Advertisement
[/b]
เพก[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร เพกา
ชื่ออื่นๆ/ชื่อท้องถิ่น ลิ้นฟ้า , หมากลิ้นฟ้า (วัวราช,เลย,ภาคอีสาน) , มะลิดไม้ , มะลิ้นไม้ , ลิดไม้ (ภาคเหนือ) ,เบโก (จังหวัดนราธิวาส,ภาคใต้) ,หมากลิ้นช้าง , หมากลิ้นก้าง (ไทยใหญ่) ,กาโดโด้ง(กะเหรี่ยง-กาญจนบุรี) , ดอก๊ะ ,ดุเอ็ง ,ด๊อกก๊ะ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน) ,โชยเตี้ยจั้ง (จีน)
ชื่อสามัญ Broken bone, Damocles tree, Indian trumpet flower, Indian trumpet treeชื่อวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum (L.) Vent.ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Oroxylum indicum (L.) Kurzวงศ์ Bignoniaceaeถิ่นกำเนิด เพกาเป็นพืชท้องถิ่นที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมของทวีปเอเชีย ซึ่งเจอในอินเดียและเอเซียอาคเนย์ เป็นครั้งแรก ในตอนนี้สามารเจอได้หลายประเทศ ดังเช่นว่า ประเทศอินเดีย พม่า ไทย ลาว กัมพูชา มาเลเซีย รวมทั้ง จีนตอนใต้ด้วย ซึ่งมักจะพบเพกาตามป่าเบญจพรรณ รวมทั้งป่าเปียกชื้นทั่วๆไป ส่วนในประเทศไทยนั้นสามารถพบเพกาได้ทุกภาคของประเทศ อย่างไรก็แล้วแต่สำหรับการนำเพกามาทำเป็นอาหานั้น ดูเหมือนจะมีแม้กระนั้นคนไทยเท่านั้นที่นำมาบริโภค ส่วนประเทศอื่นๆนั้นไม่พบข้อมูลสำหรับการนำมาบริโภคเป็นอาหารแต่อย่างใด
ลักษณะทั่วไป เพกาเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็กถึงกลางรวมทั้งเป็นไม้ ครึ่งหนึ่งผลัดใบหรือไม่ผลัดใบ สูง 5-12 เมตร ขนาดลำต้นราว 10-30 เซนติเมตร เรือนยอดเล็ก กิ่งเปราะหักง่าย แตกกิ่งก้านน้อย ต้นที่แก่น้อยมีกิ่งใหญ่กึ่งกลางกิ่งเดียว เปลือกเรียบ มีใบเป็นกรุ๊ปตรงกลาง คล้ายกับต้นปาล์ม หลังจากออกดอก ลำต้นจะแยกเป็นกิ่งระกะ เปลือกต้น สีน้ำตาลครีมอ่อน หรือเทาอ่อน แตกเป็นสะเก็ดสี่เหลี่ยม และแผลของใบยาวถึง 150 เซนติเมตร เป็นผลมาจากใบที่ตกไปแล้ว ลำต้นและกิ่งก้านมีรูระบายอากาศ กระจายอยู่ทั่วไป เปลือกลำต้นเรียบสีเทา มีรอยแผลเป็น จากการหลุดตกของใบ ใบประกอบแบบขน 3 ชั้น ปลายคี่ ใบขนาดใหญ่ ยาว 60-200 เซนติเมตร เรียงตรงข้ามกันอยู่บริเวณปลายกิ่ง ใบย่อยรูปไข่ หรือรูปไข่แกมวงรี กว้าง 4-8 ซม. ยาว 6-12 ซม. ปลายยาว ขอบของใบเรียบ ฐานใบสอบแคบ ใบสะอาด หรือมีขนสีขาวสั้นๆด้านล่าง ท้องใบนวล ก้านใบข้างบนสุดแยกออก 1 ครั้ง ก้านใบกึ่งกลางแยก 2 ครั้ง และก็ก้านใบด้านล่างแยก 3 ครั้ง ทำให้เห็นใบทั้งสิ้นเป็นรูปสามเหลี่ยม ก้านใบย่อยยาว 5-8 มิลลิเมตร ก้านใบข้าง และก้านใบร่วมโค้งพองออกที่ฐานและที่ข้อ ก้านใบยาว 0.5-2 เมตร ดอกช่อขนาดใหญ่แบบกระจะ ออกที่ปลายยอดเป็นกลุ่ม มีดอกย่อย 20-35 ดอก จะบานพร้อมกันคราวละ 2-3 ดอก ก้านช่อดอกยาว 60-180 เซนติเมตร ยื่นออกมานอกทรงพุ่มไม้ของยอด ดอกย่อยขนาดใหญ่ 8-12 ซม. กลีบดอกไม้สีนวลแกมเขียวโคนกลีบเป็นหลอดสีม่วงแดง