Advertisement
จระเข[/b]
ตะไข้เป็นสัตว์คลานขนาดใหญ่ มีผัวหนังแข็งเป็นเกล็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงมากขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายและก็ใช้ฟาดต่างอาวุธ เป็นประจำทำมาหากินในน้ำ ตะเข้หรืออ้ายเข้ก็เรียก อีสานเรียกแข้ ปักษ์ใต้เรียกเข้ ในตำราเรียนยาโบราณมักเขียนเป็นจรเข้ เรียกใน๓ษาอังกฤษว่า crocodile
ในทางสัตวานุกรมกฎนั้น จระเข้ที่จัดอยู่ในสกุลไอ้เข้ (Crocodylidae) มีทั้งปวง ๒๒ ชนิด แบ่งออกได้เป็น ๓ วงศ์ย่อย คือ
๑. สกุลย่อยจระเข้ (Crocodylinae) มีทั้งผอง ๑๔ ชนิด แบ่งเป็น ๓ สกุล ตะไข้ที่เจอในประเทศไทยมี ๒ สกุล คืสกุลตะไข้ (Crocodylus) มีทั้งสิ้น ๑๒ ชนิด พบในประเทศไทยเพียงแค่ ๒ ชนิด และก็สกุงตะโขง (Tomistoma) มีเพียงแต่ ๑ จำพวก
๒.สกุลย่อยจระเข้จีน (Alligatoriane) มัทั้งผอง ๗ จำพวก แบ่งแยกเป็น ๔ สกุล ไม่เจอในธรรมชาติในประเทศไทย Crocodile กับ Alligator
ตะไข้ที่จัดอยู่ในสกุลย่อย Crocodylinae มีชื่อสามัญว่า crocodile ส่วนที่อยู่ในสกุลย่อย Alligatoriane มีชื่อสามัญว่า alligator ลักษณะโดยทั่วไปคล้ายกันแต่ว่าแตกต่างกันที่ alligator มีส่วนหัวกว้างกว่า ปลายปากกลมมนกว่า ฟันบนครอบฟันด้านล่าง ฟันด้านล่างซี่ที่ ๔ ทั้งสองข้างขยายโตกว่าฟันซี่อื่นๆ จะมองไม่เห็นฟันซี่นี้เมื่อปากปิด เนื่องจากว่าฟัน ๒ ซี่นี้ใส่ลงในรูที่ฟันข้างบน ส่วน crocodile มีส่วนหัวที่แหลมเรียวยาวกว่า ฟันบนและก็ฟันข้างล่างเรียงตรงกัน ฟันซี่ที่ขยายใหญ่ขึ้นจะเฉียงออกมาภายนอก แลเห็นได้ถึงแม้เวลาปิดปาก
๓.วงศ์ย่อยตะโขงประเทศอินเดีย (Gavialinaae) ซึ่งมีเพียงแต่ ๑ สกุล แล้วก็มีเพียงแค่ ๑ ชนิดเท่านั้น เป็นตะโขงอินเดียGavialis gangeticus (Gmelin) เจอตามแหล่งน้ำจืดชืดแล้วก็แม่น้ำต่างๆทางภาคเหนือของประเทศอินเดีย ปากีสถาน บังกลาเทศ เนปาล ภูเขาฏาน รวมทั้งประเทศพม่า แต่ไม่พบในไทย
[url=http://www.disthai.com/][url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร [/url]แต่ก่อนพบจระเข้อยู่ตามป่าริมน้ำ ลำห้วย คลอง หนอง สระ เคยมีเป็นจำนวนมาก จึงมีการจับไอ้เข้มากินเป็นอาหารรวมทั้งใช้ส่วนต่างๆของจระเข้มาเป็นเครื่องยาสมุนไพร ตอนนี้เมื่อมีคนมากยิ่งขึ้น ธรรมชาติและก็สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ในขณะที่ต้องจริงได้แก่การใช้พื้นที่ป่าเป็นหลักที่ดินสำหรับทำมาหากินแล้วก็ที่อยู่อาศัย รวมทั้งที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทำให้จำนวนตะไข้ในธรรมชาติลดน้อยลงมากมายจนกระทั่งแทบสิ้นพันธุ์ไปจากธรรมชาติ อาจเจอบ้างตามแหล่งน้ำในเขตรักษาบางพื้นที่ อย่างไรก็ตาม เป็นโชคดีที่หากว่าตะไข้จวนสิ้นพันธุ์ไปจากธรรมชาติในประเทศไทยแล้ว แต่ว่านักธุรกิจของเราก็บรรลุเป้าหมายสำหรับในการเพาะพันธุ์จระเข้ ทำให้มีปริมาณไอ้เข้มากขึ้น เปลี่ยนเป็นสัตว์อาสินที่สำคัญของประเทศ เป็นสัตว์ที่ให้หนังสำหรับทำเครื่องหนังที่ตลาดอยากได้ และก็ให้เครื่องยา
