เครื่องใช้ไม้สอยความปลอดภัยเฉพาะบุคคล

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: เครื่องใช้ไม้สอยความปลอดภัยเฉพาะบุคคล  (อ่าน 15 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
Chaiworn998
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 21212


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มิถุนายน 20, 2018, 07:23:24 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

อุปกรณ์คุ้มครองป้องกันอันตรายเฉพาะบุคคล (Personal Protection Equipment) หรือเรียกสั้นๆว่า พี พี อี (PPE) หมายถึง เครื่องใช้ไม้สอยที่สวมปกคลุมส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย เพื่อปกป้องอันตรายที่อาจเกิดขึ้นเนื่องจากภาวะรวมทั้งสิ่งแวดล้อมในขณะปฎิบัติงาน โดยทั่วไปสำหรับในการปฏิบัติงานจะมีการคุ้มครองรวมทั้งควบคุมสภาพแวดล้อมของการทำงานก่อน โดยการปรับปรุงปรับปรุงแก้ไขทางวิศวกรรม เช่น การปรับเปลี่ยนเครื่องจักร เปลี่ยนวิธีการทำงาน ฯลฯ แต่ว่าในกรณีที่ไม่อาจจะดำเนินการดังที่กล่าวผ่านมาแล้วได้ จะต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือคุ้มครองอันตรายส่วนตัวมาใช้เพื่อช่วยคุ้มครองอวัยวะของร่างกายไม่ให้มีอันตรายที่บางทีอาจเกิดขึ้นในขณปฎิบัติงาน
ชนิดของเครื่องใช้ไม้สอยคุ้มครองอันตรายเฉพาะบุคคล
1.อุปกรณ์คุ้มครองป้องกันหัว (Head Protection) เป็นเครื่องมือที่ใช้สำหรับป้องกันหัวจากการถูกกระแทก หรือวัตถุจากที่สูงตกลงมากมายระแทก และก็ป้องกันตรายจากไฟฟ้าและสารเคมีเหลว ซึ่งวัสดุอุปกรณ์คุ้มครองปกป้องศรีษะที่สำคัญหมายถึงหมวกกันน็อก (Safety Hat) และหมวกกันศรีษะชน (Bump Hat) ามมาตรฐาน ANSI Z89.1-2003 แบ่งหมวกกันน็อกออกได้ตามรูปแบบของการป้องกันกระแทก รวมทั้งการกันกระแสไฟฟ้า
โดยธรรมดาหมวกกันน็อกน่าจะป้องกันกระเทือนได้ในแบบจำพวก 1 หรือไม่ก็ชนิดที่ 2
หมวกกันน็อก ชนิดที่ 1
หมวกนิรภัยชนิดนี้จะถูกออกแบบให้สามารถป้องกันการเกิดการกระเทือนจากด้านบน แต่ไม่ออกแบบสำหรับกันกระแทกจาก้านข้าง
หมวกกันน็อก จำพวกที่ 2
หมวกนิรภัยจำพวกนี้จะถูกวางแบบให้สามารถกันกระแทกได้ทั้งยังจากข้างบนและก็ข้างๆ
