RENOVATE รับตกแต่งออกแบบสำนักงาน ร้านกาแฟ ภายนอก ทำร้านสักคิ้ว มีภาพจำลอง3D ติดต

[pramotepra222]

Advertisement

ให้บริการ - ค่าออกแบบ คิดตามความเหมาะสมในร้าน

Renovate, Innovate,  ออกแบบร้านกาแ�

 
ชงกาแฟให้กลมกล่อม
กาแฟอาราบิก้า ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea arabica L. จัดอยู่ในวงศ์เข็ม (RUBIACEAE)
ต้นกาแฟอาราบิก้า เป็นพืชพื้นบ้านของทวีปอัฟริกา บริเวณประเทศเอธิโอเปีย แต่ชาวอาหรับเป็นชาติแรกที่นำกาแฟมาชงดื่ม ก็เลยทำให้ชื่อภาษาละตินของกาแฟใช้คำว่า “อาราบิก้า” (arabica) ที่หมายถึงชาวอาหรับ โดยต้นกาแฟจัดเป็นไม้พุ่มขนาดเล็ก ที่มีความสูงของต้นโดยประมาณ 2-4 เมตร ในขณะนี้เพาะปลูกกันมากในเขตร้อนชื้นรวมทั้งครึ่งหนึ่งเย็น
ใบกาแฟอาราบิก้า ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงตรงกันข้าม รูปแบบของใบเป็นรูปขอบขนานหรือรูปไข่ ปลายใบแหลม โคนใบแหลมนิดหน่อย ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 8-12 ซม. แล้วก็ยาวประมาณ 15-20 ซม. แผ่นใบเรียบเป็นเงา ครั้งคราวเป็นคลื่น มีหูใบอยู่ระหว่างก้านใบ
ดอกกาแฟอาราบิก้า มีดอกเป็นช่อตามซอกใบ กลีบดอกเป็นสีขาว ชิดกันเป็นหลอด ดอกมีกลิ่นหอมสดชื่น
ผลกาแฟอาราบิก้า ผลได้ผลสด ลักษณะของผลเป็นรูปไข่ปนรูปทรงกลม โดยผลอ่อนจะเป็นสีเขียว แต่ว่าเมื่อสุกแล้วจะกลายเป็นสีแดงลักษณะเด่นของกาแฟอาราบิก้า คือ มีกลิ่นหอมยวนใจแล้วก็สารกาแฟสูง ทำให้เมื่อดื่มแล้วรู้สึกได้ถึงความกระปรี้กระเปร่า สดชื่น โดยกาแฟจำพวกนี้จะมีจำนวนของคาเฟอีนต่ำ เป็นกาแฟที่มีคุณภาพสูง มีความหอมไม่ด้อยกว่าผู้ใดกัน เพียงแค่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากสักเท่าไรนัก เนื่องจากว่าขาดการช่วยส่งเสริมรวมทั้งการโปรโมทที่ดี ในประเทศไทยมีการปลูกกาแฟประเภทนี้กันมากทางภาคเหนือบนดอยสูง
กาแฟโรบัสต้า ชื่อสามัญ Robusta coffee
ชื่อวิทยาศาสตร์ Coffea canephora Pierre ex A.Froehner (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Coffea robusta L.Linden)
ต้นกาแฟโรบัสต้า ลำต้นเจริญเติบโตมาจากรากแก้ว มีลักษณะเป็นข้อและก็บ้อง โคนใบจะอยู่ตามข้อของลำต้น เมื่อต้นโตขึ้นใบจะร่วงหล่นไป โคนใบมีตา 2 ประเภทเป็นตาบนและก็ตาล่าง ตาบนจะแตกกิ่งออกมาเป็นกิ่งกิ้งก้านที่ 1 ลักษณะเป็นกิ่งนอนขนานกับพื้นดินมีข้อและบ้อง แต่ละข้อจะมีกลุ่มตาดอกที่จะติดเป็นผลกาแฟถัดไป ส่วนตาล่างจะแตกออกเป็นกิ่งตั้ง กิ่งจะตั้งชันขึ้นไปเสมือนลำต้น และไม่ติดผล แต่ว่าสามารถสร้างกิ่งแขนงที่ให้ดอกผลได้ ซึ่งเรียกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 1 เช่นกัน และก็กิ่งกิ้งก้านที่ 1 ยังสามารถแตกกิ่งแขนงต่อไปได้อีกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 2 และกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 