Advertisement
เรารับผลิต เฟืองดอกจอก
ขายเฟือง เฟืองสะพาน [url=http://www.kgsthailand.com/]ย
หน้าที่แล้วก็องค์ประกอบสายพานลำเลียง (Fuction and Componnents of Belt Conveyor)สายพานลำเลียงก็ราวกับเครื่องจักรอื่นๆโดยทั่วไป เป็นมีชิ้นส่วนหลักแล้วก็เครื่องมือประกอบอื่นๆอีกมากมายในแต่ละส่วนประกอบ แต่ละเครื่องไม้เครื่องมือยังมีมากมายแบบอย่าง การออกแบบสายพานลำเลียงยัังไม่มีมาตราฐานสากลเข้ามาควบคุมประกอบกับ การออกแบบจะวางแบบให้เหมาะสมเฉพาะงาน ด้วยเหตุนี้วิศวกรผู้ออกแบบจะใช้ศาสตร์และศิลป์ของตัวเอง ด้วยเหตุดังกล่าวไม่ว่าแบบอย่าง การเลือกใช้องค์ประกอบ ปริมาณเครื่องมือที่ติดตั้งตำแหน่งที่ติดตั้งเครื่องใช้ไม้สอย มีนานัปการต้นแบบเหมือนกัน ส่วนประกอบหลักๆที่สำคัญต่อการออกแบบสายพานลำเลียงพอจัดประเภทได้ดังต่อไปนี้
Conveyor belt (สายพานลำเลียง) เป็นส่วนที่ปฏิบัติภารกิจรองรับวัสดุถ่ายแล้วก็ส่งกำลัง
Head terminal (ส่วนปลายด้านหัว) เป็นส่วนที่ปลายสุดท้ายที่ปฏิบัติหน้าที่จ่ายวัสดุออกจากสายพาน
Foot terminal or Tail terminal (ส่วนปลายด้านท้าย) เป็นส่วนที่รับสิ่งของเข้าสายพาน
Thoughed belt idler or Carring idler (ชุดลูกกลิ้งสายพานรูปแอ่ง หรือ ลูกกลิ้งรองรับสายพานด้านบรรทุกวัสดุ) เป็นชุดลูกกลิ้งซึ่งทำหน้าที่รองรับสายพานด้านพาอุปกรณ์ไปในหนึ่งชุดมีลูกกลิ้งหนึ่งลูกหรือมากกว่า
Return Idlers (ชุดลูกกลิ้งพากลับ) เป็นชุดลูกกลิ้งที่ปฏิบัติภารกิจรองรับสายพานด้านไม่บรรทุกวัสดุ (สายพานไม่) ในหนึ่งชุดมีลูกกลิ้งหนึ่งลูกหรือมากกว่า
Drive (ชุดขับ) เป็นชุดเครื่องมือซึ่งปฏิบัติหน้าที่ขับสายพานให้เขยื้อน ประกอบด้วยชุดต้นกำลัง,อุปกรณ์ส่งต่อกำลัง แล้วก็ล้อขับสายพาน ซึ่งชุดต้นกำลังเป็นต้นว่า มอเตอร์ไฟฟ้าหรือเครื่องยนต์,เครื่องมือส่งต่อกำลัง เป็นต้นว่า เครื่องมือปฏิบัติหน้าที่รับ และส่งกำลังระหว่างชุดต้นกำลังเดินทางไปยังล้อขับสายพาน เพื่อขับสายพานในความเร็วที่ปรารถนา
Take-up Device (อุปกรณ์ปรับความตึง) เป็นเครื่องมือสำหรับปรับให้สายพานมีความตึงรวมทั้งยังปฏิบัติภารกิจเก็บ สายพานส่วนเกิน
Snub Pulley (ล้อกดสายพาน) เป็นล้อสายพานที่ปฏิบัติหน้าที่กดสายพาน เพื่อเพิ่มโค้งสัมผัสให้กับสายพานบนล้อขับสายพาน (Drive Pulley)
Bend Pulley (ล้อดัด) เป็นล้อสายพานที่ปฏิบัติภารกิจเปลี่ยนทิศทางของสายพาน
Head Pulley (ล้อหัว) เป็นล้อสายพานที่ติดตั้งอยู่ที่ปลายด้านหัวของสายพานของชุดลำเลียง บางโอกาสปฏิบัติหน้าที่เป้นล้อ ขับสายพาน
Tail Pulley (ล้อท้าย) เป็นล้อสายพานที่ติดตั้งอยู่ที่ตำแหน่งปลายสุดด้านหลังของสายพาน บางครั้งบางคราวทำหน้าที่เป็นล้อปรับ ความตึงสายพาน
Take-up Pulley (ล้อปรับความตึง) ซึ่งก็คือ พูลเล่ย์ที่เดินทางเปลี่ยนตำแหน่งได้ใช้ประโยชน์เป็นส่วนหนึ่งส่วนใดของเครื่องมือปรับ ความตึงสายพาน
Anti Run Back or Back Stop (เครื่องมือต่อต้านการเขยื้อนกลับ) เป็นเครื่องมืออัตโนมัติสำหรับปกป้องสายพานเคลื่อนกลับทิศทาง เวลาที่สายพานขนวัสดุเคลื่อนที่ชันแล้วชุดต้นกำลังหยุดการทำงาน