หมวกนิรภัย จำพวกที่ E ตัว E ย่อมาจาก Electrical เพราะฉะนั้นหมวกนิรภัยชนิดนี้ก็เลยดีไซน์เพื่อให้สามารถกันไฟฟ้าเจริญ โดยต้องผ่านทดลองการป้องกันไฟฟ้าถึงที่เหมาะ 20,000 โวลต์ (ดูก่อนยละเอียดเพิ่มเติมอีกด้านล่าง) หมวกกันน็อก ชนิดที่ G ตัว G ย่อมาจาก General หมวกกันน็อกชนิดนี้จะต้องผ่านทดลองการป้องกันกระแสไฟฟ้าถึงที่เหมาะ 2,200 โวลต์ หมวกกันน็อก ประเภทที่ C ตัว C ย่อมาจาก Conductive หมวกกันน็อกจำพวกนี้ไม่กันไฟฟ้า และไม่มีการทดสอบการป้องกันไฟฟ้า การเจาะจงเครื่องหมาย หมวกกันน็อกควรจะมีชื่อ หรือเครื่องหมายของผู้ผลิต วันที่ผลิต เครื่องหมายมาตรฐาน ANSI รวมทั้งขนาดหมวก
2.เครื่องไม้เครื่องมือคุ้มครองปกป้องดวงตา (Safety Glasses) ใช้สำหรับป้องกันดวงตาจากการกระทบกับของแข็ง คุ้มครองสารเคมีหรือวัตถุกระเด็นเข้าตาจนเกิดอันตรายในขณะปฎิบัติงาน นับตั้งแต่เริ่มมีการใช้เลเซอร์ในห้องทดลองในตอนปี คริสต์ศักราช 1960 ก็ได้มีการพิจารณาถึงความปลอดภัยสำหรับในการใช้เลเซอร์ ซึ่งอันตรายที่เกิดขึ้นจากเลเซอร์มี 3 ส่วนหลักๆเป็น
อันตรายจากลำแสงเลเซอร์ ซึ่งจะส่งผลต่อดวงตาของคนเรามากกว่าส่วนอื่นของร่างกาย
อันตรายจากความต่างศักย์สูง ที่อยู่ในเลเซอร์และแหล่งจ่ายไฟฟ้า
อันตรายจากสารเลเซอร์ ในเลเซอร์บางประเภท อย่างเช่น Dye laser, Eximer laser
อันตรายต่อดวงตา
 ลำแสงเลเซอร์กำลังสูง ดังเช่นที่ใช้สนการตัดเหล็ก หรือแม้กระทั่งแกะสลักไม้ ก็สามารถประทุษร้ายผิวหนังได้ แม้กระนั้นที่อันตรายที่สุดคือ เมื่อลำแสงเลเซอร์เข้าตา ด้วยเหตุว่าตาเป็นส่วนที่ไวแสงสว่างเยอะที่สุด นอกนั้นเลนส์แก้วตายังรวมแสงสว่างให้จุดโฟกัสบนเรตินา ทำให้ความเช้มแสงสูงขึ้นกว่าที่ตกบนแก้วตาโดยประมาณ 1 แสนเท่า
องค์ประกอบของดวงตามนุษย์
 คนจำนวนไม่น้อยคงจะทราบว่าการเพ่งมองพระอาทิตย์ช่วงกลางวันเพียงแต่ครู่หนึ่ง สามารถทำให้ตามองไม่เห็นได้เลวทรามครู้ และก็การให้ลำแสงเลเซอร์ที่มีความเข้ม มากพอไปสู่ตา สามารถทำให้ตาบอดได้ แต่ว่าดังนี้ก็ขึ้นกับเหตุหลายประเภท ไม่เพียงแต่ความเข้มแสงเพียงแค่นั้น ยังสังกัดความยาวคลื่นแสง รวมทั้งช่วงเวลาที่ได้รับแสงด้วย
ปัจจัยอันตราย: ความยาวคลื่นแสงสว่าง
 ความยาวคลื่นเกิดเรื่องค่อนข้างสำคัญที่จำต้องทำความเข้าใจ ถึงแม้ตาขอหานุษย์เราสามารถมองเห็นแสงที่มีความยาวคลื่นได้เฉพาะช่วง 400 - 700 นาโนเมตร แม้กระนั้นไม่ว่าแสงสว่างความยาวคลื่นช่วงไหน ทั้งๆที่แลเห็นแล้วก็ไม่เห็น ถ้าเข้าถึงตาก็สามรารถทำอันตรายเป็นอย่างมากได้