2 ก็สามารถแตกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 3 ได้อีก โดยกิ่งกิ้งก้านพวกนี้จะเกิดในลักษณะเป็นคู่สลับเยื้องกันบนลำต้นหรือกิ่งตั้ง เมื่อมีการตัดลำต้นกาแฟ ตาล่างบนลำต้นจะแตกกิ่งตั้งมา กิ่งก็จะแตกเป็นกิ่งกิ่งก้านสาขาที่ 1, 2 รวมทั้ง 3 หลังจากนั้นก็จะมีการสร้างดอกและผลกาแฟต่อไป โดยต้นกาแฟนั้นจะสามารถเพาะพันธุ์ด้วยแนวทางเพาะเมล็ด
ใบกาแฟ ใบเป็นใบคนเดียว เกิดที่ข้อเป็นคู่ตรงข้ามกัน โคนใบและก็หลายใบเรียวแหลม ส่วนขอบของใบหยักเป็นคลื่น กึ่งกลางใบกว้าง ผิวใบเรียบนุ่มเป็นมัน มีปากใบอยู่ด้านท้องใบ แต่ละใบจะมีปากใบโดยประมาณ 3 ล้านถึง 6 ล้านรู โดยปากใบโรบัสต้าจะมีขนาดเล็กกว่าปากใบของกาแฟอาราบิก้า แต่จะมีไม่น้อยเลยทีเดียวกว่า อายุใบราวๆ 250 วัน ส่วนก้านใบนั้นมีขนาดสั้น
ดอกกาแฟ ธรรมดาแล้วดอกกาแฟจะออกเป็นดอกโดดเดี่ยวบริบูรณ์เพศ มีกลีบโดยประมาณ 4-9 กลีบ ส่วนกลีบเลี้ยงมี 4-5 ใบ มีเกสร 5 อัน และมีรังไข่ 2 ห้อง ในแต่ละห้องของรังไข่จะมีไข่ 1 ใบ ผลกาแฟจึงมีเม็ด 2 เม็ด ดอกจะออกเป็นกลุ่มๆบริเวณโคนใบบนข้อของกิ่งกิ่งก้านสาขาที่1, 2 หรือ 3 กรุ๊ปดอกแต่ละข้อจะมีดอกราว 2-20 ดอก ดอกจะออกจากกิ่งกิ่งก้านสาขาจากข้อที่อยู่ใกล้กับลำต้นออกไปหาปลายกิ่งแขนง ปกติแล้วต้นกาแฟจะออกดอกตามข้อของกิ่ง ข้อที่ออกดอกออกผลแล้วในปีถัดไปก็จะไม่มีดอกรวมทั้งให้ผลอีก
ผลกาแฟ ผลมีลักษณะเป็นรูปทรงรี ก้านผลสั้น ผลดิบเป็นสีเขียว เมื่อสุกแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง สีส้ม และก็สีแดง ผลกาแฟจะมีเปลือก พื้นที่มีสีเหลือง (เมื่อสุกมีรสหวาน) แล้วก็กะลาที่ห่อหุ้มเมล็ด ช่วงระหว่างกะลากับเมล็ดจะมีเยื่อบางๆที่ห่อหุ้มเม็ดอยู่ ซึ่งเราเรียกว่า “เยื่อห่อเม็ด” ในแต่ละผลจะมี 2 เม็ดประกับกันอยู่ ก้านที่เกาะติดกันจะอยู่ภายในมีลักษณะแบน มีร่องตรงกลางเม็ด 1 ร่อง ส่วนภายนอกโค้ง ลักษณะของเม็ดจะเป็นเม็ดลำพังหรือเม็ดโทน ในบางครั้งถ้าหากการผสมเกสรไม่สมบูรณ์ จะก่อให้ผลติดเม็ดเพียงแต่เม็ดเดียว (คิดเป็นราว 5-10%) ซึ่งจะมีลักษณะเป็นรูปกลมรีเม็ด มีร่องกึ่งกลาง 1 ร่อง เมล็ดชนิดนี้จะเรียกว่า “พีเบอร์รี่“
จุดแข็งของกาแฟโรบัสต้า โดยส่วนมากแล้วพวกเราจะนำกาแฟโรบัสต้ามาผลิตเป็นกาแฟสำเร็จรูป หรือเอามาผสมกับกาแฟอาราบิก้าเล็กน้อย เพื่อผลิตเป็นกาแฟคั่วบดให้มีรสชาติที่ผิดแผกแตกต่างออกไป สำหรับกาแฟโรบัสต้านั้นมีข้อดีในเรื่องของบอดี้ เมื่อดื่มแล้วจะรู้สึกได้ถึงความนุ่ม เปียกแฉะคอ กาแฟประเภทนี้จะมีจำนวนของคาเฟอีนสูงขึ้นมากยิ่งกว่ากาแฟอาราบิก้าเป็น 2 เท่า กาแฟโรบัสต้าในประเทศไทยจะมีการเพาะกันมากมายทางภาคใต้บนพื้นที่ราบ ได้แก่ที่จังหวัดนครศรีธรรมราชแล้วก็จังหวัดชุมพร