สมุนไพรโดยที่ไม่เป็นการทำลายสัตว์จำพวกนี้ในธรรมชาติ ผลิตมาจากจระเข้ที่เพราะว่าจำพวกขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นเนื้อจระเข้ ดีจระเข้ หรือหนังตะไข้ แปลงเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของประเทศ ที่ยั่วยวนใจนักท่องเทียวทั้งที่เป็นชาวไทยรวมทั้งเป็นคนต่างประเทศให้มาเยี่ยมชมปีละเยอะๆๆ
จระเข้ในประเทศไทยไอ้เข้ที่เจอในธรรมชาติในประเทศไทยจัดอยู่ในวงศื Crocodylidae มี ๒ สกุล รวม ๓ ประเภท คือ สกุลไอ้เข้ (Crocodylus) มี ๒ ประเภท อาทิเช่น ตะไข้น้ำจืดหรือจระเข้สระ (Crocodylus siamensis Schneider) กับจระเข้น้ำเค็มหรือจระเข้อ้ายเคี่ยม (Crocodylus porosus Schneider) แล้วก็สกุลตะโขง (Tomistoma ) มี ๑ ชนิดหมายถึงตะโขงหรือตะไข้ปากนกกระทุงเหว Tomistoma schleielii (S. Muller) สัตว์พวกนี้มีสามีหนังแข็งเป็นเกร็ด ปากยาว ปลายปากนูนสูงขึ้นเป็นช่องเปิดของรูจมูก เรียกหัวขี้หมา หางเป็นเหลี่ยม แบน ยาว ใช้โบกว่ายน้ำรวมทั้งใช้ฟาดต่างอาวุธ (เมื่ออยู่ในน้ำจระเข้จะฟาหางได้เมื่อขาข้างหลังถึงพื้นเท่านั้น)
๑.จระเข้น้ำจืด
มีชื่อวิทยาศาสตร์ Crocodylus siamensis Schneiderเป็นจระเข้ขนาดปานกลาง ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๓ เมตร มีลักษณะเด่นคือมีแถวเกร็ดนูนบนด้านหลังหอย และมีสันเตี้ยอยู่ระหว่างตาอีกทั้ง ๒ ข้าง ไอ้เข้ประเภทนี้เจออาศัยอยู่ตามทะเลสาบน้ำจืด ตลอดจนในที่ราบ หนอง สระ แล้วก็แม่น้ำ โดยยิ่งไปกว่านั้นบ่อน้ำที่แยกออกจากแม่น้ำ แล้วก็สายธารที่ไหลเอื่อยเฉื่อยที่มีฝั่งเป็นโคลน เคยพบได้มากที่สระบอระเพ็ด แต่ว่าเดี๋ยวนี้เกือบจะไม่เจอในแหล่งธรรมชาติเลย จระเข้ประเภทนี้รับประทานปลาเป็นของกินหลัก โตเต็มที่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี สืบพันธุ์ในช่วงธ.ค.ถึงเดือนมีนาคม ตัวเมียออกไข่ในเมษายนและก็พฤษภาคม ตกไข่ทีละ ๒๐-๔๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๖๗-๖๘ วัน
๒.จระเข้น้ำเค็ม
มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Crocodylus porosus Schneiderเป็นตะไข้ขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาจระเข้ที่ยังมีเผ่าพันธุ์อยู่ในขณะนี้ ลำตัวบางทีอาจยาวได้ถึง ๘ เมตร บริเวณกำดันไม่เจอแถวเกร็ดนูนดังเช่นว่าที่พบในสมุทรน้ำจืด รวมทั้งรอบๆหน้าผากมีสันจางๆคู่หนึ่งซึ่งสอบเข้าพบกัน เริ่มตั้งแต่ตาไปสินสุดที่ปุ่มจมูก (ก้อนขี้มา) เพศผู้โตสุดกำลังเมื่ออารุราว ๑๖ ปี ส่วนตัวภรรยาโตเต็มกำลังเมื่ออายุราว ๑๐ ปี ตัวเมียออกไข่ครั้งละราว ๕๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๘๐-๙๐ วัน
ลักษณะที่ต่างกัน จระเข้น้ำจืด จระเข้น้ำเค็ม๑.ลำตัว ป้อมสั้น ไม่ได้ส่วนสัดนัก เรียวยาว ได้ส่วนสัดกว่า
๒.ส่วนหัว รูปสามเหลี่ยมมุมป้าน โหนกที่หลังตาสูง และก็เป็นสันมากกว่า สามเหลี่ยมมุมแหลม ปากยาวกว่า
๓.ลายบนตัว สีออกเทาดำ มีลายสีดำเป็นแถบ สีออกเหลืองอ่อน มีลายเป็นจุดสีดำตลอดลำตัว
๔.บริเวณท้ายทอย มีเกล็ด ๔-๕ เกล็ด มีมีเกล็ด
๕.ขาหลัง พังผืดมองเห็นไม่ชัด มีพังผืดเห็นได้ชัดเสมือนขาเป็ด
๓.ตะโขง หรือ จระเข้ปากกระทุงเหว เป็นไอ้เข้จำพวกที่หายากที่สุดในประเทศไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Tomistoma schlegeill (S. Muller) เป็นไอ้เข้ขนาดใหญ่ประเภทหนึ่งของไทย ลำตัวอาจยาวถึง ๕ เมตร ตัวสีน้ำตาลแดง มีลายสีน้ำตาลเข้ม ปากยาวเรียวเหมือนปากปลาเข็ม หางแบนใหญ่ ใช้ว่ายน้ำ ไอ้เข้ประเภทนี้พบเฉพาะทางภาคใต้ของไทย มักอาศัยอยู่ในแม่น้ำรวมทั้งหนองน้ำจืดชืดที่มีรอบๆติดต่อกับแม่น้ำ อาจเจอได้บริเวรป่าชายเลนหรือบริเวรน้ำกร่อย มีรายงานว่าเจอตะไข้ปากกระทุงเหวที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน จังหวัดเพชรบุรี เขตรักษาชนิดสัตว์ป่าเขาบรรทัด จังหวัดพัทลุง เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดอกไม้เพลิงโต๊ะแดง จังหวักนราธิวาส แต่เจอเพียงที่ละ ๑-๒ ตัว ไอ้เข้จำพวกนี้รับประทานปลาและก็สัตว์ที่มีกระดูกสันหลังหลายชนิดเป็นอาหาร โตเต็มที่เมื่ออายุราว ๔.๕-๖ ปี ตัวเมียตกไข่ครั้งละราว ๒๐-๖๐ ฟอง ไข่ฟักออกเป็นตัวในราว ๗๕-๙๐ วัน และฟักเป็นตัวในฤดูฝน
๔.จระเข้พันธุ์ผสม เป็นไอ้เข้ผสมรหว่างตะไข้น้ำจืดกับจระเข้น้ำทะเล คนประเทศไทยเป็นผู้สำเร็จสำหรับการผสมจระเข้ ๒ จำพวกนี้ เป็นครั้งแรกในโลกเมื่อกว่า ๒๐ ปีก่อน ไอ้เข้ลูกผสมมีรูปร่าง สีสัน เกล็ด และก็นิสัยที่ดุร้ายเสมือนจระเข้น้ำทะเล แม้กระนั้นมีขนาดโตกว่า (เมื่อโตสุดกำลังมีปริมาณยาว ๕.๕ เมตร มีน้ำหนักตัวมากกว่า ๑,๒๐๐ กิโล) จัดเป็นตะไข้ชนิดที่มีขนาดโตที่สุดในปนะเทศไทย ตะไข้ลูกผสมเริ่มออกไข่เมื่ออายุ ๑๐-๑๒ ปี ออกไข่ราวครั้งละ ๓๐-๔๐ ฟอง มากยิ่งกว่าการวางไข่ของไอ้เข้น้ำเค็ม ไข่มีขนาดเล็ก เปลือกไข่บาง อัตราฟักเป็นตัวได้ต่ำมาก เมื่ออายุ ๑๓-๒๐ ปีวางไข่ราวทีละ ๓๐ –๕๕ ฟอง ไข่ขนาดโตปานกลาง เปลือกไข่ดกกว่า อัตราฟักเป็นตัวได้สูง แล้วก็เมื่ออายุ ๒๑ ปี ขึ้นไปวางไข่ทีละ ๓๕-๖๐ ฟอง เปลือกไข่หนามาก อัตราฟักเป็นตัวสูง
