รู้หรือไม่ว่าการบูรนั้นเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่งอย่างมาก

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รู้หรือไม่ว่าการบูรนั้นเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณเเละประโยชน์อันน่าทึ่งอย่างมาก  (อ่าน 44 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 86


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มิถุนายน 05, 2018, 08:17:19 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

การบูร (Camphor)
การบูรเป็นอย่างไร การบูรเป็นชื่อของต้นไม้ ที่มีผลึกแทรกอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้และก็ยังสามารถนำลำต้น,ราก,ใบ มากมายลั่นหรือสกัดจนได้ผลึกดังที่กล่าวถึงแล้วอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งก่อนนั้น คำว่า “การบูร” มาจากภาษาสันสกฤตว่า “Karapur” หรือ “กรปูร” ซึ่งแสดงว่า “หินปูน” เพราะว่าโบราณรู้เรื่องว่าผนึกนี้เป็นพวกหินปูนที่มีกลิ่นหอมยวนใจ ถัดมาชื่อนี้เพี้ยนเป็น “การบูร” แล้วก็เป็น “การบูร” ในตอนนี้ (คนเขียนเข้าใจว่า ชื่อการบูรนี้คงถูกเรียกจากผลึกที่ได้แล้วหลังจากนั้นก็ให้นำมาตั้งชื่อต้นไม้ที่ให้ผลึก) ส่วนลักษณะของผลึกการบูรนั้น มีลักษณะเป็นผลึกหรือเกล็ดกลมๆเล็กๆแวววาว สีขาวแห้ง มีกลิ่นหอมสดชื่นเย็นฉุน  มักจะจับกันเป็นก้อนร่วนๆแตกง่าย  ถ้าเกิดทิ้งเอาไว้ภายในอากาศ  จะระเหิดไปหมด มีรสร้อนปร่าเมา
สูตรทางเคมีและก็สูตรโครงสร้าง ผลึกการบูรมีชื่อสามัญว่า Camphor, Gum camphor, Formosan camphor, Laurel camphor เป็นสารประกอบกรุ๊ปเทอร์พีนที่พบได้จากต้นการบูรมีความไวไฟ มีชื่อตาม IUPAC ว่า 1,7,7-trimethylbicyclo 2.2.1heptan-2-one รวมทั้งมีชื่ออื่นๆอย่างเช่น 2-bornanone, 2-camphanone bornan-2-one, Formosa  มีสูตรเคมี C10H16O มีน้ำหนักโมเลกุล 152.23 ความหนาแน่น 0.990 มีจุดหลอมเหลวที่ 179.75 องศาเซลเซียส (452.9 K) จุดหลอมเหลว 204 องศาเซลเซียส (477K) สามารถละลายน้ำได้ รวมทั้งมีสูตรส่วนประกอบดังนี้
มูลเหตุ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วว่าผลึกการบูรได้มาจากการระเหิดของยางจากเนื้อไม้ของต้นการบูรรวมทั้งผู้กระทำลั้นหรือสกัด ลำต้น ราก ใบ ต้น การบูร ซึ่งมีข้อมูลทางพฤกษศาสตร์ของต้นการบูรเป็น สมุนไพรการบูร มีชื่อแคว้นอื่นๆว่า การะบูน การบูร (ภาคกึ่งกลาง), อบเชยญวน (ไทย), ประพรมเส็ง (เงี้ยว), เจียโล่ (จีนแต้จิ๋ว), จางมู่ จางหน่าว (ภาษาจีนกลาง) เป็นต้น ชื่อวิทยาศาสตร์  Cinnamomum camphora (L.) J. Presl.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์Camphora camphora (L.) H.Karst., Camphora hahnemannii Lukman., Camphora hippocratei Lukman., Camphora officinarum Nees, Camphora vera Raf., Camphorina camphora (L.) Farw., Cinnamomum camphoriferum St.-Lag., Cinnamomum camphoroides Hayata, Cinnamomum nominale (Hats. & Hayata) Hayata, Cinnamomum officinarum Nees ex Steud., Laurus camphora L., Persea camphora (L.) Spreng.  ชื่อวงศ์ Lauraceae
