มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: มะขามที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดี สามารถนำมาเป็นสมุนไพรรักษาโรคได้  (อ่าน 52 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
nainai1199o
หัดขับ
*

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 47


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 05, 2018, 03:22:20 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
มะขา[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร มะขาม
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ขาม (ภาคใต้) , ม่องวัวล้ง (กะเหรี่ยง-จังหวัดกาญจนบุรี) , ตะลูบ (วัวราช) หมากแกง (ฉาน-แม่ฮ่องสอน) , อำเปียล (เขมร-จังหวัดสุรินทร์) , ส่าหม่อเกล (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) , ซึงกัก , ทงฮ้วยเฮียง (จีน)
ชื่อสามัญ  tamarind
ชื่อวิทยาศาสตร์  Tamarindus indica Linn.
ตระกูล  Fabaceae
ถิ่นกำเนิด เช้าใจกันว่ามะขามมีถิ่นเกิดในแอฟริกา แถบประเทศซูตานในขณะนี้ แล้วหลังจากนั้นมนุษย์ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ได้นำมะขามมาปลูกเอาไว้ภายในแถบประเทศอินเดีย รวมถึงในประเทศแถเขตร้อนของทวีปเอเชียและประเทศแถบลาตินอเมริกา แม้ว่าจะมีหลักฐานว่ามะขามมีบ้านเกิดดั้งเดิมอยู่ในทวีปแอฟริกา แม้กระนั้นสำหรับในประเทศไทยมะขามก็เข้ามา รวมทั้งมีชื่อเสียงดีเลิศว่า 700 ปีแล้ว ดังปรากฏเนื้อความในแผ่นจารึกหลักที่ 1 ยุคพ่อขุนรามคำแหง ที่เอ่ยถึงมะขามอยู่หลายที่ ยกตัวอย่างเช่น ตอนหนึ่งว่า “หมากขามก็หลายในเมืองนี้คนใดกันสร้างได้ไว้แก่มัน” ฯลฯ  จากหลักฐานดังที่ได้กล่าวมาแล้วจึงอาจจะบอกได้ว่า มะขามเป็นพืชที่มีการกระจายชนิดเข้ามาสู่ประเทศไทยกว่า 700 ปีมาแล้ว  นอกนั้นมะขามยังเป็นพันธุ์ไม้พระราชทางแล้วก็เป็นต้นไม้ประจำจังหวัดเพชรบูรณ์อีกด้วย
ทั้งนี้มะขามฯลฯไม้แข็งแรงแข็งแรง และเป็นต้นไม้ที่แก่ยืนยาวมากมายประเภทหนึ่ง ในประเทศศรีลังกามีกล่าวว่าเจอมะขามที่มีอายุมากยิ่งกว่า 200 ปี ส่วนในประเทศไทย พบมะขามยักษ์ที่วัดแค อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี มีขนาดลำต้น 6-7 คนโอบ เชื่อว่าแก่กว่า 300 ปี โดยวัดแคนี้มีปรากฏชื่อในวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนเณรแก้วเรียนวิชากับอาจารย์คงเจ้าวัดวัดแค ว่า
“ทั้งตำราพิชัยสงครามล้วนความรู้บางทีก็อาจจะปราบศัตรูไม่สู้ได้
      ฤกษ์พานาทีทุกสิ่งไปทั้งยังเสกใบมะขามดีกว่าแตน”
มีชาวสุพรรณฯ เยอะๆมั่นใจว่า มะขามยักษ์ที่วัดแคในตอนนี้ เป็นมะขามต้นเดียวกันกับต้นที่เณรแก้วฝึกฝนเสกใบมะขามเป็นต่อแตนในครั้งนั้น
