0.1-0.5 มม. ก้านยกเกสรเพศเมีย ยาว 0.1-0.5 มม. ผลได้ผลสำเร็จสด รูปร่างกลมแป้น ฉ่ำน้ำ เส้นผ่านศูนย์กลาง 5-6 มิลลิเมตร  ผิวเรียบ ปลายผลมีร่องแบ่งเป็นลอน ไม่มีก้านผล ผลอ่อนสีเขียว ผลแก่มีสีม่วงอมดำ เนื้อภายในนุ่ม ข้างในผลมีน้ำสีม่วงดำ เม็ดคนเดียว
การขยายพันธุ์ ผักปลังสามารถขยายได้ 2 วิธี คือ การเพาะเม็ดแล้วก็ปักชำ สำหรับการเพาะเมล็ดนั้นข้อแรกต้องเตรียมหลุมก่อนและก็หลังจากนั้นจึงค่อยหยอดเมล็ดพันธุ์ (ที่ตากแห้งแล้ว) ลงไป หลุมละ 2 -3 เม็ด โดยให้ระยะห่างระหว่างต้น 30 เซนติเมตร และก็ระหว่างแถว 40 ซม. รวมทั้งเมื่อต้นอายุได้ 20 – 25 วันให้ทำค้างเพื่อเถาเลื้อยขึ้น ส่วนการปักชำนั้น ทำเป็นโดยนำกิ่งแก่ที่มีข้อ 3 – 4 ข้อ ยาวโดยประมาณ 15 – 20 เซนติเมตร เด็ดใบออกให้หมดแล้วปักชำในดินร่วนหรือดินปนทรายที่มีความชุ่มชื้น รวมทั้งมีแสงแดดรำไรในระยะนี้ให้หมั่นรดน้ำอย่าให้ดินแห้ง ราวๆ 7 วัน จะแตกรากแล้วก็เริ่มผลิใบใหม่ออกมาในเดี๋ยวนี้ระวังอย่างให้น้ำมากมายเนื่องจากรากจะเน่าแล้วต่อจากนั้นอีก 15 – 20 วัน ให้เถาเลื้อยเกาะขึ้นไป
การดูแลรวมทั้งรักษา การให้ปุ๋ย ครั้งที่ 1,2 เมื่อต้นพืชอายุได้ 20-25 วัน , 40-45 วัน, ควรจะให้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่ผ่านการดองแล้ว ส่วนการให้น้ำ ควรให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ ให้พอเหมาะพอควรกับพืชไม่ควรให้แห้งหรือเฉอะแฉะมากจนเกินไป ช่วงเวลาสำหรับในการเก็บเกี่ยว   อายุการเก็บเกี่ยว 35-40 วัน ก็เก็บยอดได้แล้ว แล้วก็ผักปลังอายุ 90-100 วัน จะเริ่มออกดอก และถ้าเกิดแก่ 120 วัน ผลเริ่มแก่ (สังเกตผลจะเป็นสีดำ) ก็สามารถเก็บเม็ดข้างในผลแก่ไว้เพาะพันธุ์ถัดไปได้
ส่วนประกอบทางเคมี
ใบผักปลังมีกรดอะมิโน ที่ประกอบไปด้วย Lysine, Leucine, Isoleucine และก็สารชนิด Glucan, Polysaccharide ประกอบไปด้วย D-galactose, L-arabinose, L-rhamnose, Uronic acid ทั้งยังต้นเจอสาร Glucan, Glucolin, Saponin, โปรตีน, วิตามินเอ, วิตามินบี, วิตามินซี, ธาตุ, แคลเซียม, ธาตุเหล็ก
ที่มา : wikipedia
นอกเหนือจากนั้นยังเจอสารต่างๆอีกมากมาย ยกตัวอย่างเช่น สารกลุ่มฟีนอลิก สารกรุ๊ปบีทาเลน (จากผลสุกสีม่วงดำ) เป็นต้นว่า บีทานิดินมอโนกลูวัวไซด์, กอมเฟรนีน    สารติดอยู่โรทีนอยด์ ดังเช่นว่า นีออกแซนธิน, ไฟวโอลาแซนธิน, ลูเทอิน, ซีแซนธิน, แอลฟา แล้วก็เบต้าแคโรทีน       สารเมือก (mucilage) องค์ประกอบเป็นพอลีแซคคาไรด์ที่ละลายน้ำ         สารกลุ่มซาโปนิน ได้แก่ basellasaponin (พบที่ลำต้น), betavulgaroside I, spinacoside C, momordin II B, momordin II C
