การออกจากบ้านแล้วไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นเหตุฟ้องหย่าได้หรือไม่

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: การออกจากบ้านแล้วไม่ได้ติดต่อกันเป็นเวลานาน เป็นเหตุฟ้องหย่าได้หรือไม่  (อ่าน 38 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
saibennn9
Full Member
***

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

กระทู้: 149


ดูรายละเอียด เว็บไซต์ อีเมล์










« เมื่อ: มิถุนายน 12, 2019, 07:41:33 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement

เรื่องของครอบครัวเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เราต้องทำความเข้าใจในครอบครัวมากขึ้น และต้องเอาใจใส่มากขึ้นด้วย การที่คนจะอยู่ร่วมกันได้ในสังคมอย่างมีความสุขได้นั้น ก็ล้วนแล้วแต่มาการรากฐานของครอบครัวแต่ละครอบครัวที่จะปลูกฝังในบุตรของตนมีความรับผิดชอบต่อสังคมมากเพียงใด สังคมที่ดีของประเทศใด ย่อมสะท้อนการเอาใจใส่ของคนในครอบครัวของประเทศนั้นตามไปด้วย
ในการตัดสินในที่จะออกจากบ้านไป โดยไม่ได้สนใจคนในครอบครัวว่าจะมีความเดือนร้อนอย่างไร คู่สมรสและบุตรจะใช้ชีวิตอย่างไรนั้น ย่อมเป็นการเอารัดเอาเปรียบคนในครอบครัว ดังนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าวมาข้างต้น ผลการของการออกจากบ้านโดยไม่มีเหตุ แล้วจะนำเหตุที่ตนก่อมาเป็นเหตุในการฟ้องหย่า ย่อมไม่สามารถฟ้องคดีได้
กรณีดังที่กล่าวมานี้ ได้มีคำตัดสินไว้ในคำตัดสินที่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2552
ตามคำฟ้องของโจทก์ระบุเหตุหย่าเพียงการละทิ้งร้างกันเกินกว่าหนึ่งปีตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516 (4) ไม่ได้ระบุถึงการสมัครใจแยกกันอยู่เพราะไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีตามมาตรา 1516 (4/2) และแม้ว่าคำฟ้องโจทก์แนบบันทึกตกลงแยกทางกันด้วยว่า "ศ. (จำเลย) มีความประสงค์ขอแยกทางกันอยู่กับ ว. (โจทก์) และ ว. ก็ยินยอม" ไว้ท้ายคำฟ้องก็ตาม แต่เหตุหย่าตาม 1516 (4/2) นั้น ไม่ได้มีเพียงระยะเวลาที่แยกกันอยู่เกินสามปีเท่านั้น ยังต้องมีองค์ประกอบอื่นอีกคือ ต้องเป็นเพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาด้วย ซึ่งโจทก์ไม่ได้บรรยายถึงองค์ประกอบดังกล่าวไว้ ฟ้องของโจทก์ในประเด็นนี้จึงไม่ชอบ ไม่ถือว่าคำฟ้องโจทก์มีเหตุหย่าตามบทบัญญัติในมาตรา 1516 (4/2) กรณีสมัครใจแยกกันอยู่เพราะเหตุที่ไม่อาจอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยาได้โดยปกติสุขตลอดมาเกินสามปีด้วย
 
ตามบันทึกตกลงแยกทางกันนั้นได้บันทึกถึงเหตุที่โจทก์และจำเลยต้องทำบันทึกดังกล่าว และภายหลังทำบันทึกตกลง จำเลยไม่เคยพูดเรื่องขอจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ แต่จำเลยเคยพูดกับโจทก์ให้กลับมาอยู่กับจำเลยและบุตรอีก การบันทึกข้อความเรื่องแยกกันอยู่ดังกล่าวจึงเป็นความประสงค์อันเป็นเจตนาของโจทก์แต่ฝ่ายเดียว การที่จำเลยยอมลงลายมือชื่อในบันทึกตกลงเชื่อว่าเพราะเกรงว่าจะไม่ได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากโจทก์ ซึ่งโจทก์ก็ยอมรับความจริงในข้อนี้ ก็ยิ่งย้ำให้เห็นชัดแจ้งว่ามีสาระเพื่อได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสอง กรณีจึงไม่ใช่กล่าวอ้างขึ้นมาลอยๆ การพิจารณาข้อความในบันทึกตกลงในเรื่องแยกกันอยู่จึงพิจารณาเฉพาะข้อความในเอกสารโดยไม่พิจารณาถึงเจตนาของจำเลยย่อมไม่ชอบ ทั้งโจทก์ก็รับว่าโจทก์เป็นผู้ออกจากบ้านพักของจำเลยไปเอง กรณีจึงถือว่าโจทก์สมัครใจแยกกันอยู่กับจำเลยฝ่ายเดียว จำเลยหาได้สมัครใจแยกกันอยู่กับโจทก์แต่อย่างใดไม่ ดังนั้น จำเลยจึงไม่ได้ละทิ้งร้างโจทก์เกินกว่าหนึ่งปี อันเป็นเหตุให้โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยได้ตามมาตรา 1516 (4) ซึ่งการไม่ให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งกับข้อยุติเรื่องค่าอุปการะเลี้ยงดู กรณีจึงไม่มีเหตุหย่าตามมาตรา 1516 (4)
 
สิทธิในการได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูเป็นสิทธิเฉพาะตัวของแต่ละบุคคลที่จะได้รับ
คำค้นหาที่เกี่ยวข้อง : ทนายเชียงใหม่

เครดิตบทความจาก : [url]https://www.นพนภัสทนายความเชียงใหม่.com/[/url]

Tags : ทนายเชียงใหม่



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