Retarder (รีทราดเดอร์) เป็นอุปกรณ์ สำหรับคุ้มครองปกป้องความเร็วสายพานสูงเกิน ใช้ในกรณีจัดตั้งชุดสายพานเอียงต่ำลง
Brake (เบรค) เป็นวัสดุที่ทำหน้าที่เบรคให้สายพานหยุดการทำงาน หรือหยุดเพื่อดำเนินงานทะนุบำรุง
Cleaner or Belt wiper (อุปกรณ์ชำระล้างหรือใบปาด) เป็นวัสดุที่ใช้สำหรับนำวัสดุที่ติดบนสายพานหรือบนล้อสายพานออก
Discharge Chute (รางจ่ายอุปกรณ์) เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ดีไซน์ เพื่อบังคับทิศทางไม่ให้อุปกรณ์กระเด็นกระจายออก แล้วก็คุ้มครองปกป้องอันตรายอันจะกำเนิด จากการหมุนของล้อสายพานและก็สายพาน
Drive Support (เครื่องมือรองรับชุดขับ) ทำหน้าที่รองรับและจับยึดชุดขับทั้งผอง
Walk way and hand rail (ฟุตบาทรวมทั้งราวจับ) เป็นช่องทางเดินพร้อมราวจับ ยึดติดทางข้างๆของโครงสายพาน ใช้สำหรับการทำนุบำรุง และตรวจการปฏิบัติงานของสายพาน
Hood (ฝาครอบ) กระเป๋านอุปกรณ์ที่ยึดโครงสายพานครอบเหนือสายพาน เพื่อป้องกันแสงแดด,ฝน,ลม รวมทั้งการฟุ้งกระจายของอุปกรณ์ที่ขนย้าย รูปแบบของฝาครอบนิยมสร้างเป็นรอน (Conrrugated)
Wind Guard (โครงกันลม) เป็นโครงสำหรับยึดฝาครอบกันลม
Corbel connection (ข้อต่อ) เป็นวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้สำหรับยึดต่อความยาวของโครงสายพาน ชนิดมีส่วนยื่นรองรับ
Decking (ชั้นปิดกั้นอุปกรณ์) เป็นชั้นปิด หรือฝาครอบปิดที่ติดตั้งระหว่างแผ่นสายพานด้านบนรวมทั้งด้านล่าง เพื่อป้องกันอุปกรณ์ที่อยู่ด้านบน ของสายพานตกหล่นลงสู่แผ่นสายพานด้านล่าง
Gravity take-up (ชุดถ่วงปรับความตึง) เป็นชุดปรับความตึงของสายพานโดยอาศัยน้ำหนักดึงในแนวตั้ง
Bent (ขาตั้งแบบมีจุดหมุน) เป็นขาตั้งที่ปฏิบัติภารกิจรองรับน้ำหนักขององค์ประกอบรวมทั้งชุดสายพาน ขาตั้งนี้อยู่แนวดิ่งเวลาที่โครงสายพาน บางทีอาจเอียงลาด
Lateral Frame (โครงข้อต่อสายพาน) เป็นข้อต่อให้โครงสายพานให้ยาวขึ้น โดยดครงข้อต่อนี้จะปฏิบัติหน้าที่เป็นจุดรองรับปลายของ โครงสร้างสายพานที่จะมาต่อชนกัน
Knuckle joint (ข้อต่องอ) เป็นข้อต่อที่รองรับส่วนประกอบและสายพานที่เปลี่ยนทิศทาง รอบๆนี้จะมีลูกกลิ้งสายพานติดอยู่ด้วย เพื่อรองรับ การดัดโค้งของสายพาน
Frame (องค์ประกอบสายพาน) เป็นโครงสร้างที่ทำด้วยเหล็ก เพื่อรองรับน้ำหนักแล้วก็เป็นที่ยึดติดวัสดุอุปกรณ์ทั้งสิ้นของระบบสายพานนั้นๆอาจเป็นโครงเหล็กถัก(Truss),โครงเหล็กพับหรือโครงเหล็กสัณฐาน
Loading hopper or chute (ภาชนะรูปกรวยหรือราง) ติดอยู่ใกล้ส่วนท้ายของสายพานลำเลียงทำหน้าที่รองรับ แล้วก็นำอุปกรณ์เข้าสู่ สายพานลำเลียง
Screw take-up (สกรูเกลียวปรับความตึง) เป็นเครื่องมือปรับความตึงของสายพานโดยใช้การดึงของสกรู
มอเตอร์ ( Motor )
มอเตอร์เป็นเครื่องกลกระแสไฟฟ้า (Electormechnical Energy) ที่ทำหน้าที่เปลี่ยนกำลังไฟฟ้า (Electric Energy) ให้เป็นพลังงานกล (Mechanical Energy) ในรูปของการหมุนเคลื่อนที่มีประโยชน์สำหรับการเอาไปใช้งานได้อย่างมากมาย ถูกนำไปร่วมใช้งานกับเครื่องใช้ไฟฟ้า วัสดุไฟฟ้า แล้วก็เครื่องใช้ไฟฟ้าประมาณ 80-90% ลักษณะมอเตอร์ไฟฟ้า (Electric Energy) แสดงดังรูป
การทำงานของมอเตอร์