ส่วนค่าทางโภชนาการของผักปลังมีดังนี้   ผักปลังสด 100 กรัม ให้พลังงานแก่ร่างกาย 21 กิโลแคลอรี ประกอบด้วย น้ำ 93.4 กรัม คาร์โบไฮเดรต 2.7 กรัม โปรตีน 2.0 กรัม ไขมัน 0.2 กรัม กาก(ใยอาหาร) 0.8 กรัม แคลเซียม 4 มิลลิกรัม ฟอสฟอรัส 50 มก. เหล็ก 1.5 มิลลิกรัม วิตามินเอ 9,316 IU วิตามินบี 1 0.07 มิลลิกรัม วิตามินบี 2 0.20 มก. ไนอาซิน 1.1 มิลลิกรัม แล้วก็วิตามินซี 26 มก.  ส่วนในใบผักปลังแห้ง 100 กรัม ให้พลังงาน 306.7 กิโลแคลอรี่ ประกอบด้วยขี้เถ้า 15.9 กรัม โปรตีน 27.7 กรัม ไขมัน 3.1 กรัม คาร์โบไฮเดรต 42.1 กรัม เส้นใย 11.3 กรัม แคลเซียม 48.7 มก. ธาตุเหล็ก 21.5 มิลลิกรัม วิตามินซี 400 มิลลิกรัม
ผลดี/สรรพคุณ
ใช้เป็นของกิน  ผัก  ยอดผักปลัง ใบอ่อน และก็ดอกอ่อน ใช้รับประทานเป็นอาหาร เช่น ต้มหรือลวกรับประทานกับน้ำพริก หรือใช้ดอกผักปลังปรุงเป็นแกงส้ม อาหารประจำถิ่นล้านนาใช้เป็นส่วนผสมเพื่อเพิ่มความข้นหนืดในน้ำซุป ผักปลังนอกเหนือจากที่จะประยุกต์ใช้เป็นของกินแล้วในปัจจุบันยังมีการนำมาทำผลิตภัณฑ์ต่างๆอีกมากมาย ดังเช่น น้ำสมุนไพรผักปลัง รวมถึงมีการเรียนรู้การใช้ผลดีจากสีของผลผักปลังเช่น ใช้แต่งสีอาหารและก็ขนมต่างๆอีกด้วย ส่วนคุณประโยชน์ทางยาของผักปลังนั้นมีดังนี้
ตำราเรียนยาไทย ทั้งต้น รสเย็น ต้มดื่มแก้ขัดเบา แก้ท้องผูก ลดไข้ โขลกพอกแก้กลาก ผื่นคัน แก้พิษฝีดาษ แก้อักเสบ ใบ มีรสหวานเหม็นเบื่อ ระบายท้อง ขับฉี่ แก้บิด แก้อักเสบ แก้โรคกระเพาะอักเสบ แก้ขี้กลาก แก้ผื่นคัน ฝี ดอก รสหวานเบื่อ ใช้ทาแก้ขี้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน ดับพิษโรคฝีดาษ แก้โรคเกลื้อน คั้นเอาน้ำทาแก้จุกนมแตกเจ็บ ต้น รสหวานเอียน แก้อึดอัดแน่นท้อง ระบายท้อง แก้พิษโรคฝีดาษ แก้พิษฝี แก้อักเสบบวม ต้มดื่มแก้ไส้ติ่งอักเสบ ราก รสหวานเอียน แก้มือเท้าด่าง แก้รังแค แก้โรคผิวหนัง แก้ท้องผูก แก้พรรดึก ใช้ทาถูนวดให้ร้อนเพื่อเลือดมาหล่อเลี้ยงบริเวณที่ทาให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ น้ำคั้นรากเป็นยาช่วยหล่อลื่นภายใน และก็ขับดำของเดือนเยี่ยว ประเทศอินเดีย ใช้อีกทั้งต้น แก้ลมพิษ ผื่นคัน แผลไฟไหม้ ต้นและใบ ใช้แก้มะเร็งเม็ดสีผิว มะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งช่องปาก  ประเทศบังคลาเทศ อีกทั้งต้นใช้ตำพอกหน้า คุ้มครองป้องกันสิว และกระ
ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันนั้นส่งผลการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัยกล่าวว่าสารออกฤทธิ์ในผักปลังมีคุณประโยชน์ตามกรุ๊ปของสารต่างๆดังต่อไปนี้
สารกลุ่มบีทาเลน เป็นกลุ่มสารประกอบสีม่วงดำของเนื้อผลผักปลังสุก ประกอบด้วยสารบีทานิดินมอโนกลูวัวไซด์เป็นส่วนมาก รองลงมาเป็นสารอนุประเภทต่างๆของกอมเฟรนีนซึ่งละลายน้ำได้ สารกลุ่มนี้มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ และใช้เป็นสารแต่งสีอาหารที่มีความปลอดภัยกว่าการใช้สีสังเคราะห์
