รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้  (อ่าน 18 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
veerachai29
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 12299


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 09, 2018, 03:04:39 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
รางจื[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  รางจืด
ชื่ออื่นๆ/ชื่อเขตแดน กำลังช้างเผือก , ขอยชะนาง , รางเอ็น , เครือชาเขียว (ภาคกึ่งกลาง) , ยาเขียว , เครือเข้าเย็น , หนามแน้ (ภาคเหนือ) , ดุเหว่า (จังหวัดปัตตานี) , น้ำนอง (สระบุรี) , ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) , คาย (จังหวัดยะลา) , แอดแอ ,ย้ำแย้ (จังหวัดเพชรบูรณ์) จอลอดิเอ้อ , ซั้งถะ ,พอเพียงหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ  Blue trumphet vine , Laurel clockvine
ชื่อวิทยาศาสตร์  Thumbergia laurifolia Lindl
ตระกูล    Acanthaceae
บ้านเกิดเมืองนอน รางจืดเป็นพืชเถาในเขตร้อนรวมทั้งเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ยกตัวอย่างเช่น ประเทศแถบอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา ประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ รวมทั้งบริเวณกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และก็ไตหวัน ในประเทศไทยพบได้ทั่วไปตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วๆไป ในทุกภาคของประเทศ แล้วก็เป็นพืชที่ชอบเติบโตได้เร็วมาก แม้กระนั้นปัจจุบันนิยมนำมาปลูกตามอาคารบ้านเรือนทั่วๆไป เนื่องจากว่ามีการศึกษาค้นคว้าออกมาว่าสามารถกำจัด/ล้างสารพิษภายในร่างกายได้
ลักษณะทั่วไป
ต้นรางจืดเป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพาดพันขึ้นคลุมต้นไม้ใหญ่ๆได้ต้น เถามีลักษณะกลม เช่น ข้อข้อ สีเขียว เป็นมัน เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งยาวได้มากกว่า 10 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะคล้ายใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7 เซนติเมตร (เซนติเมตร) ยาว 8-15 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบของใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี 5 เส้น ออกฐานใบเดียวกัน  ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ 3-4  ดอก กลีบดอกแผ่ออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว 1 เซนติเมตร มักมีน้ำหวานใส่อยู่ในหลอด ดอกมีสีม่วงปนสีน้ำเงิน ผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางยาว 1 ซม. เมื่อผลแห้งแล้ว จะแตก 2 ส่วน จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในฤดูหนาว (พ.ย.-จับพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น 2 ซีก เมล็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆเหมือนหนามอยู่บนเปลือกเมล็ด และก็สามารถนำไปเพาะขยายพันธุ์ถัดไปได้
การขยายพันธุ์
รางจืดสามารถแพร่พันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเมล็ดหรือปักชำ ในการปักชำจะใช้กิ่งจำพวกที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี หรือกิ่งประเภทแก่ที่สีน้ำตาลอมเขียว ด้วยการตัดกิ่งยาว 20-30 ซม. โดยให้มีตากิ่งหรือข้อกิ่งติดมาขั้นต่ำ 1-2 ตา แล้วค่อยนำปักชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดินแล้วรดน้ำให้เปียกจนถึงรากผลิออกแล้วจึงนำไปลงถุงเพาะชำเพื่อลงปลูกต่อไป หรือปักชำลงดินรอบๆที่อยากได้ปลูก แล้วก็รดน้ำเป็นประจำ 1-2 ครั้ง/วัน จนถึงกิ่งเริ่มแทงยอดอ่อน
