สัตววัตถุ เม่น

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: สัตววัตถุ เม่น  (อ่าน 46 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
watamon
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 654


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤศจิกายน 24, 2017, 12:28:04 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


เม่[/size][/b]
เม่นเป็นสัตว์เลือดอุ่น
จัดอยู่ในสกุล Hystricidae
เม่นที่พบในประเทศไทยมี ๒  ชนิด  เป็นต้นว่า
๑.เม่นใหญ่แผงคอยาว
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Hystrix  brachyuran  Linnaeus
ชื่อสามัญว่า  Malayan  porcupine
เม่นประเภทนี้มีขนาดวัดจากปลายจมูกถึงโคนหางยาว ๖๓ – ๗๐  ซม. หางยาว ๖ – ๑๐ ซม. น้ำหนักตัว  ๓-๗ กิโลกรัม ขนบนลำตัวเป็นขนแข็งใช้ป้องกันภัย  หัวเล็ก จมูกป้าน มีหนวดยาวสีดำ บริเวณลำตัว คอ แล้วก็ไหล่  มีขนแข็ง  สั้น  สีดำ  ขนใต้คอสีขาว ตาเล็ก ใบหูเล็ก ขนตั้งแต่ข้างหลังไหล่ไล่ลงไปแข็งยาว ด้านโคนแล้วก็ปลายสีขาว ตรงกลางสีดำ ปลายแหลม หางมีขนคล้ายหลอดสั้นๆขาสีดำเม่นชนิดนี้ถูกใจออกหากินโดยลำพังในกลางคืน รักสงบ เวลาพบศัตรูจะวิ่งหนี พอเพียงจวนตัวจะหยุดนิ่ง [url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร
แล้วพองขนขึ้น ศัตรูที่ติดตามมาอย่างเร็วถ้าหากหยุดไม่ทันก็จะโดนขนเม่นตำ และก็แม้ศัตรูใช้ตีนตะครุบก็จะโดนขนเม่นตำเช่นกัน  ได้รับความปวดเจ็บมาก เมื่อศัตรูหนีจากไปแล้ว  เม่นก็จะหลบเข้าโพรงไม้หรือโพรงดิน ขนเม่นที่หลุดออกไปจะมีขนใหม่ผลิออกขึ้นมาแทนที่ เม่นชนิดนี้กินผัก หญ้าสด หน่อไม้ กาบไม้ ผลไม้ และก็กระดูกสัตว์  เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่ออายุราว ๒ ปี ท้องนาน  ๔  เดือน  ตกลุกครั้งละ  ๑ -๓  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย ลูกเม่นทารกมีขนที่อ่อน  แต่ว่าเมื่อถูกอากาศด้านนอกขนจะเบาๆแข็งขึ้น  อายุราว ๒๐ ปีพบทางภาคใต้ของเมืองไทย ในต่างชาติเจอที่มาเลเชียและอินโดนีเซีย
๒. เม่นหางพวง
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Atherurus  macroura (Linnaeus)
ชื่อสามัญว่า  bush-tailed  porcupine
เม่นชนิดนี้มีความยาวลำตัววัดจากปลายจมูกถึงโคนหาง  ๔๐ – ๕๐  ซม. หางยาว ๑๕ – ๒๐ ซม. น้ำหนักตัว ๒.๕ – ๕  กก. จมูกเล็ก มีหนวดยาว ใบหูเล็ก ลำตัวยาว ขาสัน มีขนแข็งปกคลุมทั่วตัว ขนบางส่วนแข็งแล้วก็ปลายแหลมมากมาย  เหมือนหนาม  ขนส่วนที่ยาวที่สุดอยู่บริเวณกลางหลังขนแบน  มีร่องยาวอยู่ข้างบน ช่วงกลางหางไม่ค่อยมีขน แม้กระนั้นเป็นเกล็ด โคนหางมีขนสั้นๆปลายหางมีขนขึ้นดกหนาเป็นกลุ่ม ดูเป็นพวง ขนดัขี้ตระหนี่ล่าวแข็งและก็คม ส่วนขนที่หัวบริเวณขาทั้งยัง ๔ และบริเวณใต้ท้อง แหลม แต่ว่าไม่แข็ง ขาค่อนข้างจะสั้น ใบเครื่องทอผ้าลมและเล็กมากมาย เล็บเท้าเหยียดหยามตรง ทื่อ รวมทั้งแข็งแรงมาก เหมาะกับขุดดิน เม่นชนิดนี้ออกหากินในเวลากลางคืน  ช่วงกลางวันมักหลบซ่อนอยู่ในโพรงดิน  ตามโคนรากของต้นไม้ใหญ่ หรือตามซอกหิน มักออกหากินเป็นฝูง  ใช้ขนเป็นอาวุธป้องกันตัว รับประทานหัวพืช หน่อไม้  กาบไม้  รากไม้  ผลไม้  แมลง เขารวมทั้งกระดูกสัตว์  คลอดลูกครั้งละ ๓- ๕  ตัวในโพรงที่ขุดอาศัย  ลูกเม่นทารกมีขนอ่อนนุ่ม แต่จะต่อยๆแข็งขึ้นอายุราว ๑๔ ปี พบในทุกภาคของประเทศไทย ในเมืองนอกพบทางภาคใต้ของจีน และที่ลาว เวียดนาม  เขมร มาเลเซีย  รวมทั้งอินโดนีเซีย
สมุนไพร[/b][/i][/b].com/wp-content/uploads/2017/09/porcupine-main_Full.jpg" alt="" border="0" />
สรรพคุณทางยา
แพทย์แผนไทยใช้ขนเม่นที่สุมไฟให้ไหม้แล้วปรุงเป็นยาแก้ตานซาง  แก้พิษกาฬ  พิษไข้ เชื่อมซึม กระเพาะของเม่นใช้ปรุงเป็นยากินบำรุงน้ำดี ช่วยให้ไส้มีกำลังบีบย่อยของกิน พระตำราปฐมจินดาร์ให้ยาขนานหนึ่ง เข้า“ขนเม่น” เป็นยาทาตัวเด็ก ดังนี้ ภาคหนึ่งยาทาตัวกุมารกันสรรพโรคทั้งมวล แล้วก็จะไม่สบายอภิฆาฏดีแล้ว  โอปักกะไม่กาพาธดีแล้ว ท่านให้เอาใบมะขวิด รอยเปื้อนงูเห่า หอมแดง สาบอีแร้งสาบกา ขนเม่น ไพลดำ ไพลเหลือง  บดทำแท่งไว้ ละลายน้ำนมวัว ทาตัวกุมาร จ่ายความไม่บริสุทธิ์โทษทั้งสิ้นดีนัก



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