ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: ตะไค้ร้สามารถนำมาทำเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้เป็นอย่างดี  (อ่าน 7 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มิถุนายน 01, 2018, 03:08:33 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

ตะไคร้
ชื่อสมุนไพร ตะไคร้
ชื่ออื่นๆ/ ชื่อแคว้น จักไคร (ภาคเหนือ) , ค้างหอม (ไทใหญ่แม่ฮ่องสอน) , ไคร (ภาคใต้) , สิงไคร , หัวสิงไคร (อีสาน) , ห่อวอตะโป่ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) , เชิดเกรย , เหลอะเกรย (เขมร)
ชื่อสามัญ Lemon grass, West Indian lemongrass , Sweet rush
ชื่อวิทยาศาสตร์ Cymbopogon citratus (DC.) Stapf
ตระกูล   GRAMINEAE
บ้านเกิดเมืองนอน ตะไคร้เป็นพืชสมุนไพรที่ผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยเรามาตั้งแต่อดีตกาลแล้ว ที่เป็นอย่างนี้ก็เพราะตะไคร้เป็นพืชที่มีถิ่นกำเนิดในแถบเขตร้อนของทวีปเอเชีย ดังเช่น ไทย , พม่า , ลาว , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย , อินเดียว , ศรีลังกา เป็นต้นและยังสามารถเจอได้ในประเทศเขตร้อนบางประเทศในแถบอเมริกาใต้ ด้วยเหมือนกัน โดยทั่วไปแล้ว ตะไคร้จัดเป็นพืชล้มลุกตระกูลต้นหญ้าและก็สามารถแบ่งได้ 6 จำพวก เป็นต้นว่า ตะไคร้หอม ตะไคร้กอ ตะไคร้ต้น ตะไคร้น้ำ ตะไคร้หางนาค รวมทั้งตะไคร้หางราชสีห์
ลักษณะทั่วไป ตะไคร้ เป็นไม้ล้มลุกวงศ์เดียวกับหญ้า มักแก่มากยิ่งกว่า 1 ปี (ขึ้นอยู่กับปัจจัยทางสภาพแวดล้อม)ลำต้นตะไคร้มีเหง้าใต้ดิน ลำต้นมีลักษณะตั้งชัน รูปทรงกระบอก มีความสูงได้ถึง 1 เมตร (และใบ) ส่วนของลำต้นที่เราเห็นจะเป็นส่วนของกาบใบที่ออกเรียงช้อนกันแน่น โคนต้นมีลักษณะกาบใบห่อครึ้ม ผิวเรียบ แล้วก็มีขนอ่อนปกคลุม ส่วนโคนมีรูปร่างอ้วน มีสีม่วงอ่อนน้อย รวมทั้งเบาๆเรียวเล็กลงแปลงเป็นส่วนของใบ แกนกลางเป็นข้อแข็ง ส่วนนี้สูงราวๆ 20-30 ซม. ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน และก็พันธุ์ แล้วก็เป็นส่วนที่ประยุกต์ใช้สำหรับประกอบอาหาร ใบตะไคร้ประกอบด้วย 3 ส่วน คือ ก้านใบ (ส่วนลำต้นที่กล่าวข้างต้น) หูใบ (ส่วนต่อระหว่างกาบใบ แล้วก็ใบ) และใบ  ใบตะไคร้ เป็นใบโดดเดี่ยว มีสีเขียว มีลักษณะเรียวยาว ปลายใบโค้งลู่ลงดิน โคนใบเชื่อมต่อกับหูใบ ใบมีรูปขอบขนาน ผิวใบสากมือ แล้วก็มีขนปกคลุม ปลายใบแหลม ขอบใบเรียบ แต่ว่าคม กึ่งกลางใบมีเส้นกลางเรือใบแข็ง สีขาวอมเทา แลเห็นต่างกับแผ่นใบชัดแจ้ง ใบกว้างประมาณ 2 ซม. ยาว 60-80 เซนติเมตร  ตะไคร้เป็นพืชที่ออกดอกยาก จึงไม่ค่อยประสบพบเห็น ดอกตะไคร้ดอกจะมีดอกเป็นช่อกระจัดกระจาย มีก้านช่อดอกยาว และก็มีก้านช่อดอกย่อยเรียงเป็นคู่ๆในแต่ละคู่จะมีใบประดับประดารองรับ มีกลิ่นหอมหวน ดอกมีขนาดใหญ่คล้ายดอกอ๋อ
การขยายพันธุ์ ตะไคร้สามารถขยายพันธุ์ได้ด้วย การปักชำต้นเหง้า โดยตัดใบออกให้เหลือตอนโคนราวๆหนึ่งคืบ เอามาปักชำไว้สักหนึ่งอาทิตย์ก็จะมีรากงอกออกมา แล้วก็ค่อยนำไปลงแปลงดินที่ตระเตรียมไว้  สำหรับวิธีการปลูกตะไคร้มีดังนี้

