Advertisement

กรณิการ์ ที่หยิบหนังสือมาอ่านอย่างเบิกบานใจ ด้วยเหตุว่าคิดว่าเช่นไรอีตาเพศชายคนนั้นก้ไม่มีทางที่จะเข้ามาในเรือนนี้ได้ อย่างแน่นอน ริมฝีปากยกยิ้มขึ้นอย่างจิตใจเบิกบาน ระหว่างอ่านหนังสือก็ฮำเพลงไปเรื่อยเปื่อย
ฟุบ!! “ดูอย่างกับว่าเจ้าจะสุขสบายดีนะ”
กณิการ์ ที่กำลังเพลิน ก็หยุดมือที่กำลังจะพลิกหนังสือหน้าถึงไปค้างอยู่กับที่ หานเจิ้นหยางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า บริเวณใบหน้าหล่อก้มดูหนังสือที่สตรีนางนี้กำลังอ่านอยู่
พับ!! เสียงปิดหนังสือที่ดังขึ้นอย่างฉับพลัน ทำให้หานเจิ้นหยางถอยหน้ากลับไป ร่างบางลุกขึ้นยืนก่อนที่จะชี้ผู้ชายข้างหน้า ดวงตาเบิกกว้างเช่นเดียวกันกับมองเห็นผี “ท่าน!!!! ท่านเข้ามาได้ยังไง!!??” กรรณิการ์ตะโกนถามเสียงดัง
หาน เจิ้นหยางเดินไปที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่รีบร้อน แล้วก็นั่งก่อนเอามือมาเท้าคาง พร้อมกับยักคิ้วข้างหนึ่งให้กับสตรีที่กำลัง อ้าปากพะงาบด้วยความหงุดหงิด “เราก็เข้ามา จากที่ได้บอกเจ้าไปเมื่อเย็นอย่างไรเล่า”
“แล้วท่านเข้ามาจากทางไหน ในเมื่อข้าใส่กลอนหน้าต่างทุกบาน ประตูก็ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา”
หาน เจิ้นหยางยืดนั่งตัวตรงก่อนที่จะชี้ไปยังหน้าต่างหนึ่งบานที่ถูกเปิดออก กณิการ์มองตามนิ้วมือที่ชี้ไป อย่างเชื่อว่าสายตา หน้าต่างถูกเปิดออก?? แลัวมันเปิดได้ยังไงในเมื่อคุณตรวจทานความเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว กรรณิการ์มานะควบคุมสติที่กำลังจะระเบิด ดวงตางามตวัดไปยังชายที่นั่งด้วยสีหน้าไม่ทุกข์ยากตรากตรำใดๆ“ท่านเข้ามาไม่ว่างอะไร”
คิ้ว เรียวดุจกระบี่ของหานเจิ้นหยางเอาขึ้นน้อย ก่อนจะล้วงแล้วนำห่อสมุนไพรมาวางเอาไว้ด้านบนโต๊ะด้านหน้าหญิงสาว “เราก็เอาสมุนไพรมาให้อย่างไรเล่า”
“เท่าไหร่???”
หานเจิ้นหยางทำหน้างุนงง กณิการ์ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง “เราถามคำถามว่าสมุนไพรที่ท่านเอามาให้ ราคามากแค่ไหน??”
หานเจิ้นหยางทำหน้าอ้อ..ขึ้นมาแล้วจึงตอบกลับ “เงินเราไม่อยาก แต่ว่าเราอยากได้อย่างอื่น” มุมปากหยักโค้งขึ้นมาอย่างมีเลศนัย
“ถ้าท่านไม่รับเงิน ท่านก็นำของท่านกลับไปเถิด” กณิการ์พูดพลางเลื่อนห่อสมุนไพรคืนให้กับบุคคลข้างหน้า
หานเจิ้นหยางย่นคิ้วอย่างไม่ค่อยพึงใจนัก “เจ้าไม่คิดที่จะฟังข้อเสนอแนะของข้าก่อนรึ??”