มอเตอร์ไฟฟ้าที่ถูกทำขึ้นมาใช้งานแบ่งออกได้เป็น 2 จำพวก เป็น มอเตอร์กระแสไฟฟ้า กระแสไฟตรง (DC Motor) เป็นมอเตอร์ที่ใช้กับแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้ากระแสตรง (DC Source) เป็นมอเตอร์แบบเบื้องต้นที่ถูกสร้างมาใช้งาน รวมทั้งมอเตอร์ไฟกระแสสลับ (AC Motor) เป็นมอเตอร์ที่ใช้กับแหล่งจ่ายกระแสไฟฟ้ากระแสสลับ (AC Source) มอเตอร์ชนิดนี้ถูกปรับปรุงมาจากมอเตอร์ระแสตรง เพื่อสามารถใช้งานได้อย่างกว้างขวางเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรงประกอบด้วย แม่เหล็กถาวร 2 ขั้ว วางอยู่ระหว่างขดลวดตัวนำ ขดลวดตัวนำจะได้รับแรงกดดันไฟกระแสตรงป้อนให้ในการปฏิบัติงาน ทำให้เกิดอำนาจแม่เหล็ก 2 ชุด มีขั้วแม่เหล็กเช่นกันวางใกล้กันกำเนิดแรงกระตุ้นทำให้ขดลวดตัวนำหมุนเขยื้อนได้เรื่องดำเนินการเบื้องต้นของมอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง
มอเตอร์ไฟฟ้ากระแสตรง (D.C. Motor)
เมื่อมีกระแสไหลผ่านเข้าไปในมอเตอร์กระแสจะแบ่งออกไป 2 ทาง คือ ส่วนอันดับที่หนึ่งจะผ่านเข้าไปที่ขดลวดสนามแม่เหล็ก(Field coil) นำมาซึ่งการก่อให้เกิดสนามแม่เหล็กขึ้นและอีกส่วนหนึ่งส่วนใดจะผ่านแปลงถ่านคาร์บอนรวมทั้งผ่านคอมมิวเตเตอร์ เข้าไปในขดลวดอาร์เมเจอร์ทำให้มีการเกิดสนามไฟฟ้าขึ้นเช่นกัน ซึ่งทั้งคู่สนามจะเกิดขึ้นขณะเดียวกัน ตามคุณสมบัติของเส้นแรงแม่เหล็กรวมทั้งจะไม่มีการต่อว่าดกัน จะมีแม้กระนั้นกี่ลบล้างแล้วก็มีการเสริมกัน ซึ่งกระตุ้นให้เกิดแรงบิตในอาร์เมเจอร์ ทำให้อาร์เมเจอร์หมุนซึ่งสำหรับเพื่อการหมุนนั้นจะเป็นไปตามกฎมือซ้ายของเฟลมมิ่ง (Fleming’s left hand rule)
สายพานแบนส่งกำลัง เป็นสายพานที่ใช้ในอุตสาหกรรมโรงสี ประเภทสายพานและความแข็งแรงจะเพิ่มขึ้นตามปริมาณชั้นของผ้าใบที่ใช้สำหรับในการผลิต
คุณสมบัติของสายพาน:
• คงทนถาวรต่อการแยกชั้นของผ้าใบ การใช้แรงงานของสายพานส่งกำลังชนิดนี้ จะใช้ส่งกำลังระหว่างพูเลย์ที่มีรอบการหมุนสูง ทำให้สายพานเกิดการแยกชั้นได้ง่าย ด้วยเหตุนี้การยึดติดของผ้าใบแต่ละชั้น ก็เลยจะต้องมีความแข็งแรงมากพอ หมายความว่าแรงยึดระหว่างกาวกับผ้าใบ และยางกาวกับยางในต้องแข็งแรง เนื่องจากว่าถ้าเกิดมีการแยกชั้นของผ้าใบขึ้น ระหว่างการใช้แรงงาน จะมีผลให้สายพานมีอายุการใช้แรงงานสั้น
• ความคงทนต่อแรงดึง สายพานที่ใช้จำเป็นจะต้องถูกดึงด้วยแรงที่มีค่าค่าหนึ่ง เพื่อกำเนิดแรงเสียดทานสำหรับเพื่อการเคลื่อน ความแข็งแรงของสายพาน สามารถเพิ่มหรือลดได้ โดยการเพิ่มหรือลดปริมาณของชั้นผ้าใบ
• คงทนถาวรต่อการสึกกร่อน ผ้าใบด้านล่างของสายพาน จะสัมผัสกับพูเลย์(Pulley) ทำให้อายุการใช้งานของสายพาน ขึ้นอยู่กับคงทนถาวรของผ้าใบ ซึ่งผ้าใบที่ใช้เป็นผ้า COTTON ขนาดต่างๆกัน
KENTEC Pin Coupling
- Pin coupling คัปปลิ้งแบบสลัก
- ติดตั้งทำการตั้งศูนย์ได้ง่าย
- ทำรูเพลาสูงสุดได้ถึง160mm
- สามารถพิจารณาแนวทางการหมุนของมอเตอร์โดยการถอดสลักออก
KENTEC Chain Coupling
- คัปปลิ้งรับแรงบิดได้สูง เมื่อเทียบกับคัปปลิ้งที่มีขนาดใกล้เคียงกัน
- ทำรูเพลาสูงสุดได้ถึง200mm