ชีววิทยาของจระเข้ไทยนักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าไอ้เข้กำเนิดและก็มีพัฒนาการบนโลกมาตั้งแต่ ๒๕๐ ล้านปีก่อน ปัจจุบันนี้มีตะไข้ในโลกนี้ราว ๒๒ จำพวก กระจัดกระจายอยู่ตามแหลางน้ำต่างๆในเขตร้อนทั่วโลก โดยยิ่งไปกว่านั้นรอบๆที่มีอุณห๓มิเฉลี่ยระหว่าง ๒๑-๓๕ องศา จระเข้เป็นสัตว์สะเทินน้ำสะเทินบก ในช่วงฤดูร้อนหรือในเวลากลางวันนั้น อาศัยกลบดานอยู่ในน้ำ ในช่วงฤดูหนาวก็เลยออกมาตากแดด เหมือนเคยถูกใจนอนบนริมฝั่งน้ำที่เงียบสงบ น้ำนิ่ง ลึกไม่เกิน ๑.๕๐ เมตร เป็นสัตว์ที่มีความรู้สึกไวต่อการเปลี่ยนแปลงทางธรณีวิทยาหรืออากาศ เป็นต้นว่า ก่อนเกิดพายุฝนฟ้าร้องหรือแผ่นดินไหวภูเขาไฟระเบิด จระเข้จะส่งเสียงร้องออกมาจากคอเหมือนเสียงคำรามของสิงโต แล้วก็ตัวอื่นๆก็จะร้องรับตามกันต่อๆไป ไอ้เข้ไทยแก่เฉลี่ยราว ๖๐-๗๐ ปี แต่ว่าโตสุดกำลังและก็ผสมพันธุ์ละวางไข่ได้เมื่อมีอายุราว ๑๐ ปีขึ้นไป เราสามารถจำแนกแยกแยะจระเข้ตัวผู้และจระเข้ตัวเมียได้โดยการดูลักษณะด้านนอกเมื่อไอ้เข้มีอายุตั้งแต่ ๓ ปี ขึ้นไป ไอ้เข้เริ่มผสมพันธุ์ได้เมื่อแก่ราว ๑๐ ปี โดยการผสมพันธุ์กันในน้ำเพียงแค่นั้น ฤดูผสมพันธุ์มักเป็นหน้าหนาว คือในราวธ.ค.ถึงก.พ. เมื่อผสมพันธุ์กัน ตัวผู้จะเกาะหลังตัวเมียและตวัดข้างหลังหางรัดตัวเมีย ใช้เวลาผสมพันธุ์กันราว ๑๐-๑๕ นาที ตะไข้ตัวเมียท้องราว ๑ เดือน และเริ่มตกไข่ในราวเดือนมีนาคมถึงพฤษภาคม จระเข้ตัวเมียจะเลือกทำเลที่สมควร ไม่มีอันตราย และก็ใกล้แหล่งน้ำ แล้วปัดกวาดเอาใบไม้แล้วก็ต้นหญ้ามาทำเป็นรังสูงราว ๔๐-๘๐ เซนติเมตร กว้างได้ตั้งแต่ ๑-๒๐ เมตร สำหรับออกไข่ หลังจากนั้นจึงขุดหลุมตรงกลางแล้ววางไข่ โดยใช้เวลาวางไข่ ๒๐-๓๐ นาที เมื่อออกไข่เสร็จจึงกลบให้แน่น ไข่ไอ้เข้มีลักษณะโตกว่าไข่เป็ดเล็กน้อย แต่เล็กมากยิ่งกว่าไข่ห่าน ตะไข้ตัวเมียออกไข่คราวละ ๓๕-๔๐ ฟอง ระยะฟักตัวของไข่ไอ้เข้แต่ละประเภทก็ไม่เท่ากัน เมื่อครบกำหนดช่วงเวลาฟักไข่ ลูกจระเข้จะร้องออกมาจากไข่ เมื่อตัวหนึ่งร้องตัวอื่นๆก็ร้องรับต่อๆกันไป เมื่อแม่จระเข้ได้ยินเสียงลูกร้อง ก็จะรื้อฟื้นไปในรังจนถึงไข่ ลูกไอ้เข้ใช้ปลายปากที่มีติ่งแหลมเจาะไข่ออกมา ตัวที่ไม่สามารถที่จะเจาะเปลือกไข่ได้ แม่ไอ้เข้จะคาบไข่เอาไว้ภายในปากรวมทั้งขบให้เปลือกแตกออก ลูกจระเข้แรกเกิดมีขนยาว ราว ๒๕-๓0 เซนติเมตร มีน้ำหนักตัวราว ๒00-๓00 กรัม มีฟันแหลมและก็ใช้กัดได้แล้ว