Drip : วิธีการนี้เกิดขึ้นมาราวๆปี ค.ศ. 1905 ในเยอรมันนีซึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1908 ก็ได้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายของผู้บริโภค โดยเฉพาะคนที่ถูกใจชงกาแฟดื่มเองที่บ้าน
วิธีการชงกาแฟแบบ Drip : จะทำโดยการใช้น้ำร้อนหรือหยดน้ำร้อนผ่านกาแฟบด แล้วต่อจากนั้นให้ของเหลวผ่านกระดาษกรอกหรือ filter สำหรับที่ใช้ชงกาแฟแบบ drip ลงไปยังภาชนะรองรับ ซึ่งเมื่อผ่าน filter อาจจะมีการเสียรสไปบ้างแต่ว่าไม่มากมาย ซึ่งนับได้ว่าเป็นแนวทางที่ง่ายเหมาะสำหรับทำที่บ้านได้ด้วยตัวเอง สามารถใช้ได้กับการชงกาแฟในจำนวนมากกว่า 1 แก้วได้อย่างสบาย โดยจะมีเครื่องต้มกาแฟ ชื่อ drip maker หรือ coffee machine ที่หาซื้อได้อย่างง่ายๆ
French Press : กรรมวิธีนี้เกิดขึ้นราวๆปี 1850 โดยนักออกแบบชาวอิตาเลียน การชงกาแฟโดยวิธีแบบนี้นั้น ควรจะมีเครื่องชงกาแฟแบบ French press ซึ่งหาซื้อได้อย่างง่ายดายตามท้องตลาด ทำให้ได้รสของกาแฟที่จริงจริงแต่ไม่ต้องวิตกกังวลกับเศษหรือกากกาแฟที่หลุดลอดออกมานะเนื่องจากว่าโน่น คือเสน่ืห์ของวิธีแบบนี้ ซึ่งกาแฟที่ได้จะไม่ clean เท่าแบบ Drip ก็ไม่ต้องตกอกตกใจ
กรรมวิธีการชงกาแฟแบบ French Press : ก็ไม่ยุ่งยาก
ขั้นที่ 1 : เราต้องมีกาแฟบดก่อนซึ่งจะต้องใช้กาแฟบดที่หยาบคายหน่อยนะเพราะว่าถ้าเกิดเราบดละเอียดยิบเลย ผงกาแฟจะหลุดลอดตะแกรงของเครื่องชงได้
ขั้นที่ 2 : เพิ่มผงกายุบดลงไปในเครื่องชง ใช้กาแฟราวๆ 7 กรัม
ขั้นที่ 3 : เพิ่มเติมน้ำร้อนลงไปราวๆ 1/3 ของแก้วรอให้กาแฟซึมน้ำซัก 30-40 วินาที จากนั้นเพิ่มน้ำร้อนเข้าไปจนเต็ม
ขั้นที่ 4 : เอาฝามาปิด อย่าลืมนะก่อนปิดฝาให้ดึงที่กรองขึ้นกระทั่งสุดก่อน ปิดฝาทิ้งไว้โดยประมาณ 4 นาที
ขั้นที่ 5 : กดตะแกรงลงมาเพื่อดันเศษกาแฟลงไปข้างล่างแล้วหลังจากนั้นก็รินใส่ถ้วยดื่มได้ทันทีเลย
Espresso : กรรมวิธีนี้เกิดขึ้นราวปี ค.ศ. 1901 ในเมืองมิลาน ประเทศอิตาลี หลายๆท่านบางทีอาจจะเคยชินกับชื่อนี้อย่างใหญ่โต รวมทั้งอาจจะมีการเกิดความสับสนเสมือนผมในครั้งที่แล้วว่า มันเป็น ชื่อพันธุ์กาแฟ หรือไม่ก็สูตรกาแฟดำที่ชื่อ เอสเปรสโซ่ ในความเป็นจริงแล้ว Espresso ชื่อนี้เป็นกรรมวิธีการชงกาแฟ มาจากภาษาละตินที่มีความหมายว่า ดัน หรือ กด และกาแฟที่ได้จากเครื่องนี้ก็จะเรียกว่า “กาแฟเอสเปรสโซ่” ซึ่งก็จะเป็นต้นทางของกระบวนการทำกาแฟสูตรต่างๆได้แก่ Latte, Mocha, Cappuccino, Macchiato หรือ Espresso con Panna เป็นต้น
Chemex : วิธีการแบบนี้เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1931 ซึ่ง ไม่ค่อยแพร่หลายมากแค่ไหน โดย Chemex คือ กรวยชงกาแฟ โดยลักษณะที่คล้ายๆกับการ Drip ที่ใช้น้ำร้อนเทใส่ผงกาแฟและก็ผ่านกระดาษกรองลงไป แต่กรรมวิธีการนี้เป็นศิลปะอย่างหนึ่งที่ทุกขั้นตอนจะทำด้วยมือตั้งแต่การบดจะไปถึงการเทน้ำร้อนใส่ผงกาแฟ
