รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้  (อ่าน 22 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2018, 11:45:36 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
รางจื[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  ยาเขียว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน กำลังช้างเผือก , ขอยชะนาง , รางเอ็น , เครือชาเขียว (ภาคกลาง) , ยาเขียว , เครือเข้าเย็น , หนามแน้ (ภาคเหนือ) , ดุเหว่า (จังหวัดปัตตานี) , น้ำขัง (จังหวัดสระบุรี) , ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) , คาย (จังหวัดยะลา) , แอดแอ ,ย้ำแย้ (เพชรบูรณ์) หน้าจอลอดิเออ , กร่ำถะ ,พอเพียงหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ  Blue trumphet vine , Laurel clockvine
ชื่อวิทยาศาสตร์  Thumbergia laurifolia Lindl
วงศ์    Acanthaceae
ถิ่นเกิด ยาเขียวเป็นพืชเถาในเขตร้อนรวมทั้งเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ดังเช่นว่า ประเทศแถบอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา พม่า ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งมณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน รวมทั้งไตหวัน ในประเทศไทยพบมากตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วๆไป ในทุกภาคของประเทศ และเป็นพืชที่มักจะเติบโตได้เร็วมาก แต่ว่าปัจจุบันนิยมปลูกตามบ้านช่องทั่วๆไป เนื่องจากมีการวิจัยออกมาว่าสามารถขจัด/ล้างพิษภายในร่างกายได้
ลักษณะทั่วไป
ต้นรางจืดเป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพิงพันขึ้นปกคลุมต้นไม้ใหญ่ๆได้ทั้งต้น เถามีลักษณะกลม ดังเช่น ข้อบ้อง สีเขียว เป็นเงา เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และยาวได้มากกว่า 10 เมตร ใบเป็นใบโดดเดี่ยวสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงกันข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะคล้ายใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7 เซนติเมตร (เซนติเมตร) ยาว 8-15 ซม. ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี 5 เส้น ออกฐานใบเดียวกัน  ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ 3-4  ดอก กลีบดอกไม้แผ่ขยายออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว 1 ซม. มักมีน้ำหวานใส่อยู่ในหลอด ดอกมีสีม่วงแกมน้ำเงิน ผลเป็นทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 1 ซม. เมื่อผลแห้งแล้ว จะแตก 2 ด้าน จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในฤดูหนาว (เดือนพฤศจิกายน-จับพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกบางทีอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น 2 ส่วน เมล็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆเหมือนหนามอยู่บนเปลือกเมล็ด และสามารถนำไปเพาะขยายพันธุ์ถัดไปได้
การขยายพันธุ์
ยาเขียวสามารถแพร่พันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเมล็ดหรือปักชำ ในการปักชำจะใช้กิ่งจำพวกที่แก่ตั้งแต่ 1 ปี หรือกิ่งพันธุ์แก่ที่สีน้ำตาลอมเขียว ด้วยการตัดกิ่งยาว 20-30 เซนติเมตร โดยให้มีตากิ่งหรือข้อกิ่งติดมาอย่างต่ำ 1-2 ตา แล้วค่อยนำปักชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดินแล้วรดน้ำให้เปียกกระทั่งรากงอกและหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปลงถุงเพาะชำเพื่อลงปลูกถัดไป หรือปักชำลงดินรอบๆที่ต้องการปลูก และรดน้ำบ่อย 1-2 ครั้ง/วัน จนถึงกิ่งเริ่มแทงยอดอ่อน