  • การเตรียมดิน ตะไคร้ชอบดินที่ร่วนซุย ให้ไถกลับดินรวมทั้งไถลูกพรวนลึกราว 0.5 เมตร แล้วทำหลุม แต่ละหลุมห่างกันประมาณ 0.5 เมตร
  • ลงต้นพันธุ์หลุมละ 3 ต้น กลบดินให้พอมิดรากตะไคร้ราวๆ 10 เซนติเมตร
  • ขั้นแรกรดน้ำทุกวัน แม้กระนั้นระวังไม่ให้น้ำเข้าไส้ตะไคร้เวลารดน้ำให้รดครั้งโคนต้นตะไคร้เพียงแค่นั้น มิฉะนั้นต้นตะไคร้จะเน่าห้ามใช้สปริงเกอร์เป็นอันขาดจำเป็นต้องให้น้ำที่โคนแค่นั้น
  • ในตอน 3 วันแรกที่ปลูกให้พรางแสงแดดให้ตะไคร้ด้วย ภายหลังตะไคร้ปรับตัวได้แล้วให้เอาวัสดุซ่อนแสงออกเนื่องจากธรรมชาติของตะไคร้ชอบแดด และเจริญเติบโตได้ดิบได้ดีในที่ที่มีแสงจ้า
  • เมื่อผ่านไป 1 เดือนตะไคร้จะเริ่มตั้งกอ ให้พินิจที่ต้น ถ้าต้นเจริญเติบโตดี ลำต้นจะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางราว 1.5-2 ซม.ก็สามารถตัดไปใช้หรือขายได้ การตัดตะไคร้ให้ตัดติดกก แต่ว่าอย่าให้สั่นสะเทือนรากที่อยู่ในดินเพราะเหตุว่าตะไคร้สามารถแตกขึ้นมาตั้งกอได้อีก ไม่ต้องหาต้นชนิดมาปลูกใหม่แทน
  • เมื่อตัดควรจะตัดให้หมดกอ เพื่อต้นตะไคร้ที่แตกใหม่จะได้เติบโตได้สุดกำลัง
  • ข้างหลัง จากตัดแล้วตะไคร้จะตั้งกอใหม่ภายในระยะเวลา 1-2 เดือนเมื่อตะไคร้โตสุดกำลังแล้วก็สามารถตัดได้อีกตลอดไปจนกว่าต้นจะเสื่อมโทรม หรือ ตะไคร้ไม่แตกขึ้นมาอีก

ตะไคร้ถูกใจดินซึ่งร่วนซุย แต่ว่าก็สามารถเจริญรุ่งเรืองได้ในดินดูเหมือนจะทุกจำพวกเป็นพืชที่ดูแลไม่ยากถูกใจน้ำชอบแดดจ้า เป็นพืชทนแล้งได้ดิบได้ดี และเป็นพืชที่มีโรคน้อย ศัตรูพืชก็ไม่ค่อยมี (คงจะเกิดขึ้นจากการที่ตะไคร้มีน้ำมันหอมระเหยในทุกๆส่วนจึงสามารถป้องกันจากแมลงต่างๆได้)
องค์ประกอบทางเคมี
พบสาร  citral 80% นอกจากนั้นยังพบ trans – isocitral , geranial, nerol, geraniol, myrcene, limonene, eugenol, linalool, menthol, nerolidol, camphor, farnesol, citronellol,
ที่มา : wikipedia
citronellal, farnesol , caryophyllene oxide ส่วนในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ มีสารสำคัญที่ออกฤทธิ์ลดการบีบตัวของลำไส้เป็นmenthol, cineole, camphor รวมทั้ง linalool ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียด  และช่วยขับลม  นอกเหนือจากนี้มี citral, citronellol, geraneol แล้วก็ cineole มีฤทธิ์ยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเป็นต้นว่า E. coli   ส่วนค่าทางโภชนาการของตะไคร้มีดังนี้
ค่าทางโภชนาการของตะไคร้ ( 100 กรัม)