กรรณิการ์ ที่ได้ยินเพราะฉะนั้นจึงนั่งลงบนเก้าอี้ ใบหน้างามที่เปิดเผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตา จ้องดูบุรุษข้างหน้าด้วยแววตาเรียบเฉย “ถ้างั้นคุณชายก็บอกข้อเสนอแนะของท่านมา ถ้าหากไม่หนักหนาข้าจะลองนึกภาพ”
ขนคิ้วเรียวที่ขมวดของบุรุษในเครื่องประดับสีดำ ค่อยๆคลายออก “ข้าเพียงแต่จะอยู่มองเจ้าหลอมยายาก็แค่นั้น”
ข้อ เสนอไม่ได้เหนือบ่ากว่าแรง อีกซ้ำคุณยังได้สมุนไพรดีๆมาแบบฟรีๆนี่มันผลกำไรมองเห็นๆริมฝีปากภายใต้ผ้าที่เอาไว้คลุมยิ้มนิดหน่อย “เช่นนั้น ข้าตกลงรับข้อเสนอ”
หาน เจิ้นเหยางมีความเห็นว่าสตรีตรงหน้าไม่ปฏิเสธ เขาก็เลยลุกขึ้นยืนพร้อมด้วยผายมือเชื้อเชิญนางไปยังเตาปรุงยา กณิการ์ก็ลุกขึ้นเดินอย่างไม่มีอิดออด เพราะเธอเองก็อยากรีบหลอมเม็ดยาให้บิดาอย่างเร็วเช่นกัน มือบางเบาๆแผ่ห่อสมุนไพรที่วางอยู่บนโต๊ะอย่างเบามือ เมื่อกระทำคัดเสร็จ เธอจึงหันไปเปิดฝาหม้อปรุงยา ก่อนที่จะนำสมุนไพรทั้งหมดใส่ลงไป ภายหลังจากปิดฝาสำหรับปิดหม้อเป็นระเบียบ คุณแล้วก็ค่อยๆรวบรวมพลังธาตุให้มารวมกันอยู่ที่ฝ่ามือ
เปลว ไฟสีเงิน ถูกส่งออกมาอย่างช้าๆหานเจิ้นหยางที่เคยเห็นสตรีนางนี้หลอมยาคราวหนึ่งในระยะไกลๆแต่พอเพียงคราวนี้มองในระยะใกล้ๆก็รู้สึกตลึงไม่ได้ ดวงตาแวววาวระยิบระยับดูที่ใบหน้าของสตรี ที่กำลังใช้สมาธิ แม้กระนั้นทันทีทันใดเขาก็จำต้องตะลึงงันอีกคราว เมื่อคราวนี้หม้อปรุงยาถูกปกคลุมไปด้วยสีเขียวมรกต ซึ่งในคราวนั้นตัวเขามองไม่เห็น
กรณิการ์ ที่กำลังหลอมยาอยู่ในขณะนี้เธอคิดแค่เพียงว่าต้องหลอมมันให้ออกมาสมบูรณ์ ที่สุด ก็เลยได้ใช้พลังธาตุไม้เข้ามาช่วย เพื่อดึงความสามารถของเม็ดยาให้เยอะที่สุด ด้วยเพราะเหตุว่ามันเกี่ยวพันกับชีวิตของบิดาโดยตรง
เมื่อ กรรมวิธีการเสร็จสิ้น กรณิการ์แล้วก็ค่อยๆถอนพลังออกมา ใบหน้างามมีเหงื่อผุดออกมาตามไรผม เธอที่ไม่ห่วงงามอยู่แล้วจึงชูแขนเสื้อขึ้นมาปาดอย่างคร่าวๆกอดจะเปิดฝาปิดหม้อออก กลิ่นของสมุนไพรที่ถูกหลอมรวม ลอยกระจายขึ้นมาปะทะกับจมูกของชายที่ยืนอยู่ ไม่รอคอยช้ากรณิการ์หยิดเม็ดยาที่มีจำนวนสามเม็ดขึ้นมา ก่อนที่จะนำไปใส่ด้านในขวดกระเบื้องแล้วปิดฝาจุกให้มิดชิด