ลักษณะทั่วไป  มะขามเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงใหญ่ สูง 6-20 เมตร เปลือกต้นสีเทา ดำ มีริ้วรอยมาก แตกกิ่งก้านสาขามาก ไม่มีหนาม ใบเป็นใบประกอบ ปลายเป็นใบคู่ ใบยาว 8-11 เซลเซียสม. มีใบย่อย 14-40 ใบ ใบย่อยลักษณะใบยาวปลายมนกลม ยาว 1-2,4 เซลเซียสม. กว้าง 4.5-9 ม.ม. ปลายใบมน หรือครั้งคราวก็เว้าเข้าบางส่วน ฐานใบทั้ง 2 ข้างเว้าเข้าไม่เท่ากัน ตัวใบเรียบไม่มีขน ดอกออกที่ปลายก้านหรือจากซอกใบ เป็นช่อบานจากโคนไปปลาย ดอกมีกลีบห่อหุ้มดอกอ่อน 1 กลีบ สีแดง ขอบมีขนสั้นสีขาว เมื่อดอกบานจะหลุดหล่นไปกลีบเลี้ยงไปกลีบเลี้ยงมี 4 กลีบ สีเหลืองปลายกลีบแหลมมีสีแดงเรื่อๆกลีบมี 5 กลีบ ขนาดไม่เท่ากัน สีเหลืองมีลายเส้นกลีบดอกไม้สีแดงเข้ม ริมกลีบมีรอยย่นๆกลีบดอกไม้ 2 กลีบด้านล่างจะฝ่อ เล็กหายไป มีเกสรตัวผู้ 3 อัน ก้านเกสรติดกันจากศูนย์กลางลงมา รังไข่มี 1 อัน เป็นฝักยาว ส่วนปลาย เป็นก้านเกสรตัวเมีย มีเมล็ดมากมาย ฝักทรงกระบอก แบนเล็กน้อย ยาว 3-14 ซ.ม. กว้าง 2 เซลเซียสม. เปลือกนอกสีเทา ด้านในมีเมล็ด 3-10 เมล็ด เม็ดมีผิวนอก สีน้ำตาลแดงเรียบเป็นเงา มีดอกในตอนพ.ค.เป็นต้นไป ฝักแก่ในราวเดือนธันวาคม
การขยายพันธุ์  โดยปกติ มะขามสามารถแพร่พันธุ์จะได้ด้วยเม็ด แต่ว่าปัจจุบันนี้ มะขามเริ่มมีการปลูกเพื่อการค้าขายมากยิ่งขึ้น จึงนิยมปลูกจากต้นประเภทที่ได้จากการตอน และก็การทิ่มยอดเป็นหลัก เนื่องจากสามารถให้ผลผลิตได้เร็วเพียงไม่ถึงปีหลังการปลูก ทั้ง ต้นที่ปลูกด้วยแนวทางแบบนี้จะมีลำต้นไม่สูงเสมือนการเพาะเมล็ด ทำให้ไม่ยุ่งยากต่อการจัดการ และก็การเก็บผลผลิตซึ่งการปลูกขั้นตอนต่างๆดังนี้

  • การเตรียมแปลง จัดเตรียมแปลงด้วยการไถกลบหน้าดิน แล้วตากดิน แล้วก็หญ้าให้ตายก่อน 1 ครั้ง ระยะตากดินนาน 7-14 วัน จากนั้น ค่อยไถกลบอีกครั้ง แล้วตากดินทิ้งไว้อีก 5-7 วัน ก่อนที่จะทำขุดหลุมปลูกเอาไว้ในระยะ 8 x 8 เมตร หรือ 10 x 10 เมตร ขนาดหลุมลึก 50 เซนติเมตร กว้างยาว 50 เซนติเมตร
  • การปลูก ใช้ต้นประเภทที่ได้จากการตอน หรือการเพาะเม็ด ควรที่จะทำการเลือกขนาดต้นชนิดที่สูงโดยประมาณ 0.5-1 เมตร ก่อนปลูกให้โรยตูดหลุมด้วยปุ๋ยธรรมชาติหรือปุ๋ยธรรมชาติหรือสิ่งของทางการเกษตรอื่นๆร่วมกับปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 อัตราที่หลุมละ 1 กำมือ แล้วโกยดินลงคลุกผสมให้หลุมตื้นขึ้นมาเหลือประมาณ 25-30 เซนติเมตร ก่อนนำต้นชนิดลงปลูก พร้อมกลบดิน รวมทั้งรดน้ำให้เปียก ต่อไป ให้นำฟางข้าวมาวางปกคลุมรอบโคนต้น
  • การดูแล การให้น้ำ ภายหลังการปลูกแล้วจะทำการให้น้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยยิ่งไปกว่านั้นในระยะต้นเพื่อให้ต้นตั้งตัวได้ โดยควรให้น้ำในทุกๆ3-5 วัน/ครั้ง หลังจากนั้น ค่อยให้ลดน้อยลงมาเหลือ 3-4 ครั้ง/เดือน ดังนี้ บางทีอาจไม่ให้น้ำเลยหากเป็นตอนๆหน้าฝนไม่ต้อง

การใส่ปุ๋ย ให้ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 ในเวลานี้จวบจนกระทั่งต้นจะเติบโตพร้อมได้ผล ซึ่งตอนนั้นก็เลยเริ่มให้ปุ๋ยสูตร 12-12-24 ร่วม เพื่อรีบผลผลิต ความถี่การใส่ปุ๋ยราว ปีละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ ควรให้ปุ๋ยคอกโรยรอบโคนต้นด้วยทุกครั้งหลังจากการปลูกแล้วโดยประมาณเข้าปีที่ 2 หรือปีที่ 3 จึงให้เริ่มติดผลได้