หรือม่วงข้างนอก หลอดกลีบดอกไม้ยาว 2-4 เซนติเมตร รูปแตร กลีบครึ้ม ขอบร่น ไม่มีพู หรือพูไม่เท่ากัน มีต่อมกระจายอยู่ด้านนอก ภายในมีขนหนาแน่น ดอกบานค่ำคืน มีกลิ่นสาบฉุน และก็ตกรุ่งอรุณ ชอบมีดอกแล้วก็ผลในกิ่งเดียวกัน เกสรตัวผู้ 5 อัน ชิดกับหลอดดอก โคนก้านมีขน เกสรตัวเมียมี 1 อัน กลีบเลี้ยงยาว 2-4 ซม. มีกลีบเลี้ยง 5 กลีบ เชื่อมติดกันเป็นทรงกระบอก ปลายไม่แยกเป็นกลีบอย่างแจ่มแจ้ง เมื่อเป็นผล กลีบเลี้ยงนี้จะเจริญรุ่งเรืองเป็นเนื้อแข็งมาก ผลเป็นฝัก แบน โค้งบางส่วนที่ฐาน มีสันเล็กๆที่ด้านข้าง คล้ายรูปลิ้น ห้อยอยู่เหนือเรือนยอด กว้าง 6-10 เซนติเมตร ยาว 30-120 ซม. สีน้ำตาลเข้ม สีแดง ติดฝักยาก ฝักเป็นรูปกระบี่ เมื่อแก่จะแตกเป็น 2 ส่วน เม็ดแบนสีขาว ขนาด 4-8 ซม. มีปีกบางโปร่งแสง เยื่อนี้ช่วยให้เมล็ดปลิวตามกระแสลมให้ตกห่างต้นเพื่อขยายพันธุ์ได้ไกลขึ้น
การขยายพันธุ์ เพกาสามารถแพร่พันธุ์ได้โดยการใช้เมล็ด โดยเลือกเม็ดจากฝักแก่ เปลือกฝักแห้ง มีสีดำ โดยให้เก็บฝักไว้สัก 2-3 เดือน ก่อนนำมาเพาะเม็ด เพราะภายหลังจากฝักแก่ เมล็ดเพกาจะเข้าสู่ระยะพักตัวอยู่ช่วงหนึ่ง แม้นำเม็ดมาเพาะในระยะหลังฝักแก่มักมีอัตราการงอกต่ำ ด้วยเหตุดังกล่าว จึงทิ้งฝักไว้สักระยะหนึ่งก่อน
การเพาะเมล็ด ควรจะเพาะในถุงเพาะชำ เพื่อให้ย้ายต้นลงปลูกไว้ในแปลงได้สบาย โดยนำเม็ดออกมาจากฝัก และก็ตากแดดสัก 2-3 วันก่อน ต่อไปค่อยเอามาเพาะ สำหรับวัสดุเพาะ ควรที่จะใช้ดินผสมกับอุปกรณ์อินทรีย์ ยกตัวอย่างเช่น ปุ๋ยมูลสัตว์ ปุ๋ยธรรมชาติ แล้วก็แกลบดำ แต่ถ้าเกิดไม่สบายให้ใช้เพียงแค่ปุ๋ยคอกอย่างเดียวก็ได้ โดยใช้อัตราส่วนดิน:ปุ๋ยมูลสัตว์:แกลบดำ ที่ 1:3:1 ก่อนใส่ลงถุงเพาะชำ ต่อไป นำเม็ดลงกลบ และก็รดน้ำให้ชุ่ม พร้อมกับดูแลด้วยการรดน้ำบ่อยๆแต่ละวัน อย่างต่ำวันละ 1 ครั้ง จนกว่าต้นจะงอก และก็แตกใบได้ 2 ข้อ ก่อนย้ายลงปลูกเอาไว้ในแปลง การปลูกเพกานิยมปลูกในต้นหน้าฝน เมื่อต้นกล้าแตกยอดได้ 2 ข้อแล้ว ให้นำกล้าเพกาลงปลูกได้ สำหรับระยะปลูกให้มีระยะห่างที่ 4×4 เมตร โดยการขุดหลุมขนาดประมาณ 30 เซนติเมตร ลึกประมาณ 30 เซนติเมตร ก่อนจะรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยหมักประมาณ 3-5 กำ แล้วก็ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 โดยประมาณ 1 จับมือ พร้อมคลุกหน้าดินผสม ก่อนจะนำกล้าเพกาลงปลูก
ส่วนประกอบทางเคมีในฝักเจอสาร Oroxylin A , Chrysin ,Baicalein , Triterpene , Carboxyliv acid , Ursolic acid
ในเม็ดเจอสาร Flavonoids , Chrysin , Oroxylin A ,Terpene , Baicalein , Saponins , Benzoic acid , 6-Glucoside , Tetuin
สำหรับองค์ประกอบของน้ำมันของเมล็ดเจอสาร
Caprylic, Lauric , Myristic ,Palmitic ,Palmotoleic ,Stearic ,Oleic , Linoleic acid
ในใบเจอสาร Flavones ,Baicalein ,Glycosides ,6,7-Glucuronides,7-Glucuronides , Chrysin , Scutellarein , Anthraquinone , Aloe emodin