- คัปปลิ้งราคาย่อมเยาเหมาะสมกับงานส่งกำลังทั่วๆไป
Sprocket
คุณลักษณะ:
- เหมาะสำหรับงานส่งกำลังในรอบช้า
- สามารถรับแรงบิดได้สูง(Torque) ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่มีฝุ่นละอองมากมายและอุณหภูมิสูงได้ดี
- Martin มีผลิตทั้ง Sprocket สำหรับงานส่งกำลังรวมทั้ง Sprocket สำหรับงานโซ่ลำเลียง
Martin-Flex Coupling
- ชิ้นยางรอบรับการกระชากของเครื่องจักรได้เป็นอย่างดี (shock load)
- รองรับการเยื้องศูนย์ได้สูงกว่าคัปปลิ้งทั่วไป
- ชิ้นยางถอดออกตามแนวรัศมี ติดตั้งง่ายไม่ต้องเปลี่ยนที่มอเตอร์หรือเครื่องจักร
- ไม่จำเป็นต้องใช้สารหล่อลื่น และสามารถตรวจทานภาวะชิ้นยางได้ด้วยการดูจากข้างนอก
- ใช้ร่วมกับ taper bush ถอดประกอบกับเครื่องจักรได้ง่าย
- มีรุ่น FRAS ชิ้นยางกันไฟฟ้าสถิต และทนไฟได้สูง
TIMING PULLEY
คุณสมบัติ:
- สามารถทำอัตราทดได้สูงขึ้นมากยิ่งกว่า มู่เลย์แบบร่องวีและรองรับกำลังของมอเตอร์ได้มากกว่าสามารถผลิตรองรับสายพานได้ทุกรุ่นทุกยี่ห้อ ดังเช่นว่า HTD,GT2,XH,H,L,XL,RPP,STPD,T,AT
- สามารถใช้ร่วมกับ Taper Bush สำหรับในการประกอบเพลา
คำว่าการผลิต ในภาษาอังกฤษมีการใช้คำอยู่ 2 คำเป็น Manufacturing แล้วก็ Production ซึ่งมีความหมายแตกต่างดังต่อไปนี้
1. Manufacturing หมายถึง กรรมวิธีเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบหรือสิ่งของให้เปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์หรือสินค้าซึ่งสามารถสัมผัสได้
2. Production คือ วิธีการเปลี่ยนแปลงวัตถุดิบหรือสิ่งของให้เปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์เสร็จ เช่นเดียวกันกับคำว่า Manufacturing แต่ว่าต่างกันตรงที่ Production จะรวมเอางานบริการต่างๆเข้าไปด้วย อาทิเช่น การผลิตอาหารบรรจุกระป๋อง บริษัทสัญญาประกันภัย บริการที่ได้รับจากโรงพยาบาลรวมทั้งการเข้ารับการเรียนจากมหาวิทยาลัย เป็นต้น
สแตนเลส หรือเป็นรู้จักกัน ว่า เหล็กกล้าไร้สนิม เป็น โลหะเหล็กในกรุ๊ปที่มีความต้านทานการกัดกร่อนสูง ผสมระหว่างเหล็กแล้วก็คาร์บอน ซึ่งองค์ประกอบจะมีปริมาณคาร์บอนต่ำ มีโครเมียม เป็นส่วนผสมหลัก โดยประมาณ 10.5 % หรือมากยิ่งกว่า ก่อให้เกิดการสร้างฟิล์มโครเมียมออกไซด์
ผลิตภัณฑ์ที่ร้านค้า KGSthai จัดจำหน่าย เช่น
1. เฟืองโซ่ เฟืองตรง เฟืองดอกจอก เฟืองตัวหนอน เฟืองสะพาน เฟืองามมิ่ง เฟืองทองสัมฤทธิ์ เฟืองโซ่ลำเลียง เฟืองดอกจองเฉียง รวมทั้งเฟืองสั่งทำพิเศษ
2. มู่เล่ย์สำเร็จรูป มู่เล่ย์ชั้น
มู่เล่ย์สายพานแบน มู่เล่ย์เตเปอร์ รวมทั้งมู่เล่ย์สั่งทำพิเศษ
3. โซ่ลำพัง โซ่คู่ โซ่สแตนเลส โซ่ปีก โซ่ลำเลียง และโซ่สั่งทำพิเศษ
4. ข้อต่อเต็มข้อ ข้อต่อครึ่งข้อ ข้อต่อปีก และก็ข้อต่อสั่งทำพิเศษ
5. คอปปิ้ง ยอยเฟือง ยอยโซ่
ยอยสลัก NK, MD, MT, ROTEX, NORTEX รวมทั้งคอปปิ้งลักษณะพิเศษต่างๆ
6. ลิ่มสำเร็จรูป ลิ่มเหล็ก ลิ่มสแตนเลส
7. สปริงดึง สปริงดัน สปริงดีด สปริงเตเปอร์ แผ่นสปริง สปริงขึ้นรูป
สปริงลาน สปริงแท่นเจาะ สปริงแม่พิมพ์(สปริงสี) แล้วก็งานดัดสปริงทุกหมวดหมู่
8. เหล็กหลอม รวมทั้งงานหล่อตามแบบทุกจำพวก
9.
