รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: รางจือมีสรรพตุณเเละประโยชน์ดังนี้  (อ่าน 34 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงจันทร์5555
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 80


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: กรกฎาคม 12, 2018, 08:10:20 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

[/b]
รางจื[/size][/b]
ชื่อสมุนไพร  ยาเขียว
ชื่ออื่นๆ/ชื่อแคว้น กำลังช้างเผือก , ขอยชะนาง , รางเอ็น , เครือชาเขียว (ภาคกลาง) , ยาเขียว , เครือเข้าเย็น , หนามแน้ (ภาคเหนือ) , ดุเหว่า (จังหวัดปัตตานี) , น้ำขัง (สระบุรี) , ทิดพุด (นครศรีธรรมราช) , คาย (จังหวัดยะลา) , แอดแอ ,ย้ำแย้ (เพชรบูรณ์) หน้าจอลอดิเอ้อ , กร่ำถะ ,พอเพียงหน่อเตอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ชื่อสามัญ  Blue trumphet vine , Laurel clockvine
ชื่อวิทยาศาสตร์  Thumbergia laurifolia Lindl
สกุล    Acanthaceae
ถิ่นเกิด รางจืดเป็นพืชเถาในเขตร้อนและเขตอบอุ่นของทวีปเอเชีย ดังเช่น ประเทศแถบประเทศอินเดีย อินโดจีน ศรีลังกา ประเทศพม่า ไทย มาเลเซีย อินโนดีเซีย ประเทศฟิลิปปินส์ รวมถึงบริเวณกวางตุ้ง สาธารณรัฐประชาชนจีน และไตหวัน ในประเทศไทยพบได้บ่อยตามป่าดงดิบหรือป่าดิบชื้นทั่วไป ในทุกภาคของประเทศ และเป็นพืชที่ชอบเติบโตได้เร็วมาก แม้กระนั้นเดี๋ยวนี้นิยมนำมาปลูกตามบ้านช่องทั่วไป ด้วยเหตุว่ามีการทำการศึกษาเรียนรู้ออกมาว่าสามารถกำจัด/ล้างสารพิษภายในร่างกายได้
ลักษณะทั่วไป
ต้นยาเขียวเป็นไม้เถาสามารถเลื้อยไปตามพื้นดินหรือพิงพันขึ้นคลุมต้นไม้ใหญ่ๆได้ต้น เถามีลักษณะกลม เช่น ข้อบ้อง สีเขียว วาว เมื่อเถาแก่เป็นสีน้ำตาลมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งยาวได้มากกว่า 10 เมตร ใบเป็นใบผู้เดียวสีเขียวเข้มออกเป็นคู่ตรงข้ามตรงข้อของลำต้น ใบมีลักษณะเหมือนใบย่านางรูปขอบขนานหรือรูปไข่ กว้าง 4-7 เซนติเมตร (เซนติเมตร) ยาว 8-15 เซนติเมตร ปลายเรียวแหลม โคนเว้าหรือหยักรูปหัวใจ ขอบใบเรียบหรือหยักตื้น เส้นใบมี 5 เส้น ออกฐานใบเดียวกัน  ดอก ออกตามซอกใบใกล้ปลายยอด ช่อละ 3-4  ดอก กลีบดอกแบออกเป็นรูปแตร ปลายแยกเป็น 5 แฉก โคนดอกเป็นหลอดกรวยยาวราว 1 เซนติเมตร มักมีน้ำหวานใส่อยู่ในหลอด ดอกมีสีม่วงแกมสีน้ำเงิน ผลเป็นรูปทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางยาว 1 ซม. เมื่อผลแห้งแล้ว จะแตก 2 ซีก จากจะงอยส่วนบน มักมีดอกในฤดูหนาว (พ.ย.-จับพาพันธ์) ดอกที่โรยแล้วบางดอกอาจติดผล เมื่อแก่เปลือก ผลเป็นสีน้ำตาล แตกออกเป็น 2 ส่วน เมล็ดมีสีน้ำตาลมีปุ่มเล็กๆเหมือนหนามอยู่บนเปลือกเมล็ด และก็สามารถนำไปเพาะขยายพันธุ์ต่อไปได้
การขยายพันธุ์
รางจืดสามารถเพาะพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเม็ดหรือปักชำ ในการปักชำจะใช้กิ่งพันธุ์ที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี หรือกิ่งประเภทแก่ที่สีน้ำตาลอมเขียว ด้วยการตัดกิ่งยาว 20-30 เซนติเมตร โดยให้มีตากิ่งหรือข้อกิ่งติดมาอย่างน้อย 1-2 ตา แล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยนำปักชำในทรายหรือแกลบที่ไม่มีดินแล้วรดน้ำให้เปียกแฉะกระทั่งรากแตกออกและหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปลงถุงเพาะชำเพื่อลงปลูกต่อไป หรือปักชำลงดินรอบๆที่อยากได้ปลูก รวมทั้งรดน้ำบ่อย 1-2 ครั้ง/วัน จนกระทั่งกิ่งเริ่มแทงยอดอ่อน
สำหรับในการปลูกจากการเพาะเมล็ดนั้น ถือเป็นแนวทางที่สามารถได้ต้นที่มีความสมบูรณ์ที่สุด เนื่องจากว่าจะได้ต้นซึ่งสามารถแตกกิ่งกิ่งก้านสาขาได้มาก กิ่งกิ้งก้านยาวได้หลายเมตร แล้วก็ลำต้นมีอายุเป็นเวลายาวนานมากกว่าการปลูกจากต้นเพาะชำ
แต่ว่าการขยายพันธุ์รางจืดส่วนใหญ่มักจะนิยมใช้กรรมวิธีการปักชำมากกว่า เพราะโอกาสสำหรับในการแตกออกมีมากยิ่งกว่า แล้วก็ใช้เวลาน้อยกว่าการเพาะเมล็ด สำหรับวิธีการปลูกรางจืดนั้นมีดังนี้  นำเอากิ่งที่ได้จากการปักชำ หรือต้นกล้าที่ได้จากการเพาะเม็ด มาปลูกลงดินโดยให้ขุดหลุมปลูกมีความกว้างลึกราว 1x1 ฟุต แล้วรองตูดหลุมด้วยปุ๋ยธรรมชาติโดยประมาณ 1 ใน 4 ของหลุม กลบดินบางส่วน วางกิ่งปลูกหรือต้นกล้าลงกึ่งกลางหลุมแล้วกลบขอบดินให้แน่น รดน้ำตามให้เปียก ควรจะปลูกขอบรั้วหรือกำแพงเพื่อให้เถารางจืดสามารถยึดเกาะและเลื้อยพาดไปได้ หรือไม่ก็ทำค้างให้เถายาเขียวเกาะเลื้อย  ยาเขียวเป็นไม้ที่สามารถเจริญก้าวหน้าในดินเกือบทุกประเภท รวมทั้งเป็นไม้ที่ต้องการแสงอาทิตย์ปานกลางหมายถึงไม่ได้อยากแสงแดดที่จัดมากเกินความจำเป็น และก็มีความต้องการน้ำปานกลาง ในระยะต้นปลูกจะต้องรดน้ำให้ดินมีความชื้นอยู่ตลอดระยะเวลา เมื่อต้นโตแล้วให้รดน้ำวันละ 1 ครั้ง ในรุ่งอรุณ ส่วนการให้ปุ๋ยนั้นใช้ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยธรรมชาติ ใส่รอบๆโคนต้นปีละ 2 ครั้ง โดยการกระพรวนดินโคนต้นให้ร่วนซะก่อนจึงให้ปุ๋ย แล้วรดน้ำตาม
การเก็บใบรางจืด  สำหรับใบยาเขียวที่จะเก็บมาใช้ทางยา ควรจะเก็บจากต้นที่มีอายุตั้งแต่ 1 ปี ขึ้นไป และให้ทยอยเก็บจากใบล่างรอบๆโคนกิ่งก่อน รวมทั้งค่อยเก็บไปจนกระทั่งกึ่งกลางกิ่ง ไม่สมควรเก็บให้ถึงรอบๆปลายกิ่งหลังจากเก็บมาแล้ว ถ้าไม่ใช้โดยทันที ให้นำใบมาล้างน้ำให้สะอาด ก่อนนำไปผึ่งแดด 5-7 แดด เมื่อแห้งแล้วให้เก็บใสถุงหรือกล่องไว้ ระวังไม่ให้โดนน้ำ เพราะว่าอาจกำเนิดเชื้อราได้
ส่วนประกอบทางเคมี ฟลาโวนอยด์, ฟีนอลิก, apigenin, cosmosin, delphinidin-3,5-di-O-beta-D-glucoside, chlorogenic acid, caffeic acid, lutein – Chlorophyll a Chlorophyll b  Pheophorbide a  Pheophytin a
ประโยชน์ / สรรพคุณ
                รางจืดจัดเป็นยารสเย็นใช้ปรุงเป็นยาเขียวลดไข้ ทำลายพิษผิดสำแดง และก็พิษอื่นๆใช้แก้ร้อนใน อยากกินน้ำ รักษาโรคหอบหืดเรื้อรัง รวมทั้งแก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆใช้แก้พิษเบื่อเมาเนื่องด้วยเห็ดพิษ สารหนู หรือยาฆ่าแมลง