Cupping : กรรมวิธีนี้ใช้สำหรับนักชิมกาแฟ หรือ Master Taster โดยก่อนที่ผู้สร้างกาแฟจะส่งขายไปยังผู้ใช้ควรจะมีการชิมกาแฟก่อน ซึ่งผู้ลองกาแฟก็จะชงกาแฟด้วยแนวทาง Cuppingหมายถึงบดกาแฟที่ต้องการชิมรสชาติ เช่น กาแฟ 1 ประเภทก็จะคั่ว 3 ระดับคือ อ่อน กึ่งกลาง และ เข้ม ต่อจากนั้นก็เอามาบดแล้วใส่ผงกาแฟลงในถ้วยแก้ว 3 ถ้วยหลังจากนั้นก็เติมน้ำร้อนลงไป เพียงพอถึงขนาดตอนการชิม เค้าก็จะเอาช้อนปาดหรือตักผงกาแฟที่ลอยอยู่ออกแล้วหลังจากนั้นก็เริ่มกระทำการลองกาแฟได้เลย
สรรพคุณของกาแฟ

• ช่วยลดความเสี่ยงการเกิดโรคมะเร็ง มีงานวิจัยหลายชิ้นที่ยืนยันได้ว่าการดื่มกาแฟวันละ 2-5 แก้ว สามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งในช่องปาก มะเร็งลำไส้ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก และมะเร็งตับได้ เนื่องจากคาเฟอีนจะไปช่วยยับยั้งการเกิดเซลล์ผิดปกติ และกำจัดสารพิษที่ร่างกายได้รับออกไปได้ในระดับหนึ่ง, งานวิจัยของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ทำการศึกษาจนพบว่า ผู้ที่ดื่มกาแฟจะมีอัตราการเป็นโรคมะเร็งต่ำกว่าผู้ที่ไม่ได้ดื่ม ส่วนการศึกษาของมหาวิทยาลัยบอสตันพบว่า ผู้ป่วยที่ดื่มกาแฟอย่างน้อยวันละ 5 ถ้วย จะมีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ต่ำกว่ากลุ่มอื่นถึง 40% ซึ่งสอดคล้องกับการศึกษาในประเทศญี่ปุ่นที่ทำการศึกษากับผู้หญิงเป็นระยะเวลา 12 ปี โดยพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 3 แก้วหรือมากกว่า จะมีแนวโน้มในการลดอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ถึง 50% และจากการศึกษากับผู้ชายจำนวน 50,000 คน เป็นระยะเวลา 20 ปี พบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟวันละ 6 แก้ว จะมีอัตราเสี่ยงของการเกิดโรคมะเร็งต่อมลูกหมากน้อยกว่าคนที่ไม่ได้ดื่ม โดยมีข้อมูลที่ระบุว่าการดื่มกาแฟนั้น จะสามารถช่วยยับยั้งการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้
• ช่วยเพิ่มไขมันดี (HDL) ที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย จากผลการวิจัยพบว่าผู้ที่ดื่มกาแฟบ่อย ๆ จะมีไขมันชนิดดีเพิ่มขึ้น ซึ่งไขมันชนิดนี้จะเป็นตัวช่วยขับไล่คอเลสเตอรอล และช่วยป้องกันหลอดเลือดแข็งตัว
• มีงานวิจัยที่ได้พิสูจน์แล้วว่า กาแฟมีประโยชน์ในการช่วยป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบี

ขั้นตอนกล้วยๆที่จะเป็นแนวทางสู่บ้านในฝัน
การออกแบบด้วยสถาปนิกนั้นนับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างมากสำหรับในการสร้างบ้าน นักออกแบบที่เก่ง จะช่วยแก้ปัญหาการจัดสรรพื้นที่ ช่วยให้บ้านของเราสวยงาม มีสไตล์ แถมยังอยู่สบายสอดคล้องกับการใช้ชีวิตของผู้อาศัยในบ้าน แต่ว่าถ้าเกิดอยากสร้างบ้านหลังเล็ก เน้นย้ำการพักอาศัยอย่างง่าย การออกแบบบ้านด้วยตนเองเป็นอีกหนึ่งวิธีซึ่งสามารถทำได้ จุดสำคัญคือการสื่อสารกับช่างก่อสร้างให้ได้ทราบถึงสิ่งที่ต้องการของพวกเราเอง แล้วก็กระบวนการสื่อสารที่ง่ายที่สุดในการสร้างบ้าน โน่นคือการวาดแปลนบ้านนั่นเองนะครับ สำหรับวันนี้ “บ้านไอเดีย” ขอนำหลักการออกแบบบ้านด้วยตนเองอย่างง่าย โดยจะเน้นไปถึงการจัดสรรพื้นที่ พร้อมกับวาดแผนผังแปลนข้างในบ้านด้วยตัวเอง เพื่อนำแบบแปลนดังกล่าวไปให้ผู้รับเหมาทำการก่อสร้าง หรือบางทีอาจส่งต่อให้สถาปนิกวาดแบบแบบแปลนมาตรฐาน เพื่อจะได้นำไปต่อยอดเป็นแปลนบ้านใช้งานจริงกันครับ
1. ตรวจสอบที่ดิน : ก่อนจะถึงกับขนาดตอนการออกแบบบ้าน อย่างแรกที่สำคัญมหาศาลเป็นการเรียนรู้แปลงที่ดินของเราเองให้ถี่ถ้วน ที่ดินมีหน้ากว้างกี่เมตร ลึกกี่เมตร ทิศไหนอยู่ด้านไหนบ้าง การสำรวจทิศทางนี้เพื่อให้พวกเราได้วางแผนผังบ้านได้อย่างเหมาะควร สอดคล้องกับสภาพอากาศ ลมและก็แสงแดด ขนาดของที่ดินยังบอกถึงขนาดและก็รูปทรงของบ้าน ได้แก่ มีที่ดิน 40 ตำรวจมัธยม แม้กระนั้นอยากได้พื้นที่ใช้สอย 200 ตำรวจม แน่นอนว่าต้องดีไซน์เป็นบ้าน 2 ชั้นเท่านั้น และก็การออกแบบจะต้องเผื่อขอบเขตระยะร่นตามกฎหมายกำหนดไว้ (อ่านกฎหมายระยะร่น)
2. กำหนดสไตล์ : การเลือกสไตล์ของบ้าน เป็นการระบุขอบเขต เป้าหมาย เพื่อให้จินตนาการของความจำเป็นมีความแจ้งชัดเพิ่มมากขึ้น ผู้อ่านอาจขับขี่รถท่องเที่ยวไปยังสถานที่ต่างๆพักรีสอร์ท เลิศบ้านสหาย หรือถ้าให้สะดวกหน่อยก็เพียงแค่คลิกเข้าชมเว็บไซต์บ้านไอเดีย แบบอย่างบ้านเหล่านี้พวกเราสามารถเอามาปรับใช้ กำหนดวิธีการดีไซน์บ้านในฝันของพวกเราได้ แม้กระนั้นจำเป็นต้องขอย้ำให้รู้กันก่อนว่า เราสามารถนำวางแบบมาดัดแปลงได้ แต่ว่าไม่สามารถไปลอกแบบได้ครับ เว้นแต่ว่าจะได้รับอนุญาตจากเจ้าของบ้านหรือเจ้าของแบบโดยตรง ปกติแล้วสไตล์ของบ้านมีค่อนข้างนานัปการ อีกทั้งไทยประยุกต์ , Vintage , Loft , Minimal , Tropical , หรืออาจเลือกเอกลักษณ์ของบ้านจากต่างแดน อาทิเช่น บ้านสไตล์ทัสคานี เป็นต้น ทั้งปวงนี้ไม่จำเป็นที่จะต้องมีส่วนประกอบที่เช่นเดียวกัน ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเป๊ะ พวกเราบางทีอาจประสมประสานรวมแต่ละสไตล์ เลือกจุดที่ชอบนำมาประยุกต์ใช้เพื่อกลายเป็นสไตล์ของเราเองได้เหมือนกันนะครับ พบเจอไหน ถ่ายภาพเก็บไว้ หรือถ้าหากถูกใจแบบอย่างแบบบ้านในเว็บไซต์บ้านไอเดีย ก็บางทีก็อาจจะเซฟลิงค์เก็บไว้ เผื่อตอนใช้งานจริงจะได้ค้นหาข้อมูลเจอ การเลือกสไตล์บ้านที่ดี เว้นแต่ความรู้สึกชื่นชอบส่วนตัวแล้ว สถานที่ก่อสร้างเป็นสิ่งที่สำคัญ ควรจะวางแบบบ้านให้สมควร ใกล้เคียงหรือมองเข้ากับสถานที่ ชุมชนที่อยู่ที่อาศัยด้วยครับผม
3. เขียนความอยากลงไป : ก่อนการออกแบบสิ่งจำเป็นอย่างมาก เป็นการวิเคราะห์สิ่งที่มีความต้องการ ขั้นตอนนี้จะต้องสนทนากันทั้งครอบครัว มีสมาชิกกี่คน อยากได้อะไรบ้าง อยากได้แบบไหน มีเฉลียง ชานระเบียง มีกี่ห้องนอน กี่ห้องอาบน้ำ เป็นคนชอบทำครัวหรือไม่ ห้องนั่งเล่น ห้องดูทีวี ห้องทำงาน ปัญหาเหล่านี้แต่ละบ้านย่อมมีความไม่เหมือนกัน โดยเฉพาะความอยากได้หลักฐานราก เช่น ปริมาณห้องนอน ห้องอาบน้ำ ฯลฯ