สำหรับการปลูกจากการเพาะเม็ดนั้น นับว่าเป็นแนวทางที่สามารถได้ต้นที่สมบูรณ์ที่สุด เพราะจะได้ต้นที่สามารถแตกกิ่งแขนงได้มาก กิ่งกิ่งก้านสาขายาวได้หลายเมตร รวมทั้งลำต้นมีอายุเป็นเวลายาวนานมากกว่าการปลูกจากต้นเพาะชำ
แต่การขยายพันธุ์ยาเขียวส่วนใหญ่ชอบนิยมใช้ขั้นตอนการปักชำมากกว่า เพราะช่องทางสำหรับในการงอกมีมากกว่า และใช้เวลาน้อยกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปลูกรางจืดนั้นมีดังนี้  นำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเม็ด มาปลูกลงดินโดยให้ขุดหลุมปลูกมีความกว้างลึกราว 1x1 ฟุต แล้วรองก้นหลุมด้วยปุ๋ยหมักประมาณ 1 ใน 4 ของหลุม กลบดินน้อย วางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกึ่งกลางหลุมแล้วกลบขอบดินให้แน่น รดน้ำตามให้เปียก ควรจะปลูกริมรั้วหรือกำแพงเพื่อให้เถายาเขียวสามารถยึดเกาะแล้วก็เลื้อยพิงไปได้ หรือไม่ก็ทำค้างให้เถายาเขียวเกาะเลื้อย  รางจืดเป็นไม้ซึ่งสามารถก้าวหน้าได้ดีในดินแทบทุกประเภท รวมทั้งเป็นไม้ที่อยากได้แสงแดดปานกลางเป็นไม่อยากแสงอาทิตย์ที่จัดมากจนเกินไป รวมทั้งมีความต้องการน้ำปานกลาง ในระยะเริ่มต้นปลูกจะต้องรดน้ำให้ดินมีความชุ่มชื้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในตอนเวลาเช้า ส่วนการให้ปุ๋ยนั้นใช้ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยคอก ใส่รอบๆโคนต้นปีละ 2 ครั้ง โดยการกระพรวนดินโคนต้นให้ร่วนเสียก่อนก็เลยให้ปุ๋ย แล้วรดน้ำตาม
การเก็บใบยาเขียว  สำหรับใบยาเขียวที่จะเก็บมาใช้ทางยา ควรจะเก็บจากต้นที่แก่ตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป แล้วก็ให้ทยอยเก็บจากใบล่างบริเวณโคนกิ่งก่อน แล้วก็ค่อยเก็บไปจนกระทั่งกลางกิ่ง ไม่สมควรเก็บให้ถึงบริเวณปลายกิ่งภายหลังเก็บมาแล้ว หากไม่ใช้ในทันที ให้นำใบมาล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำไปผึ่งแดด 5-7 แดด เมื่อแห้งแล้วให้เก็บใสถุงหรือกล่องไว้ ระวังไม่ให้โดนน้ำ เพราะอาจกำเนิดเชื้อราได้
องค์ประกอบทางเคมี ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก, apigenin, cosmosin, delphinidin-3,5-di-O-beta-D-glucoside, chlorogenic acid, caffeic acid, lutein – Chlorophyll a Chlorophyll b  Pheophorbide a  Pheophytin a
คุณประโยชน์ / สรรพคุณ
                รางจืดจัดเป็นยารสเย็นใช้ปรุงเป็นยาเขียวลดไข้ ถอนพิษผิดสำแดง รวมทั้งพิษอื่นๆใช้แก้ร้อนใน หิวน้ำ รักษาโรคโรคหอบหืดเรื้อรัง และก็แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆใช้แก้พิษเบื่อเมาเพราะว่าเห็ดพิษ สารหนู หรือสารกำจัดศัตรูพืช
                ตำรายาไทย: ใบ ราก และก็เถา รสจืดเย็น ตำคั้น หรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำยาดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ทำลายพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้รอบเดือนไม่ดีเหมือนปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม เถาและก็ใบ รับประทานแก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้พิษร้อนต่างๆราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวม แก้เมาค้าง แก้ลักษณะของการปวดหัวมึนหัวอันเนื่องมาจากพิษเหล้า ทำลายพิษสุรา พิษหลงเหลือในร่างกาย ใช้รากเข้ายารักษาโรคอักเสบและก็ปอดบวม รากรวมทั้งเถา ใช้รับประทานเป็นยารักษาอาการร้อนในหิวน้ำ รักษาพิษร้อนทั้งปวง อีกทั้งต้น รสจืดเย็น ถอนพิษยาเบื่อเมา หรือใช้ปรุงเป็นยาเขียว ทำลายพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง พิษเบื่อเมาเพราะเห็ดพิษ สารหนู หรือยาฆ่าแมลง และก็พิษทั้งหมด  รักษาโรคหอบหืดเรื้อรัง แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆปรุงยาแก้มะเร็ง หมอยาแผนไทยใช้เพื่อช่วยจับพิษในตับหรือล้างพิษในตับ