การบูร เป็นพรรณไม้พื้นเมืองของจีน ญี่ปุ่น รวมทั้งไต้หวัน และมีการกระจายประเภทไปในแถบ   เมดิเตอร์เรเนียน อินโดนีเซีย ประเทศอินเดีย อียิปต์ แอฟริกาใต้ จาไมกา บราซิล ประเทศสหรัฐอเมริกา และก็เมืองไทย โดยจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ ลักษณะเป็นทรงพุ่มกว้างแล้วก็ทึบ มีความสูงของต้นได้ถึง 30 เมตร ลำต้นมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางถึง 1.5 เมตร เปลือกต้นเป็นสีน้ำตาล ผิวหยาบคาย ส่วนเปลือกกิ่งเป็นสีเขียวหรือเป็นสีน้ำตาลอ่อน ลำต้นรวมทั้งกิ่งเรียบไม่มีขน ส่วนแก่นไม้เป็นสีน้ำตาลปนแดง เมื่อนำมากลั่นแล้วจะได้ “การบูร” ทุกส่วนของต้นการบูรจะมีกลิ่นหอมยวนใจ โดยยิ่งไปกว่านั้นที่ส่วนที่ของรากและก็โคนต้น เพาะพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด แล้วก็ขั้นตอนการปักชำ
ใบเป็นใบคนเดียว ออกเรียงสลับ รูปรี หรือรูปรีปนรูปไข่ กว้าง 2.5-5.5 ซม. ยาว 5.5-15 เซนติเมตร ปลายใบเรียวแหลม โคนใบป้านหรือกลม ขอบใบเรียบหรือเป็นคลื่นเล็กน้อย แผ่นใบค่อนข้างเหนียว ข้างบนสีเขียวเข้ม วาว ด้านล่างสีเขียวอมเทาหรือนวล ไม่มีขน เมื่อขยี้จะมีกลิ่นหอมสดชื่นคล้ายกลิ่นการบูร เส้นใบขึ้นตรงมาจากโคนใบราว 3-8 มม. แล้วแยกออกเป็น 3 เส้น ตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกนั้นมีต่อม 2 ต่อม แล้วก็ตามเส้นกึ่งกลางใบอาจมีต่อมเกิดขึ้นตรงมุมที่มีเส้นใบแยกออกไป ก้านใบยาว 2-3 เซนติเมตร ไม่มีขน ตาใบมีเกล็ดซ้อนเหลื่อมล้ำห่อหุ้มอยู่ เกล็ดชั้นนอกเล็กมากยิ่งกว่าเกล็ดชั้นในตามลำดับ
ดอกช่อแบบแยกกิ่งก้านสาขาออกตามเป็นกลุ่มรอบๆง่ามใบ ดอกเล็กสีขาวอมเหลืองหรืออมเขียว ก้านดอกสั้นมาก กลีบรวมมี 6 กลีบ เรียงเป็น 2 วง วงละ 3 กลีบ รูปรี ปลายมน ภายนอกเกลี้ยง ภายในมีขนละเอียด เกสรเพศผู้มี 9 อัน เรียงเป็น 3 วง วงละ 3 อัน อับเรณูของวงที่ 1 แล้วก็วงที่ 2 หันเข้าภายใน ก้านเกสรมีขน ส่วนอับเรณูของวงที่ 3 หันหน้าออกข้างนอก ก้านเกสรค่อนข้างใหญ่ มีต่อม 2 ต่อมอยู่ใกล้โคนก้าน  ต่อมรูปไข่กว้างและก็มีก้าน อับเรณูมีช่องเปิด 4 ช่อง เรียงเป็น 2 แถว แถวละ 2 ช่อง มีลิ้นเปิด 4 ช่อง เกสรเพศผู้เป็นหมันมี 3 อัน อยู่ข้างในสุด รูปร่างเหมือนลูกศร มีขนแต่ไม่มีต่อม รังไข่รูปไข่ ไม่มีขน ก้านเกสรเพศเมียยาวราว 1 มม. ไม่มีขน ปลายเกสรเพศเมียกลม ใบประดับประดาเรียวยาว หล่นง่าย มีขนอ่อนนุ่มผลรูปไข่ หรือกลม