4. ระบุขนาด : เมื่อรู้ความจำเป็นแล้ว ระบุขนาดพื้นที่ใช้สอยของแต่ละห้องลงไป อยากให้กว้าง ยาว กี่เมตร การกำหนดขนาดแต่ละห้องจะช่วยทำให้สามารถวิเคราะห์หาพื้นที่ใช้สอยรวมได้ ผลวิเคราะห์นี้จะทำให้การออกแบบบ้านกระจ่างเพิ่มขึ้น และก็ยังช่วยทำให้พวกเราทราบอีกว่า เราควรก่อสร้างบ้านกี่ชั้นถึงจะเหมาะสม ถ้าหากมีที่ดินอยู่แล้วจำเป็นจะต้องออกแบบให้สอดคล้องกับที่ดิน แต่ว่าถ้าหากยังไม่มีที่ดิน การกำหนดขนาดพื้นที่ใช้สอย จะมีผลให้พวกเราหาซื้อที่ดินได้ตามขนาดที่อยากได้ การกำหนดขนาดนี้ยังสามารถนำไปอิงกับการประเมินราคาก่อสร้างได้อีกด้วยครับ
5. กำหนดตำแหน่ง แนวทาง : การออกแบบผังบ้านที่ดีควรดีไซน์ให้สอดคล้องกับธรรมชาติ เพื่อให้การอยู่อาศัยภายในบ้านเป็นไปอย่างเหมาะสมที่สุด โดยรวมแล้วจะคิดถึงแนวทางของแสงแดด และก็ทิศทางลม โดยแสงอาทิตย์จะส่องมากมายในทิศตะวันตก ทิศใต้ ห้องที่ต้องการแสงมาก เป็นห้องที่อยากได้กำจัดความชุ่มชื้น อาทิเช่น ห้องน้ำ ครัว ห้องล้าง ส่วนห้องที่อยากแสงสว่างพอเพียงเหมาะ ยกตัวอย่างเช่น ห้องนอน , ห้องรับแขก , ห้องทำงาน , ห้องดูหนัง เนื่องจากแม้แสงสว่างมากเกินไปบางทีอาจคือความร้อนที่มากขึ้นเหมือนกันขอรับ
6. สำหรับทิศทางลม ลมมีสองแนวทางหลัก ทิศเหนือและก็ทิศใต้ขึ้นกับฤดูกาล (ทิศใต้มีลมเข้า 8-9 เดือน ทิศเหนือ 2-3 เดือน) ซึ่งแม้อ้างอิงร่วมกับทิศทางแดด แดดด้านทิศใต้จะออกจะแรงเกือบตลอดวัน ส่วนทิศเหนือแดดจะร่มเกือบตลอดวัน คนประเทศไทยก็เลยนิยมสร้างบ้านให้หันไปทางทิศเหนือ แต่ว่าก็มีมากไม่น้อยเลยทีเดียวด้วยเหมือนกันที่เลือกหันหน้าไปด้านทิศใต้ เพื่อต้องการรับกระแสลมแทบตลอดทั้งปี ดังนี้ก็ไม่ได้เป็นข้อจำกัดอะไร เพราะเหตุว่าการใช้งานของแต่ละบ้านนั้นไม่เหมือนกัน บางคนบางทีอาจดีไซน์เพื่อเน้นย้ำการใช้ข้างบ้าน , หลังบ้าน ก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานจริงด้วยนะครับ
7. ทดลองวาด : วัสดุพื้นฐานที่สุดที่ใช้เพื่อการวาดแปลนเป็นดินสอ + กระดาษ A4 หรือคนอ่านถนัดใช้เครื่องไม้เครื่องมือใดก็สามารถเลือกได้ตามอยาก วาดด้วยมือหรือใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์มาช่วยก็สามารถทำเป็นเหมือนกันครับผม แนวทางวาดแบบแปลน วาดเป็นมุมภาพ 2D โดยให้นึกถึงการมองภาพที่เอามาจากบนหลังคาบ้าน ซึ่งอาจจำเป็นต้องทำความเข้าใจกับเครื่องหมายพื้นฐานกันนิดหน่อย เป็นต้นว่า ประตู หน้าต่าง ส่วนห้องอื่นๆสามารถวาดเป็นสี่เหลี่ยมในแบบห้องทั่วไป ดังนี้ถ้าหากผู้อ่านไม่รู้เรื่องสัญลักษณ์ ก็ไม่เป็นปัญหาใด แค่เพียงวาดและเขียนคำอธิบายประกอบร่วมด้วย ให้เพียงพอติดต่อสื่อสารได้ตรงกัน เพียงเท่านี้ก็สามารถนำไปคุยกับช่างรับเหมาได้แล้วนะครับ
 