ส่วนของลำต้นพบสาร Oroxylin A ,Baicalein ,Chrysin ,7-Glucuronides, Biochanin A ,Ellagic acid , Puunetin ,B-sitosterols ,b-Methylbailein ,Lapachol
ส่วนรากพบสาร Oroxylin A , Baicalein , Chrysin, Pterocarpan , Rhodioside ,D-Galatose ,Sitosterol
ที่มา : wikipedia
ส่วนคุณประโยชน์ทางโภชนาการของเพราะว่านั้นมีดังนี้
คุณค่าทางโภชนาการในยอดอ่อนเพกา (100 กรัม) พลังงาน 101 กิโลแคลอรี โปรตีน 6.4 กรัม ไขมัน 2.6 กรัม คาร์โบไฮเดรต 13.0 กรัม วิตามินบี1 0.18 มก. วิตามินบี2 0.69 มิลลิกรัมและวิตามินบี3 2.4 มก. ฝักอ่อนของเพกา (ต่อน้ำหนัก 100 กรัม) วิตามินซี 484 มิลลิกรัม วิตามินเอ 8,200 มก. แคลเซียม 13 มก., ฟอสฟอรัส 4 มิลลิกรัม, โปรตีน 0.2 กรัม, คาร์โบไฮเดรต 14 กรัม, ไขมัน 0.5 กรัม, เส้นใย 4 กรัม
คุณประโยชน์/สรรพคุณ คุณประโยชน์ต่างๆที่ได้รับจากเพกานั้นส่วนใหญ่นิยมนำมารับประทานเป็นของกิน ดังเช่น ฝักอ่อน อายุฝักโดยประมาณ 1 เดือน (ที่ขนาดไม่ใหญ่มากนัก สามารถใช้เล็บมือจิกลงไปได้) จัดเป็นผักท้องถิ่นที่นิยมเอามารับประทานด้วยการลวกหรือปิ้งไฟ คู่กับน้ำพริก เมนูลาบต่างๆและก็ซุปหน่อไม้ ซึ่งฝักอ่อนนี้ เมื่อกินจะมีรสขมอ่อนๆทั้งนี้ การย่างไฟ นิยมปิ้งไฟจากเตาถ่าน แม้กระนั้นบางทีอาจย่างจากไฟลุกไหม้ก็ได้ โดยย่างให้เปลือกฝักอ่อนร้อน รวมทั้งอ่อนตัวกระทั่งไหม้เกรียมเป็นสะเก็ดดำ จากนั้นค่อยขูดสะเก็ดดำออก ก่อนเอามาหั่นรับประทาน ใบ และยอดอ่อน ประชาชนนิยมนำมารับประทานดิบหรือลวกหรือย่างไฟ คู่กับน้ำพริก ซุปหน่อไม้ และเมนูลาบต่างๆรวมทั้งเอามาผัดใส่กุ้ง หรือยำใส่กระเทียมเจียว ดังนี้ ใบอ่อน แล้วก็ยอดอ่อน มักไม่นิยมเด็ดมารับประทานมากเท่าไรนัก เนื่องจากว่าจำเป็นต้องให้ยอดเติบโต และก็ติด ดอกบานนิยมนำมาลวกเพียงแค่นั้น เนื้อดอกเมื่อลวกแล้วจะมีความอ่อนนุ่ม แล้วก็ให้รสขมน้อยกว่าฝักอ่อน และก็ยอดอ่อน นับว่าเป็นส่วนที่อร่อยมากที่สุด แล้วก็ชอบใช้สำหรับกินคู่กับน้ำพริก ส่วนการใช้ประโยชน์อื่นๆนั้น ตัวอย่างเช่น แก่นไม้เพกา ในบางพื้นของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นิยมใช้เผาถ่านสำหรับทำผงถ่านผสมทำดินปืนหรือดินบั้งไฟ ดังนี้ สามารถเผาเป็นถ่านได้ในรูปไม้สด เนื่องจากว่าแก่นไม้สดค่อนข้างแห้งอยู่แล้ว และเผาในรูปท่อนไม้แห้ง ซึ่งเผาได้ง่ายยิ่งกว่า แม้กระนั้นปัจจุบัน ไม่ค่อยนิยมแล้ว เนื่องจากว่า ต้นเพกาในอีสานหายากขึ้น รวมทั้งหันมาใช้ไม้ยูคาลิปตัสแทน ส่วนฝักเพกาแก่ นิยมเอามาตากแห้ง และส่งออกเมืองนอกเพื่อใช้ทำยาสมุนไพร สามารถทำรายได้ให้แก่เกษตรกรได้ นอกเหนือจากนี้คนภูเขายังใช้เปลือกต้นเพกาย้อมผ้าให้ได้สีเขียวอีกด้วย
นอกนั้นเพกายังมีสรรพคุณทางยาอีกด้วย ดังนี้ ตำรายาไทย ใช้ เมล็ด ต้มน้ำ แก้ไอและก็ขับเสมหะ ใช้เป็นยาระบาย เม็ดแก่ มีรสขม เป็นยาระบาย แก้ไอ ขับเสลด เมล็ดแห้ง ทำน้ำจับเลี้ยงแก้ร้อนใน อยากกินน้ำ ฝักแก่ มีรสขมกินได้ แก้ร้อนในกระหายน้ำ ช่วยเจริญอาหาร หยุดไอ ฝักอ่อน มีรสขมร้อน ใช้เป็นยาขับลม