                นอกเหนือจากนั้นมะขามยังสามารถปลูกได้ในประเทศแถบร้อนเปียกชื้น อย่างเช่น ประเทศในแถบอเมริกากลาง เอเซียอาคเนย์ รวมทั้งทวีปอาฟริกา  ก็เลยนับว่ามะขามไม้ผลที่มีค่าทางด้านเศรษฐกิจในหลายภูมิภาคโดยยิ่งไปกว่านั้นประเทศไทยและก็อินเดียที่เป็นแหล่งปลูกมะขามขนาดใหญ่ซึ่งมีอุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับมะขามจำนวนไม่ใช่น้อย
ส่วนประกอบทางเคมี
จากข้อมูลเบื้องต้นเมล็ดมะขามมีอัลบูมินอยด์ (albuminoids)  โดยที่มีจำนวนไขมัน 14 -20%, คาร์โบไฮเดรต 59 – 60 %,น้ำมันที่ถูกทำให้แห้งเล็กน้อย  (semi-drying fixed oil) 3.9 – 20 %,น้ำตาลรีดิวซ์  (reducing sugar) 2.8%, สารที่มีลักษณะเป็นเมือก  (mucilaginous material) 60% ดังเช่น โพลีโอส (polyose) ซึ่ง       Tannin : Wikipedia
ใช้ในอุตสาหกรรมทอผ้า เมื่อวิเคราะห์ดูองค์ประกอบสำคัญๆพบว่าเปลือกหุ้มเม็ดมะขามประกอบไปด้วยโปรตีน 9.1% และก็เส้นใย 11.3% โดยที่เม็ดมะขามประกอบด้วยโปรตีน 13 % ลิปิด 7.1 % เถ้าถ่าน 4.2% และคาร์โบไฮเดรต 61.7%
โปรตีนหลักที่เจอในเม็ดมะขามเป็นอัลบูมิน (albumins) รวมทั้งโกลบูลิน  (globulins) โปรตีนจากเมล็ดมะขามประกอบไปด้วยกรดอะมิโนที่มีซัลเฟอร์เป็นองค์ประกอบ คือ สิสเทอีนและก็เมทไธโอนีน อยู่มากถึง 4.02% เมื่อเทียบกับมาตรฐาน FAO/WHO (1991) ซึ่งตั้งค่าไว้พอๆกับ 2.50%  นอกเหนือจากนั้นเปลือกเมล็ดมะขามยังประกอบด้วยสารพวกอทนนิน โดยมีกล่าวว่าในเปลือกเม็ดมะขามประกอบไปด้วยแทนนิน (tannins) ถึง 32% ซึ่งแทนนินนี้แยกประเภทได้เป็นโฟลบาแทนนิน  (phlobatannin) 35%ที่เหลือเป็นคะเตโคแทนนิน (Catecholtannin)
ส่วนในเนื้อมะขามที่ให้รสเปรี้ยวยังพบกรดทาริทาริก (Tartaric acid)  และในใบมะขามพบกรด ทาริทาริก (Tartaric acid) รวมทั้งกรดมาลิก (Malic acid) นอกนั้น ส่วนต่างๆของมะขามจะมีเม็ดสี ซึ่งได้มีหัวหน้าไปใช้ประโยชน์กันอย่างมากมาย โดยมะขามประเภทแดงมีแอนโทไซยานิน (anthocyanin) คริสแซนทีนิน (chrysanthemin) ส่วน Tartaric acid : Wikipedia
มะขามพันธุ์อื่นๆมีเม็ดสีจำพวกแอนทอลแซนติเตียนน (anthoxanthin) ลูทีนโอลีน (lute olin) รวมทั้งอาปิเจนิน (apigenin) อยู่ในใบมะขามประมาณปริมาณร้อยละ 2 ฝักมะขามมีแอนทอคแซนตินเล็กน้อย ในดอกมะขามมีแซนโทฟิล (xanthophyll) เพียงแค่นั้น และในเปลือกเมล็ดมะขามมีลิววัวแอนโทไซยานิดิน (leucoanthocyanidin) เป็นต้น
ส่วนค่าทางโภชนาการของมะขามีดังต่อไปนี้

  • พลังงาน 239 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต 62.5 กรัม
  • น้ำตาล 57.4 กรัม Malic acid : Wikipedia       
  • เส้นใย 5.1 กรัม
  • ไขมัน 0.6 กรัม
  • โปรตีน 2.8 กรัม
  • วิตามินบี 1 0.428 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 2 0.152 มิลลิกรัม Chrysanthemin : Wikipedia       
  • วิตามินบี 3 1.938 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 5 0.143 มก.
  • วิตามินบี 6 0.066 มิลลิกรัม
  • วิตามินบี 9 14 ไมโครกรัม
  • โคลีน 8.6 มิลลิกรัม
  • วิตามินซี 3.5 มก. Luteolin : Wikipedia           
  • วิตามินอี 0.1 มิลลิกรัม
  • วิตามินเค 2.8 ไมโครกรัม
  • ธาตุแคลเซียม 74 มก.
