Advertisement
ร่างกายราวกับรถยนต์ สมองเป็นพวงมาลัย จิตใจคือผู้ขับ ที่สั่งสมอง-ร่างกาย "ศาสตร์บำบัด ทำในสิ่งที่ยาทำไม่ได้"
ศูนย์บริการสุขภาพที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเล่าเรื่อง ดนตรีบรรเทา โดย นางงามแขน ฉัตรแก้ว ซึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพ เมื่อปี 2541 ได้ไปเรียนเพิ่มเกี่ยวกับดนตรีบรรเทา ศิลป์บำบัดรักษา สุวคนธบรรเทาหรืออโรมาบำบัด และนวดบรรเทา จากประเทศแคนาดา เดี๋ยวนี้ปฏิบัติงานที่สัมพันธ์พยาบาล ดำเนินงานเผยแพร่กระบวนการเยียวยาคนไข้ด้วยการบำบัดในลักษณะต่างๆเพื่อใช้เป็นทางเลือกร่วมกับการดูแลและรักษาหลักทั่วๆไป
เรียนเปียโน ดนตรีบำบัดรักษาที่วิทยากรชี้แจงในวันนั้น เป็นแนวทางที่บุคลากรในโรงพยาบาล หรือพี่น้องคนไข้สามารถนำไปดัดแปลงกับคนเจ็บได้ ไม่ว่าจะเป็นคนเจ็บระยะสุดท้ายหรือผู้ป่วยที่จะต้องใช้เวลาพักฟื้นนานๆรวมทั้งแม้กระทั้งบุคคลทั่วไปก็สามารถนำกระบวนการใช้ดนตรีบำบัดรักษานี้ไปใช้เพื่อพัก ผ่อนคลายจากอารมณ์ด้านลบต่างๆไม่ว่าจะเป็นความเครียดหรือความเศร้า
วิทยากรอธิบายว่า การใช้ดนตรีบรรเทา เพื่อเป็นสื่อกระตุ้นความก้าวหน้าแสดงทางร่างกาย เช่น การเคลื่อนไหว การนอน ความจำ การอยากกินอาหาร ระบบประสาท ความเจ็บปวด และมีต้นแบบการใช้นานาประการ อย่างใช้การฟังดนตรีหรือบทกวี ใช้การร้องหรือแต่งเพลงก็ได้ การใช้เครื่องใช้ไม้สอยหรืออุปกรณ์สำหรับเล่นดนตรี การเคลื่อนไหว การระลึกถึงความหลัง จินตนาการ เป็นต้น
"หากฟังเพลง บางครั้งอาจจะเป็นเพลงพวกฮีลลิ่ง คุณราพี มิวสิค เพลงขับร้องช้าเบาๆให้บรรยากาศแจ่มใส มีเสียงนกร้อง หรือเสียงน้ำไหลก็ได้ หรือเพลงอะไรก็ได้ที่ถูกใจ ส่วนพวกเครื่องไม้เครื่องมืออาทิเช่น พวก Singing Bowl ที่เป็นเหมือนถ้วยโลหะ เคาะแล้วมีเสียงกังวาน ฟังรวมทั้งได้การสงบและสมาธิก็ได้ หรือหากจะร้องก็เหมือนกัน คนวัยแก่บางคนก็ชอบเพลงสุนทราภรณ์ หรือเพลงอะไรก็ได้ บางครั้งเวลาร้องก็ไม่ต้องเกร็งว่าจำต้องให้ไพเราะ ร้องให้สนุกๆก็ช่วยปลดปล่อยความตึงเครียด ความกลุ้มอกกลุ้มใจจากความเจ็บไข้ได้ป่วยได้"
สอนศิลปะ การใช้ดนตรีบำบัดรักษาจะก่อให้คนป่วยมีลักษณะได้ไหม นางงามกร อธิบายว่า ไม่ใช่เพียงแค่เฉพาะเรื่องดนตรีบำบัดอย่างเดียว ยังสามารถใช้ศิลป์บรรเทา อโรมาบำบัด และก็การนวด เนื่องจากแต่ละคนมีความไม่เหมือน และไม่ได้มองดูแต่ว่าเฉพาะเรื่องของโรคเท่านั้น จำต้องมองดูเรื่องทางร่างกาย จิตวิญญาณ ครอบครัว อารมณ์ สังคม ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน ถ้ามองดูผู้เจ็บป่วยด้วยสายตาอย่างงั้นจะก่อให้มองเห็นปัญหาของเขา
"ขั้นตอนการนี้คือการสื่อ คนเจ็บจะรับทราบอย่างมาก เป็นความตั้งอกตั้งใจ ความบริสุทธิ์ใจของพวกเรา อย่างมีกรณีหนึ่งเป็นเด็กที่เป็นโรคมะเร็ง กรณีนี้วุ่นวายในชีวิตมาก พอเพียงเจ็บป่วย และรู้ว่าตนเองต้องตาย ในตอนที่ดูแลเขา พวกเรามิได้พูดถึงเรื่องความตายเลย ไม่ต้องมาบอกว่าความตายจะเกิดขึ้นเมื่อใด จะต้องให้เขาเห็นด้วย จะต้องสงบ มิได้ทำแบบนั้น แต่วิธีการต่างๆที่ใช้กับเขา มันสื่อถึงความรู้สึกระหว่างพวกเรา คนป่วย และก็ครอบครัวของเขา เขารู้ได้ถึงความตั้งอกตั้งใจ ให้เขาผ่อนคลาย เป็นสุข"