แปะๆๆ“ช่างเป็นการหลอมโอสถที่น่าสนใจยิ่งนัก” หานเจิ้นหยางตบมือพร้อมกล่าวชื่นชม กรณิการ์ที่ได้ยินจึงโค้งศีรษะตอบรับน้อย แล้วต่อจากนั้นก็เลยเดินเอาขวดยาไปเก็บ โดยมีหานเจิ้นหยางเดินตาม
“จะเป็นการเสียมารยาทไหมแม้ข้าจะถามว่า เจ้าบรรลุพลังถึงขึ้นไหนแล้ว”
กรรณิการ์ ทำหน้าไตร่ตรองครุ่นคิดแล้วจึงตอบออกไปตามจริง “เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้จักเช่นกัน เพราะว่าตอนแรกตัวข้านั้นไม่มีซึ่งพลัง อีกประการเราก็ไม่รู้เรื่องว่าจะวัดลำดับขั้นของมันได้จากที่ไหน”
“ให้เราช่วยเจ้าหรือเปล่า” หานเจิ้นหยางดูสตรีตรงหน้าด้วยสายตาแพรวพราวระยิบ
“แต่ข้าไม่มีสิ่งที่จะทดแทนให้คุณหรอกนะ” กรรณิการ์พูดดักคอไว้ เผื่อภายในในภายหน้าผู้ชายผู้นี้จะกลับมาเรียกร้องสิ่งตอบแทนจากคุณ
“ข้าย่อมไม่เรียกร้องสิ่งตอบแทนอย่างไม่ต้องสงสัย ข้าเพียงแต่ถูกใจเรื่องสนุกเท่านั้น”
เมื่อตกลงกันได้กณิการ์ก็ไม่มีอะไรให้ต้องไม่ยอมรับ “แบบนั้นข้าจะวัดพลังของมันได้ยังไง”
หาน เจิ้นหยางที่ได้ยินโดยเหตุนี้จึงยืนขึ้นแล้วบอกให้นางลุกตาม กรณิการ์ก็เอาอย่างแต่ว่าโดยดี ทันใดนั้นเองมือครึ้มก็ทันทีตวัดอุ้มสตรีตรงหน้า ด้วยท่าอุ้มเจ้าสาว ก่อนจะทะยานออกไปภายนอกจากทางหน้าต่าง กรรณิการ์หลับตาปี๋ด้วยความหวาดกลัว ก่อนจะกลั้นหายใจลืมตาขึ้นหนึ่งข้างเพื่อดูภาพโดยรอบ
สาย ลมเวลากลางคืน ปะทะผิวหน้า ผ้าผืนบางที่มีไว้ปกปิดใบหน้าตีกันผับๆก่อนมันจะเบาๆขับเคลื่อนจากสิ่งที่ยึดไว้และก็ปลิวไปทางด้านที่คุณผ่านมา กณิการ์แต่ก่อนตั้งใจที่จะคว้าผ้านั้นไว้ แต่ว่าด้วยจิตสำนึกที่กล่าวว่าเธอกำลังลอยอยู่บนอากาศ จึงทำให้ไม่สามารถที่จะทำเช่นที่ดวงใจคิดอย่างจะทำ เพราะว่ามือทั้งสองข้างของคุณช่วงนี้โอบคอของชายที่กำลังพาเธอ ทะยานไปที่แห่งไหนซึ่งตัวของเธอเองก็ไม่รู้เช่นเดียวกัน
หาน เฟิงหยางก้มดูสตรีที่อยู่ในอ้อมกอด สายตาทั้งสองผสานเข้าหากัน และเป็นกณิการ์ที่เบือนหน้าหนีไปก่อน ในที่สุดหานเจิ้นหยางก็พาสตรีในอ้อมกอดมาถึงยังสถานที่วัดพลัง
เท้า ของกรณิการ์ค่อยๆสัมผัสกับพื้นดิน คุณกวาดตามองไปบริเวณที่นี่มันดูเหมือนถ้ำเสียมากกว่า หานเจิ้นหยางเดินนำเข้าไปภายใน แล้วก็หญิงสาวเดินตามหลังมาติดๆเมื่อเข้ามาถึงภายใน กณิการ์ก็ทันทีรู้สึกตะลึงงันถึงความใหญ่โตของตรงนี้ หานเจิ้นหยางเดินนำไปจนกระทั่งแท่น ก่อนจะบอกให้หญิงสาววางฝ่ามือไว้ที่หินแล้วสะสมสมาธิค่อยๆปล่อยพลังธาตุ ออกมา