                แบบเรียนยาไทย: ใบ ราก รวมทั้งเถา รสจืดเย็น ตำคั้น หรือเอารากฝนกับน้ำ หรือต้มเอาน้ำยาดื่มถอนพิษ แก้ไข้ ถอนพิษยาเบื่อเมา แก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้ระดูแตกต่างจากปกติ แก้ปวดหู ตำพอก แก้ปวดบวม เถารวมทั้งใบ กินแก้ร้อนในอยากกินน้ำ แก้พิษร้อนต่างๆราก รสจืดเย็น แก้อักเสบ แก้ปวดบวม แก้เมาค้าง แก้ลักษณะของการปวดหัวมึนหัวสาเหตุจากพิษสุรา ถอนพิษสุรา พิษหลงเหลือภายในร่างกาย ใช้รากเข้ายารักษาโรคอักเสบและก็ปอดบวม รากและก็เถา ใช้กินเป็นยารักษาอาการร้อนในอยากกินน้ำ รักษาพิษร้อนทั้งมวล ทั้งยังต้น รสจืดเย็น ทำลายพิษยาเบื่อเมา หรือใช้ปรุงเป็นยาเขียว ทำลายพิษไข้ ถอนพิษผิดสำแดง พิษเบื่อเมาเนื่องจากเห็ดพิษ สารหนู หรือสารกำจัดแมลง และพิษทั้งมวล  รักษาอาการหอบหืดเรื้อรัง แก้ผื่นคันจากอาการแพ้ต่างๆปรุงยาแก้มะเร็ง แพทย์ยาแผนไทยใช้เพื่อช่วยจับพิษในตับหรือล้างพิษในตับ
           สมุนไพรพื้นบ้านล้านนา: ใช้ ใบและราก ปรุงเป็นยาถอนพิษไข้ เป็นยาพอกรอยแผล น้ำร้อนลวก ไฟลุก ทำลายพิษสารกำจัดศัตรูพืช พิษจากสตริกนินให้เป็นกลาง พิษจากกินเหล้ามากเกินไป หรือยาเบื่อชนิดต่างๆ(บอกว่ารากรางจืดมีตัวยามากกว่าใบ 4-7 เท่า))
           หนังสือเรียนยาท้องถิ่นนครราชสีมา: ใช้ ใบ แก้โรคเบาหวาน
           ประเทศมาเลเซีย: ใช้ใบแก้ประจำเดือนไม่ปกติ แก้ปวดบวม
                ส่วนในทางการแพทย์แผนปัจจุบันได้มีการศึกษาวิจัยเกี่ยวกับสรรพคุณของยาเขียวมานานแล้ว ซึ่งส่งผลการศึกษาวิจัย ดังนี้

  • พุทธศักราช 2521 นักค้นคว้าจากภาควิชาแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มัธยมมหิดล เป็นกลุ่มแรกที่ทดสอบป้อนผงรากรางจืดให้ตัวทดลองก่อนให้น้ำยาสตริกนินแต่ว่าพบว่าไม่เป็นผล หนูชักและก็ตาย แม้กระนั้นถ้าหากผสมกับน้ำยาสตริกนินก่อนป้อน พบว่าหนูทดลองไม่เป็นอะไร หมายความว่าผงรากรางจืดสามารถดูดซับพิษประเภทนี้ไว้
  • พ.ศ. 2523 อาจารย์พระสรัสวดี เตชะเสนและก็ภาควิชา มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ใช้น้ำคั้นใบยาเขียวป้อนหนูทดลองที่รับประทานสารกำจัดศัตรูพืช“โฟลิดอล”พบว่าแก้พิษได้ ลดอัตราการตายลงจาก 56% เหลือแค่ 5% แค่นั้น ในเวลาที่กรรมวิธีการฉีดกลับไม่เป็นผล
  • พ.ศ. 2551 สุชาสินี คงกระพันธ์ ใช้สารสกัดแห้งใบรางจืดป้อนตัวทดลองที่ได้รับสารกำจัดศัตรูพืชกรุ๊ปออร์แกนโนฟอสเฟตชื่อมาราไธออนพบว่าช่วยได้ 30%
  • พุทธศักราช 2553 จิตบรรจง ตั้งปอง มหาวิทยาลัยวงกลมลักษณ์ พบว่าสารประกอบในใรางจืดช่วยคุ้มครองปกป้องการตายของเซลล์ประสาทของหนูทดลองที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว จึงสามารถคุ้มครองปกป้องสูญเสียการศึกษาแล้วก็ความจำได้อย่างเป็นจริงเป็นจัง

    มีการศึกษาค้นคว้าเรื่องใบยาเขียวสามารถคุ้มครองตับ ซึ่งเป็นอวัยวะที่กำจัดสารพิษภายในร่างกาย ซึ่งเป็นกลไกหนึ่งที่ช่วยรักษาชีวิตของผู้ที่ได้รับสารพิษ พุทธศักราช 2543 รายงานวิทยานิพนธ์ของมหาวิทยาลัยมหิดล บอกว่าสารสกัดแห้งของน้ำใบรางจืดน่าจะมีผลลดความเป็นพิษของตับจากแอลกอฮอล์ได้ พ.ศ. 2548 พรเพ็ญ เปรมโยธิน จุฬาลงมือณ์มหาวิทยาลัย รายงานผลว่าสารสกัดน้ำยาเขียวแสดงฤทธิ์ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ทั้งยังในหลอดทดลองและก็ในตัวทดลอง  แล้วยังพบว่า สารสกัดน้ำใบรางจืดมีฤทธิ์ต้านทานอนุมูลอิสระด้วย