สารกลุ่มแคโรทีนอยด์ ได้แก่ นีออกแซนธิน ไฟวโอลาแซนธิน ลูเทอิน (iutein) ซีแซนธิน (Zeaxanthin) แอลฟาแคโรทีน (α-carotene) และเบตาแคโรทีน (β-carotene) เนื่องจากว่าร่างกายใช้สารแคโรทีนอยด์สำหรับการสังเคราะห์วิตามินเอฉะนั้นการกินผักปลังเสมอๆจะเพิ่มปริมาณวิตามินเอภายในร่างกายได้ เหมาะสมกับคนที่มีความเสี่ยงต่อการขาดวิตามินเอ นอกจากแคโรทีนอยด์ยังมีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระอีกด้วย
กลุ่มกรดไขมัน น้ำมันจากเม็ดผักปลังมีกรดไขมันหลายอย่าง ดังเช่นว่า กรดขว้างลมิว่ากล่าวก เกลื่อนกลาดดสเตรียริก กรดโลเลอีก แล้วก็กรดลิโนเลอิก
สารมูก (mucilage) พบในทุกๆส่วนของต้น สารเมือกมีส่วนประกอบของพอลีย์แซคาไรด์ที่ละลายน้ำ มีโภคทรัพย์เป็นยาระบายอ่อนๆในพืชบางชนิดพบว่าสารเมือกมีฤทธิ์ immunomodulator  ฤทธิ์คุ้มครองเซลล์ โดยการเคลือบเนื้อเยื่อในกระเพาะและก็ยั้งการหลั่งกรด ส่วนการใช้ในทางเวชสำอาง สารเมือกมีคุณสมบัติช่วยลดอาการอักเสบลดการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวลดน้อยลง ช่วยสมาน รักษาไม่ถูกแห้งผื่นคัน รวมทั้งลดอาการระคายเคือง
กรดอะมิโนแล้วก็เพปไทด์ กรดอะมิโน ยกตัวอย่างเช่น อาร์จีนีน ลิวซีน (leucine) ไอโซลิวซีน ทรีโอนีน รวมทั้งทริโทแฟน ส่วนสารเพปไทด์ที่มีฤทธิ์ทางชีววิทยา อย่างเช่น โปรตีนที่ยับยั้งการทำงานของไรโบโซมในแนวทางการสังเคราะห์โปรตีนในเม็ดผักปลังซึ่งมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อโรคไวรัสชนิด  Artichoke-mottled crinkle virus (AMCV) ในต้นยาสูบโดยยั้งแนวทางการเลียนแบบกรรมพันธุ์ของเชื้อไวรัส ก็เลยอาจนำไปเป็นนวทางในการพัฒนายาต้านทานไวรัสต่อไปในอนาคต นอกจากนี้ยังมีสารแอลฟาบาสรูบริน  (α-basrubrins) แล้วก็สารบีตาบาสรูบริน (β-basrubrins) ซึ่งเป็นเพปไทด์จากเม็ดผักปลังมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราประเภท Botrytiscinerea, จำพวก Fusarium oxysporum, รวมทั้งประเภท Mycosphaerella arachidicola โดยการขัดขวางขั้นตอนสร้างโปรตีนในเชื้อรา
สารกลุ่มไทรเทอร์พีนแซโพนิน ได้แก่ สารบาเซลลาเซโพนิน (basellasaponins)  ซึ่งเจอในส่วนของก้านลำต้นของผักปลัง อนุภาคเบตาวุลการโรไซด์  (betavulgaroside I) มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด สไปท้องนาโคไซด์ซี  (spinacoside C), มอมอร์ดินทูบี (momordin IIb) แล้วก็มอมอร์ดินทูซี (momordinIIc)