กรณิการ์ ที่ได้ยินโดยเหตุนี้ก็เลยทำตามอย่างว่านอนสอนง่าย เมื่อพลังถูกปล่อย ลูกแก้วผลึกจึงค่อยๆเผยให้มองเห็นจุดสีแดงก่อนจะเปลี่ยนเป็นสีเงิน ต่อจากนั้นจึงบอกผลของระดับซึ่งมันได้กล่าวว่าธาตุไฟของนางอยู่ที่ขึ้นหนึ่งชั้น ปลาย จากข้างๆจุดวงกลมสีเงินนั้น ก็ปรากฎจุดสีเขียวเข้มก่อนจะเปลี่ยนแปลงเป็นสีเขียวมรกต ซึ่งเป็นการกล่าวได้ว่าธาตุไม้ของคุณอยู่ที่ขั้นหนึ่งในขั้นต้นเพียงแค่นั้น
แต่ว่า สิ่งที่ทำให้หานเจิ้นหยางต้องตกตะลึงอีกทีเมื่อจู่ๆก็ปรากฎจุดสีดำ ก่อนที่มันจะค่อยๆขยายใหญ่ขึ้นและดูดธาตุทั้งสองให้ไปอยู่ตรงกึ่งกลาง ของมัน กรรณิการ์ที่ไม่รับรู้เรื่องอะไรเธอเบาๆปล่อยพลังธาตุถัดไปเรื่อยๆจนรู้สึกว่าเริ่มหมดแรงก็เลยถอนมือออก และทรุดนั่งลงกับพื้น
หาน เจิ้นหยางรีบเข้ามาประคับประคอง เขาถือเม็ดยารู้สึกตัวพลังมาหนึ่งเม็ดและป้อนเข้าปากของเธอในทันที สตรีในอ้อมแขนค่อยๆมีสีหน้าท่าทางที่ดียิ่งขึ้น “ผลเป็นยังไงบ้าง” กรณิการ์เอ่ยถามเนื่องจากความอยากรู้
หาน เจิ้นหยางบอกผลของการทดสอบพลังธาตุทั้งสองให้นางรับทราบ กรรณิการ์ที่กำลังฟังอยู่แม้กระนั้นจู่ๆชายผู้นี้ก็เงียบไป หานเจิ้นอปิ้งที่รู้สึกตัวว่าเสียมารยาทจึงกระแอมนิดหน่อยก่อนพูดต่อ “เจ้ายังมีพลังธาตุอีกหนึ่งอย่าง ซึ่งตัวข้าก็ไม่เคยเจอเช่นกัน แม้กระนั้นจากที่ข้าศึกษามา พลังอีกอย่างของเจ้าน่าจะเป็นมิติธาตุ”
“มิติ ธาตุเช่นนั้นหรือ??” เรื่องของมิติธาตุเหมือนเธอจะเคยอ่านผ่านมาบ้าง แต่ว่าในตำราเรียนได้กล่าวเอาไว้ว่าพลังมิติธาตุนี้ไม่มีผู้ใดพบเห็นมานานหลายพันปีจน มีความรู้สึกว่าเป็นเพียงแค่ตำนาน
เรื่องเล่ากันเท่านั้น
“เรื่อง มิติธาตุเจ้าห้ามบอกผู้ใดกันเด็ดขาด ถ้าหากเรื่องที่เจ้าครอบครองธาตุนี้แพร่งพรายออกไป โลกนี้น่าจะป่วนปั่นอย่างไม่ต้องสงสัย” หานเจิ้นหยางกล่าวด้วยน้ำเสียงคร่ำเคร่ง
กณิการ์ ผงกศีรษะเห็นด้วย “เช่นนั้นในวันนี้ข้าจะต้องขอบคุณมากท่านมาก” เธอพูดออกมาจากใจจริงๆหนุ่มน้อยที่รับคำขอบคุณมากก็ผงกศีรษะน้อยๆก่อนจะช้อนตัวสตรีข้างหน้าขึ้นแล้วอุ้มไว้แนบอก ก่อนที่จะทะยานออกไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนักทั้งคู่ก็กลับมาถึงเรือน หานเจิ้นหยางอุ้มสตรีในอ้อมกอดวางลงบนเตียงเบาๆ“วันนี้เจ้าเหนื่อยมามากมายแล้วพักเถอะ”