    นอกเหนือจากนี้ยังมีการใช้ประโยชน์จากรางจืดอีกได้แก่ ยอดอ่อน ดอกอ่อนสามารถใช้กินเป็นผักได้ โดยจะใช้ลวก แกงรับประทาน ก็ทำเป็นเช่นเดียวกับผักพื้นเมืองธรรมดา นอกเหนือจากนี้เด็กๆตามบ้านนอกยังนิยมกินน้ำหวานจากดอกรางจืดที่บ้านได้อีกด้วย โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายอะไรก็ตามแต่ว่าแม้กระนั้น การกินรางจืดในจำนวนติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ บางครั้งก็อาจจะต้องรอติดตามการเปลี่ยนแปลงของโลหิตวิทยาหรือเคมีคลินิกที่บางทีอาจเกิดขึ้นถัดไปด้วย
    ชารางจืด ใบรางจืดสามารถนำมาหั่นเป็นฝอย ตากลมให้แห้งแล้วเอามาชงกับน้ำร้อนดื่มแทนชาได้ แล้วก็ยังมีกลิ่นหอมยวนใจรวมทั้งยังช่วยล้างพิษภายในร่างกายได้อีกด้วย  ในขณะนี้ได้มีการนำสมุนไพรรางจืดมาดัดแปลงเป็นผลิตภัณฑ์ แคปซูลยาเขียวหรือยาเขียวแคปซูล เพื่อความสะดวกและง่ายต่อการใช้ประโยชน์  ดอกยาเขียว นำมาบดให้ละเอียดผสมกับน้ำ แล้วกรองแยกกาก ก่อนนำน้ำที่ได้ใช้ทำของหวาน ใช้หุงข้าว หรือใช้ทำสีผสมอาหารอื่นๆซึ่งจะให้สีม่วงอ่อนหรือสีคราม หรือสีอื่นตามจำพวกสีของดอก
    คนรุ่นก่อนมีความเชื่อว่า การดื่มน้ำต้มจากรางจืดสามารถช่วยแก้คุณไสย ยาสั่งหรือมนต์ดำที่คนอื่นทำแก่ตนได้  ใบยาเขียวตากแห้งแล้ว เอามาบดให้ละเอียด ใช้ผสมในอาหารสัตว์ อาทิเช่น ของกินหมู ของกินไก่ ฯลฯ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันต่อโรค รวมทั้งช่วยรักษาให้สัตว์มีอัตราการรอคอยดสูงขึ้นภายหลังที่ได้รับเชื้อโรค

    แบบ/ขนาดวิธีการใช้ ในการรักษาพิษ ใช้ใบสด 10 -12 ใบ นำมาตำจนกระทั่งละเอียดผสมกับน้ำแช่ข้าวโดยประมาณครึ่งแก้ว ส่วนการใช้ผลดีจากรากรางจืดสำหรับการรักษาพิษ ใช้ราก 1-20 องคุลี ให้นำมาฝนหรือนำมาตำเข้ากับน้ำแช่ข้าว แล้วเอามาดื่มให้หมดเมื่อมีลักษณะอาการ และบางทีก็อาจจะจะต้องใช้ซ้ำอีกด้านในครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงเหมือนกับการใช้ใบรางจืด  หรือใช้ใบยาเขียวทำเป็นชาแล้วกินครั้งละ 2-3 กรัม โดยชงกันน้ำร้อน 100-200 ซีซี วันละ 3 ครั้งก่อนของกินหรือเมื่อมีอาการ รักษาโรคโรคเบาหวาน ให้ใช้ใบรางจืดโดยประมาณ 58 ใบ มาโขลกอย่างรอบคอบแล้วผสมกับน้ำแช่ข้าวรับประทานทีละ 1 แก้ว 3 เวลา แก้อาการแพ้ ผื่นคัน ลดการเกิดโรคผิวหนัง โดยใช้ใบหรือเถาสด 10-15 ใบหรือเถาขนาดยาว 10 เซนติเมตร ต้มในน้ำโดยประมาณ 10 ลิตร อาบทุกๆวัน โดยประมาณ 5-7 วัน  แก้เมื่อยเนื้อเมื่อยตัว โดยนำใบ 10-20 ใบ หรือ ใช้เถาตัดเป็นชิ้นๆยาว 1-2 นิ้ว ก่อนนำไปแช่เหล้าดื่มทุกส่วนเอามาตำหรือบดผสมน้ำ ใช้สำหรับพอกแผล หยุดลักษณะของการปวด ลดอาการบวม และกำจัดพิษจากสัตว์ต่อย อาทิ งูกัด แมงป่อง ตะขาบ แมงดาทะเล           ทุกส่วนออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ เพิ่มประสิทธิภาพการดูแลและรักษาแผล ดังเช่น รักษาไวรัสเริม ด้วยการบดผสมน้ำนิดหน่อย ก่อนนำไปประคบรอบๆรอยแผลเริม  ทุกส่วนนำมาบดผสมน้ำบางส่วน ก่อนนำมาประคบหรือทาแผลสด แผลหนอง ซึ่งจะช่วยให้แผลแห้งเร็ว ลดการตำหนิดเชื้อ ลดอาการบวมของแผล  ทุกส่วนเอามาต้มน้ำดื่มหรือคั้นน้ำสำหรับใช้เป็นยาแก้ร้อนใน แล้วก็ช่วยทุเลาอาการอยากดื่มน้ำ  น้ำสุกจากทุกส่วน นำมาดื่มอุ่นๆสำหรับรักษา แล้วก็บรรเทาอาการท้องเสียหรืออาหารเป็นพิษ
    การเรียนรู้ทางเภสัชวิทยา  มีรายงานศึกษาค้นคว้าในสัตว์ทดสอบพบว่า สารสกัดน้ำจากใบรางจืด ขนาด 2 และก็ 3 ซีซี/น้ำหนักตัว 100 กรัม และก็ขนาด 3.5 กรัม/กก. มีผลลดพิษจากยากำจัดศัตรูพืชในกรุ๊ปออร์กาโนฟอสเฟตในหนูได้ โดยทำให้อัตราการตายน้อยลง  รวมทั้งยังมีมีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยทางสถานพยาบาลที่เกี่ยวโยงกับการขับยาฆ่าแมลงออกจากร่างกาย พบว่ารางจืดจะถอนพิษได้ดิบได้ดี โดยเฉพาะพิษที่เกิดขึ้นจากยาฆ่าแมลง ”โฟลิดอล” และพิษออกฤทธิ์เกี่ยวกับแนวทางการทำงานของ Cholinergic system โดยการศึกษาในเกษตรกรกรุ๊ปเสี่ยงและตรวจพบระดับสารฆ่าแมลงภายในร่างกาย ปริมาณ 49 คน พบว่าเมื่อให้อาสาสมัครรับประทานชารางจืดขนาด 8 กรัม/วันหรือยาหลอก นาน 224 ชั่วโมง พบว่าปริมาณยาฆ่าแมลงในเลือดของอาสามัครที่ได้รับยาเขียวลดลงอย่างเป็นจริงเป็นจังในวันที่ 7, 14 แล้วก็ 21 ของการทดลอง แล้วก็จากการเล่าเรียนของดวงรัตน์และภาควิชา พบว่าโดยรางจืดส่งผลเพิ่มปริมาณ Cholinesterase ในเลือดของเกษตรกรที่ได้รับสารกำจัดแมลง
    สาขาวิชาสรีรวิทยา ภาควิชาแพทยศาสตร์ มหาวทิยาลัตำแหน่งรีนครินทรพิโรฒ ก็เลยได้เล่าเรียนฤทธิ์ของสารสกัดยาเขียวต่อเซลล์สมอง พบว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต่อระบบประสาทคล้ายกับสารเสพติดแอมเฟทามีน แล้วก็โคเคน โดยปกติเพิ่มการหลั่งโดพามีน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทที่หลั่งมากมายในขณะคนป่วยได้รับสารแอมเฟทามีน รวมถึงไปเพิ่ม activity ของเซลล์ประสาทในสมองส่วน nucleus accumbens , globus pallidus,amygdala,frontal cortex ,caudate putamen and hippocampus ที่เกี่ยวโยงกับ  reward and locomotor behaviour ทำให้คาดว่าในคนป่วย ที่เข้ารับการดูแลและรักษา/บรรเทาสารเสพติด ที่ได้รับการรักษาด้วยสารสกัดรางจืด อาจเกิดความพิงพอใจเช่นเดียวกับการรับสิ่งเสพติด ถ้าเกิดเอาไปใช้สำหรับในการรักษาผู้ป่วยจะทำให้คนป่วยไม่ต้องทุรนทรายมากมาย ก็เลยบางทีอาจเป็นต้นเหตุหนึ่งคราวการดูแลและรักษาด้วยสารสกัดสมุนไพรได้ผล
    แผนกเภสัชศาตร์ จุฬาลงแขนณ์มหาวิทยาลัย ได้ศึกษาวิจัยฤทธิ์ของรางจืดในการต้านพิษแอลกอฮอล์ต่อตับ พบว่าสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วย คุ้มครองปกป้องการตายของเซลล์ตับจากพิษของแอลกอฮอล์ อีกทั้งในหลอดทดลองและก็ในหนูแรตครั้งได้รับแอลกอฮอล์ โดยทำให้ค่า AST,ALT ในพลาสม่าและก็ตรีกลีเซอร์ไรด์ในตับต่ำลง แล้วก็ลดความเคลื่อนไหวภาวะทางจุลพยาธิวิทยาของตับเมื่อเปรียบเทียบกับหนูที่ได้รับเเอลกอฮอล์อย่างเดียว