 โดยทั่วไปแล้ว แสงในช่วง 400 - 1500 นาโนเมตร ซึ่งครอบคลุมช่วงที่ตาเราแลเห็นแล้วก็ช่วงที่เป็นรังสีอินฟาเรด จะสามารถผ่านเลสน์ตาเข้าไปถึงเรตินาได้ ซึ่งช่วงที่เป็นอินฟราเรดไม่ว่าจะมีความเข้มมากมายแค่ไหน พวกเราก็ไม่สามารถที่จะเห็นได้ แต่จะสามารถทำอันตรายต่อเรตินาได้ เช่นเดียวกับคาร์บอนไดออกไซด์เลเซอร์ ที่อยู่ในช่วงอนฟราเรด ก็สามารถตัดผ้าหรือเจาะหม้ได้ ส่วนแสงในตอนรังสียูวี (ความยาวคลื่นโดยประมาณ 100 - 400 นาโนเมตร) แม้ว่าจะผ่านไปถึงเรตินาได้ไม่ดีเท่ากับช่วง 400 - 1500 นาโนเมตร แต่สามาถทำร้ายต่อแก้วตาและก็เลนส์ส่วนนอกได้ ซึ่งจะก่อให้ตาบอดถาวรได้เช่นเดียวกัน
 การจะเข้าใจเนื้อหาในเรื่องพวกนี้ก็จำเป็นต้องเข้าใจว่าตามีองค์ประกอบเป็นอย่างไร และมีโภคทรัพย์เชิงแสงสว่าง ยกตัวอย่างเช่น ค่าการดูดกลืนแสงสว่าง คืออะไร ถ้าจะสรุปโดยง่ายก็คือ เลเซอร์ ไม่ว่าตอนความยาวคลื่นไหนๆก็สามารถรังแกต่อตามนุษย์ถึงกับขนาดทำให้ตาบอดได้ การปลดปล่อยเลเซอร์ชนิดที่เป็นพัลส์และสม่ำเสมอ ก็เกิดอันตรายแตกต่าง เลเซอร์จำพวกพัลส์โดยเฉพาะที่มีช่วงของพัลส์น้อยกว่า ไม่ลลิวินาที เพียงพัลส์เดียวก็อาจจะเป็นผลให้ตาบอดได้ แต่หากเป็นแบบต่อเนื่องก็จะต้องใช้เวลานานกว่านี้สำหรับการทำร้ายต่อตา
ต้นสายปลายเหตุอันตราย: ระยะห่างจากแหล่งเกิด
 ระยะห่างจากบ่อเกิดแสงเป็นอีกต้นเหตุหนึ่งซึ่งจะต้องทำความเข้าใจให้ดี ถ้าหากลำแสงเลเซอร์เข้าตาไม่ว่าพวกเราจะอยู่ห่างเท่าใด ก็ยังก่อให้เกิดอันตรายออกจะสูง ด้วยเหตุว่าแสงสว่างที่ออกจากเลเซอร์มีทรัพย์สมบัติประการสำคัญที่ไม่เหมือนกับแสงจากแหล่งอื่นๆคือ แสงจะคงสภาพเป็นลำแสงออกจะดี ไม่ค่อยบานออกมากนัก ทำให้ความเข้มแสงของแสงเลเซอร์ที่ระยะห่างต่างๆจากเลเซอร์จะไม่ต่างอะไรกัน หากเป็นกรณีที่เลเซอร์ไปตกกระทบหรือสะท้อนผิววัสถุที่ตะปุ่มตะป่ำก่อน อาจก่อให้แสงที่สะท้อน ออกมากลดสภาพการเป็นลำแสงลงไปบ้าง โดยแสงสว่างจะบานออกค่อนข้างเร็ว นั่นเป็นหากอยู่ห่างจากจุดที่สะท้อน ก็จะมีผลให้ลดอันตรายจากแสงสว่างได้ เพราะแสงสว่างมีความเข้มน้อยลง แต่ถ้าแสงสะท้อนจากอุปกรณ์ที่เป็นกระจกหรือโลหะเรียบก็ยังคงมีสภาพเป็นลำแสง และมีความเข้มสูง ซึ่งมีอันตรายเหมือนกับการมองลำแสงโดยตรงที่มิได้สะท้อนอะไรเลย