ใบ มีรสฝาดขม ต้มน้ำดื่มแก้เจ็บท้อง เจริญอาหาร แก้ปวดข้อต่างๆ
เปลือกต้น -รสฝาดเย็น และก็ขมน้อย เป็นยารักษาแผล ทำน้ำเหลืองให้เป็นปกติ ขับน้ำเหลืองเสีย ขับเลือดดับพิษเลือด บำรุงเลือด แก้เสลดจุกคอ ขับเสมหะ แก้บิด แก้อาการจุกเสียด
ราก มีรสฝาดเย็น ขมบางส่วน ใช้บำรุงธาตุ ทำให้เกอดน้ำย่อยอาหาร เจริญอาหาร แก้ท้องเสีย แก้บิด แก้ไข้สันนิบาต
เพกาทั้งยัง 5 คือการใช้ส่วนราก ใบ ดอก ผล ต้น รวมกันจะมีรสฝาดเย็น มีสรรพคุณสมานแผล แก้อักเสบบวม แก้ท้องเสีย บำรุงธาตุ แก้น้ำเหลืองเสีย แก้ไข้เพื่อลม เพื่อเลือด
[url=http://www.disthai.com/16941195/%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%81%E0%B8%B2][/b]
แบบ/ขนาดวิธีการใช้ตามคำแนะนำของกระทรวงสาธารณสุข นำเปลือกต้นฝนกับน้ำปูนใสทาแก้อาการบวม บวมช้ำ รวมทั้ง อักเสบ หรือนำเปลือกเพกาฝนทารอบๆฝีแก้ปวดฝี เปลือกต้นตำผสมกับสุรา ใช้เป็นยากวาดประสะพิษซางเด็กชนิดเม็ดเหลือง แก้ละอองขึ้นในปาก คอลิ้น แก้ละอองไข้ ใช้ฉีดพ่นเรียกตัวคนคลอดบุตรที่ทนการอยู่ไฟไม่ได้ ทำให้ผิวหนังชา ทารอบๆฝี แก้ปวดฝีทาแก้อาการฟกบวมอักเสบ เปลือกต้นสดตำผสมกับน้ำส้ม (ซึ่งได้จากรังมดแดง) หรือเกลือบก รับประทานขับลมในไส้ แก้จุกเสียด แก้บิด แก้อ้วกไม่หยุด กินแก้เสลดจุกคอ (ขับเสมหะ) ขับเลือดเน่าในเรือนไฟ บำรุงโลหิต
นอกเหนือจากนั้น ช่วยรักษาโรคโรคเบาหวาน ด้วยการใช้เปลือกเพกา เปลือกต้นไข่เน่า ใบไข่เน่า แก่นลั่นทม บอระเพ็ด ใบมัน รากต้นหญ้าคา รวม 7 อย่าง น้ำหนักอย่างละ 2 บาท เอามาต้มกับน้ำทีละ 1 แก้วเล็ก ก่อนที่จะกินอาหาร ยามเช้าและก็เย็น ช่วยแก้รวมทั้งบรรเทาอาการไอ และขับเสมหะโดยใช้เม็ดแก่เพการาวๆครึ่งกำมือถึงหนึ่งกำมือ (1.5 – 3 กรัม) ใส่ไว้ภายในหม้อที่เพิ่มเติมน้ำ 300 มล. แล้วต้มไฟอ่อนๆจนเดือดโดยประมาณ 1 ชั่วโมง แล้วนำมาดื่มทีละ 1 แก้ว รุ่งเช้า ช่วงเวลากลางวัน เย็น กระทั่งอาการจะ แก้โรคไส้เลื่อน ด้วยการใช้เปลือกต้นเพกา รากเขยตาย ต้นหญ้าตีนนก เอามาตำรวมกันให้ละเอียด แล้วก็ค่อยนำไปละลายกับน้ำข้าวเช็ด ใช้ขนไก่ชุบพาด เอามาทาลูกอัณฑะ
การเล่าเรียนทางเภสัชวิทยาฤทธิ์ต้านการอักเสบ ฟลาโวนอยด์ที่สกัดจากเพกาสามารถลดการอักเสบในเท้าของหนูเม้าส์ที่ถูกรั้งนำให้บวมด้วย dextran และก็จะมีผลลดบวมมากขึ้นเมื่อใช้ร่วมกับ a-chymotrypsin สารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ลดการอักเสบในหนูที่ถูกกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการอักเสบด้วยอัลบูมินจากไข่ ฟอร์มาลิน รวมทั้งฮีสตามีน แม้กระนั้นไม่มีผลในหนูที่ถูกกระตุ้นด้วยซีรัมจากม้า หรือไซลีน (xylene) ยิ่งไปกว่านี้ยังพบว่าสารสกัดจากเปลือกมีฤทธิ์ลดการแพ้ในหนูที่ทำให้เกิดภูมิแพ้ได้มากกว่าหนูปกติ
จากการเรียนฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบในหลอดทดลอง พบว่าสารสกัดจากเปลือกต้นเพกามีฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบโดยยั้งสารภายในร่างกายที่นำไปสู่การอักเสบ คือ PGE2 รวมทั้ง NF-kB และก็ยังออกฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระเมื่อทดสอบด้วยการหยุดยั้งแนวทางการขบวนการออกซิเดชันของไขมัน (lipid-peroxidation) ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยไดคลอโรมีเทนจากเปลือกต้น รวมทั้งรากมีฤทธิ์ต้านทานการอักเสบโดยยั้งเอนไซม์ 5-lipoxygenase รวมทั้งพบว่าสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกาก็มีฤทธิ์ยับยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี 5-lipoxygenase ได้เช่นกัน โดยมีฤทธิ์ใกล้เคียงกับ fisetin ซึ่งใช้เป็นสารมาตรฐานสำหรับเพื่อการทดสอบฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ ยิ่งกว่านั้นยังพบว่าสารสกัดด้วยน้ำจากเปลือกยังสามารถลดการอักเสบได้โดยลดการหลั่งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี myeloperoxidase
ฤทธิ์ต้านทานเชื้อแบคทีเรียแล้วก็แก้ท้องเดินสารสกัดไดคลอโรมีเทนของเปลือกต้น แล้วก็รากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียได้หลายสายพันธุ์ดังเช่นว่า Bacillus subtilis, Staphylococcus aureus, Escherichia coli และก็ Pseudomonas aeruginosa และก็ยังมีฤทธิ์ต้านเชื้อราCandida albicans รวมทั้งพบสาร lapachol ที่สกัดได้จากเปลือกต้นและรากของเพกา มีฤทธิ์ต้านเชื้อ B. subtilis รวมทั้ง S. aureus ได้เท่ากันกับยา streptomycin สารสกัดเพกาทั้งยังต้นด้วยการต้ม ไม่มีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรีย Salmonella typi type 2 (ค่า MIC พอๆกับ 125 มก./มิลลิลิตร) แต่ว่ามีฤทธิ์อย่างอ่อนต่อเชื้อ Staphylococcus aureus (ค่า MIC พอๆกับ 15.13 มิลลิกรัม/มล.) (2) สารสกัดจากฝักด้วยเอทานอล (80%) ขนาด 12.5 มิลลิกรัม/มล. มีฤทธิ์ไม่แน่นอนต่อเชื้อ S. aureus และก็ Escherichia coli
สำหรับสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรซึ่งมีเปลือกเพกาเป็นส่วนประกอบ และใช้ทุเลาอาการท้องเสียที่ไม่ได้มีต้นเหตุจากการติดเชื้อ พบว่ามีฤทธิ์ลดอาการท้องเสียในหนูเม้าส์ที่ทำให้ท้องเสียด้วยน้ำมันละหุ่ง และมีฤทธิ์ยับยั้งการเคลื่อนไหวของกล้ามเรียบในลำไส้เล็กขิงหนูตะเภา นอกจากนี้ยังมีฤทธิ์ทำลายเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้มีการเกิดอุจจาระหล่น 6 สายพันธุ์ในหลอดทดลองเป็นBacillus cereus ATCC 14579, Escherichia coli ATCC 25922, Salmonella typhimurium ATCC 11331, Shigella flexneri DMSC 1130, Staphylococcus aureus ATCC 25923, Vibrio parahaemolyticus DMST 5665 แล้วก็ แบคทีเรียที่แยกได้จากของกิน ขึ้นรถสกัดด้วยน้ำจะออกฤทธิ์ดีมากยิ่งกว่าสารสกัดด้วยแอลกอฮอล์รวมทั้งสารสกัดของสมุนไพรผู้เดียวแต่ละจำพวกที่เป็นส่วนประกอบในตำรับยานี้