  • พลังงาน 143 กิโลแคลอรี่
  • โปรตีน 1.2 กรัม
  • ไขมัน 2.1 กรัม
  • คาร์โบไฮเดรต 29.7 กรัม
  • เส้นใย 4.2 กรัม
  • แคลเซียม 35 มก.
  • ธาตุฟอสฟอรัส 30 มก.
  • เหล็ก 2.6 มก.
  • วิตามินเอ 43 ไมโครกรัม
  • ไทอามีน 0.05 มก.
  • ไรโบฟลาวิน 0.02 มิลลิกรัม
  • ไนอาซิน 2.2 มก.
  • วิตามินซี 1 มิลลิกรัม
  • เถ้า 1.4 กรัม

ที่มา: กองโภชนาการ (2544)
ประโยชน์ / คุณประโยชน์ ใช้ส่วนของเหง้า ลำต้นและก็ใบของตะไคร้ เป็นองค์ประกอบของของกินที่สำคัญหลากหลายประเภทยกตัวอย่างเช่น ต้มยำ แล้วก็อาหารไทยหลายแบบ แล้วก็ใช้เป็นเครื่องเทศทำกับข้าวสำหรับกำจัดกลิ่นคาว ช่วยให้อาหารมีกลิ่นหอมหวน แล้วก็ปรับแต่งรสให้น่ากินเยอะขึ้น สามารถประยุกต์ใช้ทำเป็นน้ำตะไคร้ น้ำตะไคร้ใบเตย ช่วยดับร้อนแก้กระหายได้เป็นอย่างดี  สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ได้หลายอย่าง ได้แก่ เครื่องปรุงอบแห้ง ตะไคร้แห้งสำหรับชงดื่ม นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย ฯลฯ
น้ำมันตะไคร้ (น้ำมันหอมระเหยที่ได้จากการสกัดตะไคร้)
– ใช้เป็นส่วนผสมของน้ำหอม
– ใช้เป็นส่วนผสมสำหรับทำสบู่ แชมพูสระผม
– ใช้เป็นส่วนประกอบของเครื่องสำอาง
– ใช้ทานวด แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว
– ใช้ทาลำตัว แขน ขา เพื่อป้องกัน ยุง และแมลง
– ใช้เป็นส่วนผสมของสารคุ้มครองปกป้อง รวมทั้งกำจัดแมลง
ส่วนคุณประโยชน์ของทางยาของตะไคร้นั้นมีดังนี้
ตำราเรียนยาไทย: ต้น รสหอมปร่า ขับลม ลดอาการท้องอืดท้องอืดแน่นจุกเสียด  แก้อาการเกร็ง ขับเหงื่อ แก้โรคทางเดินฉี่ แก้อาการขัดเบา แก้นิ่ว แก้ปัสสาวะเป็นเลือด ทำให้เจริญอาหาร ลดระดับความดันโลหิต เหง้า แก้เบื่อข้าว บำรุงไฟธาตุ แก้กษัย ขับลมในไส้ แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ปัสสาวะขัด แก้เยี่ยวทุพพลภาพ แก้นิ่ว เป็นยารักษาโรคเกลื้อน แก้ไข้หวัด ขับรอบเดือน ขับระดูขาว ใช้ภายนอกทาแก้ลักษณะของการปวดบวมตามข้อ
           แบบเรียนยาพื้นบ้านอีสาน : ใช้ทั้งยังต้น ลดไข้ โดยเอามาต้มกระทั่งเดือดประมาณ 10 นาที ชูลงดื่มทีละครึ่งแก้วสามเวลา ใช้ด้านนอกรักษาโรคผิวหนังโดยต้มกับน้ำและนำมาอาบ
           ตำรับยาสมุนไพรล้านนา: ใช้รักษาอาการบวมในเด็ก กลางคน และก็คนชรา โดยในตำรับมีตะไคร้ และก็สมุนไพรอื่นอีก 13 จำพวก นำไปต้มอาบ
           ทางสุคนธบำบัดน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้บ้าน ช่วยกระตุ้นให้ตื่นตัว มีชีวิตชีวา ทำให้ขมีขมัน เครียดน้อยลง แก้ท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วยสำหรับในการย่อยอาหาร ช่วยเจริญอาหาร ทุเลาอาการปวดโรคข้ออักเสบ ปวดกล้าม