อันตรายต่อผิวหนัง
 ส่วนกรณีที่เลเซอร์ตกกระทบผิวหนังก็ยังก่อให้เกิดอันตรายอยู่ แม้ว่าจะน้อยกว่าในกรณีที่แสงสว่างเข้าตา เพราะผิวหนังจะสามารถสะท้อนแสง ได้ส่วนหนึ่ง รวมทั้งส่วนใหญ่จะไม่ไวต่อแสงสว่างมากสักเท่าไรนัก แม้กระนั้นถ้าหากความเข้มของเลเซอร์สูงพอเพียง ก็อาจตัดหรือทะลุผิวหนังทำให้เป็นแผลได้ และก็ควรจะระวังในกรณีที่เป็นแสงเลเซอร์ทในตอนอัลตราไวโอเลต เนื่องจากว่าแสงในช่วงนี้สามารถกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของเซลล์ได้ ซึ่งอาจก่อให้กำเนิดเป็นมะเร็งได้
การคุ้มครองป้องกันอันตรายจากแสงเลเซอร์
 จากอันตรายที่ได้กล่าวมาแล้ว จะมองเห็นได้ว่าแสงเลเซอร์ไม่ว่าจะมีประโยชน์มากมายแค่ไหน ก็ยังสามารถทำให้เป็นอันตรายต่อมนุษย์ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงควรจะต้องมีความรอบคอบสำหรับเพื่อการใช้งาน ผู้ที่มีการเกี่ยวข้องต้องมีความเข้าใจในเลเซอร์ที่ใช้อยู่ โดยสรุปเป็นข้อๆได้ดังนี้ คอย่าให้เลเซอร์เข้าตา อาจจะไม่มีใครอยากจะจ้องมองลำแสงเลเซอร์ตรงๆแต่เลเซอร์บางครั้งอาจจะเข้าตาเราได้ โดยที่พวกเราคาดไม่ถึง ยกตัวอย่างเช่น มีต้นเหตุที่เกิดจากการสะทั้อน หรือเป็นตอนที่เรามองไม่เห็น ด้วยเหตุดังกล่าวการปกป้องคุ้มครองทำได้ดังต่อไปนี้
จัดฟุตบาทของแสงสว่างให้สมควร ยกตัวอย่างเช่น ไม่ให้อยู่ในระดับสายตาพอดี (ควรจะสูงยิ่งกว่าตาหรือต่ำกว่าตา) อุตสาหะกำจัดสิ่งต่างๆที่อาจทำให้เกิดการสะท้อนแสงเลเซอร์มาเข้าตาโดยที่เรานึกไม่ถึง
มีเครื่องป้องกันแสงสว่างส่วนที่ไม่ต้องการออกมาจากเลเซอร์ หรือเครื่องไม้เครื่องมือที่พวกเราใช้งาน อาทิเช่น มีฉากกันแสง เพื่อกันแสงสว่างทั้งที่สะท้อนหรือกั้นลำแสงโดยตรงซึ่งบางครั้งก็อาจจะออกมาได้
ใส่แว่นพิเศษ เป็นการคุ้มครองปกป้องที่ตัวเราเอง โดยแว่นนี้จะลดความเข้มแสงสว่างลงกระทั่งอยู่ในระดับที่ปลอดภัยต่อตาของพวกเรา ซึ่งแว่นนี้ก็จะเป็นประเภทไหน ลักษณะอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับความยาวคลื่นแสงสว่างแล้วก็ความเข้มของเลเซอร์ที่ออกมา ควรใส่แว่นสายตานี้ครั้งใดก็ตามทำปฏิบัติงานหรือเข้าไปในรอบๆที่มีการใช้งานเลเซอร์ ให้ระวังมากขึ้นเรื่อยๆเป็นพิเศษถ้าเกิดเลเซอร์ที่พวกเราใช้งานเป็นแสงในเขตที่มองไม่เห็น เช่น รังสีอินฟาเรด หรือรังสีเหนือม่วง เพราะว่าแสงสว่างที่มองไม่เห็นก็ทำให้ตาบอดได้