ต้นแบบ/ขนาดวิธีใช้ แก้อาการอึดอัดแน่นท้อง ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม นำมาเคี่ยวกับน้ำให้ข้นแล้วกิน ช่วยแก้อาการท้องผูก และเป็นยาระบายอ่อนๆที่เหมาะกับเด็กและก็สตรีมีครรภ์ โดยเอามาต้มกินเป็นอาหารจะช่วยแก้ท้องผูกได้ รวมทั้งมูกที่อยู่ในผักปลังจะมีคุณลักษณะเป็นยาระบายอ่อนๆช่วยแก้ขัดค่อย ด้วยการใช้ต้นสด 60 กรัม เอามาต้มกับน้ำ หรือใช้ใบสด 60 กรัมนำมาต้มกับน้ำแบบชาต่อหนึ่งครั้ง  หมอเมือง (ภาคเหนือ) จะใช้ใบผักปลังนำมาตำอาหารสารเจ้า ใช้เป็นยาพอกแก้โรคมะเร็งไข่ปลา  ใบและผลเอามาขยี้ทาบริเวณที่ถูกแมลงสัตว์กัดต่อยหรือแผลที่ มีลักษณะเป็นแผลไหม้ก็จะช่วยทุเลาอาการแล้วก็ทำให้เกิดความรู้สึกเย็นขึ้นได้ น้ำคั้นจากดอกใช้เป็นยาใช้ภายนอกแก้กลากเกลื้อน แก้โรคเรื้อน แก้เกลื้อน รักษาฝี ด้วยการใช้ใบสดนำมาตำแล้วพอกบริเวณที่เป็น โดยให้เปลี่ยนแปลงยาวันละ 1-2 ครั้ง แก้อาการปวดแขนขา ด้วยการใช้ใบสด ยอดอ่อน 30 กรัม นำมาต้มกับน้ำ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา สารสกัดผักปลังด้วยน้ำผสมกับสารสกัดจากใบของ Hi-biscus macranthus มีผลเพิ่มน้ำหนักตัวของหนู แล้วก็เพิ่มน้ำหนักของถุงน้ำเชื้อน้ำเชื้อ  (seminal vesicle) ช่วยเพิ่มการสร้างและก็ความก้าวหน้าของตัวน้ำอสุจิ และทำให้ระดับฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในเลือดเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ซึ่งบางทีอาจก่อให้เกิดการพัฒนาเพื่อใช้เพื่อการรักษาผู้ป่วยในรายที่เป็นหมันเนื่องจากว่าการมีตัวอสุจิน้อย
                สารสกัดใผักปลัง[/url]ด้วยน้ำสามารถยั้งการก่อมะเร็งตับในหนูที่ถูกรั้งนำให้เกิดมะเร็งด้วยสารเอ็น ไนโตรโซไดเอครั้งลามีน (NDEA) แล้วก็คาร์บอนเตตราคลอไรด์ (CCI) ได้โดยลดการทำลายของเซลล์ตับ ซึ่งวัดได้จากระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีในตับเช่น แกมมา-กลูตามิลทรานสเปปทิเดส (GGT) ซีรัมกลูทามิกออกซาโลแอซีติกทรานสแอมิเนศ (SGOT) ซีรัมกลูทามิกไพรูวิกทรานสแอมิเนศ (SGPT) และก็อัลคาไลน์ ฟอสฟาเทส (ALP) ที่อยู่ในระดับใกล้เคียงค่าปรกติ รวมทั้งยังส่งผลลดการเกิดปฏิกิริยาเพอรอคอยกซิเดชันของไขมัน (lipidperoxidation) โดยมองจากระดับของเอนไซม์ซุเปอร์ออกไซด์ดิสมิวเทส (SOD) ค้างทาเลส กลูตาไทโอน เพอร์ออกสิเดส (GPX) ภายในร่างกายใกล้เคียงกับค่าปรกติ
                สารสกัดจากผักปลังในอาหารเพาะเลี้ยงเซลล์ม้ามของหนูถีบจักร (primary mouse splenocyte cultures) มีผลทำให้เพิ่มการหลั่ง IL-2 ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ แล้วก็ส่งผลการเรียนทางเภสัชวิทยาอีกชิ้นหนึ่งบอกว่า จากการวิเคราะห์รงควัตุของสารสกัด 80% เอทานอลจากผลผักปลัง เจอ gomphrerin I รงควัตถุสีแดงเป็นรงควัตถุหลัก ในผลผักปลังสด 100 กรัมเจอ gomphrerin I ถึง 3.6 กรัม ยิ่งกว่านั้นยังเจอรงควัตถุสีแดงอื่นๆดังเช่นว่า