Advertisement
บุก (Amorphophallus spp.) มีชื่อสามัญว่า Konjac (คอนจัค)12 ในไทยจะใช้บุกที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson หรือที่เราเรียกว่า “บุกคางคก” ซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับบุกประเภทที่มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Amorphophallus konjac K.Koch แต่ว่าต่างจำพวกกัน ซึ่งมีคุณสมบัติแล้วก็คุณประโยชน์ทางยาที่ใกล้เคียงกัน และก็สามารถประยุกต์ใช้แทนกันได้
บุ[/size][/b]
บุก ชื่อสามัญ Devil’s tongue, Shade palm, Umbrella arum
บุก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus konjac K.Koch (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus rivieri Durand ex Carrière) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุก มีชื่อเรียกอื่นว่า แพทย์ ยวี จวี๋ ยั่ว (จีนแต้จิ๋ว), แพทย์ยื่อ (จีนแมนดาริน) ฯลฯ
ต้นบุก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกที่มีอายุหลาย ลำต้นแทงขึ้นมาจากหัวใต้ดิน มีความสูงของต้นประมาณ 50-150 เซนติเมตร หัวที่อยู่ใต้ดินนั้นมีขนาดใหญ่ ลักษณะของหัวเป็นรูปค่อนข้างกลมแบนเล็กน้อย หรือกลมแป้น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 25 ซม. ผิวเป็นสีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ ลำต้นและแขนงมีลักษณะกลมใหญ่ เปลือกลำต้นเป็นสีเขียวมีลายแต้มสีขาวปะปนอยู่
หัวบุกใบบุก ใบเป็นใบประกอบแบบขน มีใบย่อยเรียงสลับ ลักษณะของใบเป็นรูปไข่กลมรี ปลายใบแหลม ส่วนขอบของใบเรียบ ใบมีปริมาณยาวราว 15-20 ซม.
ใบบุกดอกบุก ออกดอกเป็นดอกลำพัง รูปแบบของดอกเป็นรูปทรงทรงกระบอกกลมแบน มีกลิ่นเหม็น สีม่วงแดงอมเขียว มีกาบใบยาวราวๆ 30 เซนติเมตร สีม่วงอมเหลือง โผล่ขึ้นพ้นจากกลีบเลี้ยงที่มีสีม่วง
ผลบุก รูปแบบของผลเป็นรูปกลมแบน เมื่อสุกจะเป็นสีส้ม
ดอกและผลบุก
บุกคางคก
[url=http://www.disthai.com/16488234/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%81]
บุกคางคก ชื่อสามัญ Stanley’s water-tub, Elephant yam
บุกคางคก ชื่อวิทยาศาสตร์ Amorphophallus paeoniifolius (Dennst.) Nicolson (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Amorphophallus campanulatus Decne.) จัดอยู่ในวงศ์บอน (ARACEAE)
สมุนไพรบุกคางคก มีชื่อเขตแดนอื่นๆว่า บุกหลวง บุกหนาม เบีย เบือ (แม่ฮ่องสอน), บักกะเดื่อ (สกลนคร), กระบุก (บุรีรัมย์), บุกคางคก บุกคุงคก (จังหวัดชลบุรี), หัวบุก (ปัตตานี), มันซูรัน (ภาคกลาง), บุก (ทั่วไป), กระแท่ง บุกรอ หัววุ้น (ไทย), บุกอีรอคอยกเขา ฯลฯ