ฤทธิ์ต้านการหดเกร็งกล้ามเนื้อ สารสกัดฝัก
เพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) มีฤทธิ์ต้านการยุบเกร็งของกล้ามเนื้อของลำไส้เล็ก เมื่อกระทำทดลองในหนูตะเภาที่ถูกกระตุ้นให้เกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อส่วนลำไส้เล็กด้วย acetylcholine และ histamine
ฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ การเรียนใช้สารสกัดจากใบเพกาสำหรับในการต้านสารอนุมูลอิสระ DDPH และยั้งสารอนุมูลอิสระ Nitric Oxide พบว่า สารสกัดสามารถออกฤทธิ์ยับยั้งในค่า IC50 = 24.22 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร และ ค่า IC10 = 129.81 ไมโครกรัม/มิลลิลิตร ของสารทั้ง 2 เป็นลำดับ
ฤทธิ์ต้านโรคมะเร็ง การศึกษาทดลองสารสกัดจากเพกาชื่อ Baicalein สำหรับในการต้านเซลล์มะเร็ง HL-60 พบว่า สาร Baicalein สามารถยับยั้งเซลล์ของโรคมะเร็ง HL-60 ได้มากกว่าจำนวนร้อยละ 50 ภายใน 36-48 ชั่วโมง
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยาการทดลองความเป็นพิษ มีการทดสอบกรอกสารสกัดรากเพกาด้วยน้ำร้อนแก่หนูเพศผู้ในขนาด 1 โมล/กิโลกรัม มีกล่าวว่านำไปสู่พิษ Dhar รวมทั้งภาควิชา ทำทดสอบฉีดสารสกัดฝักเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) รวมทั้งสารสกัดรากเพกาด้วยเอทานอลรวมทั้งน้ำ (1:1) เข้าท้องหนู พบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่หนูสามารถทนได้ (maximum tolerated dose) คือ 100 มก./กิโลกรัม และก็ 1 กรัม/กิโลกรัม เป็นลำดับ (4) ธีระยุทธ ได้ทำทดลองความเป็นพิษกระทันหันของสารสกัดเปลือกเพกาด้วยเอทานอล (70%) โดยการฉีดเข้าช่องท้องและก็กรอกลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 100 มิลลิกรัม/กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่ก่อให้เกิดพิษรุนแรงในหนู และเมื่อทดสอบความเป็นพิษกะทันหันโดยใช้สารสกัดในขนาดสูงขึ้น คือ 400 และก็ 800 มก./กิโลกรัมน้ำหนักตัว พบว่าสารสกัดไม่นำไปสู่พิษทันควันเมื่อให้โดยการกรอกลงกระเพาะหนู แม้กระนั้นทำให้เกิดพิษเฉียบพลันได้เมื่อฉีดเข้าช่องท้องในขนาด 800 มิลลิกรัม/กก. สำหรับความเป็นพิษกึ่งทันควันของสารสกัด พบว่าเมื่อกรอกสารสกัดลงกระเพาะหนูถีบจักรในขนาด 400 รวมทั้ง 800 มก./กก.น้ำหนักตัว ทุกวี่ทุกวันตรงเวลา 30 วัน พบว่าไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพิษรุนแรงในหนู
และก็เมื่อป้อนสารสกัดจากตำรับยาเหลืองปิดสมุทรขนาด 5 กรัม/กิโลกรัม ครั้งเดียวให้หนูแรท พินิจความประพฤติปฏิบัติข้างใน 14 วัน ไม่เจอพิษแบบกระทันหันแล้วก็ความผิดแปลกของอวัยวะภายใน และก็เมื่อให้สารสกัดขนาด 1, 2 และก็ 4 กรัม/กิโล/วัน แก่สัตว์ทดสอบต่อเนื่องกันตรงเวลา 90 วันไม่พบพิษแบบครึ่งเรื้อรัง ไม่เจอความไม่ปกติของน้ำหนักตัว ค่าตรวจทางโลหิตวิทยา และก็ทางวิชาชีวเคมี รวมทั้งความเคลื่อนไหวในพยาธิวิทยาของอวัยวะภายใน สำหรับตำรับยารักษาโรคโรคมะเร็งที่ประกอบด้วยเพกา ชุมเห็ดเทศ (Senna alata (L.) Roxb.) และรางจืด (Thunbergia laurifolia Lindl.) ซึ่งออกฤทธิ์ต้านทานโรคมะเร็งในหลอดทดลอง ก็พบว่ามีความปลอดภัยในการทดสอบความเป็นพิษแบบฉับพลันในสัตว์ทดลอง
ฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ จากการทดลองฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ โดยวิธี Ames’ test จากผลของการทดลองพบว่าสารสกัดในขนาดสูงสุดที่ทำงานทดสอบ (2 มิลลิกรัม/จานเพาะเชื้อ) กับ Salmonella typhimurium สายพันธุ์ TA98 และก็ TA100 พบว่าไม่มีคุณลักษณะสำหรับการนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการ กลายพันธุ์ อมรศรี แล้วก็แผนก พบว่าสารสกั
เพกา[/url]ที่ได้จากการต้มมีฤทธิ์ต้านการกลายพันธุ์ เมื่อทดสอบโดยแนวทาง Ames’ test
การประมาณความเป็นพิษของสารสกัดจากเพกาโดยแนวทาง somatic mutation and recom bination test ในแมลงหวี่ พบว่าสารสกัดเพกาในขนาด 120 มก./มิลลิลิตร สามารถก่อเกิด somatic mutation ได้ โดยพบว่าแมลงหวี่ที่ได้รับสารสกัดมีจำนวนจุดบนปีกน้อยลง เมื่อเปรียบเทียบกับแมลงหวี่กลุ่มควบคุม และมีกล่าวว่าส่วนสกัดอัลกอฮอล์ของเพกาเมื่อเอามาทำปฏิกิริยากับเกลือไนไตรท์ในสภาวะโอบล้อมที่เป็นกรดแล้วเอามาทดลองการกลายพันธุ์ พบว่าผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้นมีฤทธิ์ก่อการกลายพันธุ์
ข้อแนะนำ/ข้อควรปฏิบัติตาม- หญิงท้องไม่ควรรับประทานฝักอ่อนของเพกา เนื่องจากว่ามีฤทธิ์ร้อน โดยอาจจะก่อให้แท้งบุตรได้
- ควรระวังสำหรับในการใช้เพการ่วมกับยากลุ่มต้านการแข็งตัวของเกร็ดเลือด ได้แก่ แอสไพริน (aspirin) ,วาฟาริน (warfarin) , สารสกัดแปะก๊วย (Ginko biloba)
- เพกาเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนอาจส่งผลให้เป็นผลข้างเคียงได้ เป็นต้นว่า เกิดการเคืองกระเพาะได้
เอกสารอ้างอิง- ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์. รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 1): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”. การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิก และการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพร ที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
- เพกา.สมุนไพรทีใช้ในงานสาธารณสุขมูลฐาน.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
- จีรเดช มโนสร้อย วรพงษ์ กิจดำรงธรรม ปราโมทย์ เสถียรรัตน์ อรัญญา มโนสร้อย. การทดสอบความเป็นพิษแบบเฉียบพลันของสารสกัดตำรับยารักษาโรคมะเร็งที่คัดเลือกจากฐานข้อมูลตำรายาสมุนไพรไทย มโนสร้อย 2. วารสารการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก 2553;8(2):54.