           สมุนไพรประจำถิ่นล้านนา: ใช้ ใบและราก ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกบาดแผล น้ำร้อนลวก ไฟไหม้ ทำลายพิษยากำจัดแมลง พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากกินเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อจำพวกต่างๆ(ระบุว่ารากรางจืดมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า))
           ตำราเรียนยาท้องถิ่นจังหวัดโคราช: ใช้ ใบ แก้เบาหวาน
           ประเทศมาเลเซีย: ใช้ใบแก้ประจำเดือนผิดปกติ แก้ปวดบวม
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการทำการค้นคว้าเกี่ยวกับสรรพคุณของยาเขียวมานานแล้ว ซึ่งส่งผลการศึกษาทำการค้นคว้าและวิจัย ดังต่อไปนี้

  • พุทธศักราช 2521 นักค้นคว้าจากแผนกแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล เป็นกลุ่มแรกที่ทดสอบป้อนผงรากรางจืดให้ตัวทดลองก่อนให้น้ำยาสตริกนินแต่พบว่าไม่ได้ผล หนูชักแล้วก็ตาย แม้กระนั้นถ้าเกิดผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อน พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร มีความหมายว่าผงรากยาเขียวสามารถดูดซึมพิษชนิดนี้ไว้
  • พ.ศ. 2523 อาจารย์พาณี เตชะเสนรวมทั้งแผนก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำคั้นใบยาเขียวป้อนหนูทดลองที่รับประทานสารกำจัดศัตรูพืช“โฟลิดอล”พบว่าแก้พิษได้ ลดอัตราการตายลงจาก 56% เหลือเพียง 5% เพียงแค่นั้น ในช่วงเวลาที่กระบวนการฉีดกลับไม่ได้เรื่อง
  • พุทธศักราช 2551 สุชาสินี คงกระพันชาตรีธ์ ใช้สารสกัดแห้งใบรางจืดป้อนตัวทดลองที่ได้รับยาฆ่าแมลงกรุ๊ปออร์แกนโนฟอสเฟตชื่อมาราไธออนพบว่าช่วยชีวิตได้ 30%
  • พ.ศ. 2553 จิตบรรจง ตั้งปอง มหาวิทยาลัยวงกลมลักษณ์ พบว่าสารประกอบในใบรางจืดช่วยปกป้องการตายของเซลล์ประสาทของหนูทดลองที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว ก็เลยสามารถคุ้มครองป้องกันสูญเสียการเล่าเรียนและความจำได้อย่างมีนัยสำคัญ

มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องใบรางจืดสามารถปกป้องตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัดพิษในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของคนที่ได้รับพิษ พุทธศักราช 2543 รายงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าสารสกัดแห้งของน้ำใบรางจืดคงจะมีผลลดความเป็นพิษของตับจากแอลกอฮอล์ได้ พุทธศักราช 2548 พรเพ็ญ เปรมโยธิน จุฬาลงมือณ์มหาวิทยาลัย รายงานผลว่าสารสกัดน้ำรางจืดแสดงฤทธิ์ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ทั้งยังในหลอดทดลองและก็ในตัวทดลอง  แล้วยังพบว่า สารสกัดน้ำใบยาเขียวมีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระด้วย
ยิ่งกว่านั้นยังมีการใช้ประโยชน์จากรางจืดอีกดังเช่นว่า ยอดอ่อน ดอกอ่อนสามารถใช้รับประทานเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวก แกงรับประทาน ก็ทำเป็นอย่างกับผักท้องถิ่นทั่วๆไป นอกจากนั้นเด็กๆตามชนบทยังนิยมดื่มน้ำหวานจากดอกยาเขียวที่บ้านได้อีกด้วย โดยไม่เกิดอันตรายอะไรก็แล้วแต่แต่ว่าแม้กระนั้น การกินรางจืดในปริมาณต่อเนื่องกันอย่างต่อเนื่อง บางทีอาจจะจำต้องคอยติดตามความเคลื่อนไหวของโลหิตวิทยาหรือเคมีสถานพยาบาลที่อาจเกิดขึ้นถัดไปด้วย
ชายาเขียว ใบยาเขียวสามารถนำมาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วเอามาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ และยังมีกลิ่นหอมยวนใจรวมทั้งยังช่วยล้างพิษภายในร่างกายได้อีกด้วย  ในตอนนี้ได้มีการนำสมุนไพรรางจืดมาดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลยาเขียวหรือยาเขียวแคปซูล เพื่อความสบายและไม่ยุ่งยากต่อการใช้ประโยชน์  ดอกยาเขียว เอามาบดให้ถี่ถ้วนผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำของว่าง ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามชนิดสีของดอก
คนสมัยเก่ามีความเชื่อว่า การดื่มน้ำต้มจากยาเขียวสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่คนอื่นๆทำแก่ตนได้  ใรางจืด
ตากแห้งแล้ว เอามาบดอย่างถี่ถ้วน ใช้ผสมในอาหารสัตว์ เช่น อาหารหมู อาหารไก่ เป็นต้น ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อโรค และก็ช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอคอยดสูงขึ้นภายหลังที่ได้รับเชื้อโรค

รูปแบบ/ขนาดวิธีใช้ สำหรับการรักษาพิษ ใช้ใบสด 10 -12 ใบ เอามาตำจนละเอียดผสมกับน้ำแช่ข้าวประมาณครึ่งแก้ว ส่วนการใช้ประโยชน์จากรากยาเขียวสำหรับการรักษาพิษ ใช้ราก 1-20 องคุลี ให้เอามาฝนหรือนำมาตำกับน้ำซาวข้าว แล้วนำมาดื่มให้หมดทันทีที่มีลักษณะอาการ รวมทั้งบางทีก็อาจจะต้องใช้ซ้ำอีกข้างในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเหมือนกับการกางใบรางจืด  หรือใช้ใบรางจืดทำเป็นชาแล้วรับประทานครั้งละ 2-3 กรัม โดยชงกันน้ำร้อน 100-200 ซีซี วันละ 3 คราวก่อนอาหารหรือเมื่อมีลักษณะ รักษาโรคโรคเบาหวาน ให้ใช้ใบยาเขียวราวๆ 58 ใบ มาตำอย่างถี่ถ้วนแล้วผสมกับน้ำแช่ข้าวกินทีละ 1 แก้ว 3 เวลา แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาปริมาณยาว 10 ซม. ต้มในน้ำประมาณ 10 ลิตร อาบทุกๆวัน โดยประมาณ 5-7 วัน  แก้ปวดเมื่อย โดยนำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่สุราดื่มทุกส่วนนำมาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล ระงับอาการปวด ลดอาการบวม และก็กำจัดพิษจากสัตว์ต่อย เช่น งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล           ทุกส่วนออกฤทธิ์ต้านทานการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลและรักษาแผล ดังเช่น รักษาไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำเล็กน้อย ก่อนนำไปประคบรอบๆรอยแผลเริม  ทุกส่วนเอามาบดผสมน้ำบางส่วน ก่อนเอามาประคบหรือทาแผลสด แผลหนอง ซึ่งจะช่วยทำให้แผลแห้งเร็ว ลดการติดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล  ทุกส่วนเอามาต้มน้ำหรือคั้นน้ำดื่มสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน แล้วก็ช่วยทุเลาอาการอยากกินน้ำ  น้ำสุกจากทุกส่วน นำมาดื่มอุ่นๆสำหรับรักษา และบรรเทาอาการท้องร่วงหรือของกินเป็นพิษ
การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา  มีรายงานศึกษาค้นคว้าในสัตว์ทดสอบพบว่า สารสกัดน้ำจากใบรางจืด ขนาด 2 รวมทั้ง 3 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม แล้วก็ขนาด 3.5 กรัม/กิโลกรัม มีผลลดพิษจากสารกำจัดศัตรูพืชในกลุ่มออร์กาโนฟอสเฟตในหนูได้ โดยการทำให้อัตราการตายลดลง  และก็ยังมีมีงานศึกษาค้นคว้าวิจัยทางคลินิกที่เกี่ยวเนื่องกับการขับยาฆ่าแมลงออกมาจากร่างกาย พบว่ายาเขียวจะถอนพิษก้าวหน้า โดยเฉพาะพิษที่เกิดขึ้นมาจากยาฆ่าแมลง ”โฟลิดอล” และก็พิษออกฤทธิ์เกี่ยวโยงกับหลักการทำงานของ Cholinergic system โดยการเรียนในเกษตรกรกรุ๊ปเสี่ยงและก็ตรวจพบระดับสารฆ่าแมลงภายในร่างกาย ปริมาณ 49 คน พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครรับประทานชารางจืดขนาด 8 ก./วันหรือยาหลอก นาน 21 วัน พบว่าปริมาณยาฆ่าแมลงในเลือดของอาสามัครที่ได้รับรางจืดต่ำลงอย่างเป็นจริงเป็นจังในวันที่ 7, 14 และก็ 21 ของการทดลอง รวมทั้งจากการเรียนของดวงรัตน์และแผนก พบว่าโดยรางจืดส่งผลเพิ่มปริมาณ Cholinesterase ในเลือดของเกษตรกรที่ได้รับสารกำจัดศัตรูพืช
ภาควิชาสรีรวิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัยศรีนครินทรพีโรฒ ก็เลยได้ศึกษาเล่าเรียนฤทธิ์ของสารสกัดยาเขียวต่อเซลล์สมอง พบว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน และโคเคน โดยธรรมดาเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากในขณะคนเจ็บได้รับสารแอมเฟทามีน และไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวเนื่องกับ  reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในคนป่วย ที่เข้ารับการดูแลและรักษา/บรรเทายาเสพติด ที่ได้รับการดูแลและรักษาด้วยสารสกัดยาเขียว บางทีอาจเกิดความอิงพอใจเหมือนกับการรับยาเสพติด ถ้าหากใช้ประโยชน์ในการรักษาคนเจ็บจะทำให้ผู้ป่วยไม่ต้องทุรนทรายมากมาย ก็เลยอาจเป็นสาเหตุหนึ่งคราวการดูแลรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรได้ผล
คณะเภสัชศาตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดสำหรับในการต่อต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วย ปกป้องการถึงแก่กรรมของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ อีกทั้งในหลอดทดลองและก็ในหนูแรตหนได้รับแอลกอฮอล์ โดยการทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและไตรกลีเซอร์ไรด์ในตับลดลง รวมทั้งลดการเปลี่ยนแปลงสภาพทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์สิ่งเดียว
                ด้วยเหตุว่าสารสกัดด้วยน้ำของยาเขียวช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด แล้วก็เพิ่มระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมี alcohol dehydrogenase รวมทั้ง aldehyde dehydrogenase
ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เล่าเรียนฤทธิ์ของยาเขียวต่ออาการขาดเหล้า พบว่าสารสกัดรางจืดให้ผลลดสภาวะเซื่องซึมรวมทั้งทำให้ความประพฤติปฏิบัติที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนไปในทางที่ดียิ่งขึ้น แต่ว่าไม่มีผลลดความกังวล โดยสารสกัดราถงจืดชืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเหตุเพราะขาดสุราในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยเฉพาะที่บริเวณ  nucleus accumbens และก็ ventral tegmental area
ในหนูเบาหวานที่ได้รับน้ำสุกใบรางจืดทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงอย่างเป็นจริงเป็นจังทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบยาเขียวสดในขนาด ๕๐ มิลลิกรัม/มิลลิลิตรที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
นอกเหนือจากนั้น ยังมีการทดสอบพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบรางจืดมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด แล้วก็ทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้จะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวแห้งมีผลทำให้ความดันเลือดของหนูแรตลดน้อยลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนหนึ่งอาจผ่าน Cholinergic receptor และทำให้หลอดเลือดแดงคลายตัว
การใช้สมุนไพรในคนป่วยโรคเบาหวานและก็ความดันนี้ควรจะรำลึกว่าจะต้องมีการดูแลรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันแล้วก็มีการวัดระดับน้ำตาลแล้วก็ระดับความดันอย่างใกล้ชิด เหตุเพราะการศึกษายังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดลองแค่นั้น รวมถึงต้องระมัดระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังที่กล่าวถึงแล้ว