ในการปลูกจากการเพาะเม็ดนั้น ถือเป็นแนวทางซึ่งสามารถได้ต้นที่มีความแข็งแรงที่สุด เนื่องจากว่าจะได้ต้นซึ่งสามารถแตกกิ่งแขนงได้มาก กิ่งกิ้งก้านยาวได้หลายเมตร แล้วก็ลำต้นแก่ยาวนานมากกว่าการปลูกจากต้นเพาะชำ
แต่การขยายพันธุ์ยาเขียวส่วนมากมักจะนิยมใช้แนวทางการปักชำมากกว่า ด้วยเหตุว่าช่องทางในการแตกออกมีมากกว่า และก็ใช้เวลาน้อยกว่าการเพาะเม็ด สำหรับวิธีการปลูกยาเขียวนั้นมีดังนี้  นำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเมล็ด มาปลูกลงดินโดยให้ขุดหลุมปลูกมีความกว้างลึกราวๆ 1x1 ฟุต แล้วรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยคอกประมาณ 1 ใน 4 ของหลุม กลบดินบางส่วน วางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกึ่งกลางหลุมแล้วกลบขอบดินให้แน่น รดน้ำตามให้เปียกแฉะ ควรปลูกขอบรั้วหรือกำแพงเพื่อเถรางจืด
สามารถยึดเกาะและเลื้อยพาดไปได้ หรือไม่ก็ทำค้างให้เถายาเขียวเกาะเลื้อย  รางจืดเป็นไม้ที่สามารถเจริญก้าวหน้าในดินแทบทุกชนิด และก็เป็นไม้ที่อยากได้แดดปานกลาง คือ ไม่อยากแสงอาทิตย์ที่จัดมากเกินความจำเป็น และก็มีความต้องการน้ำปานกลาง ในระยะต้นปลูกจำเป็นต้องรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในตอนเวลาเช้า ส่วนการให้ปุ๋ยนั้นใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยหมัก ใส่บริเวณโคนต้นปีละ 2 ครั้ง โดยการกระพรวนดินโคนต้นให้ร่วนเสียก่อนจึงใส่ปุ๋ย แล้วรดน้ำตาม
การเก็บใบรางจืด  สำหรับใบรางจืดที่จะเก็บมาใช้ทางยา ควรเก็บจากต้นที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป แล้วก็ให้ทยอยเก็บจากใบข้างล่างบริเวณโคนกิ่งก่อน รวมทั้งค่อยเก็บไปจนกระทั่งกลางกิ่ง ไม่ควรเก็บให้ถึงบริเวณปลายกิ่งภายหลังเก็บมาแล้ว ถ้าเกิดไม่ใช้ทันที ให้นำใบมาล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำไปตากแดด 5-7 แดด เมื่อแห้งแล้วให้เก็บใสถุงหรือกล่องไว้ ระวังอย่าให้โดนน้ำ ด้วยเหตุว่าอาจเกิดเชื้อราได้
ส่วนประกอบทางเคมี ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก, apigenin, cosmosin, delphinidin-3,5-di-O-beta-D-glucoside, chlorogenic acid, caffeic acid, lutein – Chlorophyll a Chlorophyll b  Pheophorbide a  Pheophytin a
ผลดี / สรรพคุณ
                รางจืดจัดเป็นยารสเย็นใช้ปรุงเป็นยาเขียวลดไข้ ทำลายพิษผิดสำแดง และก็พิษอื่นๆใช้แก้ร้อนใน หิวน้ำ รักษาโรคหอบหืดเรื้อรัง และแก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆใช้แก้พิษเบื่อเมาเพราะเห็ดพิษ สารหนู หรือยากำจัดแมลง
                หนังสือเรียนยาไทย: ใบ ราก และเถา รสจืดเย็น ตำคั้น หรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำยาดื่มทำลายพิษ แก้ไข้ ทำลายพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้เมนส์แตกต่างจากปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม เถาแล้วก็ใบ กินแก้ร้อนในอยากดื่มน้ำ แก้พิษร้อนต่างๆราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวม แก้แฮงค์ แก้อาการปวดหัวมึนหัวอันเนื่องมาจากพิษเหล้า ถอนพิษเหล้า พิษตกค้างในร่างกาย ใช้รากเข้ายารักษาโรคอักเสบแล้วก็ปอดอักเสบ รากและเถา ใช้รับประทานเป็นยารักษาอาการร้อนในกระหายน้ำ รักษาพิษร้อนทั้งหมด ทั้งต้น รสจืดเย็น ถอนพิษยาเบื่อเมา หรือใช้ปรุงเป็นยาเขียว ถอนพิษไข้ ทำลายพิษผิดสำแดง พิษเบื่อเมาเหตุเพราะเห็ดพิษ สารหนู หรือสารกำจัดศัตรูพืช และพิษทั้งสิ้น  รักษาอาการหอบหืดเรื้อรัง แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆปรุงยาแก้มะเร็ง หมอยาแผนไทยใช้เพื่อช่วยจับพิษในตับหรือล้างพิษในตับ