betanidin-dihexose และก็ isobetanidin-dihexose รวมทั้งเมื่อทำการศึกษาเรียนรู้ฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระของ gomphrerin I ที่ความเข้มข้น 180, 23, 45 และก็ 181 ไมโครโมลาร์ พบว่ามีค่าต่อต้านอนุมูลอิสระเสมอกันกับโทรลอกซ์ ขนาด 534 ไมโครโมลาร์, butylated hydroxytoluene (BHT) 103 ไมโครโมลาร์, ascorbic acid 129 ไมโครโมลาร์แล้วก็ BHT 68 ไมโครโมลาร์ตามลำดับ รวมทั้งมีการเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยให้สารสกัด 80% เอทานอลขนาดความเข้มข้น 25, 50 แล้วก็ 100 ไมโครโมลาร์แก่เซลล์ murine macrophage ที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบด้วย lipopolysaccharide (LPS) พบว่าสามารถยับยั้งการสร้าง nitric oxide ซึ่งการยับยั้งนี้จะเยอะขึ้นเรื่อยๆตามขนาดความเข้มข้นของสารสกัด และสารสกัดจากผลผักปลังที่ความเข้มข้น 100 ไมโคลโมลาร์ส่งผลลดการหลั่ง prostaglandin E2 แล้วก็ interleukin-1β ของเซลล์ และก็ยั้บยั้งการสังเคราะห์ยีนที่เกี่ยวพันกับการเกิดการอักเสบ เป็นต้นว่า nitric oxide synthase, cyclooxygenase-2, interleukin-1β, tumor necrosis factor-alpha และก็ interleukin-6 จากการทดสอบทั้งปวงนี้แสดงให้ว่า gomphrerin I รงควัตถุสีแดงที่พบในผลผักปลังมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระและก็ต่อต้านการอักเสบที่มีประสิทธิภาพและก็สามารถนำผลผักปลังไปปรับปรุงเป็นผลิตภัณฑ์ทางโภชนาการได้
นอกจากนั้นยังมีผลการศึกษาค้นคว้าวิจัยพบว่าสารมูกมีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน ฤทธิ์คุ้มครองป้องกันเซลล์ โดยการเคลือบเยื่อกระเพาะอาหาร รวมทั้งยับยั้งการหลั่งกรด ลดการอักเสบที่ผิว ลดการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิว ช่วยสมานรักษาผิวแห้ง ผื่นคัน ลดอาการเคืองที่ผิวได้อีกด้วย
การเรียนทางพิษวิทยา ในการศึกษาวิจัยทางพิษวิทยาของผักปลังนั้นยังมีน้อยมากที่เพียงพอจะมีข้อมูลในหัวข้อนี้อยู่บ้างก็คือ มีการทำการศึกษาของนักค้นคว้าอินเดียที่ได้พิมพ์ผลที่เกิดจากงานวิจัยเกี่ยวกับการทดลองผลของสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำในหนูถีบจักรทดลอง ด้วยการกรอกสารสกัดน้ำของใบในขนาด 100-200 มก.ต่อกก.น้ำหนักตัวให้ตัวทดลองตรงเวลา 2 อาทิตย์ ผลปรากฎว่าไม่พบว่ามีความผิดปกติของค่าทางโลหิตวิทยา ส่วนการทดสอบในหนูขาวที่รับประทานสารสกัดจากใบผักปลังด้วยเอทานอล ,น้ำ รวมทั้งเฮกเซน ติดต่อกัน 1 สัปดาห์ พบว่าหนูขาวที่ได้รับสารสกัดด้วยเอทานอลรวมทั้งเฮกเซนจากใบผักปลัง จะมีปริมาณน้ำย่อยอะไมเลสเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งสำหรับการช่วยลดสภาวะเสี่ยงเป็นโรคโรคเบาหวานได้