ใบพัดมอเตอร์อลูมินัม
พวงมาลัยเหล็กหล่อ พวงดอกไม้อลูมินัม พวงมาลัยชุบโครเมี่ยมเพลาเกลียว
วิวัฒนาการของการสร้างในทีแรกๆจะอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1760. – 1830. ซึ่งเริ่มต้นที่อังกฤษและเป็นตอนๆในขณะที่มีการประดิษฐ์เครื่องจักรชนิดต่างๆมาใช้สำหรับการผลิตดังนี้
1. การประดิษฐ์เครื่องจักรไอน้ำของวัตต์ (Watt’s Steam Engine) ในปี ค.ศ. 1776. และก็มีการสร้างจริงในปี ค.ศ. 1785
2. การพัฒนาวัสดุมายากล (Machine Tools) โดย John Wilkinson ที่ได้ประดิษฐ์เครื่องควัก(Boring Machine) เมื่อโดยประมาณปี ค.ศ. 1775.
3. การประดิษฐ์เครื่องกรอได้ (Spining Jenny) เครื่องทอผ้า (Power loom) และก็เครื่องจักร อื่นๆที่ใช้ในอุตสาหกรรมเสื้อผ้า โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มผลิตผล
4. ระบบของโรงงาน (Factory System) ซึ่งเป็นแถวทางใหม่ของการจัดหน่วยงานเพื่อการสร้างเยอะมากๆโดยใช้หลักการพื้นฐานของการแบ่งกลุ่มคนงาน
"เหล็ก" เป็นคำที่ชาวไทยทั่วไปนิยมใช้เรียกเหมารวมกันคือ เหล็ก (iron) และ เหล็กกล้า (steel) ซึ่งตามความจริงนั้น สิ่งของทั้ง 2 แบบนี้ต่างกันหลายประการ อย่างไรก็ดี เหล็กเป็นอุปกรณ์พื้นฐานที่สำคัญยิ่งในการพัฒนาสังคมแล้วก็ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์ตั้งแต่สมัยก่อนจนกระทั่งปัจจุบันนี้แล้วก็ถัดไปในอนาคตอีกนานมากๆ
เหล็ก (iron) สัญลักษณ์ด้านวิทยาศาสตร์ Fe คือแร่ธาตุโลหะชนิดหนึ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ โดยมากมีสีแดงอมน้ำตาล โดยธรรมดาสามารถดูดติดแม่เหล็กได้ พบมากในชั้นหินใต้ดินบริเวณที่ราบสูงรวมทั้งภูเขา อยู่ในรูปก้อนแร่เหล็ก (iron ore) ปนเปกับโลหะจำพวกอื่นๆและก็หิน เมื่อประยุกต์ใช้คุณประโยชน์ควรต้องผ่านวิธีการทำให้บริสุทธิ์ด้วยกรรมวิธี "ถลุง" (ใช้ความร้อนสูงเผาให้สินแร่เหล็กเปลี่ยนเป็นของเหลวในระหว่างที่กำจัดแร่อื่นที่ไม่ได้อยากออกไป) นอกจากนั้นธาตุเหล็กยังเป็นสารอาหารที่ร่างกายมนุษย์เราอยาก เนื่องจากเป็นส่วนประกอบสำคัญในเม็ดเลือดแดงของเราอีกด้วย พูดอีกนัยหนึ่ง คนที่ขาดธาตุเหล็กจะเป็นโรคโลหิตจางได้ง่าย
เหล็กกล้า (steel) เป็นโลหะผสมประเภทหนึ่ง โดยทั่วไปเหล็กกล้าหมายความถึง "เหล็กกล้าคาร์บอน (carbon steel)" ซึ่งมีธาตุสำคัญๆคือ เหล็ก (Fe) คาร์บอน (C) แมงกานีส (Mn) ซิลิคอน (Si) และก็ธาตุอื่นๆอีกน้อย เหล็กกล้าเป็นวัสดุโลหะที่มิได้มีอยู่ตามธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้นโดยความสามารถมนุษย์ (รวมทั้งเครื่องจักร) โดยตั้งอยู่บนพื้นฐานของการปรับแต่งเหล็ก (Fe/iron) ให้มีคุณลักษณะโดยรวมดีขึ้น ได้แก่ แปรเปลี่ยนรูปได้ดังที่อยากได้ แข็งแรง ยืดหยุ่น ทนต่อแรงกระแทกหรือสภาวะทางธรรมชาติ สามารถรับน้ำหนักได้มาก ไม่ฉีกจนขาดหรือแตกหักง่าย เป็นต้น สมควรสำหรับในการใช้งานในด้านต่างๆในชีวิตประจำวันของผู้คนได้อย่างหลากหลาย ด้วยทุนที่ต่ำ เพื่อขายได้ในระดับราคาที่คนธรรมดาทั่วไปซื้อหามาใช้ได้ ซึ่งถือว่ามีข้อเด่นดีมากยิ่งกว่าวัสดุอื่นๆมากมาย