  • ธาตุเหล็ก 2.8 มิลลิกรัม Apigenin : Wikipedia           
  • ธาตุแมกนีเซียม 92 มิลลิกรัม
  • ธาตุฟอสฟอรัส 113 มิลลิกรัม
  • ธาตุโพแทสเซียม 628 มก.
  • ธาตุโซเดียม 28 มิลลิกรัม Xanthopyll : Wikipedia           
  • ธาตุสังกะสี 0.1 มิลลิกรัม

ประโยชน์/สรรพคุณ ประโยช์จากมะขามอย่างแรกที่พวกเรามักใช้ประโยชน์กันหลายครั้งคือใช้บริโภคไม่ว่าจะรับประทานใหม่ๆหรือใช้ทำมะขามเปียกไว้สำหรับทำอาหาร มะขามเปียกมีกรดอินทรีย์อยู่สูงก็เลยเปรี้ยวมากมาย ใช้ปรุงอาหารไทยที่ต้องการรสเปรี้ยว ดังเช่นว่า แกงส้ม ต้มส้ม ต้มโคล้ง รวมทั้งต้มยำโฮกอือ ฯลฯ ยิ่งไปกว่านั้นยังคงใช้สำหรับในการปรุงเครื่องจิ้มน้ำพริกต่างๆหลากหลายประเภท อย่างเช่น น้ำปลาหวาน หลนต่างๆน้ำพริกเผา น้ำพริกตาแดง น้ำพริกเมืองนรก และน้ำพริกคั่วแห้ง เป็นต้น
ดังนี้มะขามฝักอ่อนและใบมะขามอ่อน ก็เอามาปรุงอาหารได้อย่างเดียวกัน ทั้งยังสามารถนำมะขามมาทำผลิตภัณฑ์แปรรูปได้อีกหลายชนิด เช่น มะขามดอง , มะขามกวน , มะขามแช่อิ่ม , มะขามแก้ว , แล้วก็เหล้าองุ่นมะขาม ผงมะขาม , สบู่ , และยาสระผมมะขาม ฯลฯ  ส่วนคุณประโยชน์ด้านอื่นๆก็มีอีกได้แก่ แก่นไมมะขาม
สำหรับคนไทยแล้วเขียงกว่าร้อยละ 90 ทำจากไม้มะขาม เนื่องจากมีคุณลักษณะเหมาะสมกว่าไม้อื่นๆเช่น เหนียว เนื้อละเอียด สีขาวสะอาด ไม่มีกลิ่นหรือพิษที่จะปนไปกับอาหาร ยิ่งไปกว่านั้นยังหาง่ายอละทนอีกด้วย เว้นเสียแต่ใช้ทำเขียงแล้ว ยังเหมาะกับทำครก สาก เพลา แล้วก็ดุมเกวียน ใช้กลึงหรือแกะ หากนำมาเผาเป็นถ่าน จะให้ความร้อนสูง  เม็ดมะขาม (แก่) นำมาใช้เป็นอาหารได้หลายชนิด อย่างเช่น คั่วให้สุกแล้วรับประทานโดยตรง เอามาเพาะให้แตกออกก่อน (ราวกับถั่วงอก) แล้วค่อยนำไปทำกับข้าว หรือนำไปคั่วให้ไหม้เกรียม แล้วบดละเอียด ใช้ชงดื่มแทนกาแฟ ยิ่งไปกว่านี้เมล็ดแห้งนำไปบดเป็นแป้งใช้ลงผ้าให้อยู่ตัวได้ดิบได้ดี
สำหรับคุณประโยชน์ทางยานั้น ตามตำรายาไทยกล่าวว่า ดอก ใบและฝักอ่อน ปรุงเป็นอาหารกินแก้ร้อนในหน้าร้อน แก้อาการไม่อยากกินอาหารและของกินไม่ย่อยในช่วงฤดูร้อนลดความดันโลหิต น้ำคั้นจากใบ ใช้แก้ของกินไม่ย่อยรวมทั้งฉี่ทุกข์ยากลำบาก น้ำต้มจากใบให้เด็กรับประทานขับพยาธิ รวมทั้งมีสาระในคนเป็นโรคโรคดีซ่าน ใบสด ใช้พอกรอบๆหัวเข่าหรือข้อพับทั้งหลายที่บวมอักเสบหรือที่เคล็ดปวดเมื่อย, ฝี, ตาเจ็บ แล้วก็แผลหิด ใบแห้งบดเป็นผง ใช้โรยบนแผลเปื่อยยุ่ยเรื้อรัง รวมทั้งใช้ผสมน้ำเป็นยากลั้วคอ ใบมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียได้ ใบสดมะขามใช้เป็นยาถ่าย ยาระบาย ขับลมในลำไส้ ใบสดมะขามช่วยรักษาหวัด อาการไอ ช่วยสำหรับในการรักษาโรคบิด  ช่วยฟอกโลหิต เอามาต้มผสมกับสมุนไพรชนิดอื่นๆใช้อาบข้างหลังคลอด เปลือกต้น ฝาดสมานเป็นยาบำรุงและก็แก้ไข้ ,แก้ท้องร่วง , รักษาแผล เนื้อห่อหุ้มเม็ด (เนื้อมะขาม) มีฤทธิ์ระบายอ่อนๆบางทีอาจเนื่องมาจากกรดตาร์ตาริค แต่ว่าถ้าหากเอาไปต้มจนกระทั่งสุก