มีการศึกษาว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อต้านการอับเสบสูงกว่ามังคุดราว 2 เท่า(ทดลองด้วยแนวทาง Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรรวมทั้งยังมีความปลอดภัยสูงกว่าอีกด้วย นอกนั้นยังพบว่า สารสกัดรางจืดในรูปแบบของครีมสามารถลดการอักเสบเจริญเท่ากับสตีรอยด์ครีม
ฤทธิ์สำหรับการต้านทานมะเร็ง มีการศึกษาฤทธิ์ต่อต้านการก่อกลายพันธุ์ กล่าวอีกนัยหนึ่งสารใดๆก็ตามมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีศักยภาพสูงสามารถก่อมะเร็งได้ แต่ว่ารางจืดมีฤทธิ์ต่อต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการเรียนโดยให้หนูรับประทานสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและการผลิตนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง พูดอีกนัยหนึ่งนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น รวมทั้งมีการแบ่งตัว โน่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างเป็นจริงเป็นจัง แต่ว่าหากให้สัตว์ทดสอบกินรางจืดร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งทั้งยาเขียวแบบสดรวมทั้งแบบแห้งสามารถใช้ได้ผลด้วยเหมือนกัน นับเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของรางจืด
โดยพบว่าสารออกฤทธิ์อาจเป็นกรดฟีนอลิก เช่น caffeic acid แล้วก็ apigenin และก็สารกรุ๊ปคลอโรฟิลล์ ดังเช่นว่า chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และก็ pheophytin a ซึ่งสารพวกนี้มีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระสูงมาก
สารสกัดน้ำ เอทานอล และอะซิโทน มีฤทธิ์ต้านการก่อกลายชนิด โดยยั้งการเกิดมะเร็ง เนื่องด้วยสาร 2-aminoanthracene ได้ปริมาณร้อยละ 87 เมื่อวิเคราะห์ด้วยแบคทีเรีย Salmonella typhimurium TA 98 แล้วก็สามารถเพิ่มการทำงานของเอนไซม์ควิโนนรีดักเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้เพื่อการกำจัดเซลล์ของมะเร็งระยะเริ่มต้น ได้ตั้งแต่ 1.35-2.8 เท่า ทั้งยังมีรายงานการดูแลและรักษาผู้ป่วยพิษแมงดาทะเล เมื่อวันที่ 4 ก.พ. 2522 โดยมีรายงานว่ามี  คนไข้ 4 ราย กินยำไข่แมงดาทะเล อาการขึ้นกับจำนวนที่ได้รับ ทุกรายมีลักษณะชารอบปาก และอ้วกอาเจียน อาการชาจะลุกลามไปกล้ามเนื้อมัดต่างๆที่เป็นโทษเป็นทำให้หายใจมิได้ คนไข้ 2 รายหมดสติ จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะที่เริ่มออกอาการตั้งแต่ 40 นาที จนกระทั่ง 4 ชั่วโมง หลังรับประทาน เหตุเพราะพิษของแมงดาทะเล เป็นเทโทรโดทอกซิน (Tetrodotoxin) ไม่มียาแก้พิษต้องรักษาตามอาการ หลังจากได้น้ำสมุนไพรยาเขียว 50 มิลลิลิตร ทางหลอดสวนจมูก-กระเพาะ คนไข้เริ่มรู้ตัว และอาการดียิ่งขึ้นเป็นลำดับ ภายหลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 40 นาที ผู้ป่วยอีกรายได้รับการกรอกน้ำยาเขียวเช่นเดียวกัน ในขนาด 50 มล. ทุก 1 ชม. 5 ครั้ง หลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 5 ชั่วโมง ผู้เจ็บป่วยเริ่มรู้สึกตัว และอาการเป็นลำดับ
การศึกษาเล่าเรียนทางพิษวิทยา
การทดสอบความเป็นพิษกะทันหันที่ป้อนตัวทดลองครั้งเดียว ขนาดธรรมดาแล้วก็ขนาดสูง ไม่พบความผิดปกติใดๆก็ตามแล้วก็ป้อนต่อเนื่องกัน 28 วัน ขนาด 500 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่เจออาการแตกต่างจากปกติเหมือนกัน แม้กระนั้นอาจทำให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงขึ้นมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  ค่าวิชาชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงมากขึ้น และก็ AST สูงขึ้น
          การเรียนพิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากใบ โดยป้อนหนูแรทขนาด 20  200  1,000  2,000 มก./กก./วัน หรือคิดเป็น 1, 10, 50 แล้วก็ 100 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคนเป็นเวลา 6 เดือน พบว่าไม่มีผลต่อน้ำหนักตัว การกินอาหาร ความประพฤติปฏิบัติ และสุขภาพทั่วๆไปของหนู อวัยวะภายในทั้งระดับมหพยาธิวิทยาและจุลพยาธิยังคงธรรมดา และไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดพิษสะสม ไม่ทำให้หนูตาย
มีการเล่าเรียนความเป็นพิษของยาเขียวต่อการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย พบว่า สารสกัดจากรางจืดไม่มีผลทำให้แบคทีเรียกลายพันธุ์แต่อย่างใด ทั้งยังยังพบว่า สารสกัดจากยาเขียวสามารถต้านทานการกลายพันธุ์ได้ด้วย
ข้อเสนอแนะ/ข้อควรระวังมี

  • การศึกษาบอกว่า รากของยาเขียวนั้นจะมีคุณประโยชน์ ทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า
  • ควรใช้อย่างระแวดระวังและไม่ควรจะใช้ติดกันเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกิน 30 วัน
  • พึงระวังสำหรับการใช้ในคนเจ็บโรคเบาหวาน เพราะอาจจะเป็นผลให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไม่สมควรใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นเป็นเวลานานเหตุเพราะอาจขับสารเคมี หรือตัวยาในร่างกายออก โดยยิ่งไปกว่านั้นคนเจ็บที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาโดยตลอด
  • ยาเขียวอาจให้ผลใกล้กัน สำหรับคนไข้ที่เป็นโรคโรคหอบหืดได้โดยเมื่อเกิดอาการแพ้รางจืดก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีผลต่อระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลว่าหรูหราอาการแพ้มากน้อยแค่ไหน ถ้าหากมีลักษณะแพ้ไม่มากก็บางทีก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง

  • ปัญญา อิทธิธรรม และคณะ 1999 การใช้สมุนไพรรางจืดขับสารฆ่าแมลงในร่างกายของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงในตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
  • วิสาตรี คงเจริญสุนทร และปิยรัตน์ พิมพ์ สวัสดิ์,2552. ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบฉวยโอกาสบางสายพันธุ์ของสารสกัดเมทานอลจากรางจืด. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา.
  • ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร.รางจืดราชาของยาแก้พิษ.คอลัมน์.เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่385.มกราคม.2554
  • รางจืด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์.รางจืด สมุนไพรแก้พิษและล้างพิษ.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • รางจืดสมุนไพรล้างพิษ.คู่มือสมุนไพรล้างพิษสำหรับประชาชน.สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.พิมพ์ครั้งที่2.มีนาคม 2554.20หน้า
  • รางจืดสรรพคุณรางจืด สมุนไพรลดและกำจัดสารพิษ.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย
  • Toxicity รางจืดและข่อยดำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์,กำไร กฤตศิลป์,เชิดพงษ์ น้อยภู่, 2545. การใช้สมุนไพรรางจืดเพิ่มปริมาณเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสในซีรั่มของเกษตรกรที่พบพิษสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย)
  • ข้อมูลสรรพคุณของรางจืดในการข้อยาฆ่าแมลงออกจากร่างกายเกษตรกร.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • กนกวรรณ สุขมาก;นงนุช คุ้มทอง;สมยศ เหลืองศรีสกุล;อภันตรี โอชะกุล เตือนใจ ทองสุข , 2547 .การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรรางจืดในการป้องกันการสะสมของสารเคมีกำจัดแมลงในกระแสโลหิตของเกษตรกร ตำบลไผ่ทำโพ อำเภอโพธิ์ประทับช้าง จังหวัดพิจิตร.


Tags : รางจืด



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