           สมุนไพรประจำถิ่นล้านนา: ใช้ ใบรวมทั้งราก ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกรอยแผล น้ำร้อนลวก ไฟลุก ทำลายพิษยากำจัดแมลง พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากกินเหล้ามากเกินความจำเป็น หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ(บอกว่ารากยาเขียวมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า))
           ตำราเรียนยาพื้นบ้านจังหวัดนครราชสีมา: ใช้ ใบ แก้เบาหวาน
           ประเทศมาเลเซีย: ใช้ใบแก้เมนส์ไม่ปกติ แก้ปวดบวม
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของรางจืดมานานแล้ว ซึ่งมีผลการศึกษาเรียนรู้วิจัย ดังนี้

  • พ.ศ. 2521 นักวิจัยจากแผนกแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มัธยมมหิดล เป็นกรุ๊ปแรกที่ทดสอบป้อนผงรากรางจืดให้หนูทดลองก่อนให้น้ำยาสตริกนินแม้กระนั้นพบว่าไม่ได้เรื่อง หนูชักแล้วก็ตาย แม้กระนั้นหากผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อน พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร แสดงว่าผงรากรางจืดสามารถซับพิษประเภทนี้ไว้
  • พ.ศ. 2523 อาจารย์พระสรัสวดี เตชะเสนรวมทั้งแผนก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำคั้นใบรางจืดป้อนตัวทดลองที่รับประทานยาฆ่าแมลง“โฟลิดอล”พบว่าแก้พิษได้ ลดอัตราการตายลงจาก 56% เหลือเพียงแค่ 5% เพียงแค่นั้น ขณะที่กรรมวิธีฉีดกลับไม่ได้ผล
  • พุทธศักราช 2551 สุชาสินี คงกระพันธ์ ใช้สารสกัดแห้งใบรางจืดป้อนหนูทดลองที่ได้รับสารกำจัดแมลงกรุ๊ปออร์แกนโนฟอสเฟตชื่อมาราไธออนพบว่าช่วยได้ 30%
  • พ.ศ. 2553 จิตบรรจง ตั้งปอง มหาวิทยาลัยวงกลมลักษณ์ พบว่าสารประกอบในใบรางจืดช่วยป้องกันการเสียชีวิตของเซลล์ประสาทของตัวทดลองที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว ก็เลยสามารถคุ้มครองปกป้องสูญเสียการเรียนและก็ความจำได้อย่างมีนัยสำคัญ

มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องใบยาเขียวสามารถคุ้มครองปกป้องตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัดพิษภายในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของผู้ที่ได้รับสารพิษ พ.ศ. 2543 รายงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าสารสกัดแห้งของน้ำใบรางจืดน่าจะมีผลลดความเป็นพิษของตับจากแอลกอฮอล์ได้ พุทธศักราช 2548 พรเพ็ญ เปรมโยธิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย รายงานผลว่าสารสกัดน้ำยาเขียวแสดงฤทธิ์ดังที่กล่าวมาข้างต้น ทั้งในหลอดทดลองและในตัวทดลอง  แล้วยังพบว่า สารสกัดน้ำใบรางจืดมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย
นอกเหนือจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากยาเขียวอีกอาทิเช่น ยอดอ่อน ดอกอ่อนสามารถใช้กินเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวก แกงรับประทาน ก็ทำได้ราวกับผักพื้นบ้านปกติ นอกเหนือจากนั้นเด็กๆตามชนบทยังนิยมดื่มน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านได้อีกด้วย โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆแต่อย่างไรก็ดี การกินรางจืดในจำนวนติดต่อกันโดยตลอด บางครั้งก็อาจจะจำเป็นต้องรอติดตามความเคลื่อนไหวของเลือดวิทยาหรือเคมีคลินิกที่บางทีอาจเกิดขึ้นต่อไปด้วย
ชารางจืด ใบยาเขียวสามารถนำมาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วนำมาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ แล้วก็ยังมีกลิ่นหอมรวมทั้งยังช่วยล้างพิษภายในร่างกายได้อีกด้วย  ในปัจจุบันได้มีการนำสมุนไพรรางจืดมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลยาเขียวหรือรางจืดแคปซูล เพื่อความสะดวกรวมทั้งไม่ยุ่งยากต่อการใช้ประโยชน์  ดอกยาเขียว นำมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำอาหารหวาน ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามชนิดสีของดอก
คนโบราณมีความคิดว่า การดื่มน้ำต้มจากยาเขียวสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่ผู้อื่นทำแก่ตนได้  ใบรางจืดตากแห้งแล้ว เอามาบดให้รอบคอบ ใช้ผสมในอาหารสัตว์ เช่น อาหารหมู ของกินไก่ เป็นต้น ช่วยเสริมภูมิต้านทานต่อโรค รวมทั้งช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอดสูงมากขึ้นหลังจากที่ได้รับเชื้อโรค

แบบ/ขนาดการใช้ สำหรับเพื่อการรักษาพิษ ใช้ใบสด 10 -12 ใบ นำมาตำกระทั่งละเอียดผสมกับน้ำซาวข้าวประมาณครึ่งแก้ว ส่วนการใช้ประโยชน์จากรากรางจืดสำหรับในการรักษาพิษ ใช้ราก 1-20 องคุลี ให้เอามาฝนหรือนำมาตำกับน้ำแช่ข้าว แล้วนำมาดื่มให้หมดเมื่อมีลักษณะอาการ แล้วก็บางครั้งอาจจะต้องใช้ซ้ำอีกภายในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเช่นเดียวกับการกางใบรางจืด  หรือใช้ใบยาเขียวทำเป็นชาแล้วกินครั้งละ 2-3 กรัม โดยชงกันน้ำร้อน 100-200 ซีซี วันละ 3 คราวก่อนอาหารหรือเมื่อมีลักษณะอาการ รักษาโรคเบาหวาน ให้ใช้ใบรางจืดราว 58 ใบ มาโขลกให้ละเอียดแล้วผสมกับน้ำแช่ข้าวรับประทานทีละ 1 แก้ว 3 เวลา แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาปริมาณยาว 10 ซม. ต้มในน้ำโดยประมาณ 10 ลิตร อาบทุกเมื่อเชื่อวัน ราว 5-7 วัน  แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว โดยนำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่สุราดื่มทุกส่วนเอามาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล ระงับลักษณะของการปวด ลดอาการบวม และกำจัดพิษจากสัตว์ต่อย อาทิ งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล           ทุกส่วนออกฤทธิ์ต่อต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลและรักษาแผล เป็นต้นว่า รักษาเชื้อไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำไปประคบบริเวณรอยแผลเริม  ทุกส่วนนำมาบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำมาประคบหรือทาแผลสด แผลหนอง ซึ่งจะช่วยทำให้แผลแห้งเร็ว ลดการตำหนิดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล  ทุกส่วนนำมาต้มน้ำกินหรือคั้นน้ำสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน และก็ช่วยทุเลาอาการอยากดื่มน้ำ  น้ำต้มจากทุกส่วน นำมาดื่มอุ่นๆสำหรับรักษา และก็ทุเลาอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ
การศึกษาทางเภสัชวิทยา  มีรายงานวิจัยในสัตว์ทดสอบพบว่า สารสกัดน้ำจากใบยาเขียว ขนาด 2 และก็ 3 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม รวมทั้งขนาด 3.5 ก./กก. มีผลลดพิษจากยาฆ่าแมลงในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตในหนูได้ โดยการทำให้อัตราการตายลดน้อยลง  รวมทั้งยังมีมีงานศึกษาเรียนรู้ทางคลินิกที่เกี่ยวพันกับการขับสารกำจัดแมลงออกจากร่างกาย พบว่ารางจืดจะถอนพิษได้ดิบได้ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพิษที่เกิดขึ้นมาจากยาฆ่าแมลง ”โฟลิดอล” รวมทั้งพิษออกฤทธิ์เกี่ยวกับการทำงานของ Cholinergic system โดยการเล่าเรียนในเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงและตรวจพบระดับสารฆ่าแมลงในร่างกาย จำนวน 49 คน พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครกินชารางจืดขนาด 8 กรัม/วันหรือยาหลอก นาน 21 วัน พบว่าปริมาณยาฆ่าแมลงในเลือดของอาสามัครที่ได้รับรางจืดลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังในวันที่ 7, 14 และ 21 ของการทดลอง และจากการเรียนของดวงรัตน์และก็คณะ พบว่าโดยยาเขียวมีผลเพิ่มปริมาณ Cholinesterase ในเลือดของเกษตรกรที่ได้รับยากำจัดศัตรูพืช
ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัตำแหน่งรีนครินทรวิโรฒ ก็เลยได้เรียนรู้ฤทธิ์ของสารสกัดยาเขียวต่อเซลล์สมอง พบว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน และโคเคน โดยปกติเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากมายในระหว่างที่คนเจ็บได้รับสารแอมเฟทามีน แล้วก็ไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวพันกับ  reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในคนป่วย ที่เข้ารับการดูแลและรักษา/บรรเทาสิ่งเสพติด ที่ได้รับการดูแลรักษาด้วยสารสกัดรางจืด อาจกำเนิดความพิงพอใจเหมือนกันกับการรับยาเสพติด หากใช้ประโยชน์สำหรับในการรักษาคนป่วยจะทำให้คนไข้ไม่ต้องทุรนทรายมาก จึงอาจเป็นต้นเหตุหนึ่งหนการรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรสำเร็จ
คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงแขนณ์มหาวิทยาลัย ได้ทำการศึกษาเรียนรู้ฤทธิ์ของยาเขียวสำหรับเพื่อการต้านทานพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วย คุ้มครองปกป้องการเสียชีวิตของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ ในหลอดทดลองแล้วก็ในหนูแรตคราวได้รับแอลกอฮอล์ โดยทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าแล้วก็สามกลีเซอร์ไรด์ในตับลดลง แล้วก็ลดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์สิ่งเดียว
                เหตุเพราะสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด รวมทั้งเพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alcohol dehydrogenase และก็ aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้ศึกษาฤทธิ์ของยาเขียวต่ออาการขาดสุรา พบว่าสารสกัดรางจืดได้ผลลดภาวการณ์เหงาหงอยรวมทั้งทำให้ความประพฤติปฏิบัติที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น แต่ไม่เป็นผลลดความไม่ค่อยสบายใจ ขึ้นรถสกัดราถงจืดชืดช่วยลดการเช็ดกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเพราะเหตุว่าขาดสุราในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บริเวณ  nucleus accumbens แล้วก็ ventral tegmental area
ในหนูโรคเบาหวานที่ได้รับน้ำสุกใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบรางจืดสดในขนาด ๕๐ มิลลิกรัม/มล.ที่ให้หนูโรคเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่เป็นผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอกเหนือจากนี้ ยังมีการทดลองพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด รวมทั้งทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดแห้งมีผลทำให้ความดันโลหิตของหนูแรตน้อยลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนใดส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor รวมทั้งทำให้เส้นโลหิตแดงคลายตัว
การใช้สมุนไพรในผู้เจ็บป่วยโรคเบาหวานแล้วก็ความดันนี้ควรรำลึกว่าจะต้องมีการดูแลและรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันและมีการวัดระดับน้ำตาลแล้วก็ระดับความดันอย่างใกล้ชิด เพราะว่าการศึกษาเล่าเรียนยังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดสอบเพียงแค่นั้น และก็ต้องระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังที่กล่าวมาข้างต้น
มีการศึกษาเรียนรู้ว่ารางจืดมีฤทธิ์ต้านทานการอับเสบสูงขึ้นยิ่งกว่ามังคุดราว 2 เท่า(ทดสอบด้วยแนวทาง Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและยังมีความปลอดภัยสูงขึ้นมากยิ่งกว่าอีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า สารสกัดยาเขียวในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบก้าวหน้าเท่ากับสตีรอยด์ครีม