ฤทธิ์ระบายอ่อนๆนี้จะหายไป นอกจากนั้นยังใช้แก้เลือดออกตามไรฟัน ช่วยในการย่อย ขับลม ขับเสลด , ละลายเสมหะ  ฝาดสมาน แก้ไข้ แก้กระหายน้ำ ทำให้แจ่มใส ช่วยลดอุณหภูมิในร่างกาย  และเป็นยาฆ่าเชื้อ รวมทั้งให้กินในรายที่ท้องผูกเป็นประจำ แก้พิษเหล้า อาหารไม่ย่อย อาเจียน ไม่สบายรวมทั้งท้องเดิน เนื้อในเม็ด ใช้ถ่ายพยาธิไส้เดือน รากมะขามมีส่วนช่วยแก้อาการท้องร่วง ช่วยสำหรับการสมานแผล รักษาโรคเริม รักษาโรคงูสวัด
แบบ/ขนาดการใช้ แก้ร้อน จากอากาศร้อน ไม่อยากอาหาร แพ้ท้อง คลื่นไส้คลื่นไส้ ท้องผูก เด็กเป็นต้นตานขโมย ใช้เนื้อห่อเม็ด 15-30 กรัม ผสมน้ำ คั้นแล้วอุ่นให้กิน  แก้พิษสุรา ขับเสลด ใช้เนื้อห่อเม็ด 3 กรัม ผสมน้ำตาลทรายกิน  แก้ไข้ ใช้เนื้อห่อหุ้มเม็ดแช่น้ำ ผสมน้ำตาลให้มีรสหวาน ใช้ดื่มแก้กระหายช่วยลดความร้อน ใช้เป็นยาระบาย รับประทานเนื้อห่อหุ้มเม็ด แล้วดื่มน้ำตามมากๆใช้ใบต้มน้ำอาบ หลังคลอดและก็หลังรู้สึกตัวใช้ ทำให้มีชีวิตชีวา หรือใช้อบไอน้ำ แก้หวัด คัดจมูก ขับเสลด แก้ท้องอืดแน่น ของกินไม่ย่อย ใช้เปลือกต้นผสมเกลือ เผาในหม้อดินจนเป็นขี้เถ้าขาว รับประทานทีละ 60-120 มก. รวมทั้งยังคงใช้ขี้เถ้านี้ผสมน้ำอมบ้วนปากล้างคอ แก้คอเจ็บแล้วก็ปากเจ็บได้อีกด้วย หรือบางทีอาจใช้เนื้อหุ้มห่อเมล็ดกินครั้งละ 15 กรัม ช่วยย่อยอาหาร  หรือ   ใช้เนื้อมะขามรักษาท้องผูก       สามารถทำได้ 3 วิธี เป็นใช้เนื้อจากฝักละลายน้ำแล้วผสมเกลือสวนเข้าทางทวาร หรือใช้เนื้อจากฝักผสมเกลือรับประทาน หรือ เอาเนื้อจากฝักผสมเกลือนิดหน่อย แล้วปั้นเป็นลูกกลอนรับประทาน แก้ท้องเดิน ท้องร่วง ใช้เปลือกเมล็ดสีน้ำตาลแดงวาว 600 มก. เทียนขาว(Cumin) อย่างละเท่าๆกัน ผสมน้ำตาล ต้มกินวันละ 2-3 ครั้ง แก้อาการผิดปกติเกี่ยวกับน้ำดี ใช้เนื้อหุ้มเม็ด รับประทานทีละ 10-60 กรัม เปลือกต้น ใช้ต้มกับน้ำ (จะมีแทนนินออกมา) ใช้เป็นยาสมานฝี แผล กันอักเสบ แก้ท้องเสียแล้วก็คลื่นไส้และใช้แก้โรคหืด ช่วยถ่ายพยาธิตัวกลมในลำไส้ พยาธิไส้เดือน ด้วยการใช้เม็ดมะขามมาคั่ว กะเทาะเปลือกออก นำเนื้อในเม็ดมาแช่น้ำเกลือจนถึงนุ่ม แล้วรับประทานครั้งละ 20 เม็ด เครื่องดื่มชื่อ “เชอร์เบต” (sherbet) ซึ่งผสมโดยต้มเนื้อมะขาม 30 กรัม ในนม 1 ลิตร เพิ่มเติมลูกเกด 2-3 ลูก กานพลู กระวานและการบูรบางส่วน ใช้ดื่มแก้ไข้แล้วก็อาการอักเสบต่างๆอาทิเช่น จับไข้ ของกินไม่ย่อย อาการแตกต่างจากปกติเกี่ยวกับกระเพาะอาหาร ท้องเสีย และใช้แก้ลมแดดก้าวหน้า ส่วน น้ำชงจากเนื้อมะขาม จัดเตรียมโดยแช่เนื้อมะขามในน้ำ แล้วรินออกมารับประทาน แก้อาการเบื่อข้าว (ความสามารถของยาชง จะเพิ่มขึ้นอีก โดยการเติมพริกไทยดำ น้ำตาล กานพลู กระวานและการบูร ช่วยเพิ่มรส) และในระยะฟื้นไข้ ก็ให้รับประทานเนื้อหุ้มเม็ดกับนม เนื้อหุ้มเมล็ดอุ่นให้ร้อนใช้พอกแก้บวมอักเสบ เนื้อหุ้มห่อเมล็ดผสมเกลือให้เป็นครีมใช้เช็ดนวดในโรครูห์มาตำหนิสซั่ม น้ำมะขามใช้อมบ้วนปากล้างคอแก้เจ็บคอ กระเพาะอักเสบ  นำมะขามเปียกไปแช่น้ำ ลอกเอาใยออก นำมะขามมาเช็ดตัวเบาๆช่วยให้ผิวหนังกระชุ่มกระชวยตลอดทั้งวัน มะขามแฉะแล้วก็ดินสอพองผสมจนกระทั่งถูกกัน เอามาพอกหน้าทิ้งเอาไว้ราวๆ 20 นาทีแล้วล้างออก จะช่วยทำให้ผิวหน้าดูกระชับผ่องใสแล้วก็สะอาดยิ่งขึ้น  มะขามเปียกผสมกับน้ำอุ่นรวมทั้งนมสด ใช้พอกผิว ช่วยให้ผิวหนังที่มีรอยดำคล้ำกลับมาขาวดูดีและก็สดใส