ต้นบุกคางคก จัดเป็นพรรณไม้ล้มลุกพวกกะแท่งหรือเท้าคุณยายม่อมหัว แก่ได้นานยาวนานหลายปี มีความสูงของต้นราว 5 ฟุต มีลักษณะของลำต้นอวบอ้วนและก็อวบน้ำไม่มีแก่น ผิวขรุขระ ลำต้นกลมแล้วก็มีลายเขียวๆแดงๆลักษณะที่คล้ายกับคนเป็นโรคผิวหนัง ต้นบุกนั้นขยายพันธุ์ด้วยแนวทางแยกหน่อ พรรณไม้ประเภทนี้จะงอกงามในฤดูฝน และก็จะเหี่ยวเฉาไปในตอนต้นฤดูหนาว ในประเทศไทยพบได้มากขึ้นเองตามป่าราบริมหาดและก็ที่อำเภอศรีราชา ส่วนในต่างแดนบุกคางคกนั้นเป็นพืชพื้นบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เจอได้ตั้งแต่ศรีลังกาไปจนกระทั่งอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์
ต้นบุกคางคกหัวบุกคางคก เป็นส่วนของหัวที่อยู่ใต้ดิน มีลักษณะค่อนข้างกลมและมีขนาดใหญ่สีน้ำตาล ผิวตะปุ่มตะป่ำ เส้นผ่าศูนย์กลางของหัวบุกนั้นจะมีขนาดตั้งแต่ 15 ซม.ขึ้นไป เนื้อในหัวเป็นสีเหลืองอมชมพู สีชมพูสด สีขาวขุ่น สีครีม สีเหลืองอ่อน สีเหลืองอมขาวละเอียดและก็เป็นมูกลื่น มียาง โดยเฉพาะหัวสด แม้สัมผัสเข้าจะมีผลให้กำเนิดอาการคันได้ ก่อนเอามาปรุงเป็นอาหารนั้นก็เลยต้องทำให้เป็นเมือกโดยการต้มในน้ำเดือดซะก่อน โดยน้ำหนักของหัวนั้นมีตั้งแต่ 1 กรัม ไปจนกระทั่ง 35 กิโลกรัม
บุกคางคกใบบุกคางคก ใบเป็นใบคนเดียว ออกที่ปลายยอดของต้น ใบแผ่ออกเหมือนกางร่มแล้วหยักเว้าเข้าหาเส้นกึ่งกลางใบ ส่วนขอบใบจักเว้าลึก ก้านใบกลม อวบน้ำและยาวได้โดยประมาณ 150-180 ซม.
ใบบุกคางคกดอกบุกคางคก ออกดอกเป็นช่อ ดอกแทงขึ้นมาจากพื้นดินบริเวณของโคนต้น เป็นแท่งมีลายสีเขียวหรือสีแดงแกมสีน้ำตาล (ขึ้นกับสายพันธุ์) ดอกออกเป็นช่อ แทงขึ้นมาจากหัวที่อยู่ใต้ดิน ก้านช่อดอกสั้น มีใบตกแต่งเป็นรูปหุ้มช่อดอก ขอบหยักเป็นคลื่นและบานออก ปลายช่อดอกเป็นรูปกรวยคว่ำขนาดใหญ่ ยับเป็นร่องลึก สีแดงอมน้ำตาลหรือสีม่วงเข้ม ดอกเพศผู้อยู่ตอนบน ส่วนดอกเพศเมียอยู่ตอนล่าง ดอกมีกลิ่นเหม็นคล้ายซากสัตว์เน่า
ดอกบุกคางคุกผลบุกคางคก ผลได้ผลสำเร็จสด เนื้อนุ่ม รูปแบบของผลเป็นรูปทรงรียาว ขนาดยาวโดยประมาณ 1.2 ซม. ผลมีเยอะๆชิดกันเป็นช่อๆ(สิบถึงร้อยร้อยผลต่อหนึ่งช่อดอก)ผลอ่อนเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนสีเหลือง สีส้ม จนกระทั่งสีแดง ด้านในผลมีเม็ดราวๆ 1-3 เมล็ด โดยมีสันขั้วเมล็ดของแต่เม็ดแยกออกมาจากกัน เมล็ดมีลักษณะกลมรีหรือเป็นรูปไข่
สรรพคุณของบุกหัวบุกมีรสเผ็ด เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อม้าม ตับ และระบบทางเดินอาหาร มีคุณประโยชน์ช่วยลดระดับน้ำตาลในเส้นโลหิต (หัว)
ใช้เป็นอาหารสำหรับคนไข้โรคเบาหวานรวมทั้งคนเจ็บโรคไขมันในเลือดสูง ด้วยการแยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วชงกับน้ำกิน โดยให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว เอามาชงกับน้ำกินก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ
หัวใช้เป็นยารักษาโรคโรคมะเร็ง (หัว)
ใช้เป็นยาแก้ไข้จับสั่น (หัว)
ช่วยแก้อาการไอ (หัว)
หัวใช้เป็นยากัดเสมหะ ละลายเสมหะ ช่วยกระจายเสลดที่ตันรอบๆหลอดลม (หัว)
หัว
บุกมีรสเบื่อคัน ใช้เป็นยากัดเสมหะเถาดาน และก็เลือดจับกันเป็นก้อน (หัว)
หัวเอามาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคท้องมาน (หัว)
ช่วยแก้ริดสีดวงทวาร (ราก)
ช่วยแก้ระดูไม่มาของสตรี (หัว)6 ช่วยขับเมนส์ของสตรี (ราก)
หัวนำมาต้มกับน้ำกินเป็นยาแก้โรคตับ (หัว)
ใช้แก้พิษงู (หัว)
ใช้เป็นยาแก้แผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก (หัว)
หัวใช้หุงเป็นน้ำมัน ใช้ใส่รอยแผล กัดฝ้าและก็กัดหนองได้ดิบได้ดี (หัว)1,2,3,4 บางข้อมูลระบุว่ารากใช้เป็นยาพอกฝีได้ (ราก)
ใช้แก้ฝีหนองบวมอักเสบ (หัว)6
หัวใช้เป็นยาแก้ปวดบวม แก้บวมช้ำ (หัว)
บุก เป็นสมุนไพรที่มีคุณประโยชน์ยิ่งกว่าไวอากร้า หรือเป็นยาเพิ่มความสามารถทางเพศ โดยคุณนิล นก (บ้านหนองพลวง ต.โคกกึ่งกลาง อำเภอลำปลายมาศ จ.จังหวัดบุรีรัมย์) เสนอแนะให้ทดลองพิสูจน์ ด้วยการเอาไม้พิงปากหม้อแล้วนำสมุนไพรบุกคางคก เอาพวงเม็ดนำมาปิ้งไฟให้หอมก่อน แล้วใช้ผูกกับไม้แขวนจุ่มลงไปในหม้อต้มใส่น้ำพอเพียงท่วมเม็ดบุก ต้มจนกระทั่งเม็ดบุกร่วงลงหม้อ ตัวยาก็จะไหลลงมาด้วย เมื่อเดือดและจากนั้นก็ให้เพิ่มน้ำตาลพอสมควรลงไปต้มให้เพียงพอหวาน ต่อไปลองชิมมอง ถ้าเกิดยังมีลักษณะอาการคันคออยู่ก็ให้เพิ่มน้ำตาลเพิ่มและหลังจากนั้นก็ค่อยชิมใหม่ หากไม่มีอาการคันคอก็แสลงว่าใช้ได้ แล้วก็ให้นำสมุนไพรโด่ไม่เคยรู้ล้มใส่เข้าไปด้วยราว 1 กำมือ แล้วต้มให้เดือด ปลดปล่อยให้เย็นและเก็บไว้ในตู้แช่เย็น ใช้ดื่ม 1 เป็ก ราว 30 นาที จะปวดท้องฉี่โดยธรรมชาติ ภายหลังอาวุธนั้นจะพร้อมสู้โดยทันที (ผล)
หมายเหตุ : สำหรับวิธีการใช้ให้แยกแป้งจากส่วนที่เป็นเนื้อทราย แล้วนำมาชงกับน้ำ ส่วนขนาดที่ใช้นั้นให้ใช้แป้ง 1 ช้อนชา ต่อน้ำ 1 แก้ว ชงกับน้ำก่อนกินอาหารครึ่งชั่วโมงวันละ 2-3 มื้อ2 ส่วนการใช้ตาม 6 ให้ใช้ทีละ 10-15 กรัม (รู้เรื่องว่าคือส่วนของหัว) นำมาต้มกับน้ำนาน 2 ชั่วโมง จึงสามารถเอามารับประทานได้ ถ้าเป็นยาสดให้ใช้ตำพอกหรือเอามาฝนกับน้ำส้มสายชู หรือต้มเอาน้ำใช้ชำระล้างบริเวณที่เป็นแผล
ในเนื้อหัวบุกป่าจะมีผลึกของแคลเซียมออกซาเลท (Calcium oxalate) เยอะมากๆ ที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการคัน ส่วนเหง้าแล้วก็ก้านใบถ้าปรุงไม่ดีแล้วกินเข้าไปจะมีผลให้ลิ้นพองและคันปากได้8ก่อนนำมารับประทานต้องกำจัดพิษออกก่อน และไม่รับประทานกากยาหรือยาสด6