ข้อควรรู้ก่อนที่จะมีการก่อสร้างบ้าน
สถานที่ตั้งบ้าน ความสำคัญของสถานที่ตั้งบ้านนั้นเป็นความสำคัญอันดับแรกที่เราจำต้องคิดก่อนจะสร้างบ้าน เนื่องจากว่าพวกเราจะต้องนึกถึงการเดินทางระหว่าง บ้านไปยัง สถานที่สำหรับทำงาน,โรงเรียน ,ตลาด,ศุนย์การค้าขาย,สถานีรถไฟฟ้า,ราคาที่ดิน เป็นต้น ในอดีตสมัยทำเลที่ดีเป็นทำเลที่จำเป็นต้องอยู่กลางเมืองเพราะระบบรถยนต์สาธารณะยังไม่ครอบคลุมราวกับอย่างปัจจุบันนี้ ทำให้ผู้คนต่างก็ไปกระจุกกันอยู่ในเมืองเพียงอย่างเดียว ผิดกับตอนนี้ที่ทำเลที่ตั้งที่ดีเป็นทำเลที่ตั้งที่อยู่ไกล้รถไฟฟ้า, ก่อนที่จะพวกเราจะคิดถึงการผลิตบ้านเราจึงควรมองหารอบๆที่พวกเราสามาถเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะกลุ่มนี้ได้อย่างสะดวกที่สุด รวมทั้งความปลอดภัยของเขตที่อยู่ที่จะต้องไม่ดูเปลี่ยวจนกระทั่งเหลือเกิน ในยามค่ำคืนอีกด้วย ดังเช่นว่าการซื้อบ้านที่อยู่ในหมู่บ้านบางครั้งอาจจะรู้สึกอุ่นใจกว่าการสร้างบ้านเดียวที่แต่ละข้างหลังตั้งอยู่ห่างกันเยอะมากๆเป็นต้น และอย่ามุ่งมาดกับโครงการต่างๆที่ยังไม่รู้เรื่องว่าจะเกิดเมื่อไหร่หรือเกิดจริงๆหรือไม่ก็ไม่รู้เรื่องได้แก่ รอบๆนั้นจะมีรถไฟฟ้าสายใหม่ๆผ่าน ทางด่วน หรือ ถนนผ่าน เพราะว่าพวกเราไม่บางทีอาจรับรองได้ว่ามันจะเกิดเมื่อไหร่(นอกเหนือจากการซื้อเพื่อเก็งกำไร) ควรที่จะทำการเลือกจากสภาพเดี๋ยวนี้ที่เยี่ยมที่สุด จะดียิ่งกว่าครับผม
จะถมดินสูงขนาดไหนดีนะ อันนี้เป็นคำถามยอดฮิตก่อนจะมีการสร้างบ้านเลยทีเดียว บางคนบอก 50 ซม บ้างก็ว่า 30 ซึม ก็พอแล้วบางบุคคลบอก 1 เมตรไปเลย แล้วจริงๆมันควรจะกลบเท่าไรหละ คำตอบของประเด็นนี้เป็น สุดแท้แต่ความชื่นชอบครับผมไม่มีการกำหนดที่แน่นอนก็แค่มันต้องสูงขึ้นยิ่งกว่าระดับถนนคอนกรีตหรือถนนลาดยางหน้าบ้านเรา ประมาณ 50 ซม ก็พอเพียง แต่ว่าถ้าหากถนนหน้าบ้านเป็นถนนหนทางดินแดงก็ให้เพิ่มความสูงของระดับดินถมเป็น 1 ม.เพื่อเป็นการรองรับความสูงของถนนหนทางที่จะเพิ่มสูงขึ้นจากการลาดยางหรือทำถนนคอนกรีตในอนาคตนั้นเอง อีกสาเหตุนึงเป็นระดับน้ำท่วมสูงสุดในรอบๆนั้น หากสามารถหาข้อมูลได้พวกเราก็ควรกลบที่ดินให้สูงขึ้นยิ่งกว่าระดับดังที่กล่าวมาแล้วราว 50 เซนติเมตรขึ้นไป
การกลบดินเพื่อก่อสร้างบ้านเจ้าของบ้านจำเป็นต้องเผื่อการยุบตัวของดินด้วยครับ เป็นเพื่มจำนวนดินถมสูงขึ้นไปอีก 30 % เพื่อเผื่อให้ดินได้เซ็ตตัวหรือยุบตัว นั้นเอง ดังเช่น จะกลบดินสูง 50 ซึม แม้กระนั้นให้กลบดินไว้ที่ระดับ65 ซึมนั้นเอง และควรถมดินไว้ก่อนที่จะมีการสร้างบ้านขั้นต่ำ 4-6 เดือนยิ่งทิ้งเอาไว้ผ่านหน้าฝนซักครั้งจะยิ่งทำให้ดินแน่นมากยิ่งขึ้นทำให้ลดปัญหาดินทรุดข้างหลังสร้างบ้านได้เป็นอย่างดี