[/b]
การเรียนทางเภสัชวิทยา
ฤทธิ์ต่อต้านเชื้อแบคทีเรีย   สารสกัดน้ำร้อนจากใบ สารสกัดเอทานอล 95% จากใบ ไม่ระบุขนาดที่ใช้  สารสกัดอีเทอร์-เฮกเซน-เมทานอล จากใบ ความเข้มข้น 100 มค.ก. แล้วก็สารสกัดเอทานอล 95% จากผล ไม่ระบุขนาดที่ใช้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย Staphylococcus aureus สารสกัดน้ำร้อนจากผล ไม่เจาะจงขนาดที่ใช้ ได้ผลยับยั้งเชื้อ S. aureus ไม่ชัดแจ้ง ในตอนที่สารสกัดอัลกอฮอล์จากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. ให้ผลยั้งเชื้อดังที่กล่าวมาแล้วต่ำมาก สารสกัดเอทานอล 95% และก็สารสกัดน้ำร้อนจากราก ไม่ระบุขนาดที่ใช้ สารสกัดเฮกเซนและสารสกัดน้ำจากผล ความเข้มข้น 200 มิลลิกรัม/มล. และสารสกัดน้ำ ไม่เจาะจงส่วนที่ใช้ ความเข้มข้น 1 กรัม/มิลลิลิตร ไม่เป็นผลยั้ง S. aureus สารสกัดส่วนเนื้อมะขามด้วยแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ยั้งเชื้อแบคทีเรียในหลอดทดสอบที่เป็นต้นเหตุของโรคท้องร่วง ดังเช่น  Bacillus subtilis, Escherichia coli และ Salmonella typhi แต่ว่าสารสกัดด้วยคลอโรฟอร์ม และสารสกัดด้วยน้ำ มีฤทธิ์ยั้งเชื้อดังที่กล่าวถึงมาแล้วอย่างอ่อน
มีการทดลองในสัตว์ (in vivo study) โดยให้เปลือกหุ้มเมล็ดมะขาม หรือเมล็ดมะขาม ให้สัตว์ทดลองกินพบว่าเปลือกเม็ดมะขามที่กำจัดแทนนินออกแล้วมีค่าจำนวนที่สมควรสำหรับในการบริโภคในไก่เป็น100 มก.ต่อโล โดยซึ่งสามารถลดความตึงเครียดจากความร้อน (heat stress) และก็ลดภาวะออกซิเดทีฟสเตรทได้ แม้กระนั้นการศึกษาเล่าเรียนอีกฉบับรายงานว่าเมล็ดมะขามต้มแล้วเอกเปลือกเม็ดมะขามออกนั้นไม่สารถเพิ่มคุณค่าทางของกินในไก่ได้ ไก่ที่กินเมล็ดมะขามดังกล่าวพบผลกระทบในทางร้ายเป็น กินน้ำเพิ่มมากขึ้นและก็มีขนาดของตับอ่อนแล้วก็ความยางของลำไส้เล็กมากขึ้น โดยที่ผลที่ได้นี้ผู้ทำการวิจัยชี้แนะว่ามีต้นเหตุที่เกิดจากโพลีแซคติดอยู่ไรด์ที่ไม่สามารถที่จะย่อยได้
การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
          หนูถีบจักรเพศผู้รวมทั้งเพศเมียที่ทานอาหารผสมด้วยส่วนสกัดโพลีแซคคาไรด์จากเม็ด ขนาด 5% ของอาหาร ไม่เจอพิษ แม้กระนั้นหนูถีบจักรเพศภรรยาที่รับประทานอาหารผสมดังที่กล่าวมาแล้วขนาด 1.2 และ 5% จะมีน้ำหนักลดน้อยลงตั้งแต่สัปดาห์ที่ 34