                    เหตุเพราะสารสกัดด้วยน้ำของรางจืดช่วยลดการเกิด heppatic lipid peroxidation ลดระดับแอลกอฮอล์ในเลือด รวมทั้งเพิ่มระดับเอนไซม์ alcohol dehydrogenase รวมทั้ง aldehyde dehydrogenase
    ส่วนมหาวิทยาลัยขอนแก่นได้เล่าเรียนฤทธิ์ของรางจืดต่ออาการขาดสุรา พบว่าสารสกัดยาเขียวได้ผลลดภาวการณ์เศร้าหมองรวมทั้งทำให้ความประพฤติที่เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของหนูเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ แม้กระนั้นไม่เป็นผลลดความกลุ้มอกกลุ้มใจ โดยสารสกัดราถงจืดชืดช่วยลดการถูกทำลายเซลล์ประสาทของหนูเหตุเพราะขาดสุราในสมองส่วน messolimbic dopaminergic system โดยยิ่งไปกว่านั้นที่บริเวณ  nucleus accumbens แล้วก็ ventral tegmental area
    ในหนูโรคเบาหวานที่ได้รับน้ำสุกใบยาเขียวทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ ส่วนน้ำคั้นใบยาเขียวสดในขนาด ๕๐ มก./มิลลิลิตรที่ให้หนูเบาหวานดื่มแทนน้ำนาน ๑๒ วัน ไม่มีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด
    ยิ่งไปกว่านี้ ยังมีการทดสอบพบว่าการให้สารสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวมีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด และทำให้บีต้าเซลล์ของตับอ่อนฟื้นฟูขึ้นบ้างแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ ในเรื่องของฤทธิ์ลดระดับความดันนั้นพบว่าสกัดด้วยน้ำของใบยาเขียวแห้งมีผลทำให้ความดันโลหิตของหนูแรตต่ำลง โดยกลไกการออกฤทธิ์ส่วนใดส่วนหนึ่งบางทีอาจผ่าน Cholinergic receptor และก็ทำให้เส้นเลือดแดงคลายตัว
    การใช้สมุนไพรในผู้ป่วยโรคเบาหวานแล้วก็ความดันนี้ควรจะรำลึกว่าจะต้องมีการดูแลรักษาร่วมไปกับแผนปัจจุบันแล้วก็มีการวัดระดับน้ำตาลและก็ระดับความดันอย่างใกล้ชิด เพราะว่าการเรียนรู้ยังอยู่ในขั้นตอนของสัตว์ทดสอบแค่นั้น และก็ต้องระวังการเกิดการเสริมฤทธิ์กันของตัวยาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว
    มีการค้นคว้าทำการวิจัยว่ายาเขียวมีฤทธิ์ต้านการอับเสบสูงยิ่งกว่ามังคุดประมาณ 2 เท่า(ทดลองด้วยแนวทาง Carrageenan induced paw edema) ในหนูถีบจักรและยังมีความปลอดภัยสูงขึ้นมากยิ่งกว่าอีกด้วย นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดรางจืดในลักษณะของครีมสามารถลดการอักเสบก้าวหน้าพอๆกับสตีรอยด์ครีม
    ฤทธิ์สำหรับเพื่อการต่อต้านมะเร็ง มีการเล่าเรียนฤทธิ์ต้านทานการก่อกลายพันธุ์ กล่าวคือสารอะไรก็ตามมีฤทธิ์ก่อกลายพันธุ์มีศักยภาพสูงสามารถก่อโรคมะเร็งได้ แต่รางจืดมีฤทธิ์ต่อต้านไม่ให้สารนั้นออกฤทธิ์ มีการเรียนโดยให้หนูกินสารสกัดของกวาวเครือซึ่งกวาวเครือจะไปมีฤทธิ์กระตุ้นการแบ่งตัวและการผลิตนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดง กล่าวอีกนัยหนึ่งนิวเคลียสของเม็ดเลือดแดงจะเป็นก้อน ใหญ่ขึ้น แล้วก็มีการแบ่งตัว โน่นคือกวาวเครือไปทำให้การเกิด micronuclei ของเม็ดเลือดแดงเพิ่มอย่างมีนัยสำคัญ แต่ถ้าหากให้สัตว์ทดสอบกินยาเขียวร่วมด้วย พบว่าสามารถลดการเกิด micronuclei ได้ ซึ่งอีกทั้งยาเขียวแบบสดและก็แบบแห้งสามารถใช้ได้ผลด้วยเหมือนกัน นับเป็นจุดเด่นอีกข้อหนึ่งของรางจืด