ส่วนสรรพคุณทางการแพทย์แผนปัจจุบันที่ได้มีการทำการค้นคว้าทางคลินิกผลปรากฏว่า น้ำยาบ้วนปากจากตะไคร้สามารถช่วยลดกลิ่นปากที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียบางจำพวกลงได้แล้วก็พบว่ามีความปลอดภัยจากการใช้แรงงานในกรุ๊ปผู้ถูกทดสอบ ถึงแม้ยังคงควรจะมีการปรับแก้กลิ่นฉุนรวมทั้งรสจากตะไคร้เพิ่มเติมอีกถัดไป รวมทั้งในน้ำมันหอมระเหยที่สกัดจากตะไคร้มีอัตราการดูแลรักษาคนป่วยโรคเกลื้อนอยู่ที่ราวๆ 60% ในช่วงเวลาที่ตัวยาคีโตโคนาโซลมีประสิทธิผลทางการรักษาสูงกว่าเป็นอยู่ที่ 80%  และก็มีการทดสอบสมรรถนะของตะไคร้ด้วยการทาโลชั่นที่มีส่วนผสมของน้ำมันตะไคร้ลงบนแขนของผู้อาสาสมัครทดสอบ แล้วให้ผู้ทดลองอยู่ในบริเวณที่มีตัวริ้นประเภท Culicoides Pachymerus อยู่อย่างชุกชุม โดยทดลองบ่อยๆ10 ครั้ง เพื่อทดลองประสิทธิผลทางการคุ้มครองด้านใน 3-6 ชั่วโมง ผลการทดลองพบว่า โลชั่นที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีประสิทธิผลทางการป้องกันภัยริ้นประเภทนี้ได้สูงสุดถึงราวๆ 5 ชั่วโมง  ส่วนการทดสอบถึงคุณภาพของตะไคร้สำหรับการคุ้มครองปกป้องยุงก้นปล่องสายพันธุ์ Anopheles Arabiensis ในอาสาสมัครทดลองเพศชาย 3 คน พบว่ายากันยุงที่มีส่วนผสมของตะไคร้มีคุณภาพสำหรับการป้องกันยุงได้ช้านานที่ประมาณ 3 ชั่วโมง  ส่วนในเรื่องการกำจัดรังแคนั้น มีงานทดลองหนึ่งในไทยที่นำเอาน้ำมันสกัดจากตะไคร้มาเป็นส่วนประกอบในผลิตภัณฑ์น้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่น 5, 10 แล้วก็ 15% โดยมีอาสาสมัครทดสอบเป็นชาวไทยในวัย 20-60 ปี ปริมาณ 30 คน ผลการทดลองพบว่า สินค้าน้ำมันบำรุงเส้นผมแต่งกลิ่นตะไคร้มีประสิทธิผลต่อการลดจำนวนรังแคลงอย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะในสินค้าที่มีส่วนผสมของตะไคร้ 10%
แบบ/ขนาดวิธีใช้
ใช้รักษาอาการขัดเบา    เหง้ารวมทั้งลำต้นสด   หรือแห้ง  1  กำมือ  หรือน้ำหนักสด  40-60  กรัม  แห้ง  20-30  กรัม  ตีต้มกับน้ำพอควร  แบ่งดื่ม  3  ครั้งๆละ  1  ถ้วยชา (75  ไม่ลิลิตร) ก่อนที่จะรับประทานอาหาร  หรือจะหั่นตะไคร้  คั่วด้วยไฟอ่อนๆพอเหลือง  ชงด้วยน้ำเดือด  ปิดฝาทิ้งเอาไว้  5-10  นาที  ดื่มแต่น้ำ 3 ครั้ง ครั้งละ  1  ถ้วยชา  ก่อนรับประทานอาหาร                     
ใช้รักษาท้องอืดท้องเฟ้อแน่นจุกเสียด   ใช้เหง้าและลำต้นสด  1  กำมือ  น้ำหนัก  40-60  กรัม  ตีเพียงพอแตก  ต้มกับน้ำ  2  ถ้วยแก้ว  เดือด  5-10  นาที  ดื่มแม้กระนั้นน้ำ  ครั้งละ  1/2  แก้ว  วันละ  3  คราวหน้าของกิน     
การใช้ตะไคร้รักษาอาการแน่นจุกเสียด ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข (สาธารณสุขมูลฐาน)