          ไก่ (Brown Hisex chicks) กินอาหารผสมด้วยเนื้อมะขามสุก 2% แล้วก็ 10% นาน 4 อาทิตย์ พบว่าน้ำหนักลดน้อยลง (weight gain) แล้วก็ feed conversion ratios ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ  มีการเปลี่ยนทางพยาธิภาวะเป็นมีการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ไขมันของตับ (fatty change) เซลล์ตับ แล้วก็ cortex ของไตตาย (necrosis) ในสัปดาห์ที่ 2 รวมทั้ง 4 ไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 10% จะมีพยาธิสภาพรุนแรงกว่าไก่กลุ่มที่กินอาหารผสม 2% ผลการตรวจทางซีรัมพบว่า กรดยูริก total cholesterol, alkaline phosphatase (ALP), glutamic oxaloacetic trans-aminase (GOT) ในซีรั่มมากขึ้น total serum protein ต่ำลงมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม (กรุ๊ปที่ไม่ได้รับอาหารผสมเนื้อมะขามสุก) sorbitol dehydrogenase และ total bilirubin ไม่เปลี่ยนแปลง ค่า ALP กรดยูริก cholesterol รวมทั้ง total protein จะไม่กลับสู่ภาวการณ์ธรรมดาในช่วง 2 อาทิตย์ภายหลังไม่ได้รับอาหารผสมแล้ว ผลการตรวจทางโลหิตวิทยาไม่มีความเคลื่อนไหว
หนูขาวเพศเมียและก็เพศผู้รับประทานอาหารที่มีส่วนผสมของโพลีแซคติดอยู่ไรด์จากเม็ดมะขาม 4, 8 รวมทั้ง 12% นาน 2 ปี ไม่เจอการเปลี่ยนแปลงของความประพฤติ อัตราการตาย น้ำหนักร่างกาย  การกินของกิน ผลทางชีวเคมีในปัสสาวะรวมทั้งเลือด ผลการตรวจเลือด น้ำหนักอวัยวะ และพยาธิสรีระ
          หนูถีบจักรที่รับประทานสารสกัดเอทานอล:น้ำ (1:1) จากดอก พบว่าขนาดความเข้มข้นของสารสกัดสูงสุดที่หนูทนได้ เท่ากับ 1 ก./กิโลกรัม นน.ตัว
          หนูขาว Sprague-Dawley SPF รับประทานอาหารที่ผสมด้วย pigments จากเมล็ดที่เผาในขนาด 0, 1.25, 2.5 และก็ 5% ของของกิน เป็นเวลา 90 วัน ไม่เจอความแตกต่างจากปกติใดๆความเข้มข้นสูงสุดของ pigments ที่ให้โดยการผสมในของกินในหนูเพศผู้เท่ากับ 3,278.1 มก./กก./วัน และในหนูเพศเมียเท่ากับ 3,885.1 มก./กก./วัน ไม่พบพิษ
พิษต่อตัวอ่อน  L-(-)-di-Butyl malate ที่ได้จากสารสกัดเมทานอลจากฝักมะขาม เป็นพิษต่อเซลล์ตัวอ่อนของ Sea urchin แต่ว่าสารสกัดเอทานอล : น้ำ จากฝักมะขาม ให้ทางสายยางเข้าไปในกระเพาะของกินหนูขาวที่ตั้งท้อง ขนาด 100 มิลลิกรัม/กก. ไม่เจอพิษต่อตัวอ่อนในท้อง และสารสกัดเอทานอล 100% จากผล ให้ทางสายยางให้อาหารลงไปยังกระเพราะอาหารหนูขาวเพศเมีย ขนาด 200 มก./กก. ไม่ทำให้แท้ง และไม่ส่งผลต่อต้านการฝังตัวของตัวอ่อน
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์    ฝักมะขามขนาด 0.1 มก./จานเพาะเชื้อ ก่อให้เกิดการกลายพันธุ์ของ Salmonella typhimurium TA1535 แต่ว่าไม่เป็นผลต่อ S. typhimurium TA1537, TA1538 และก็ TA98
ข้อเสนอ/ข้อควรระวัง

  • สำหรับในการเลือกซื้อมะขามมาใช้ประโยชน์(โดยเฉพาะอย่างยิ่งมะขามสุก)นั้นควรที่จะทำการเลือกมะขามที่ปลอดเชื้อรา เพราะว่าบางทีอาจทำให้เป็นอันตรายต่อร่างกายได้
  • การบริโภคมะขามมากเกินไปอาจจะก่อให้เกิดผลกระทบกับร่างกายได้ยกตัวอย่างเช่น ท้องร่วง ท้องเสีย