    โดยพบว่าสารออกฤทธิ์บางทีอาจเป็นกรดฟีนอลิก ยกตัวอย่างเช่น caffeic acid และก็ apigenin แล้วก็สารกลุ่มคลอโรฟิลล์ เช่น chlorophyll a, chlorophyll b, pheophorbide a และก็ pheophytin a ซึ่งสารพวกนี้มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระสูงมากมาย
    สารสกัดน้ำ เอทานอล และก็อะซิโทน มีฤทธิ์ต้านการก่อกลายจำพวก โดยยั้งการเกิดโรคมะเร็ง เนื่องด้วยสาร 2-aminoanthracene ได้ร้อยละ 87 เมื่อวิเคราะห์ด้วยแบคทีเรีย Salmonella typhimurium TA 98 รวมทั้งสามารถเพิ่มการทำงานของโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีควิโนนรีดักเทส ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ใช้เพื่อการกำจัดเซลล์ของโรคมะเร็งระยะเริ่มต้น ได้ตั้งแต่ 1.35-2.8 เท่า อีกทั้งยังมีรายงานการดูแลและรักษาผู้ป่วยพิษแมงดาทะเล ตอนวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2522 โดยมีรายงานว่ามี  คนเจ็บ 4 ราย รับประทานยำไข่แมงดาทะเล อาการขึ้นอยู่กับจำนวนที่ได้รับ ทุกรายมีอาการชารอบปาก และอาเจียนอาเจียน อาการชาจะลามไปกล้ามเนื้อผูกต่างๆที่เป็นโทษคือทำให้หายใจไม่ได้ คนเจ็บ 2 รายสลบ จะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ระยะที่เริ่มแสดงอาการตั้งแต่ 40 นาที จนถึง 4 ชั่วโมง ข้างหลังรับประทาน เหตุเพราะพิษของแมงดาทะเล คือเทโทรโดทอกซิน (Tetrodotoxin) ไม่มียาแก้พิษจำเป็นต้องรักษาตามอาการ หลังจากได้น้ำสมุนไพรยาเขียว 50 มล. ทางหลอดสวนจมูก-กระเพาะ คนเจ็บเริ่มรู้สึกตัว แล้วก็อาการดีขึ้นเป็นลำดับ หลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 40 นาที ผู้เจ็บป่วยอีกรายได้รับการกรอกน้ำยาเขียวด้วยเหมือนกัน ในขนาด 50 มิลลิลิตร ทุก 1 ชม. 5 ครั้ง หลังจากได้รับน้ำสมุนไพร 5 ชั่วโมง คนไข้เริ่มรู้ตัว แล้วก็อาการดียิ่งขึ้นตามลำดับ
    การเล่าเรียนทางพิษวิทยา
    การทดลองความเป็นพิษฉับพลันที่ป้อนหนูทดลองครั้งเดียว ทั้งยังขนาดปกติแล้วก็ขนาดสูง ไม่พบความไม่ปกติใดๆก็ตามรวมทั้งป้อนติดต่อกัน 28 วัน ขนาด 500 มก.ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ไม่เจออาการไม่ดีเหมือนปกติเช่นเดียวกัน แต่ว่าอาจส่งผลให้น้ำหนัก ตับ ไต สูงขึ้นมากยิ่งกว่ากรุ๊ปควบคุม  ค่าวิชาชีวเคมีที่เกี่ยวกับไตสูงขึ้น รวมทั้ง AST สูงมากขึ้น
              การเรียนรู้พิษเรื้อรังของสารสกัดน้ำจากใบ โดยป้อนหนูแรทขนาด 20  200  1,000  2,000 มิลลิกรัม/กก./วัน หรือคิดเป็น 1, 10, 50 และ 100 เท่า ของขนาดที่ใช้ในคนตรงเวลา 6 เดือน พบว่าไม่เป็นผลต่อน้ำหนักตัว การกินอาหาร ความประพฤติ และสุขภาพทั่วๆไปของหนู อวัยวะภายในทั้งยังระดับมหพยาธิวิทยารวมทั้งจุลพยาธิยังคงปกติ และไม่กระตุ้นให้เกิดพิษสะสม ไม่ทำให้หนูตาย