สำเร็จมีเนื้อ ยาว 6-10 มม. สีเขียวเข้ม เมื่อสุกกลายเป็นสีดำ มีฐานดอกซึ่งเติบโตขึ้นมาเป็นแป้นรองรับผลมีเมล็ด 1 เมล็ด ออกดอกราวเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฎาคมซึ่งการบูรจากธรรมชาตินั้น เป็นผลึกที่แทรกอยู่ในเนื้อไม้ของต้นการบูร ที่เกิดอยู่ทั่วไปอีกทั้งต้น มักจะอยู่ตามรอยแตกของเนื้อไม้ มีเยอะที่สุดในแก่นของราก รองลงมาที่แก่นของต้น ส่วนที่อยู่ใกล้โคนต้นจะมีการบูรมากกว่าส่วนที่อยู่สูงมากขึ้นมา ในใบรวมทั้งยอดอ่อนมีการบูรอยู่น้อย และก็จะมีน้อชูว่าใบแก่  ส่วนการสร้างการบูร จะใช้วิธีการกลั่นด้วยละอองน้ำ (ซึ่งอาจไม่อาจจะกลั่นการบูรได้เองข้างในครอบครัว เพราะเหตุว่าจำต้องใช้เครื่องใช้ไม้สอยที่เฉพาะ) โดยนำส่วนต่างๆของลำต้นและรากการบูรที่แก่เกิน 40 ปี มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆแล้วนำไปกลั่น เมื่อกลั่นจนได้น้ำมันหอมระเหย การบูรจะกลายเป็นผลึกเป็นก้อนสีขาวๆแยกออกมาจากน้ำมันหอมระเหย ต่อจากนั้นจึงกรองแยกเอาผลึการบูร[/url] (บางทีอาจเอามาทำให้บริสุทธิ์โดยการระเหิด) การบูรที่ได้นี้เรียกว่า refined camphor หรือ resublimed camphor แต่ว่าในประเทศอเมริกา จะใช้ใบและยอดอ่อนของต้นที่มีอายุ 5 ปีขึ้นไปแทน แม้ว่าจะให้ปริมาณการบูรน้อยกว่า แม้กระนั้นสามารถตัดใบและก็ยอดอ่อนมากลั่นได้ทุกๆสองเดือน ในทุกวันนี้การบูรแทบทั้งสิ้นได้จากแนวทางการครึ่งหนึ่งสังเคราะห์จากสารเริ่มต้น คือ แอลฟา-ไพนีน (alpha-pinene) ที่ได้จากน้ำมันสน
ประโยชน์/คุณประโยชน์
ตำราเรียนยาไทย: “การบูร”  มีรสร้อนปร่าเมา ใช้ทาเช็ดนวดแก้ปวด แก้เคล็ดบวม ขัดยอก แพลง แก้กระตุก แก้ปวดข้อ แก้ปวดเส้นประสาท แก้รอยผิวหนังแตก แก้พิษแมลงต่อย รวมทั้งโรคผิวหนังเรื้อรัง เป็นยาหยุดเชื้ออย่างอ่อน ขับเหงื่อ ขับเสลด ขับปัสสาวะ แก้ไข้หวัด และก็ขับลม บำรุงธาตุ บำรุงกำหนัด ยากระตุ้นหัวใจ บำรุงหัวใจ ใช้เป็นส่วนผสมในยาหอมต่างๆยกตัวอย่างเช่น ยาหอมเทพจิตร นอกเหนือจากนี้ยังใช้แก้อาการชักบางประเภท ใช้การบูร 1-2 เกรน แก้ปวดขัดตามเส้นประสาท ข้อบวมเป็นพิษ แก้เคล็ดลับบวม เส้นผวา กระตุก ขัดยอกพลิก แก้เจ็บท้อง ท้องเสีย ขับน้ำเหลือง แก้เลือดลม บำรุงกำหนัด ขับเหงื่อ ขับเสมะหะ บำรุงธาตุ แก้โรคตา กระจายลม ขับผายลม นำมาผสมเป็นขี้ผึ้ง เป็นยาร้อน ใช้ทาแก้เพื่อถอนพิษอักเสบเรื้อรัง ปวดยอกตามกล้าม สะบักจม หน้าอก เจ็บปวดรวดร้าวตามเอ็น โรคปวดผิวหนัง รอยผิวแตกในฤดูหนาว แก้พิษสัตว์กัดต่อย วางในห้องหรือตู้ที่มีไว้สำหรับเก็บเสื้อผ้าไล่ยุงแล้วก็แมลง