  • การบริโภคมะขามไม่สมควรหวังผลในการรักษา/คุณประโยชน์ของมะขามมากจนเกินไปควรจะบริโภคแต่พอดีและไม่ควรจะบริโภคติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน
  • ยังมีมีผลการศึกษาเรียนรู้ที่ชี้ชัดว่ามะขามสามารถใช้ลดหุ่นได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่ควรใช้มะขามมาลดความอ้วน
เอกสารอ้างอิง

  • สมพล ประคองพันธ์.วันชัย สุทธนันท์ .การใช้ดพลีแซคคาไรต์จากเมล็ดมะขามในยาอิมัลชั่นและยาแขวนตะกอน.วารสารเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล 1988:53
  • ภัคสิริ สินไชยกิจ,ไมตรี สุทธิจิตต์.คุณสมบัติชีวเคมีและการประยุกต์ใช้ของเมล็ดมะขาม,บทความปริทัศน์.วารสารนเรศวรพะเยา.ปีที่4.ฉบับที่2.พฤษภาคม-สิงหาคม.2554.
  • กองวิจัยทางการแพทย์. สมุนไพรพื้นบ้าน ตอนที่ 1.  กรุงเทพฯ: กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข, 2526.
  • Aengwanish, W. and Suttajit, M. Effect of polyphenols extracted from tamarind (Tamarindus indica L.) seed coat on physiological changes, heterophil/ lymphocyte ratio, oxidative stress and body weight of broiler (Gallus domesticus) under chronic heat stress. Ani Sci J 2010; 81: 264-270
  • เดชา ศิริภัทร.มะขาม.ต้นไม้ประจำครัวไทย.คอลัมน์ต้นไม้ใบหญ้า.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่163.พฤศจิกายน.2535
  • Ahmad I, Mehmood Z, Mohammad F.  Screening of some Indian medicinal plants for their antimicrobial properties.  J Ethnopharmacol 1998;62:183-93. http://www.disthai.com/[/b]
  • บวร เอี่ยมสมบูรณ์.  ดงไม้.  กรุงเทพฯ:โรงพิมพ์รุ่งเรืองธรรม, 2518.
  • มะขาม.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Pugalenthi M, Vadivel V, Gurumoorthi P, Janardhanan K. Comparative nutritional evaluation of little known legumes, Tamarindus indica, Erythrina indica and Sesbania bispinosa. Tropic Subtropical  Agroecosys 2004; 4(3): 107-123
  • George M, Pandalai KM.  Investigations on plant antibiotics. Part IV.  Further search for antibiotic substances in Indian medicinal plants.  Indian J Med Res 1949;37:169-81.
  • ภก.ชัยโย ชัยชาญทิพยุทธ.มะขามและผักคราดหัวแหวน.คอลัมน์อื่นๆ นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่15.กรกฎาคม.2523
  • ก. กุลฑล.  ยาพื้นบ้าน.  กรุงเทพฯ:ปรีชาการพิมพ์, 2524.
  • Ross Sa, Megalla SE, Bishay DW, Awad AH.  Studies for determining antibiotic substances in some Egyptian plants. Part 1. Screening for antimicrobial activity.  Fitoterapia 1980;51:303-8.
  • Watt JM, Breyer-Brandwijk MG. The Medicinal and Poisonous Plants of Southern and Eastern Africa. 2nd edition. Edinburgh an



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