การผลิตท่อ (Pipe and Tube Manufacturing)
สำหรับเพื่อการผลิตท่อนั้นจะใช้กรรมวิธีการต่างๆอาทิเช่น การเชื่อมชน (butt welding) การเชื่อมเกย (lap welding) การเชื่อมชนด้วยไฟฟ้า (electric butt welding)
- การเชื่อมชน (butt welding process) สามารถทำได้ 2 วิธี กล่าวคือ วิธีแรก นำเหล็กอ่อนทำท่อ (skelp) มาอบให้ร้อนจนกระทั่งมีอุณหภูมิสูงยิ่งกว่าอุณหภูมิการตกผลึกใหม่ (recrystallization temperature) ต่อจากนั้นนำไปดึงผ่านแบบดาย ซึ่งมีลักษณะคล้ายระฆัง เรียกว่า กรวยเชื่อม (welding bell) ในระหว่างที่เหล็กอ่อนทำท่อ (skelp) ถูกบังคับให้วิ่งผ่านกรวยเชื่อมจะเปลี่ยนรูปแปลงเป็นท่อ และขอบทั้งสองข้างถูกบังคับให้วิ่งมาชนกันแล้วก็เชื่อมติดกันโดยอาศัยความร้อนแล้วก็แรงกด หลังจากนั้นท่อที่ได้จะถูกส่งต่อไปยังชุดลูกรีด เพื่อรีดให้ได้ขนาดต่อไป
ส่วนวิธีลำดับที่สองจะนำเหล็กพืดทำท่อ (skelp) ที่ผ่านการอบให้ร้อนจนได้ที่แล้ว ส่งผ่านเข้าไปในชุดลูกรีด (rolls) เพื่อรีดบังคับให้แผ่นเหล็กแปลงเป็นท่อ รวมทั้งขอบทั้งสองข้างเชื่อมชิดกันโดยอาศัยความร้อนแล้วก็แรงอัดจากลูกรีด แนวทางการเชื่อมชนนี้จะใช้ผลิตท่อที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 75 มม. ลงมา
- การเชื่อมชนด้วยกระแสไฟฟ้า (electric butt welding) นำแผ่นเหล็กมาตัดให้ได้ความกว้างจากที่อยาก จากนั้นนำเข้าเครื่องรีดกระทำการรีดให้เป็นท่อ เวลาที่แผ่นเหล็กนั้นมีอุณหภูมิอยู่ที่อุณหภูมิบรรยากาศธรรมดา โดยใช้ชุดลูกรีด (rolls) จากนั้นเชื่อมรอยต่อของขอบให้ชิดกัน โดยใช้เครื่องเชื่อมไฟฟ้าแบบอัตโนมัติ ขั้นตอนนี้นิยมใช้เพื่อสำหรับการผลิตท่อขนาดใหญ่ที่มีความครึ้มอยู่ในช่วง 3.2 -12.7 มม. สามารถผลิตท่อขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางได้ถึง 915 มิลลิเมตร
- การเชื่อมเกย (lap welding process) เหล็กอ่อนทำท่อที่ผ่านการอบให้ร้อนกระทั่งมีอุณหภูมิสูงขึ้นยิ่งกว่าอุณหภูมิการตกผลึกใหม่ (recrystallization temperature) ถูกนำมาดึงผ่านแบบถางเพื่อทำให้กลายเป็นท่อก่อน ต่อจากนั้นป้อนเข้าสู่ชุดลูกรีด (rolls) เพื่อรีดแต่งให้ขอบทั้งสองข้างมาอยู่ในลักษณะทับกันหรือเกยกัน (overlapping) อาศัยความร้อน เหล็กแกนแบบ (mandrel) แล้วก็แรงบดอัดจากลูกรีดทำให้ขอบทั้งสองข้างเชื่อมติดกัน วิธีนี้ใช้สำหรับการผลิตท่อที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางอยู่ในระหว่าง 50 - 400 มม.