“เราจะต้องขอบคุณมากท่านอีกรอบ คุณผู้ชาย”
หาน เจิ้นหยางชูยิ้มให้สตรีตรงหน้า ก่อนที่จะขอตัวลาแล้วก็พุ่งตัวออกไปอย่างเร็ว เขารีบกลับมายังวังขวา เมื่อกลับมาถึงหานเจิ้นหยางก็รีบเดินๆไปยังห้องหนังสือโดยทันที มือดกถือแบบเรียนเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดมอง มันคือตำราเรียนเกี่ยวกับมิติธาตุที่เขาได้เคยเรียนเมื่อก่อน
“ท่านชั้นหนึ่งกลับมาถึงแล้วหรือพะยะค่ะ” ฟงอี้ ปรากฎกายขึ้นพร้อมทั้งยอตัวลงข้างหนึ่งให้กับคนด้านหน้า
“ฟงอี้”
“พะยะค่ะท่านชั้นหนึ่ง”
“วันพรุ่งนำตำราเล่มนี้ ไปมอบให้กับเหยาเหยาของเซ่อซ่าหวางด้วย”
ฟงอี้ ที่ได้รับคำสั่ง เหยาเหยาเป็นใครกันแน่?? แล้วเพราะอะไรเมื่อเอ่ยชื่อของคนผู้นี้น้ำเสียงของท่านยอดถึงได้แลดูอ่อนลง แบบนั้น “เอ่อ..ท่านยอดพะยะค่ะ เราน้อยทึ่ม เหยาเหยา..นี่คือคนไหนหรือพะยะจ้ะ”
ปัง!!!! เสียงตีโต๊ะที่ฉายแววความรู้สึกว่าไม่ชอบใจ แรงกดดันที่ถูกปลดปล่อยใส่คนที่นั่งคุกเข่า ทำให้ฟงอี้กระอักเลือดออกมา
“เจ้าอย่าได้เอ่ยชื่อของนางสั้นๆแบบนี้ คำเรียกนั่นเงอะงะหวางมีสิทธิ์ใช้เรียกนางได้เพียงแค่คนเดียว” หานเจิ้นหยางพูดเสียงโหดเหี้ยม
นาง?? สตรีรึ??!! ฟงอี้รีบเอาหัวกระแทกพื้น “ขอท่านชั้นหนึ่งโปรดเมตตา เราน้อยขลาดเขลา ขอขอความกรุณาปรานีท่านอ๋องช่วยเอ่ยนามเต็มของเธอท่านนั้นได้หรือเปล่าขอรับ”
หานเจิ้นหยางได้ฟังแบบนั้น จึงคลายแรงกดดันออก “นางเป็นหลินซูเหยา”
“ข้า น้อยทราบดีแล้ว เราจะนำแบบเรียนเล่มนี้ไปส่งให้ถึงมือของเธอหลินขอรับ” ฟงอี้ที่เพิ่งจะรอดพ้นจากนรก มาอย่างเฉียดฉิวรีบเดินไปรับแบบเรียนในมือของนายจ้าง ก่อนจะรีบล่องหนไปจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อ อยู่คนเดียวหานเจิ้นหยางก็เลยได้ ล้วงจับผ้าที่มีไว้สำหรับคลุมหน้าของสตรีที่ตนพอใจออกมาจากอกเสื้อ การที่ผ้าปิดหน้าหลุดออกจากใบหน้าของนาง เขาเป็นคนบังคับสายลมเอง และก็การที่ผ้าผืนนี้มาอยู่ที่มือในยามนี้ ก็เป็นฝีมือของเขาอีกเช่นกัน
ร่างสูงเอนกายกับพนักพิงของเก้าอี้ มือข้างหนึ่งถือผ้าผืนบางสีขาวมาพินิจพิจารณาอย่างอารมณ์เบิกบาน
เนื้อหาจาก
https://goo.gl/nghkZZTags : นิยาย