แนวทางแดดลม กับ การวางตำแหน่งบ้าน ผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อยอาจจะมีความคิดว่าไอ้เรื่องเหล่านี้ มันจะสำคัญอะไรเยอะมากนักจะปลูกเรือนที่ไหนมันก็มีลมทั้งนั้นล่ะ และก็ที่สำคัญเราก็เปิดแอร์ทั้งวันอยู่แล้วไม่เห็นมีอะไรน่ากังวล ใครกำลังจะมีความนึกคิดแบบงี้มั้งขอรับ ถ้าเกิดมีชี้แนะว่าให้อ่านเรื่องนี้ก่อนและก็หลังจากนั้นจึงค่อยมาคิดอีกครั้งครับผม
ทำไมต้องมองแนวทางแดด-ลม ก่อนจะมีการวางตำแหน่งบ้าน ก็เนื่องจากว่าเราอาจไม่ต้องการที่จะอยากนอนในห้องนอนที่แสนจะร้อนในกลางคืนหรือจำต้องอุดอู้อึดอัดอยู่ในบ้านที่ไม่มีลมระบายเลย เรื่องเหล่านี้ค่อนข้างจะวิจิตร มีข้อสังเกตุหลายชนิดสำหรับเพื่อการวางตำแหน่งบ้านเพื่อให้บ้านทั้งยังข้างหลังเป็นบ้านที่อยู่อย่างสบาย มีความสุข รวมทั้งประหยัดพลังงาน
ธรรมดาแสงอาทิตย์ของบ้านเราจะวิ่งเป็นแนวตะวันออกแล้วอ้อมโค้งไปด้านใต้ก่อนที่จะตกในทิศตะวันตก จะทำให้ทิศใต้ไปจนกระทั่งทิศตะวันตกได้รับแสงสว่างเยอะที่สุดของวันเป็นตั้งแต่ข้างหลังเที่ยงตรงไปจนกระทั่งห้านาฬิกาเย็น ด้านนี้จำเป็นที่จะต้องเป็นส่วนหลังบ้านรวมทั้งส่วนล้างหรือกิจกรรมอื่นที่อยากได้แสงจำนวนมากๆส่วนทางทิศตะวันออกจะได้รับแสงจางๆในเวลาเช้าและแสงจะแรงมากเพียงแต่ช่วง 10 นาฬิกาตอนเช้าจนกระทั่งเที่ยงตรงซึ่งก็เพียงแค่ 3 ดู ยิ่งทิศเหนือแล้วยิ่งได้รับแดดต่ำที่สุด 2 ด้านนี้จึงเหมาจะวางตำแหน่งของห้องพักผ่อนที่ต้องการแสงก่อกวนน้อย ยกตัวอย่างเช่น ห้องนอนและห้องรับแขก
เรานิยมวางแนวด้านแคบของตัวบ้านหันไปทางทิศทางรับแดด เพื่อให้ฝาผนังที่รับแดดมีน้อยที่สุด ทำให้ฝาผนังสามาถดูดกลืนความร้อนในปริมาณน้อยแล้วก็ทำให้ด้านในภายไม่ร้อนกระทั่งเกินความจำเป็นในเวลากลางคืน เนื่องจากธรรมชาติของผนังปูนนั้นจะดูดความร้อนเมื่อแดดส่องรวมทั้งจะระบายความร้อนออกมาในช่วงเวลาค่ำคืน ดังนั้นถ้าผนังบ้านถูกแดดตะวันตกน้อยก็จะก่อให้ความร้อนที่จะถ่ายออกมาช่วงกลางคืนมีน้อยด้วยเหมือนกัน
ส่วนลมนั้นลมประจำฤดูของบ้านพวกเราจะพัดจากทิศตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งจะพัดพาลมเย็นจากจีนมาในช่วงหน้าหนาว และก็ จากทิศตะวันตกเฉียงใต้ที่จะพัดพาความชื้นจากสมุทรมาในฤดูร้อนรวมทั้งฤดูฝน บ้านที่ดีด้านยาวของบ้านจำเป็นต้องหันเข้าพบทิศทางลมเพื่อให้ลมธรรมชาติพัดเข้าตัวบ้านเพื่อระบายความร้อนออกไปให้ได้มากที่สุดแล้วก็นำมาซึ่งการทำให้มัธยัสถ์ค่าไฟสำหรับแอร์ในบ้านฯลฯ
 
 
ออกแบบ เพื่อนำเสนอห้าง
โครงการ : ร้านอาหาร / เครื่องดื่ม
style : cottage style

พื้นที่ใช้สอย : 40 ตร.ม.
ค่าออกแบบ : 220 บ./ตร.ม.


รับทำออกแบบ Design & RE-NOVATE BUILD มีจำลอง3D ติดต่อ
สาขากทม. 098 292 4496 หัวหิน 094 982 2636

เครดิต : [url=http://www.alldecorate.com/][url]http://www.alldecorate.com/[/url]

Tags : ออกแบบเคาน์เตอร์,รับตกแต่งร้านกาแฟ,รับออกแบบร้านอาหาร