  • นำตะไคร้ทั้งต้นและก็รากจำนวน 5 ต้น สับเป็นท่อน ต้มกับเกลือ เพิ่มน้ำสุก 3 ส่วน ให้เหลือ 1 ส่วน ดื่มครั้งละ 1 ถ้วยแก้ว ติดต่อกัน 3 วัน จะหายเจ็บท้อง
  • นำลำต้นแก่สดๆตีพอเพียงแหลกโดยประมาณ 1 กำมือ (40-60 กรัม) ต้มเอาน้ำ

                ใช้รักษาอาการแฮงค์ ใช้ต้นสดตำคั้นเอาน้ำดื่มแก้อาการเมาในกรณีผู้ที่เมามากๆช่วยให้หายเร็ว
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • ฤทธิ์ลดการบีบตัวของไส้ สารเคมีในน้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ช่วยขับลม น้ำมันหอมระเหยของตะไคร้ก็เลยลดอาการแน่นจุกเสียดได้
  • ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียสาเหตุอาการแน่นจุกเสียดแล้วก็ท้องเดิน เมื่อนำน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ (ความเข้มข้นร้อยละ 0.3) มาทดสอบ พบว่าสามารถต้านเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้มีการเกิดอาการท้องร่วงได้ปานกลาง   มีการพัฒนาสูตรตำรับเจล ล้างมือจากน้ำมันตะไคร้สำหรับยั้งเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย พบว่าตำรับที่มีประสิทธิภาพสำหรับในการยั้งเชื้อแบคทีเรียดังที่กล่าวมาข้างต้นก้าวหน้าที่สุดเป็นตำรับที่มีความเข้มข้นของน้ำมันตะไคร้ปริมาณร้อยละ 5 โดยน้ำหนัก และมีการจดสิทธิบัตรสำหรับสารสกัดตะไคร้ที่เป็นส่วนประกอบในยา อาหาร หรือเครื่องแต่งหน้า โดยกล่าวว่าสามารถยับยั้งเชื้อแบคทีเรีย E. coli ได้
  • ฤทธิ์ต้านทานเชื้อรา สารสกัดด้วยเอทานอล แล้วก็น้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ สามารถต่อต้านเชื้อราที่เป็นต้นเหตุของโรคผิวหนัง ดังเช่นว่า ขี้กลาก โรคเกลื้อน ได้  โดยน้ำมันตะไคร้ที่มีสาร citral และ myrcene เป็นส่วนประกอบหลักจะมีฤทธ์ยั้งเชื้อราดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น แล้วก็เมื่อนำน้ำมันตะไคร้ไปพัฒนาเป็นครีมต้านทานเชื้อราพบว่าที่ความเข้มข้นจำนวนร้อยละ 2.5 และก็ 3.0 จะให้ผลต้านเชื้อราเจริญที่สุดและก็เหมาะสมที่จะปรับปรุงเป็นตำรับยาต่อไป

เมื่อนำน้ำมันหอมระเหย และสารสกัดด้วยเฮกเซน, คลอโรฟอร์ม, เอทานอล และก็น้ำ มาทดลองฤทธิ์ต้านเชื้อรา พบว่าน้ำมันหอมระเหยและก็สารสกัดตะไคร้ด้วยเฮกเซนสามารถต้านเชื้อราได้ทุกประเภท  ส่วนสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์มมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราได้น้อย ขณะที่สารสกัดด้วยเอทานอลและก็น้ำไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อรา แล้วก็จากผลการทดสอบยังพบว่าสารประกอบหลักในน้ำมันหอมระเหย และในสารสกัดด้วยเฮกเซนที่มีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อราเจริญหมายถึงสาร citral
                 มีการจดสิทธิบัตรสินค้าตะไคร้ในรูปของ emulsion แล้วก็ nanocapsule ที่ประกอบด้วยน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ ใช้สำหรับรักษาโรคผิวหนังที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อรา E.  floccosum, Microsporum canis และก็  T.  rubrum โดยไปยั้งการเติบโตหรือฆ่าเซลล์ของเชื้อราดังกล่าว

  • ฤทธิ์ต่อต้านยีสต์ สารสกัดด้วยเอทานอล และน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้สามารถต้านยีสต์ Candida albicans ได้
  • ฤทธิ์แก้ปวด พบว่าน้ำมันหอมระเหยสามารถบรรเทาอาการปวดได้เมื่อฉีดเข้าทางช่องท้องหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้เกิดความเจ็บด้วยความร้อน  หรือถ้าเกิดป้อนน้ำมันหอมระเหยในขนาดเหมือนเดิมทางปากจะสามารถบรรเทาอาการปวดได้เมื่อเทียบกับยา meperidine