ฤทธิ์สำหรับการต้านโรคมะเร็ง มีการศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ต่อต้านการก่อกลายชนิด กล่าวคือสารใดๆก็ตามมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีประสิทธิภาพสูงสามารถก่อโรคมะเร็งได้ แต่รางจืดมีฤทธิ์ต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการเล่าเรียนโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวรวมทั้งการผลิตนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวอีกนัยหนึ่งนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น รวมทั้งมีการแบ่งตัว นั่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างเป็นจริงเป็นจัง แม้กระนั้นถ้าเกิดให้สัตว์ทดลองรับประทานรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งอีกทั้งยาเขียวแบบสดแล้วก็แบบแห้งสามารถใช้ได้ผลเช่นเดียวกัน นับเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของยาเขียว
โดยพบว่าสารออกฤทธิ์บางทีอาจเป็นกรดฟีนอลิก อย่างเช่น caffeic acid รวมทั้ง apigenin และก็สารกรุ๊ปคลอโรฟิลล์ ตัวอย่างเช่น chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และ pheophytin a ซึ่งสารเหล่านี้มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระสูงมาก
สารสกัดน้ำ เอทานอล และอะสิโทน มีฤทธิ์ต่อต้านการก่อกลายจำพวก โดยยับยั้งการเกิดมะเร็ง เนื่องจากสาร 2-aminoanthracene ได้ร้อยละ 87 เมื่อพินิจพิจารณาด้วยแบคทีเรีย Salmonella typhimurium TA 98 และก็สามารถเพิ่มแนวทางการทำงานของเอนไซม์ควิโนนรีดักเทส ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีที่ใช้สำหรับการกำจัดเซลล์ของโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น ได้ตั้งแต่ 1.35-2.8 เท่า อีกทั้งยังมีรายงานการดูแลและรักษาผู้ป่วยพิษแมงดาทะเล เมื่อวันที่ 4 เดือนกุมภาพันธ์ 2522 โดยมีกล่าวว่ามี  ผู้ป่วย 4 ราย กินยำไข่แมงดาทะเล อาการสังกัดปริมาณที่ได้รับ ทุกรายมีลักษณะอาการชารอบปาก และอาเจียนอ้วก อาการชาจะลุกลามไปกล้ามมัดต่างๆที่เป็นอันตรายคือทำให้หายใจไม่ได้ คนไข้ 2 รายสลบ ต้องใช้เครื่องที่ใช้สำหรับในการช่วยหายใจ ระยะที่เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ 40 นาที จนถึง 4 ชั่วโมง หลังรับประทาน เนื่องด้วยพิษของแมงดาทะเล เป็นเทโทรโดทอกซิน (Tetrodotoxin) ไม่มียาแก้พิษจำต้องรักษาตามอาการ หลังจากได้น้ำสมุนไพรรางจืด 50 มล. ทางหลอดสวนจมูก-กระเพาะอาหาร ผู้ป่วยเริ่มรู้ตัว รวมทั้งอาการตามลำดับ ภายหลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 40 นาที คนเจ็บอีกรายได้รับการกรอกน้ำรางจืดเช่นกัน ในขนาด 50 มล. ทุก 1 ชม. 5 ครั้ง หลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 5 ชั่วโมง ผู้เจ็บป่วยเริ่มรู้ตัว และก็อาการดีขึ้นเป็นลำดับ
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษรุนแรงที่ป้อนหนูทดลองครั้งเดียว ทั้งขนาดปกติและก็ขนาดสูง ไม่เจอความแตกต่างจากปกติใดๆก็ตามและป้อนต่อเนื่องกัน 28 วัน ขนาด 500 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ไม่พบอาการไม่ดีเหมือนปกติเช่นเดียวกัน แม้กระนั้นอาจทำให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงยิ่งกว่ากลุ่มควบคุม  ค่าชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงขึ้น และ AST สูงมากขึ้น
          การเรียนพิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากใบ โดยป้อนหนูแรทขนาด 20  200  1,000  2,000 มิลลิกรัม/กก./วัน หรือคิดเป็น 1, 10, 50 รวมทั้ง 100 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 6 เดือน พบว่าไม่มีผลต่อน้ำหนักตัว การกินอาหาร การกระทำ รวมทั้งสุขภาพทั่วไปของหนู อวัยวะภายในทั้งยังระดับมหพยาธิวิทยาและจุลพยาธิยังคงปกติ และไม่กระตุ้นให้เกิดพิษสะสม ไม่ทำให้หนูตาย
มีการเรียนรู้ความเป็นพิษของยาเขียวต่อการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย พบว่า สารสกัดจากยาเขียวไม่เป็นผลทำให้แบคทีเรียกลายพันธุ์อะไร อีกทั้งยังพบว่า สารสกัดจากรางจืดสามารถต้านทานการกลายพันธุ์ได้ด้วย
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรตรึกตรองมี

  • การศึกษาเล่าเรียนระบุว่า รากของรางจืดนั้นจะมีสรรพคุณ ทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า
  • ควรที่จะใช้ให้ละเอียดและไม่ควรใช้ติดกันเป็นเวลานานเกิน 30 วัน
  • ต้องระวังสำหรับเพื่อการใช้ในคนไข้เบาหวาน เพราะอาจจะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไม่สมควรใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นเป็นเวลานานเนื่องด้วยบางทีอาจขับสารเคมี หรือตัวยาภายในร่างกายออก โดยยิ่งไปกว่านั้นคนเจ็บที่จะต้องใช้ยารักษาโดยตลอด
  • ยาเขียวบางทีอาจให้ผลข้างๆ สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคโรคหอบหืดได้โดยเมื่อเกิดอาการแพ้ยาเขียวก็อาจจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นกับแต่ละบุคคลว่าหรูหราอาการแพ้มากน้อยแค่ไหน ถ้ามีลักษณะแพ้ไม่มากก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง

  • ปัญญา อิทธิธรรม และคณะ 1999 การใช้สมุนไพรรางจืดขับสารฆ่าแมลงในร่างกายของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงในตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
  • วิสาตรี คงเจริญสุนทร และปิยรัตน์ พิมพ์ สวัสดิ์,2552. ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบฉวยโอกาสบางสายพันธุ์ของสารสกัดเมทานอลจากรางจืด. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา.
  • ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร.รางจืดราชาของยาแก้พิษ.คอลัมน์.เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่385.มกราคม.2554
  • รางจืด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์.รางจืด สมุนไพรแก้พิษและล้างพิษ.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • รางจืดสมุนไพรล้างพิษ.คู่มือสมุนไพรล้างพิษสำหรับประชาชน.สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.พิมพ์ครั้งที่2.มีนาคม 2554.20หน้า
  • รางจืดสรรพคุณรางจืด สมุนไพรลดและกำจัดสารพิษ.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย
  • Toxicity รางจืดและข่อยดำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์,กำไร กฤตศิลป์,เชิดพงษ์ น้อยภู่, 2545. การใช้สมุนไพรรางจืดเพิ่มปริมาณเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสในซีรั่มของเกษตรกรที่พบพิษสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย)
  • ข้อมูลสรรพคุณของรางจืดในการข้อยาฆ่าแมลงออกจากร่างกายเกษตรกร.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • กนกวรรณ สุขมาก;นงนุช คุ้มทอง;สมยศ เหลืองศรีสกุล;อภันตรี โอชะกุล เตือนใจ ทองสุข , 2547 .การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรรางจืดในการป้องกันการสะสมของสารเคมีกำจัดแมลงในกระแสโลหิตของเกษตรกร ตำบลไผ่ทำโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร.


Tags : รางจืด



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