คำแนะนำ/ข้อควรระวัง เนื่องด้วยผักปลั่งเป็นผักที่พวกเรารู้จักรวมทั้งเอามาทำเป็นอาหารกินกันอยู่เป็นประจำแล้ว สำหรับในการนำมากินเป็นอาหารนั้นอาจไม่เป็นผลกระทบอะไรกับสุขภาพ แต่ถ้าเกิดใช้ผักปลังในแบบอย่างสารสกัดหรือในต้นแบบอื่นๆนั้น เพื่อให้มีความปลอดภัยอาจจำเป็นต้องขอความเห็นหมอหรือผู้ที่มีความเชี่ยวชาญถึงกับขนาดแล้วก็การใช้ก่อนใช้เสมอ
เอกสารอ้างอิง

  • โชติอนันต์ และคณะ ,รักษาโรคด้วยสมุนไพรใกล้ตัว. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์The Knowledge Center; 2550 หน้า 215-8
  • Bolognesi A, Polito L, Olivierif F, Valbonesi P, Barbieri L, Battelli MG et al. New ribosome-inactivating proteins with polynucleotide:adenosine glycosidase and antiviral activities from Basella rubra L. and Bougainvillea spectabilis Willd. Planta 1997;203:422-9
  • สำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน.ผักพื้นบ้าน ความหมายและภูมิปัญญาของสามัญชนไทย.กรุงเทพฯ โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก 2538 หน้า 168-9
  • ผักปลัง ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบราชธานีAkhter S, Abdul H, Shawkat IS, Swapan KS, Mohammad SHC Sanjay SS. A review on the use of non-timber forest products in beauty-care in Bangladesh. J Forestry Res 2008;19:72-8.
  • หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ “ผักปลัง”.  (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม).  หน้า 499-501.
  • หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม “ผักปลัง”.  (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์).  หน้า 179.
  • กรมส่งเสริมการเกษตร. (2550). ผักพื้นบ้าน. ค้นวันที่ 10 มิถุนายน 2550 http://www.disthai.com/[/b]
  • ชื่นนภา ชัชวาล.นาฎศรี นวลแก้ว.ผักปลัง ผักที่มีคุณค่าทางโภชนาการและมีศักยภาพในการพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ.คอลัมน์บทปริทัศน์.วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทยืทางเลือก.ปีที่7.ฉบับที่2-3 พฤษภาคม – ธันวาคม 2552 . หน้า 197-200
  • Saikia AP, Ryakala VK Sharma P, Goswami P, Bora U. Ethnobotany of medicinal plants used by Assamese people for various skin ailments and cosmetics. J Ethnopharmacol 2006;106:149-57
  • กัญจนา ดีวิเศษและคณะ, ผู้รวบรวม. (2548). ผักพื้นบ้านภาคเหนือ. เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ บรรณาธิการ. พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี: ศูนย์พัฒนาตำราการแพทย์แผนไทย.