    มีการศึกษาความเป็นพิษของยาเขียวต่อการกลายพันธุ์ของแบคทีเรีย พบว่า สารสกัดจากรางจืดไม่เป็นผลทำให้แบคทีเรียกลายพันธุ์อะไร ทั้งยังพบว่า สารสกัดจากรางจืดสามารถต่อต้านการกลายพันธุ์ได้ด้วย
    ข้อเสนอ/ข้อควรคำนึงมี

  • การศึกษาบอกว่า รากของยาเขียวนั้นจะมีสรรพคุณ ทางยามากกว่าที่ใบถึง 4-7 เท่า
  • ควรจะใช้อย่างระมัดระวังและไม่ควรใช้ติดกันเป็นระยะเวลานานเกิน 30 วัน
  • ต้องระวังสำหรับการใช้ในคนไข้โรคเบาหวาน เนื่องจากว่าอาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ
  • ไม่สมควรใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นเป็นเวลานานเนื่องมาจากบางทีอาจขับสารเคมี หรือตัวยาในร่างกายออก โดยเฉพาะผู้เจ็บป่วยที่จำเป็นต้องใช้ยารักษาอย่างต่อเนื่อง
  • รางจืดบางทีอาจให้ผลข้างเคียง สำหรับผู้เจ็บป่วยที่เป็นโรคอาการหอบหืดได้โดยเมื่อเกิดอาการแพ้ยาเขียวก็อาจจะมีผลต่อระบบทางเท้าหายใจได้ ซึ่งก็ขึ้นกับแต่ละบุคคลว่าหรูหราอาการแพ้มากน้อยแค่ไหน หากว่ามีอาการแพ้ไม่มากมายก็บางครั้งก็อาจจะเป็นแค่ผื่นคันขึ้นตามผิวหนัง
เอกสารอ้างอิง

  • ปัญญา อิทธิธรรม และคณะ 1999 การใช้สมุนไพรรางจืดขับสารฆ่าแมลงในร่างกายของเกษตรกรกลุ่มเสี่ยงในตำบลเมืองเดช อำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี
  • วิสาตรี คงเจริญสุนทร และปิยรัตน์ พิมพ์ สวัสดิ์,2552. ฤทธิ์ยับยั้งแบคทีเรียกลุ่มแกรมลบฉวยโอกาสบางสายพันธุ์ของสารสกัดเมทานอลจากรางจืด. วารสารวิทยาศาสตร์บูรพา.
  • ภกญ.ดร.สุภาภรณ์ ปิติพร.รางจืดราชาของยาแก้พิษ.คอลัมน์.เรื่องเด่นจากปก.นิตยสารหมอชาวบ้านเล่มที่385.มกราคม.2554
  • รางจืด.ฐานข้อมูลเครื่องยาคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • รศ.พร้อมจิต ศรลัมพ์.รางจืด สมุนไพรแก้พิษและล้างพิษ.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • รางจืดสมุนไพรล้างพิษ.คู่มือสมุนไพรล้างพิษสำหรับประชาชน.สถาบันวิจัยการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กระทรวงสาธารณสุข.สำนักพิมพ์คณะรัฐมนตรีและราชกิจจานุเบกษา.พิมพ์ครั้งที่2.มีนาคม 2554.20หน้า
  • รางจืดสรรพคุณรางจืด สมุนไพรลดและกำจัดสารพิษ.พืชเกษตรดอทคอมเว็บเพื่อพืชเกษตรไทย
  • Toxicity รางจืดและข่อยดำ.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพร.คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ดวงรัตน์ เชี่ยวชาญวิทย์,กำไร กฤตศิลป์,เชิดพงษ์ น้อยภู่, 2545. การใช้สมุนไพรรางจืดเพิ่มปริมาณเอนไซม์โคลีนเอสเทอเรสในซีรั่มของเกษตรกรที่พบพิษสารกำจัดศัตรูพืชในร่างกาย)
  • ข้อมูลสรรพคุณของรางจืดในการข้อยาฆ่าแมลงออกจากร่างกายเกษตรกร.กระดานถาม-ตอบ.สำนักงานข้อมูลสมุนไพรคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • กนกวรรณ สุขมาก;นงนุช คุ้มทอง;สมยศ เหลืองศรีสกุล;อภันตรี โอชะกุล เตือนใจ ทองสุข , 2547 .การศึกษาประสิทธิผลของสมุนไพรรางจืดในกา



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