แนวทางการกำจัดพิษจากหัวบุก ให้นำหัวบุกมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆตำพอเพียงแหลก คั้นเอาน้ำออกพักไว้ นำกากที่ได้ไปต้มน้ำ แล้วคั้นเอาแต่น้ำ นำไปผสมกับน้ำที่คั้นคราวแรก และจากนั้นจึงนำไปต้มกับน้ำปูนใสเพื่อพิษหมดไป เมื่อเดือดก็พักไว้ให้เย็น จะจับกุมกันเป็นก้อน จึงสามารถใช้ก้อนดังที่กล่าวถึงแล้วสำหรับในการประกอบอาหารหรือนำไปตากแห้งเพื่อใช้เป็นยาได้6ถ้าเกิดอาการเป็นพิษจากการรับประทานบุก ให้รับประทานน้ำส้มสายชูหรือชาแก่ แล้วตามด้วยไข่ขาวสด แล้วให้รีบไปพบแพทย์
ด้วยเหตุว่าวุ้นบุกสามารถขยายตัวได้มาก (ไม่ต่ำลงมากยิ่งกว่า 20 เท่าของเนื้อวุ้นแห้ง) ก็เลยไม่สมควรบริโภควุ้นบกตอนหลังการกิน แม้กระนั้นให้กินก่อนที่จะรับประทานอาหารไม่น้อยกว่าครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมง ส่วนการบริโภคของกินที่ผลิตขึ้นมาจากวุ้น เช่น วุ้นก้อนแล้วก็เส้นวุ้น สามารถบริโภคพร้อมอาหารหรือหลังรับประทานอาหารได้ เพราะเหตุว่าวุ้นดังที่กล่าวถึงแล้วได้ผ่านขั้นตอนการแล้วก็ได้ขยายตัวมาก่อนแล้ว แล้วก็การการที่จะขยายตัวหรือพองตัวได้อีกนั้นจึงเป็นไปได้ยาก ส่วนในเรื่องของคุณประโยชน์ทางโภชนาการนั้นพบว่าวุ้นบุกไม่ให้พลังงานแก่ร่างกาย เหตุเพราะไม่มีการเสื่อมสลายเป็นน้ำตาลในร่างกาย และไม่มีวิตามินแล้วก็แร่ธาตุ หรือสารอาหารอะไรก็ตามที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพเลยกลูโคแมนแนนส่งผลทำให้การดูดซึมของวิตามินที่ละลายในไขมันต่ำลง (เป็นต้นว่า วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แล้วก็วิตามินเค) ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดโทษและส่งผลเสียรวมทั้งไม่ดีต่อสุขภาพโดยรวมได้ แม้กระนั้นจะไม่มีผลต่อการดูดซึมของวิตามินที่ละลายในน้ำ (ยกตัวอย่างเช่น วิตามินบีรวม วิตามินซี)
การกินผงวุ้นบุกในปริมาณมาก อาจจะทำให้มีลักษณะอาการท้องเดินหรือท้องเฟ้อ มีอาการอยากกินน้ำมากกว่าเดิม บางบุคคลอาจมีอาการเมื่อยล้าเนื่องจากระดับน้ำตาลในเลือดลดน้อยลงได้
[/b]
ข้อมูลทางเภสัชวิทยาของบุกสารที่พบ ดังเช่นว่า สาร Glucomannan, Konjacmannan, D-mannose, Takadiastase, แป้ง, โปรตีนบุก, วิตามินบี, วิตามินซี รวมทั้งยังเจอสารที่เป็นพิษ คือ Coniine, Cyanophoric glycoside ก้านบุกพบสาร Uniine รวมทั้งวิตามินบีที่ก้านช่อดอก6 แล้วก็หัวบุกยังมีโปรตีนอยู่ปริมาณร้อยละ 5-6 รวมทั้งมีคาร์โบไฮเดรตอยู่สูงปริมาณร้อยละ 672หัวบุกมีสารสำคัญ คือ กลูวัวแมนแนน (Glucomannan) เป็นสารชนิดคาร์โบไฮเดรต ซึ่งมีกลูโคส แมนโนส รวมทั้งฟรุคโตส สารกลูวัวแมนแนนสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ ด้วยเหตุว่ามีความเหนียว ช่วยยับยั้งการดูดซึมของกลูโคสจากทางเดินอาหาร ยิ่งเหนียวหนืดมากมายก็ยิ่งมีผลการดูดซึมกลูโคส ด้วยเหตุดังกล่าว กลูโคแมนแนน ซึ่งเหนียวกว่า gua gum จึงสามารถลดน้ำตาลได้ดีกว่า จึงใช้แป้งเป็นวุ้นเป็นของกินสำหรับคนเจ็บโรคเบาหวานและก็สำหรับคนที่เป็นโรคไขมันในเลือดสูงสารกลูโคแมนแนน (Glucomannan) จะมีปริมาณต่างกันออกไปตามชนิดของบุก5
แป้งจากหัว
บุกนั้นประกอบไปด้วยกลูโคนแมนแนนราว 90% และสิ่งแปลกปลอมอื่นๆได้แก่ alkaloid, starch, สารประกอบไนโตเจนต่างๆsulfates, chloride, แล้วก็พิษอื่น โมเลกุลของกลูโคแมนแนนนั้นสำคัญๆแล้วจะประกอบไปด้วยน้ำตาลสองจำพวกหมายถึงเดกซ์โทรส 2 ส่วน และแมนโนส 3 ส่วน คร่าวๆ เชื่อมต่อกันระหว่างคาร์บอนตำแหน่งที่ 1 ของน้ำตาลชนิดที่สอง กับคาร์บอนตำแหน่งที่ 4 ของน้ำตาลจำพวกแรกแบบ ?-1, 4-glucosidic linkage ซึ่งต่างจากแป้งที่เจอในพืชทั่วๆไป จึงไม่ถูกย่อยโดยกรดรวมทั้งน้ำย่อยในกระเพาะ เพื่อน้ำตาลที่ให้พลังงานได้8 เว้นเสียแต่กลูวัวแมนแนนจะเจอได้ในบุกแล้ว ยังเจอได้ในว่านหางจระเข้อีกด้วย9
กลูโคแมนแนน (Glucomannan) สามารถดูดน้ำแล้วก็พองตัวได้มากถึง 200 เท่า ของจำนวนเดิม เมื่อเรากินกลูโคแมนแนนก่อนที่จะรับประทานอาหารครึ่งชั่วโมงถึงหนึ่งชั่วโมงทีละ 1 กรัม กลูวัวแมนแนนจะดูดน้ำที่มีมากมายในกระเพาะอาหารของพวกเรา แล้วเกิดการพองตัวจนทำให้พวกเรารู้สึกอิ่มของกินได้เร็วแล้วก็อิ่มได้ในระดับหนึ่ง ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้เรารับประทานได้น้อยลงกว่าปกติด้วย อีกทั้งกลูโคแมนแนนจากบุกก็มีพลังงานต่ำมาก กลูวัวแมนแนนก็เลยช่วยสำหรับในการควบคุมน้ำหนักรวมทั้งเป็นอาหารของคนที่อยากลดความอ้วนได้อย่างดีเยี่ยม8
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่รับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 กก. ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-3 อาทิตย์ พบว่าระดับของคอเลสเตอรอลในเลือดของหนูลดลงคิดเป็น 44% และ Triglyceride ลดน้อยลงคิดเป็น 9.5%6
สาร Glucomannan มีฤทธิ์ดูดซึมน้ำในกระเพาะและก็ลำไส้ได้ดิบได้ดีมากมาย รวมทั้งยังสามารถไปกระตุ้นน้ำย่อยในลำไส้ให้มากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้มีการขับของที่คั่งค้างในไส้ได้เร็วขึ้น6สารสกัดแอลกอฮอล์จากหัวบุก สามารถยับยั้งการเจริญของเชื้อวัณโรคในหลอดแก้วได้5
เมื่อนำสารที่สกัดได้จากบุกที่มีการกำจัดพิษแล้ว ให้หนูใหญ่ที่มีอาการบวมที่ขารับประทานทีละ 15 กรัม ต่อ 1 โล พบว่าอาการบวมที่ขาของหนูต่ำลง6
คุณประโยชน์ที่ได้รับมาจากบุกคนไทยเรานิ
http://www.disthai.com/[/b]