- การผลิตท่อที่ไม่มีตะเข็บ (Piercing) เป็นกรรมวิธีการผลิตท่อที่มีคุณภาพสูง ทนต่อแรงอัดได้สูงมาก แต่ผลิตยุ่งยากกว่าแบบมีตะเข็บ และมีความดกกว่า การสร้างท่อโดยใช้เพลาแกนดันระหว่างกลางชิ้นงานและก็ให้วิ่งในแนวทางเดียวแท่งแกนจะเป็นตัวนำศูนย์ก่อน ใช้แรงอัดและก็ความร้อนของเหล็กเป็นตัวควบคุมขนาดของรูท่อ
- การอัดรีดท่อ (Tube Extrusion) การอัดรีดท่อ เป็นวิธีการผลิตท่อแบบไม่มีตะเข็บอีกวิธีหนึ่ง ใช้หลักการเหมือนกับการอัดรีดโดยตรง แนวทางการทำแนวทางแบบนี้ตัวอัดจับงานหมุนด้วยความเร็วมากราว 10 ฟุตต่อนาที ใช้ผลิตท่อเหล็กพวกเหล็กกล้าคาร์บอนต่ำ บางครั้งก็อาจจะทำกระบวนการขึ้นรูปเย็นก็ได้อุณหภูมิของชิ้นงานก่อนเอามาอัดขึ้นรูปประมาณ 2,400 องศาฟาเรนไฮต์
ระบบคลัทช์แล้วก็คับปลิ้ง
1.ประเภทของคัตช์
คลัตช์ที่ใช้งานกันอยู่จะแบ่งตามประมาณรูปร่างของผิวแผ่นคัตสช์ ที่สามารถแบ่งได้เป็นคลัตช์แผ่นเดียวคลัตช์หลายแผ่นคลัตช์หลายลาเมลลาคลัตช์หลายเรียว
1.1คลัตช์ลาเมลา(LMELLAR CLUTCH)เป็นคัตสช์ชนิดหลายแผ่นเรียงทับกันสลับกัน โดยคลัตช์แผ่นนอกจะสวมอยู่ในร่องตัวเรือนและคัตสช์แผ่นในจะสวมอยู่บนร่องเพลาตาม แผ่นคัสตช์สามารถขยับได้ แผ่นคัสตช์หลายแผ่นที่ซ้อนกันจะถูกปลอบโยนเลื่อนตันกดบังคับให้แขนกดมีลักษณะการทำงานด้วยแขนกด ดำเนินการด้วยแม่เหล็กไฟฟ้า ปฏิบัติงานด้วยแรงกดดันน้ำมัน
1.2 คลัตช์แบบเรียว เป็นคลัตช์ที่มีพื้นที่เสียดทานรูปร่างเรียวอยู่ภายในตัวเรือนคลัจช์ประเภทนี้สามารถส่งข้างในโมเมนต์บิดได้มาก สามารถเลื่อนปลอกเลื่อนตามแนวแกนจะทำเป็นเกิดแรงอัดผ่านแขนลือกระเดื่องแผ่นคลัตช์ให้สัมผัสกับตัวบ้านจะได้แรงอัดสัมผัสสูงมากมาย คลัตช์จำพวกนี้มีลักษณะรูปร่าง
2. ประเภทของคับปลิ้ง
คับปลิ้งที่ใช้เป็นงานทั่วไปของเครื่องจักรมีหลายประเภทขึ้นอยู่กับวัตถูมุ่งมาดปรารถนาสำหรับการใช้งาน สามารถแยกประเภทของคับปลิ้งออกเป็น 2 จำพวก เป็น คับปลิ้งแบบตัดกำลังมิได้ กับคับปลิ้งแบบตัดต่อกำลังได้ ดังต่อไปนี้
- คับปลิ้งแบบฝาตามติด(SPLIT COUPLING)เป็นคับปลิ้งแบบตัดต่อกำลังมิได้ ทำจากเหล็กหล่อ 2 ชิ้น ยึดติดกันขาดสกรูให้บีบอัดเพลาทั้งคู่ไว้ การส่งถ่ายกำลังจะผ่านรอบๆบีบอัดจากแรงของสกรู ถ้าหากอยากได้ส่งถ่ายการหมุนที่คงเดิมก็จะใส่ลิ่มอัด คับปลิ้งจำพวกนี้มีลักษณะ
คับปลิ้งแบบหนักแปลน(FLANGE COUPLING)เป็นคับปลิ้งประเภทตัดต่อกำลังไม่ได้ จะประกอบไปด้วยหน้าแบบแปลน 2 ชิ้น สวมอัดอยู่ที่ส่วนปลายของเพลา และมีสกรูสร้อยขันยึดติดด้วยกัน สามารถใสลิ่มเพื่อการประกอบให้มั่นคงก็ได้ คับปลิ้งประเภทนี้มีลักษณะ
คับปลิ้งแบบเพลา (SHAFT COUPLING)กับปลอกเรียว เป็นคับปลิ้งแบบตัดต่อกำลังไม่ได้ ปฏิบัติหน้าที่ยึดเพลาที่มีขนาดความโตพอๆกับแล้วก็อยู่ในแนวศูนย์เดียว ผิวที่ยึดมีลักษณะเรียวทำให้ไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ลิ่มอัดช่วยที่ปลายของเพลา คับปลิ้งประเภทนี้มีรูปร่างลักษณะ