          บัญชียาจากสมุนไพร: ที่มีการใช้ตามองค์วิชาความรู้เริ่มแรก ตามประกาศคณะกรรมการพัฒนาระบบยาแห่งชาติ ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ปรากฏการใช้การบูร ร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ ในยารักษาหลายกรุ๊ปอาการ ตัวอย่างเช่น  “ยาธาตุบรรจบ” มีสรรพคุณของตำรับ ใช้บรรเทาอาการท้องอืดเฟ้อ แล้วก็อาการอุจจาระธาตุทุพพลภาพ ท้องเสียที่ไม่ติดเชื้อโรค เป็นต้น, ตำรับ “ยาแก้ลมอัมพฤกษ์” มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรจำพวกอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ของตำรับสำหรับในการทุเลาอาการปวดตามเส้นเอ็น กล้ามเนื้อ มือ เท้า ตึงหรือชา ตำรับ "ยาประสะไพล" มีส่วนประกอบของการบูรร่วมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆในตำรับ มีคุณประโยชน์ของตำรับในการรักษาระดูมาไม่สม่ำเสมอหรือมาน้อยกว่าปกติ บรรเทาอาการปวดเมนส์  และขับน้ำคร่ำในหญิงหลังคลอดลูก
ในทางการแพทย์แผนปัจจุบันพบว่าการบูรดูดซึมทางผิวหนังก้าวหน้า และรู้สึกเย็นเมื่อสัมผัสกับผิวหนังเหมือนกับเมนทอล มีฤทธิ์เป็นยาชารวมทั้งต้านทานจุลชีวันอย่างอ่อนๆใช้ทาเฉพาะที่แก้กลยุทธ์บวม ปวดเมื่อย แพลง แก้พิษแมลงสัตว์กัดต่อย และก็โรคผิวหนัง ยิ่งไปกว่านี้ยังมีฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ยิ่งไปกว่านี้ยังมีการนำการบูรมาใช้ประโยชน์อื่นๆอีกดังเช่นว่า

  • ช่วยแก้รอยผิวหนังแตกในช่วงฤดูหนาว
  • การบูรเมื่อเอามาวางในห้องหรือตู้ที่มีไว้ใส่เสื้อผ้าจะสามารถช่วยไล่ยุงและแมลง รวมทั้งยังเอามาผสมเป็นตัวขจัดกลิ่นอับในรองเท้าได้อีกด้วย
  • กิ่งก้านรวมทั้งใบสามารถนำมาใช้แต่งกลิ่นของกินและขนมได้ เช่น ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเนื้อสัตว์ ไส้กรอก เบคอน ข้าวหมกไก่ ทอฟฟี่ แยม เยลลี่ เครื่องดื่มโคค้างโคลา เหล้า หรือใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องพะโล้ เครื่องแกงมัสมั่น ผงกะหรี่ คุกกี้ ขนมเค้ก อื่นๆอีกมากมาย ใช้แต่งกลิ่นยารวมทั้งใช้เป็นองค์ประกอบของอาหารชนิดผักดอง ซอส ฯลฯ
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยา

  • รากของต้นการบูรมีน้ำมันหอมระเหย 3% ซึ่งประกอบไปด้วย azulene, cadinene, camphene, camphor, carvacrol, cineol, citronellol, citronellic acid, fenochen, limonene, phellandene, pinene, piperiton, piperonylic acid, safrole แล้วก็ terpineol ส่วนใบของต้นการบูรพบ camphor รวมทั้ง camperol
  • แก่นไม้ของต้นการบูรเมื่อเอามากลั่นด้วยละอองน้ำ จะได้การบูรรวมทั้งน้ำมันหอมระเหยรวมกันราวๆ 1% ซึ่งประกอบด้วย acetaldehyde, betelphenol, caryophyllen, cineole, eugenol, limonene, linalool, orthodene, p-cymol, และก็ salvene
  • ราก กิ่ง และก็ใบ พบน้ำมันระเหยโดยเฉลี่ยราว 3-6% โดยในน้ำมันระเหยจะมีสารการบูรอยู่ราวๆ 10-50% และพบว่าต้นการบูรยิ่งแก่มากแค่ไหน จะพบว่ามีสารการบูรมากตามไปด้วย โดยเจอสาร ต่างๆตัวอย่างเช่น Azulene, Bisabolone, Cadinene, Camphorene, Carvacrol, Safrol ฯลฯ
  • ฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ เรียนฤทธิ์ต้านการอักเสบในหลอดทดสอบของการบูร โดยนำสารสกัดหยาบคายจากใบการบูร สกัดด้วย 80% methanol แล้วนำสารสกัดที่ได้ มาผ่านการแยกโดยใช้  hexane แล้วก็ ethyl acetate (EtOAc) จากการทดลองพบว่าสารสกัด hexane และ EtOAc ขนาด 100 μg/ml ของการบูร สามารถยับยั้งการผลิตสารที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบตัวอย่างเช่น  interleukin (IL)-1b, IL-6 รวมทั้ง tumor necrosis factor (TNF-α) จากเซลล์แมคโครฟาจ RAW 264.7 cells ของหนู ซึ่งถูกกระตุ้นโดย  lipopolysaccharide (LPS) ได้อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติได้ในตอน 20-70% และสามารถยับยั้งการสร้าง nitric oxide (NO) ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดการอักเสบ ได้ 65% สารสกัดหยาบคายด้วย 80% methanol  และส่วนสกัดย่อย hexane และ ethyl acetate สามารถยับยั้งการผลิต prostaglandin E2 (PGE2) ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นในวิธีการอักเสบ ในเซลล์ macrophages ของหนูที่ถูกกระตุ้นด้วย LPS หรือ IFN-gamma ได้ 70% รวมทั้งสารสกัด hexane  รวมทั้ง ethyl acetate ในขนาด 100 μg/ml สามารถยั้งการกระตุ้น β1-integrins (CD29) ซึ่งเกี่ยวโยงกับการหยุดยั้งไม่ให้เกิดการจับกลุ่มของโมเลกุล และก็เซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันที่จะมารวมตัวกันรอบๆที่เกิดการอักเสบ โดยสามารถยับยั้งได้ 70-80% ด้วยเหตุนี้จึงสรุปได้ว่าสารสกัดจากใบการบูรมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยเกี่ยวข้องกับการหยุดยั้ง cytokine, NO แล้วก็ PGE2
  • ฤทธิ์ยั้งเชื้อแบคทีเรีย การเล่าเรียนฤทธิ์ยับยั้งการก้าวหน้าของเชื้อแบคทีเรีย Escherichia coli, Staphylococcus aureus (เป็นเชื้อที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหาร แผล ฝีหนอง แล้วก็อีกหลายระบบภายในร่างกาย) ของสาร camphor ที่สกัดได้จากต้นการบูร และเป็นส่วนประกอบหลักของ essential oil จากต้นการบูร ทดลองด้วยวิธี agar disk diffusion วัดผลด้วยการประมาณค่า inhibition zone พบว่า camphor ในขนาดความเข้มข้น 2% สามารถยั้งการเจริญก้าวหน้าของเชื้อ S. aureus ได้ แต่ว่าไม่เป็นผลยับยั้งเชื้อ E.coli

การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา การทดลองความเป็นพิษ เมื่อฉีดสารสกัดส่วนที่อยู่เหนือดินของต้นการบูรด้วยเอธานอล-น้ำ เข้าช่องท้องหนูถีบจักรพบว่าขนาดที่ทำให้สัตว์ทดสอบตายกึ่งหนึ่งมากยิ่งกว่า 1 กรัม/กิโลกรัม เมื่อป้นส่วนที่เป็นไขมันให้หมาในขนาด 5 ซีซี/กก. ไม่พบพิษ
