Advertisement
เรื่องน่ารู้lสนใจเกี่ยวกันงานวิจัยในlของพริกไทย
“
พริกไทย” มีการนำไปศึกษาlค้นคว้าวิจัยด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการแยกองค์ประกอบทางเคมีออกมาหรือการศึกษาทางเภสัชวิทยา และการศึกษาlค้นคว้าความเป็นพิษ ซึ่งการศึกษาlค้นคว้าเรื่องต่างๆเหล่านี้ เนื่องมาจาก พริกไทยนั้น เป็นพืชที่ได้รับความนิยมlชื่นชอบในการใช้ทั่วโลก ทั้งใช้ในการเป็นเครื่องปรุงรสอาหาร เป็นวัตถุดิบการประกอบอาหาร (พริกไทยอ่อน) หรือการใช้เป็นยาและlหรือสมุนไพร ทั้งนี้ในการบริโภคพริกไทยนั้น ผู้บริโภคย่อมต้องการความปลอดภัยว่า เมื่อบริโภคแล้วจะไม่เกิดอาการที่ไม่พึงประสงค์กับร่างกาย และต้องการทราบว่า พริกไทยที่บริโภคไปนั้นให้คุณประโยชน์อะไรกับร่างกายบ้าง ด้วยเหตุผลต่างๆเหล่านี้จึงมีการศึกษาlค้นคว้าวิจัยในตัวพริกไทยกันขึ้นlเรื่อยมา ทั้งในสถาบันในประเทศlไทยและต่างประเทศ ต่างก็มีผลงานการวิจัยออกมากันอย่างแพร่หลายมากมายหลายชิ้นlอย่างด้วยกัน แต่ในแต่ละผลงานทางวิชาการนั้น ทิศทางและผลสรุปของการวิจัยนั้นแทบlเกือบจะออกมาในแนวทางเดียวกัน ดังนั้นในบทความนี้จึงขอนำผลงานการวิจัยด้านต่างๆที่รวบรวมได้และนำมากลั่นกรอง แล้วจึงนำมาเล่าสู่กันฟังแบบคร่าวๆนะครับ โดยพริกไทยนั้นมีองค์ประกอบทางเคมี คือ มีน้ำมันหอมระเหยอยู่ ประมาณ 2% ส่วนมากเป็น beta – caryophyllene และพบสาร alkaloid ประเภท alkaloid piperine และ piperttine เป็นองค์ประกอบหลักซึ่งคล้ายกับชะพลู สำหรับการศึกษาlค้นคว้าทางเภสัชวิทยาของพริกไทย นั้นพบว่า เพิ่มการหลั่งของน้ำย่อยในทางเดินlกระเพราะอาหาร และกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร มีฤทธิ์ต้านการออกซิเดชั่น และยับยั้งการกระจายตัวของเซลล์มะเร็ง รวมถึงยังมีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลางทำให้เมื่อเกิดอาการชักนั้นร่างกายจะถูกกดระบบประสาทส่วนกลางไว้ทำให้ไม่เกิดอาการหรือเกิดน้อยกว่าปกติ ส่วนการศึกษาlค้นคว้าความเป็นพิษขอ
พริกไทย[/url]นั้น มีการศึกษาlค้นคว้าสารไพเพอรีนในพริกไทย ต่อหนูทดลอง 800 มก.ต่อน้ำหนักตัวพบว่า ไพเพอรีน ที่ให้หนูทดลองนั้นไม่เกิดอันตรายต่อหนู แต่ทำให้ค่า Mitotic index ลดลง สัณนิษฐานว่า ไพเพอรีนอาจเป็นพิษต่อไขกระดูกได้เมื่อได้รับในปริมาณที่สูงและติดต่อกันนานๆ และในการศึกษาความเป็นพิษเฉียบพลันในหนูทดลองพบว่า ค่า LD₅₀ = 12.66 ก/กก. (น้ำหนักตัว) ในสารสกัดเอทานอล และ LD₅₀ = 424.38 ก/กก. (น้ำหนักตัว) ส่วนพิษกึ่งเรื้อรัง เมื่อป้อนผงยาให้หนูทดลองขนาด 5 เท่าของขนาดที่ให้คนพบว่าไม่เกิดอันตรายต่อหนูทดลอง นี่เป็นเพียงผลของการศึกษาวิจัยในพริกไทยส่วนเสี้ยวหนึ่งของทั้งหมดเท่านั้น ซึ่งการวิจัยในเรื่องพริกไทยนี่ยังมีอีกมาก แต่ที่พอหามาเล่าสู่กันฟังนั้นสรุปได้ประมาณนี้ ในส่วนของขนาดการใช้พริกไทยนั้น ก็ไม่ได้มีการกำหนดตายตัวว่าจะต้องใช้ปริมาณเท่าใด ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังในการใช้พอสมควร เนื่องจากพริกไทยมีสาร alkaloid piperine ซึ่งเมื่อเข้าสู่ร่ายกายแล้วจะเปลี่ยนเป็นสารก่อมะเร็งกลุ่ม “เอนไนโตรโซไพเพอร์ริดีน ที่จะทำปฏิกิริยากับไนโตรเจน ซึ่งหากมีปริมาณที่มาก อาจทำให้เสียงเป็นมะเร็งสูง เช่นกัน แต่หากทานให้พอดีร่ายกายก็จะขับออกมาเอง ดังนั้นควรรับประทานให้พอเหมาะและไม่ใช้ติดต่อlต่อเนื่องกันนานจนเกินไป