ชาชงตะไคร้ เมื่อป้อนให้หนูเม้าส์กินตรงเวลา 30 นาที ก่อนจะรั้งนำหนูให้ปวดอุ้งเท้าด้วยสารคาราจีแนน 100 ไมโครกรัม/อุ้งเท้า  หรือด้วยสาร prostaglandin E2  รวมทั้ง dibutyryl cyclic AMP พบว่าสามารถยับยั้งลักษณะของการปวดจากการที่ถูกเหนี่ยวนำด้วยสารคาราจีแนน รวมทั้ง prostaglandin E2 ได้  แม้กระนั้นไม่ได้เรื่องถ้ารั้งนำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP  นอกเหนือจากนั้นน้ำมันหอมระเหยตะไคร้  รวมทั้งสาร myrcene เมื่อป้อนให้หนูที่ถูกเหนี่ยวนำให้กำเนิดอาการปวดด้วย prostaglandin E2  พบว่าสามารถยั้งลักษณะของการปวดได้

  • ฤทธิ์ลดไข้ เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20 มล./กิโลกรัม ไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิของหนูขาว แต่เมื่อฉีดเข้าช่องท้องหนูขาวในขนาด 40.0 มิลลิลิตร/กก. พบว่าลดอุณหภูมิของหนูขาวได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง (p< 0.05) (2) เมื่อให้สารสกัดน้ำร้อนจากใบของตะไคร้ ทางสายยางแก่หนูขาวในขนาด 20-40 มล./กก. ทุกวันตรงเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าไม่มีฤทธิ์ลดอุณหภูมิกายของหนูขาว
  • ฤทธิ์ขับน้ำดี ตะไคร้มีสารช่วยสำหรับการขับน้ำดีมาช่วยสำหรับการย่อยหมายถึงborneol, fenchone รวมทั้ง cineole
  • ฤทธิ์ขับลม ยาชงตะไคร้เมื่อให้กินไม่มีผลขับลม แต่หากให้โดยฉีดทางช่องท้องจะให้ผลดี