มีรายงานว่าการกินการบูร ขนาด 3.5 กรัม ทำให้เสียชีวิตได้ และก็ถ้าหากกินเกินทีละ 2 กรัม จะก่อให้สลบ และเป็นพิษต่อระบบทางเดินอาหาร ไต แล้วก็สมอง อาการแสดงเมื่อได้รับพิษหมายถึงอาเจียน คลื่นไส้ ปวดศีรษะ เวียนหัวหัว กล้ามสั่น กระตุก เกิดการชัก สมองดำเนินการผิดพลาด เกิดภาวะงงเต็ก ทั้งนี้
ขึ้นอยู่กับขนาดที่ได้รับ ธรรมดาแล้วร่างกายมีการกำจัดการบูรเมื่อกินเข้าไป ผ่านการเมทาบอลิซึมที่ตับ โดยการบูรจะถูกกลายเป็นสารกลุ่มแอลกอฮอล์ โดยการเติมออกสิเจนในโมเลกุล กำเนิดเป็นสาร campherolแล้วจะจับตัวกับ glucuronic acid ในตับ กำเนิดเป็นสารประกอบที่ละลายน้ำได้ แล้วก็ถูกขับออกทางเยี่ยว แม้กระนั้นแม้ได้รับในจำนวนสูงเหลือเกิน ก็จะเกิดการหลงเหลือจนถึงเป็นอันตรายต่อตับ รวมทั้งไตได้
         การสูดดมการบูร ที่มีความเข้มข้นในอากาศมากกว่า 2 ppm (2 ส่วนในล้านส่วน หรือ 2 mg/m3) จะมีผลให้เกิดอาการบางส่วนถึงปานกลาง ตัวอย่างเช่น การระคายเคืองต่อจมูก ตา และคอ ขนาดที่กระตุ้นให้เกิดพิษรุนแรงต่อชีวิต และก็สุขภาพคือ 200 mg/m3ความเป็นพิษของการบูรที่เกิดจากการรับประทาน อาทิเช่น อ้วก อ้วก ปวดท้อง ปวดหัว ชัก หมดสติ หรือบางทีอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตจากภาวการณ์ระบบการหายใจล้มเหลว โดยขนาดของการบูรที่ก่อให้เกิดอาการพิษที่ร้ายแรง (ชัก หมดสติ) ในผู้ใหญ่หมายถึง34 mg/kg
        นอกจากนั้นยังมีกล่าวว่า การกินน้ำมันการบูรในขนาด 3-5 mL ที่มีความเข้มข้น  20% หรือมากกว่า 30 mg/Kg จะมีผลให้เสียชีวิตได้ มีรายงาน case report  กำหนดไว้ว่า มีเด็กหญิงอายุ 3 ปีครึ่ง ทานการบูรเข้าไป โดยไม่เคยรู้ขนาดที่กิน  ปรากฏว่ามีลักษณะอาการชักแบบกล้ามเกร็งทั้งตัวโดยไม่มีการกระตุก (generalised tonic seizures) นาน 20-30 นาที ก่อนจะมาถึงโรงพยาบาล  ผลการตรวจทางห้องทดลองพบว่า ระดับน้ำตาล ระดับ electrolytes รวมทั้งระดับแคลเซียม มีค่าธรรมดา การตรวจคลื่นไฟฟ้าสมอง (Electroencephalography (EEG) พบว่ามีค่าธรรมดา และก็มีลักษณะอ้วก 1 ครั้ง เมื่อมาถึงโรงหมอ พบสารสีขาว และก็มีกลิ่นการบูรร้ายแรงจากการอ้วก
ขนาด/จำนวนที่ควรที่จะใช้ สำหรับเพื่อการรักประทานยังไม่มีข้อมูลที่ยืนยันชัดแจ้งว่าควรบริโภคการบูรเยอะแค่ไหน ที่จะไม่เกิดอันตรายต่อสุขภาพร่างกายแม้กระนั้นในด้านการสูดดมมีการคำนวณว่าในสารที่ผสมการบูรเสร็จแล้ว ไม่ควรเกินกว่า 2 ppm ซึ่งแสดงว่า มีปริมาณของการบูร 2 มก.ในสารละลาย 1 ลิตร ด้วยเหตุดังกล่าวสำหรับในการใช้การบูรทั้ง การรับประทานแล้วก็การสูดดมความต้องระวังและก็ใช้ตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
คำแนะนำ/ข้อพึงระวัง

  • สตรีมีท้อง ไม่ควรกินการบูร
  • ผู้ที่เป็นโรคท้องผูกริดสีดวงทวารฉี่แสบขัดเป็นเลือดไม่สมควรกิน