3.เครื่องไม้เครื่องมือคุ้มครองปกป้องหู (Ear Protection) เป็นอุกรณ์ที่ใช้สำหรับป้องกันเสียงที่ดังเกินกว่าที่หูมนุษย์เราจะสามารถรับได้ เป็นหรูหราเสียงสูงมากกว่า 85 เดซิเบล (เอ) โดยหากระดับเสียงในขณะดำเนินงานสูงมากไปกว่า 130 เดซิเบล (เอ) นับว่าเป็นตรายต่อการได้ยินของหู ซึ่งเครื่องมือคุ้มครองป้องกันหูที่สำคัญรวมทั้งเหมาะสมกับการใช้งาน ตัวอย่างเช่น ปลั๊กไฟลดเสียง (Ear Plug) เป็นอุปกรณ์คุ้มครองอันตรายจากเสียงที่ดังเกินไป โดยอุปกรณ์ที่ทำมาจากยาง พลาสติกอ่อน ทีมีขนาดพอดิบพอดีกับรูหู และสามารถลดเสียงได้ไม่น้อยกว่า 15 เดซิเบล (เอ)
ครอบหูลดเสียง (Ear Muffs) เป็นวัสดุอุปกรณ์คุ้มครองตรายจากเสียงแบบครอบหู โดยมีก้านโค้งครอบหัวแล้วก็ใช้สิ่งของที่มีความนิ่มห่อหุ้มทับ ในส่วนของตัวครอบหูนั้นถูกออกแบบให้มีลักษณะแตกต่างกันตามการใช้งาน รวมทั้งสามารถลดเสียงได้ไม่น้อยกว่า 25 เดซิเบล (เอ)
จำพวกของเครื่องมือคุ้มครองเสียง แบ่งได้ 2 ประเภทตัวอย่างเช่น
1.ที่ครอบหู (ear muff) ลดเสียงได้ตั้งแต่ 30-40 dB ลดเสียงที่ความถี่สูงยิ่งกว่า 400 Hz ก้าวหน้า มี 2 จำพวก คือ แบบที่เป็นโลหะรวมทั้งที่เป็นพลาสติก
2.ที่อุดหู (ear plugs) ลดเสียงได้ตั้งแต่ 15-25dB ลดเสียงที่มีความถี่ต่ำยิ่งกว่า 400 Hz ได้ดิบได้ดี ทำมาจากวัสดุหลายชนิด ดังเช่นว่า โฟม ใยหิน ใยแก้ว อื่นๆอีกมากมาย
การเลือกเครื่องใช้ไม้สอยปกป้องเสียง
การเลือกเครื่องมือปกป้องเสียงจำเป็นต้องคำนึงถึงต้นสายปลายเหตุต่างๆพวกนี้
1.ไม่เป็นปัญหาต่อกิจกรรมที่ทำ
2.ไม่เป็นอุปสรรคต่อการเสวนาหรือสื่อสาร
3. ระดับเสียงที่อยากลด แล้วก็ ความรู้ความเข้าใจลดระดับเสียงของเครื่องใช้ไม้สอย
ความรู้ความเข้าใจสำหรับการลดเสียงของเครื่องมือคุ้มครองเสียง
การที่จะรู้ดีว่าเครื่องไม้เครื่องมือคุ้มครองป้องกันเสียงจะลดระดับเสียงได้กี่เดซิเบลสามารถหาได้ด้วยวิธีดังนี้
ระดับเสียงที่ได้รับขณะใส่เครื่องไม้เครื่องมือ = ระดับเสียงก่อนใส่เครื่องไม้เครื่องมือ - derated NRR* - Co
* derated NRR (Noise Reduction Rating) = NRR - (K x NRR)/100