และมีไข่แดงอยู่ในท้องสำหรับเป็นของกินได้อีกราว ๑0 วัน เมื่อของกินหมดแล้วก็ไอ้เข้เริ่มหิว ก็จะหาอาหารกินเอง ตะไข้มีระบบระเบียบย่อยของกินที่ดีเลิศ สามารถย่อยกระดูกสัตว์ต่างๆได้ ตะไข้เมื่อโตเต็มที่มีฟัน ๖๕ ซี่ ฟันข้างล่าง ๓0 ซี่ เมื่อฟันหักไปก็มีฟันใหม่ผลิออกขึ้นมาแทนที่ในระยะเวลาไม่นาน ฟันจระเข้เป็นกรวยซ้อนกันเป็นชุดๆอยู่ข้างในเหงือก ๓ ชุด ไอ้เข้มีลิ้นใกล้กับพื้นปาก เมื่อตะไข้อ้าปากจะมองเห็นเป็นจุดเล็กๆสีดำๆปรากฏอยู่ทั่วๆไปที่พื้นปากด้านล่าง รอบๆนั้นเป็นจุดที่ไอ้เข้ใช้บอกความแตกต่างของรสชาติอาหารที่กินเข้าไป ส่วนลึกในช่องปากมีลิ้นเปิดปิดเพื่อป้องกันน้ำเข้าคอเมื่อจระเข้อยู่ในน้ำ จมูกจระเข้อยู่ส่วนโค้งของปลายข้างบนของจะงอยปาก มีลักษณะเป็นปุ่มรูปวงกลม มีรูจมูก ๒ รู ปิดเปิดได้ เวลาดำน้ำจะปิดสนิทเพื่อคุ้มครองปกป้องน้ำเข้าจมูก จระเข้หายใจรวมทั้งดมด้วยจมูก ในช่องปากมีกระเปาะเป็นโพรงอยู่ด้านใน ใช้สำหรับรับกลิ่น
ตะไข้มี ๔ ขา แต่ขาสั้น ดูไม่สมดุลกับลำตัว ขาหน้ามีนิ้วข้างละ ๕ นิ้ว ขาข้างหลังมีนิ้วข้างละ ๔ นิ้ว ตะไข้ไม่สามารถที่จะคลานไปไหนได้ไกลๆแม้กระนั้นในระยะสั้นๆทำได้เร็วเท่าคนวิ่ง เมื่อจำเป็น ไอ้เข้สามารถคลานลงน้ำรวมทั้งว่ายน้ำได้ อย่างเงียบกริบ เวลาจับเหยื่อในน้ำ จระเข้จะขับเคลื่อนเข้าพบเหยื่ออย่างช้าๆ ราวกับท่อนไม้ลอยน้ำมา เมื่อได้จังหวะรวมทั้งระยะทางพอเหมาะก็จะพุ่งเข้าใส่เหยื่ออย่างเร็ว พร้อมอ้าปากงับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ เมื่องับเหยื่อไว้ได้แล้ว ก็จะบิดหมุนควงเหยื่อเหยื่อตายสนิทแล้วจึงค่อยกิน ฟันตะไข้มีไว้สำหรับจับเหยื่อแล้วก็ฉีกเหยื่อเป็นชิ้นๆแล้วกลืนลงไป มิได้มีไว้สำหรับเคี้ยวอาหาร
จระเข้สามารถลอยน้ำได้โดยการสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วประคองตัวให้ลอยน้ำได้โดยการใช้ขาพุ้ยน้ำรวมทั้งหางโบก แต่ในการพุ่งตัวแล้วก็ว่ายด้วยความรวดเร็วนั้น ไอ้เข้ใช้เพียงหางอันมีพลังโบก ไปๆมาๆอย่างเร็วเพื่อให้ตัวพุ่งไปข้างหน้า จระเข้มีความรู้ความสามารถสำหรับการมองเห็นที่ดีและไวมาก สามารถมองดูภาพได้ ๑๘0 องศา ทั้งสามารถแลเห็นวัตถุที่มาจากเหนือหัวได้ สายตาของไอ้เข้มีความไวและเร็วพอที่จะผสานกับนกที่บินผ่านไป ตะไข้ยังลืมตารวมทั้งเห็นในน้ำได้ เมื่อไอ้เข้มุดน้ำจะมีม่านตาบางใสมาปิดตาเพื่อคุ้มครองป้องกันการเคืองตา ไอ้เข้ยังมีหูที่รับเสียงเจริญ หูจระเข้เป็นร่องอยู่ข้างนัยน์ตาไอ้เข้ ๒ ข้าง นอกเหนือจากนี้จระเข้ยังรับรู้อันตรายที่จะมาถึงได้ด้วยผิวหนัง ที่สามารถรับความรู้สึกจากการเขย่าสั่นสะเทือนของพื้นดินหรือท้องน้ำได้ ในธรรม