  • น้ำมันการบูรที่มีสีเหลืองหรือน้ำตาลห้ามใช้ ด้วยเหตุว่ามีความเป็นพิษสูง
  • ความเข้มข้นของกลิ่นการบูรที่มีมากอาจทำให้มีอันตรายต่อสุขภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปอดแล้วก็ตับได้
เอกสารอ้างอิง

  • (ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม). “การะบูน , การบูร”.   หนังสือพจนานุกรมสมุนไพรไทย, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 5.  หน้า 60-62.
  • Chen W, Vermaak I, Viljoen A. Camphor-A Fumigant during the Black Death and a Coveted Fragrant Wood in Ancient Egypt and Babylon-A Review. Molecules. 2013:18;5434-5454.
  • “การบูร Camphor Tree”. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล).    หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ.  หน้า 82.
  • รศ.ยุวดี วงษ์กระจ่าง.ยาดมมีอันตรายหรือไม่.จุลสารคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.คอลัมน์Drug Tips.ฉบับที่5 กรกฎาคม-กันยายน 2555.หน้า 6-7
  • Narayan LtCS, Singh CN. Camphor poisoning—An unusual cause of seizure. Medical Journal, Armed Forces India. 2012;68:252-253.
  • การบูร.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี http://www.disthai.com/.[/b]
  • (วิทยา บุญวรพัฒน์).  “การบูรต้น”.  หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.  หน้า 72.
  • Gupta N, Saxena G.antimicrobial activity of constituents identified in essential oils from mentha and cinnamomum through gc-ms. International Journal of Pharma and Bio Sciences. 2010;1(4):715-720.
  • การบูร.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.Manoguerra AS, Erdman AR, Wax PM, Nelson LS, Caravati EM, Cobaugh DJ, et al. Camphor poisoning: an evidence-based practice guideline for out-of-hospital management. Clinical Toxicology. 2006;44:357-370.
  • (วิทยา บุญวรพัฒน์). “เกล็ดการบูร (Camphor)”. หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.   หน้า 74.
  • การบูร.วิกิพีเดียสารานุกรม
  • Lee HJ, Hyun E-A, Yoon WJ, Kim BH, Rhee M, Kang HK, et al. In vitro anti-inflammatory and anti-oxidative effects of Cinnamomum camphora extracts. J Ethnopharmacology. 2006;103: 208–216.
  • การผลิตการบูรแบบง่าย.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • นันทวัน บุณยะประภัศร,อรนุช โชคชัยเจริญพร.การบูร.สมุนไพรไม้พื้นบ้าน.เล่ม1.พิมพ์ครั้งที่1.กรุงเทพฯ.2539.


Tags : การบูร



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