Advertisement
ปูทะเ[/b]
ปูทะเลเป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังในชั้นครัสเตเชีย ที่เจอในประเทศมีอย่างต่ำ ๓ ประเภท ทุกประเภทจัดอยู่ในวงศ์ Portunidae เป็น
๑.ปูดำ หรือ ปูแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla serrata (forsskal) จำพวกนี้พบตามป่าชายเลนทั่วๆไป
๒.ปูขาว หรือ ปูทองหลาง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla oceanic dana จำพวกนี้เจอตามพื้นทะเลทั่วๆไป
๓.ปูเขียว หรือ ปูทองคำโหลง หรือ ปูลาย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Scylla transquebarica Fabricius
จำพวกนี้เจอตามพื้นสมุทรทั่วๆไปทั้ง ๓ จำพวกมีลักษณะคล้ายคลึงกัน แต่ว่าแตกต่างด้านสีและก็หนามที่ขอบกระดองและสภาพถิ่นอาศัย จนถึงนักวิชาการลางสำนักจัดเป็นประเภทเดียวกันหมดหมายถึงScylla serrata (Forsskal)
ชีววิทยาของปูทะเลปูทะเลอาจมีกระดองขนาดกว้างได้ถึง ๒๐ ซม. มีลำตัวที่แบ่งได้ ๒ ส่วน คือ ส่วนหัวที่เชื่อมรวมกับอกมีกระดองเป็นเปลือกคลุมอยู่ข้างบน กับส่วนท้องที่พับแนบติดกับลำตัวทางข้างล่าง ราษฎรเรียกส่วนนี้ว่า ตะปิ้ง ซึ่งในตัวผู้จะเป็นรูปสามเหลี่ยมแคบ ส่วนในตัวเมียจะแผ่กว้างออกเป็นรูปโค้งกลม มีขา ๕ คู่ คู่แรกแปรไปเป็นก้ามใหญ่ ใช้จับเหยื่อรวมทั้งป้องกันภัย และตัวผู้ใช้จับกุมตัวภรรยาเวลาสืบพันธุ์ ขาคู่ที่ ๒-๕ มักมีปลายแหลม ใช้สำหรับคลานหรือเดิน ส่วนขาท้ายที่สุดของปูทะเลจะแบนเป็นกรรเชียง ช่วยสำหรับเพื่อการว่ายน้ำ ปูทะเลหายใจโดยเหงือกซึ่งมีลักษณะเหมือนฟองน้ำ ราษฎรเรียก นมปู เห็นได้เมื่อเปิดกระดองออก ปูทะเลอาจสลัดก้ามทิ้งได้ โดยสร้างก้ามใหม่ขึ้นมาเมื่อลอกคราบคราวถัดมา เหมือนเคยภายหลังการลอกคราบเพียง ๒ รั้ง ก้ามปูอาจมีขนาดใหญ่เท่าเดิมได้ การลอกคราบของปูเป็นกรรมวิธีการช่วยเพิ่มขนาด ภายหลังจากปูรับประทานอาหารแล้วก็สะสมไว้เพียงพอแล้ว ก็จะสลัดเปลือกเดิมทั้งหมดทั้งปวงทิ้งไป แล้วสร้างเปลือกใหม่ขึ้นมาแทน ปูที่มีอายุน้อยนั้นลอกคราบบ่อยครั้ง แต่ว่าจะค่อยๆห่างขึ้นเมื่อปูโตเต็มที่แล้ว ฤดูสืบพันธุ์ของปูทะเลอยู่ในช่วงตุลาคมถึงธันวาคม ในระยะนี้ปูทะเลมีไข่มาก ก่อนการผสมพันธุ์นั้น เพศผู้อุ้มตัวเมียไว้เพื่อรอคอยจนถึงตัวเมียลอกคราบ ภายหลังผสมพันธุ์แล้ว ตัวเมียจะปลดปล่อยไข่ออกมาไว้กระจับปิ้ง ใช้รยางค์ของส่วนท้องโอบไข่เอาไว้ ไข่ในระยะต้นมีสีเหลืองอ่อนๆแต่ว่าจะกลายเป็นสีแก่ขึ้น กระทั่งเป็นสีส้มและสีน้ำตาล เป็นลำดับ จากนั้นไข่ก็เลยฟักเป็นตัวอ่อน ดำเนินชีวิตเป็นพลิกก์ตอนลอยไปกับน้ำทะเล แล้วลอกคราบเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นตัวอ่อนอีกระยะหนึ่ง ก็เลยจะจมลงสู่พื้นสมุทรเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นปูขนาดเล็กต่อไป
ผลดีทางยา[url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร[/url] แพทย์แผนไทยใช้ “ก้ามปูสมุทรเผา” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่งสำหรับในการประกอบยาหลายขนาน เป็นต้นว่า ยาใช้ภายนอกแก้แผลอันมีต้นเหตุจากไส้ด้วนไส้ลาม กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการปวดแสบปวดร้อนยิ่งนัก ซึ่งบึนทึกเอาไว้ภายใน พระหนังสือมุจฉาปักขันทิกา ดังต่อไปนี้ ถ้าไม่หาย ให้ร้อนหนัก ท่านให้เอา ก้ามปูสมุทรเผา ๑ กาบหอยโข่งเผา ๑ รากลำโพงแดง ๑ รากขัดมอน ๑ ฝางเสน ๑ ดินประสิว ๑ เปลือกจิกทุ่งนา ๑ ผลจิกนา ๑ เอาเสมอ บดด้วยน้ำลายจรเข้เป็นกระสาย หายแล ยาแก้กระหายน้ำแก้ร้อนภายในอันทำให้หอบขนานหนึ่ง ซึ่งบันทึกเอาไว้ภายในพระตำราธาตุวิภังค์ เข้าเครื่องยาที่เรียก “ก้ามปูสมุทรเผาไฟ” ด้วย ยาขนานนี้ตำราว่าใช้ “รับประทานทั้งยังพ่น” ดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่งแก้ระหายน้ำให้ร้อนภายในแลให้หอบ ท่านให้เอาสังข์หนามเผาไฟ ๑ รากบัวหลวง ๑ ฝุ่นละอองจีน ๑ รังหมาร่าเผาไฟ ๑ ชาดก้อน ๑ ดอกพิกุล ๑
ดอกสาระภี ๑
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%9A%E0%B8%B8%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%84/]ดอกบุนนา[/b] ๑ เกสรบัวหลวง ๑ การบูร ๑ รากสลอดน้ำ ๑ รากคันทรง ๑ ก้ามปูสมุทรเผาไฟ ๑ โปตัสเซี่ยมไนเตรดขาว ๑ ยาดังนี้เอาส่วนเท่ากัน บดเปนแท่ง ละลายน้ำดอกไม้สด รับประทานพ่น แก้ร้อนแก้ระหายน้ำ เหงื่อตกก็หายแล