คับปลิ้งแบบเคลื่อนได้ เป็นคับปลิ้งที่ใช้กับเพลาที่ไม่ร่วมศูนย์สามารถขยับเลื่อนแนวแกนขณะหมุนดำเนินงานได้ คับปลิ้งจำพวกนี้มีความยืดหยุ่นได้สมควรในการดูดรับภาระชนรวมทั้งการสั่นสะเทือนที่เกิดขึ้นจากการหมุนได้ดิบได้ดี คับปลิ้งจำพวกนี้มีลักษณะ
คับปลิ้งแบบฟันโค้ง เป็นคับปลิ้งใช้เพลาที่เยื้องศูนย์มุมตามแนวรัศมีหรือขยับตามแนวแกน สามารถส่งถ่ายโมเมนได้มากรวมทั้งมีความเร็วรอบสูง คับปลิ้งจำพวกนี้มีล้อสวมอยู่ที่ปลายของเพลาอีกทั้ง 2 ข้าง โดยเฟืองโค้งอยู่ด้านนอกของล้อและจะขบกับฟันเฟืองตรงที่อยู่ด้านในของล้อรวมทั้งล้อจะขบเฟืองตรงที่อยู่ด้านในของตัวเรือนคับปลิ้งจำพวกนี้มีลักษณะ
คับปลิ้งแบบข้อต่อ(JOINT COUPLING)เป็นคับปลิ้งที่สามารถเยื้องศูนย์ของเพลาได้มากกว่าจำพวกฟันโค้ง คับปลิ้งข้อต่อที่ใช้งานได้ดิบได้ดีคือแบบบอลล์ จะสามารถส่งถ่ายการหมุนระหว่างเพลาด้วยลูกฟุตบอลล์เหล็กกล้า ทำให้การส่งถ่ายการหมุนของเพลาได้เป็นประจำไม่สั่นสะเทือนคับปลิ้งข้อต่อรักษณะ
คับปลิ้งแบบยูนิเวอร์แซล(UNIVERSAL JOINT)คับปลิ้งชนิดนี้ประกอบไปด้วยองค์ประกอบกากบาท 2 ชิ้นและส่วนที่ขยับเลื่อนไปๆมาๆตามแนวเพลา ซึ่งเป็นเพลาแบบฟันสไปลน์ใช้ในงานวัสดุมายากล ตัวอย่างเช่น เครื่องกัดขนาดเล็ก คับปลิ้งชนิดนี้มีลักษณะรูปร่าง
- คับปลิ้งแบบเมมเบรน(MEMBRANE COUPLING)เป็นคับปลิ้งที่สามารถส่งถ่ายโมเมนต์ที่ความเร็วรอบสูงก้าวหน้า การหมุนที่เป็นมุมจะกระทำด้วยแผ่นเมมเบรนที่ทำด้วยคับปลิ้งซึ่งสามารถดัดได้ แต่ว่าหักมุมต่อหนึ่งแผ่นเมมเบรมห้ามเกิน 1 องศา ด้วยเหตุว่าคับปลิ้งเพราะคับปลิ้งจำพวกนี้ไม่สามารถที่จะดัดไปมาได้ แม้กระนั้นการหักมุมต่อมีการลวงลื่นสมควรสำหรับใช้ในงานที่อุณหภูมิสูง คับปลิ้งชนิดนี้มีลักษณะ
คับปลิ้งแบบยืดหยุ่น(FLEXIBLE COUPLING)เป็นคับปลิ้งที่ใช้กับเพลาที่ไม่ร่วมศูนย์แบกภาระการกระทบการกระตุกสะเทือนได้รอบทิศทาง ชิ้นส่วนที่รองรับการยืดหยุ่นทำมาจากยาง หรือทำจากสปริง คับปลิ้งประเภทนี้มีลักษณะ
คับปลิ้งแบบตัดต่อกำลัง เป็นคับปลิ้งที่ประยุกต์ใช้เมื่ออยากได้ตัดต่อกำลังให้กับเพลา 2 ตัว คับปลิ้งแบบตัดต่อกำลังจะแยกเป็นคับส่งถ่ายกำลังด้วยลักษณะรูปร่าง แล้วก็ด้วยลักษณะแรง
หน้าที่การใช้แรงงานของคลัตช์
หน้าที่หลักของคลัตช์ประการแรก ใช้สำหรับการตัดรวมทั้งต่อการส่งกำลังระหว่างเพลา 2 ตัว คลีตช์สามารถที่จะต่อกำลังระหว่างเพลา 2 เพลา ด้วยความฝืดได้อย่างเร็วแล้วก็นิ่มนวลเป็นส่วนประกอบเครื่องยนต์ที่ดีไซน์มาใช้สำหรับการทุ่นแรง ตัวอย่างเช่น คลัตช์ของรถจักรยานยนต์คลัตช์ของรถยนต์คลัตช์ของปั๊มน้ำมันจั่นตอกเสาเข็มการก่อสร้างคลัตช์ที่ใช้กับเครื่องยนต์ที่จำต้องใช้ต้นการส่งจากเครื่องจักรกลมอเตอร์สถานที่สำหรับทำงานไม่ตลอดบางคราวจำเป็นต้องหยุดรอคอยจังหวะและบางครั้งบางคราวปรารถนาส่งกำลังคลัตช์ส่งต่อกำ