  • Khare CP. Indian medicinal plants: an illustrated dictionary. New York: Springer Science Business Media; 2007. p. 84.
  • Jin YL, Ching YT. Total phenolic contents in selected fruit and vegetable juices exhibit a positive correlation with interferon-γ, interleukin-5, and interleukin-2 secretions using primary mouse splenocytes. J Food Compos Anal 2008;21:45-53.
  • Choi EM, Koo SJ, Hwang JK. Immune cell stimulating activity of mucopolysaccharide isolated from yam (Dioscorea batatas). J Ethnopharmacol 2004;91:1-6.
  • หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “ผักปลัง”.  (วิทยา บุญวรพัฒน์).  หน้า 350.
  • Maisuthisakul P, Pasuk S, Ritthiruangdej P. Relationship of antioxidant properties and chemical composition of some Thai plants. J Food Compos Anal 2008;21:229-40
  • Raju M, Varakumar S, Lakshminarayana R, Krishnakantha TP, Baskaran V. Carotenoid composition and vitamin A activity of medicinally important green leafy vegetables. Food Chem 2007;101:1598-1605
  • . Dweck AC. The internal and external use of medicinal plants. Clin Dermatol 2009;27:148-58
  • Reddy GD, Kartik R, Rao CV, Unnikrishnan MK, Pushpangadan P. Basella alba extract act as antitumour and antioxidant potential against N-nitrosodiethylamine induced hepatocellular carcinoma in rats. Int J Infectious Diseases 2008;12 Suppl 3:S68
  • Toshiyuki M, Kazuhiro H, Masayuki Y. Medicinal foodstuffs. XXIII. Structures of new oleanane-type triterpene oligoglycosides, basellasaponins A, B, C, and D, from the fresh aerial parts of Basella rubra L. Chem Pharm Bull 2001;49:776-9.
  • Jadhav RB, Sonawane DS, Surana SJ. Cytoprotective effects of crude polysaccharide fraction of Abelmoschus esculentus fruits in rats. Pharmacogn Mag 2008;4:130-2.
  • Glassgen WE, Metzger JW, Heuer S, Strack D. Betacyanins from fruits of Basella rubra. Phytochemistry 1993;33:1525-7
  • ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี. “ผักปลัง”.  [26 เม.ย. 2014].
  • Draelos ZD. Botanicals as topical agents. Clin Dermatol 2001;19:474- 7
  • Shahid M,. Akhtar JM, Yamin M, Shafiq MM. Fatty acid composition of lipid classes of Basella rubra Linn. Pak Acad Sci 2004;41:109-12
  • Haskell MJ, Jamil KM, Hassan F, Peerson JM, Hossain MI, Fuchs GJ et al. Daily consumption of Indian spinach (Basella alba) or sweet potatoes has a positive effect on total-body vitamin A stores in Bangladeshi men. Am J Clin Nutr 2004;80:705-714
  • Moundipa FP, Kamtchouing P, Kouetan N, Tantchou J, Foyang NPR, Mbiapo FT. Effects of aqueous extracts of Hibiscus macranthus and Basella alba in mature rat testis function. J Ethnopharmacol 1999;65:133-9
  • Hexiang W, Tzi BN. Antifungal peptides, a heat shock protein-like peptide, and a serine-threonine kinase-like protein from Ceylon spinach seeds. Peptides 2004;25:1209-14
  • ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระและต้านการอักเสบของรงควัตถุสีแดงในผักปลัง,ข่าวความเคลื่อนไหวสมุนไพร.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