- อมรศรี ช่างปรีชากุล อริศรา เวชกัลยามิตร มาลิน จุลศิริ ปัญญา เต็มเจริญ. การต้านสารก่อกลายพันธุ์ของสารสกัดน้ำจากพืช สมุนไพรชนิดที่สามารถนำมาปรุงเป็นเครื่องดื่ม. Special project, Faculty of pharmacy, Mahidol university,1991.
- เพกา.ฐานข้อมูลสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์มหิทยาลัยอุบลราชธานี
- Ali RM, Houghton PJ, Raman A, Hoult JRS. Antimicrobial and antiinflammatory activities of extracts and constituents of Oroxylum indicum (l.) Vent. Phytomedicine 1988;5(5):375-81.
- เพกา.สมุนไพรที่มีการใช้ในผู้ป่วยติดเชื้อและผู้ป่วยเอดส์.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล
- อุดมการณ์ อินทุใส และปาริชาติ ทะนานแก้ว . สมุนไพรไทย ตำรับยา บำบัดโรค บำรุงร่างกาย.2549.
- ธีระยุทธ กลิ่นสุคนธ์. รายงานความก้าวหน้าโครงการวิจัยสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน (ครั้งที่ 2): โครงการย่อย “การวิจัยด้านพิษวิทยา”. การสัมมนาเรื่อง “การพัฒนาการใช้สมุนไพรทางคลินิกและการวิจัยทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคเขตร้อน” 26-27 ก.พ. 2530, มหาวิทยาลัยมหิดล.
- เพกา/ลิ้นฟ้า สรรพคุณและการปลูกเพกา.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพิชเกษตรไทย http://www.disthai.com/[/b]
- นพมาศ สุนทรเจริญนนท์. การพัฒนาตำรับยาแผนโบราณเพื่อเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน. การสัมมนาเรื่อง “การเผยแพร่ผลงานวิจัยด้านสมุนไพรสู่ระดับอุตสาหกรรม ครั้งที่ 2”, 19-20 มีนาคม ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ, 2552.
- ขวัญฤทัย คำฝาเชื้อ.2551.พฤกษศาสตร์พื้นบ้านของชาวกะเหรี่ยง ที่ตำบลบ้านจันทร์และแจ่มหลวง อำเภอแม่แจ่ม จังหวัดเชียงใหม่ .วิทยานิพนธ์(วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต) มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.271 หน้า
- Glinsukon T. Toxicological report. Symposium on Development of Medicinal Plants for Tropical Diseases, 26-27 February, Bangkok, Thailand, 1987. p.110-4.
- เพกา.กลุ่มยาแก้โรคบิด ท้องเดิน ท้องร่วง โรคกระเพาะ.สรรพคุณสมุนไพร 200 ชนิด .โครงการอนุรักษ์พันธุกรมมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพฯรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี.
- Siriwatanametanon N, Fiebich BL, Efferth T, Prieto JM, Heinrich M. Traditional Used Thai Medicinal Plants: In Vitro Anti-inflammatory, anticancer and Antioxidant Activities. J Ethnopharmacol 2010; 130:196-207.
- Golikov PP, Brekhman II. Pharmacological study of a liquid extract from the bark of Oroxylum indicum. Rastit, Resur 1967; 3(3): 446.
- พัฒน์ สุจำนงค์. ตำรายาไทย-จีนยากลางบ้าน ยาสมุนไพร และยาแผนโบราณ. ภาควิชาเวชศาสตร์ชุมชน คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์แพร่วิทยา, 2524. หน้า 363.
- Chen CP, Lin CC, Namba T. Development of natural crude drug resources from Taiwan. (VI). In vitro studies of the inhibitory effect on 12 microorganisms. Shoyakugaku Zasshi 1987; 41(3):215-25.
- แก้ว กังสดาลอำไพ วรรณี โรจนโพธิ์. การประเมินฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์ของสมุนไพรไทยในรูปของยาสามัญประจำบ้านแผนโบราณตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข และสมุนไพรบางชนิด โ