เมื่อกรอกน้ำมันหอมระเหยจากใบเข้ากระเพาะ หรือฉีดเข้าช่องท้องหนูถีบจักรเพศผู้ ขนาด 10, 50, 100 มก./กก. พบว่าสามารถทุเลาอาการปวดได้ และเมื่อกรอก    น้ำมันหอมระเหยจากใบ เข้าด้านในกระเพาะหนูขาว ขนาด 20% พบว่ามีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดที่เหนี่ยวนำด้วย carageenan หรือ PGE2 แม้กระนั้นไม่ได้เรื่องในหนูที่ทำให้ปวดด้วย dibutyryl cyclic AMP ซึ่งสารออกฤทธิ์เป็นmyrcene (1) นอกนั้นเมื่อกรอกสารสกัดเอทานอล 95% จากใบสด เข้ากระเพาะหนูถีบจักร ขนาด 1 ก./กก. พบว่าไม่สามารถที่จะบรรเทาลักษณะของการปวดได้
การเรียนทางพิษวิทยา หลักฐานความเป็นพิษแล้วก็การทดลองความเป็นพิษ
เมื่อให้น้ำมันหอมระเหยเข้าทางกระเพาะอาหารกระต่าย พบว่ามีค่า LD50 มากกว่า 5 กรัม/กก. ส่วนพิษในหนูขาวไม่กระจ่าง แล้วก็เมื่อป้อนสารสกัดใบด้วยอัลกอฮอล์รวมทั้งน้ำ (1:1) ขนาด 460 มก./กก. เข้ากระเพาะอาหารหนูถีบจักร พบว่าเป็นพิษ แต่ว่าสารสกัดใบด้วยน้ำ ขนาด 20-40 ซีซี/กก. เมื่อให้ทางปากไม่เจอพิษ และไม่เป็นพิษต่อตัวอ่อน และไม่มีผลต่อน้ำหนักตัวของหนูขาว มีผู้เรียนรู้พิษของน้ำมันหอมระเหย พบว่าอัตราส่วน LD50/TD พอๆกับ 6.9 การป้อนยาชงตะไคร้ให้หนูขาวในขนาด 20 เท่าของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 2 เดือน ไม่เจอความเป็นพิษ
          การศึกษาเล่าเรียนพิษกระทันหันของน้ำมันหอมระเหยจากตะไคร้ขนาด 1,500 ppm ตรงเวลา 60 วัน พบว่าหนูขาวกรุ๊ปที่ได้ตะไคร้ โตเร็วกว่ากลุ่มควบคุม แต่ว่าค่าเคมีเลือดไม่เปลี่ยนแปลง
สารสกัดตะไคร้ด้วยเอทานอล (80%) ไม่มีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน Staphylococcus typhimurium TA98 และ TA100 มีผู้ทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ใน mammalian cells ของ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญในตะไคร้ พบว่าไม่เจอฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ มีผู้ทดลองใช้ตะไคร้แห้ง ขนาด 400 มคกรัม/จานเพาะเชื้อ มาทดลองกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้งเมื่อนำน้ำต้มใบตะไคร้กับเนื้อ (วัว ไก่ หมู) ขนาด 4, 8 และก็ 16 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ ทดสอบกับ S. typhimurium TA98 รวมทั้ง TA100 ไม่พบฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ รวมทั้งสารสกัดด้วยน้ำขนาด 0.5 ซีซี/จานเพาะเชื้อ ไม่เป็นผลก่อกลายพันธุ์ใน Bacillus subtilis H-17 (Rec+) และ M-45 (Rec-) ตะไคร้สดในขนาด 1.23 มก./ซีซี ไม่มีพิษต่อยีน (16) และ b-myrcene ซึ่งเป็นสารสำคัญก็ไม่เจอพิษเช่นกัน
สาร citral ซึ่งเป็นสารที่ได้จากน้ำมันหอมระเหยจากใบ เป็นพิษต่อเซลล์ P388 mouse leukemia และก็น้ำมันหอมระเหย เป็นพิษต่อเซลล์ P388 leukemia โดยมีค่า IC50 5.7 มคก./มิลลิลิตร แต่เมื่อผสมน้ำมันหอมระเหยตะไคร้กับโหระพาช้าง (1:1 vol./vol.) มีค่า IC50 10.2 มคกรัม/มล. ส่วนสกัด (partial purified fraction) ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ PS (murine lymphocytic leukemia P388),FA   ( murine ascites mammary carcinoma FM3A ) แต่สารสกัดหยาบแสดงฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเซลล์ FA สารสกัดใบด้วยเมทานอล ในขนาด 50 มคก./ มล. ออกฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเซลล์ของมะเร็ง CA-9KB แม้กระนั้นในขนาด 20 มคกรัม/ มิลลิลิตร ไม่เป็นพิษต่อเซลล์ RAJI
มีผู้ทดลองพิษของชาที่ตระเตรียมจากตะไคร้พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงรับประทานเกิดไคร้ 1 ครั้ง หรือรับประทานวันละครั้งเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ไม่เจอความเคลื่อนไหวทางเคมีในเลือด เม็ดเลือดรวมทั้งปัสสาวะ มีบางรายเพียงแค่นั้นที่มีปริมาณบิลลิรูบิน รวมทั้ง amylase สูงมากขึ้น จึงถือว่าปลอดภัย ส่วนน้ำมันตะไคร้เมื่อผสมในน้ำหอม โดยผสมน้ำมันตะไคร้ปริมาณร้อยละ 0.8 พบว่ามีอาการแพ้ อย่างไรก็ตามการแพ้นี้อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะสารอื่นได้ รวมทั้งมีรายงานความเป็นพิษต่อถุงลมปอดเมื่อสูดกลิ่นน้ำมันตะไคร้
ข้อแนะนำ / สิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวัง

  • การบริโภคตะไคร้หรือการใช้ตะไคร้ทาบนผิวหนังเพื่อจุดประสงค์ทางการรักษาโรค อาจจะไม่มีอันตรายถ้าหากใช้ตะไคร้ในช่วงสั้นๆภายใต้การดูแลและก็ข้อแนะนำจากแพทย์
  • การสูดดมสารที่มีส่วนประกอบของตะไคร้ อาจส่งผลให้เป็นผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายและเป็นพิษต่อสถาพทางร่างกายได้ในคนไข้บางราย ดังเช่น ผู้มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพปอด
  • ปรึกษาแพทย์ เภสัชกร รวมทั้งเล่าเรียนข้อมูลบนฉลากให้ถี่ถ้วนก่อนใช้สินค้าอะไรก็แล้วแต่ที่มีสารสกัดมาจาตะไคร้[/url]ก่อนเสมอ เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดผลข้างเคียงที่อาจทำให้เป็นอันตรายต่อสุขภาพหลังการบริโภค
  • ระวังการใช้ตะไคร้และผลิตภัณฑ์จากตะไคร้ในผู้ที่เป็นต้อหิน (glaucoma) เนื่องด้วย citral จะมีผลให้ความดันในดวงตาเพิ่มขึ้น
เอกสารอ้างอิง