โดยค่า NRR(Noise Reduction Rating) เป็นค่าความรู้ความเข้าใจสำหรับในการลดเสียงของเครื่องใช้ไม้สอยซึ่งเจาะจงจากโรงงาน ซึ่งค่านี้ได้จากการทดลองในห้องทดลอง
ค่า K เป็นเปอร์เซ็นต์ของ NRR ที่ใช้ลบกับ NRR ซึ่ง National Institute for Occupational Safety and Health (NIOSH) ได้แนะนำความรู้ความเข้าใจของเครื่องมือแต่ละจำพวกสำหรับในการลดระดับเสียง ( ค่า K ) ไว้ดังต่อไปนี้
K = 25 กรณีเครื่องใช้ไม้สอยเป็นที่ครอบหู
K = 50 กรณีวัสดุอุปกรณ์เป็นที่อุดหูทำจากโฟม
K = 70 กรณีวัสดุอุปกรณ์เป็นที่อุดหูทำจากสิ่งของอื่นๆสำหรับค่า
Co จะขึ้นอยู่กับตอนความถี่ของเสียงที่ได้ยิน (Frequency) ซึ่งโดยธรรมดาจะแบ่งเป็นช่วงๆ ได้ดังต่อไปนี้
Co = 0 กรณีระดับเสียงก่อนใส่อุปกรณ์ มีความถี่ของเสียง ในช่วงความถี่ C
Co = 7 กรณีระดับเสียงก่อนใส่เครื่องมือ มีความถี่ของเสียง ในช่วงความถี่ A ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์ได้ยิน
4.อุปกรณ์คุ้มครองป้องกันมือ (Hand Protection) ในขณะปฎิบัติงานที่จำเป็นต้องใช้ส่วนของมือ นิ้วมือ และแขน นั้นมีการเสี่ยงอันตรายจากการสัมผัสกับข้าวของ วัสดุอุปกรณ์ หรือสารเคมีที่อาจจะเป็นผลให้กำเนิดอันตายรุนแรงได้ โดยเหตุนี้จึงจำเป็นจะต้องมีเครื่องไม้เครื่องมือป้องกันมือประเภทต่างๆซึ่งจำเป็นต้องเลือกอย่างมีความเหมาะสมกับรูปแบบของงานดังนี้
ถุงมือยางกันไฟฟ้า: ใช้สำหรับงานที่จำต้องสัมผัสกับไฟฟ้าเพื่อคุ้มครองไฟฟ้าดูดในขณะปฎิบัติงาน
ถุงมือกันความร้อน: อาจเป็นถุงมือหนังหรือถุงมือผ้าขึ้นกับหลักของการทำงาน โดยถุงมือควรมีความหนาและก็ทนทานเมื่อใช้สัมผัสกับวัตถุหรือเครื่องไม้เครื่องมือที่มีความร้อนต้องไม่ฉีกจนขาด ถุงมือยางชนิดไวนีลหรือนีโอพรีน ใช้สำหรับงานที่ต้องสัมผัสสารเคมีที่มีฤทธิ์กัดกร่อนหรือซึมผ่านผิวหนังได้ ใส่เพื่อลดการบาดเจ็บของอวัยวะส่วนนิ้ว มือ และก็แขน สาเหตุจากการทำงาน มีหลายประเภท เป็นต้นว่า
1.ถุงมือคุ้มครองความร้อน ใช้สำหรับงานที่จำต้องจับต้องกับวัตถุที่ร้อน อาทิเช่น งานเป่าแก้ว รีดเหล็ก ผลาญโลหะ เป็นต้น อุปกรณ์ที่ใช้เพื่อทำถุงมือมีหลายอย่าง ขึ้นกับอุณหภูมิของวัตถุที่ต้องสัมผัส อาทิเช่น ถุงมือที่ทำมาจากอุปกรณ์ที่มีส่วนผสมของแร่ใยหิน อะ

Tags : ผู้นำเข้า



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