  • ตะไคร้.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ฉบับประชาชนทั่วไป.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ตะไคร้แกง.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Puatanachokchai R, Vinitketkumnuen U, Picha P.  Antimutagenic and cytotoxic effects of lemon grass.  The 11th   Asia Pacific Cancer Conference, Bangkok Thailand, 16-19 1993.
  • คุณค่าทางโภชนาการของอาหารไทย.กองโภชนาการ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข.2544.
  • Carlini EA, Contar JDDP, Silva-Filho AR, Solveira-Filho NG, Frochtengarten ML, Bueno,OFA. Pharmacology of  lemongrass (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of teas prepared from the leaves on laboratory animals.  J  Ethnopharmacol 1986;17(1):37-64.
  • ตะไคร้สรรพคุณประโยชน์กับบทพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์.พบแพทย์ดอทคอม. http://www.disthai.com/[/b]
  • Lemongrass oil West Indian.  Food Cosmet Toxicol 1976;14:457.
  • กาญจนา ขยัน,การอบแห้งตะไคร้ด้วยเทคนิคการให้ความร้อนแบบไดอิเล็กตริกโดยใช้เครื่องอบไมโครเวฟที่ควบคุมอุณหภูมิได้.
  • Vinitketkumnuen U, Puatanachokchai R, Kongtawelert P, Lertprasertsuke N, Matsushima T.  Antimutagenicity of   lemon grass (Cymbopogon citratus Stapf) to various known mutagens in Salmonella mutation assay.  Mutat Res   1994;341(1):71-5.
  • ตะไคร้ใบตะไคร้ประโยชน์และสรรพคุณตะไคร้.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อเกษตรไทย.
  • Souza Formigoni MLO, Lodder HM, Filho OG, Ferreira TMS, Carlini EA. Pharmacology of lemongrass  (Cymbopogon citratus Stapf).    Effects of daily two month administration in male and female rats and in  offspring exposed "in utero". J Ethnopharmacol 1986;17(1):65-74.
  • Parra AL, Yhebra RS, Sardinas IG, Buela LI.  Comparative study of the assay of Artemia salina L. and the  estimate of the medium lethal dose (LD50 value) in mice, to determine oral acute toxicity of plant extracts.   Phytomedicine 2001;8(5):395-400.
  • ตะไคร้.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
  • Kauderer B, Zamith H, Paumgartten FJ, Speit G. Evaluation of the mutagenicity of b-myrcene in mammalian cells   in vitro.  Environ Mol Mutagen 1991;18(1):28-34.
  • Lorenzetti BB, Souza GEP, Sarti SJ, et al. Myrcene mimics the peripheral analgesic activity of lemongrass tea.  J  Ethnopharmacol 1991;34(1):43-8.   
  • Skramlik EV. Toxicity and toleration of volatile oils.  Pharmazie 1959;14:435-45.
  • Ostraff M, Anitoni K, Nicholson A, Booth GM. Traditional Tongan cures for morning sickness and their   mutagenic/toxicological evaluations.  J Ethnopharmacol 2000;71(1/2):201-19.
  • Wohrl S, Hemmer W, Focke W, Gotz M, Jarisch R. The significance of fragrance mix, balsam of Peru, colophony   and propolis as screening tools in the detection of fragrance allergy.  Br J Dermatol 2001;145(2):268-73.
  • Onbunma S, Kangsadalampai K, Butryee B, Linna T. Mutagenicity of different juices of meat boiled with herbs   treated with nitrite.  Ann Res Abst, Mahidol Univ (Jan 1 – Dec 31, 2001) 2002;29:350.
  • Costa M, Di Stasi LC, Kirizawa M, et al. Screening in mice of some medicinal plants used for analgesic purposes  in the state of Sao Paulo.  J Ethnopharmacol 1989;27(1/2):25-33.
  • Mishra AK, Kishore N, Dubey NK, Chansouria JPN. An evaluation of the toxicity of the oils of Cymbopogon   citratus and Citrus me



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