"อย่างที่โรงหมอเลิดสิน คนเจ็บเป็นมะเร็งที่ขา เขาก็พูดว่านวดช่วยไม่ได้หรอก เราก็ว่าช่วยได้เพราะมันมีสิ่งที่ยาทำไม่ได้แน่ๆเป็น เรื่องความรู้สึก เรื่องจิตใจ ที่พวกเราสร้างความมั่นใจกับเขาว่า ถึงอย่างไรก็มีคนพร้อมจะอยู่ข้างเคียงเขา เดินไปกับเขา สนใจปัญหาของเขา ว่าเขาปวด พวกเราก็บากบั่นที่จะช่วย อาจไม่ถึง 100% แม้กระนั้นเรานำมาช่วยในการบรรเทา สิ่งที่ยิ่งใหญ่เป็นอันมากคือ การที่เขาสัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของเรา แล้วที่ตรงนั้นจะเป็นพลังให้เขาในในภายหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะต้องตาย ก็สามารถที่จะตายอย่างสงบเงียบได้"
กัลยาณีกร ชี้แจงต่อว่า เช่นเดียวกันกับดนตรีบำบัด ที่ไม่ได้ฟังแล้วหายป่วย หรือเปล่าเจ็บอีกต่อไป เพราะว่าการนำดนตรีมาใช้เพื่อแสดงออกถึงอารมณ์ความรู้สึก เป็นสื่อทางภาษา ด้านจิตวิญญาณ ครั้งคราวฟังไม่รู้เรื่อง แต่ก็รู้ว่าโศกสลด หรือฮึกเหิม ฟังแล้วมีแรงใจ ดนตรีสื่อได้ หรือย่างบทสวดทั้งหลายก็สามารถสื่อได้ถึงพลังภายใน หรือความสงบเงียบ อย่างทางทิเบตหรือเจ้าแม่กวนอิมก็ชมรมกับความเงียบสงบด้านจิตวิญญาณเป็นพลังชีวิต
"ไม่ใช่ฟังเพลงแล้ว ไม่เจ็บ ไม่ปวด แม้กระนั้นมันลึกอยู่ด้านใน เรื่องของจิตวิญญาณผู้เสียสละจะต้องสัมผัสด้วยตัวเอง แล้วเราจะรู้สึก จะเข้าใจกล้าสิ่งต่างๆเหล่านั้น แล้วยิ่งได้มองเห็นคนป่วยแม้ว่าจะเป็นระยะสุดท้าย เขาก็มีการเติบโตทางจิตใจวิญญาณ เขาเติบโตได้ เรื่องฮีลลิ่งเกิดได้"
นอกนั้นการนำดนตรีบำบัดรักษามาใช้ก็มีหลายมิติ บางรูปแบบก็นำมาใช้ทำงานโดยตรงกับอวัยวะต่างๆภายในร่างกาย อย่างเรื่องความจำหรือระบบประสาท ดังเช่น ผู้ที่เป็นความจำเสื่อม หรืออัลไซเมอร์ มีการใช้เรื่องของเพลงมาเปิดซ้ำๆกระตุ้นความทรงจำ กระตุ้นระบบประสาท
ศิลปะการแสดง "ด้วยการเปิดเพลงนี้ทุกตอนเช้าตอนตื่น พอได้ยินเพลงนี้ปุ๊บก็จะตื่น เปิดเพลงนี้ทุกครั้งที่รับประทานข้าว พอได้ยินเขาก็รู้ว่าจำต้องรับประทานข้าว เอามาใช้เพื่อการฟื้นฟูระบบประสาท ความทรงจำได้ อย่างโมสาร์ทเอฟเฟ็กซ์ ก็จะใช้คลื่นความถี่ของเสียงดเว้นนตรี ก็จะส่งผลต่อคลื่นสมอง ทำไมฟังแล้วรู้สึกสงบได้ หรือสวดมนต์ฟังแล้วสงบได้ มันคือเรื่องของคลื่นเสียงที่ส่งผลต่อร่างกายโดยตรง จากคลื่นสมองแล้วทำให้เกิดผลกระทบลงมาที่ร่างกายต่อ"
กัลยามือ ชี้แจงว่ากล่าว เว้นแต่ดนตรีจะส่งผลต่อร่างกายโดยตรง ยังส่งผลต่อจิตใจด้วย โดยมีคำบอกเล่าเปรียบเทียบว่าร่างกายราวกับรถยนต์ สมองเหมือนพวงดอกไม้รถยนต์ แล้วจิตราวกับนั่งหลังพวงมาลัย เพื่อจะสั่งสมอง ร่างกายให้ทำอะไรก็ได้ ด้วยเหตุดังกล่าวการทำให้ร่างกายอยู่ในภาวการณ์ที่ผ่อนคลาย บางทีก็อาจจะด้วยการนั่งสมาธิหรือฟังเพลงที่ทำให้ร่างกายบรรเทาให้คลื่นสมองดาต้าเวฟ คลื่นที่นิ่งสงบ ก็เป็นส่วนช่วยขัดเกลาจิตใจได้ด้วย
"หากได้ฟังแล้วจิตใจก็มีพลัง คลายความเครียด ชื่นบานขึ้น รวมทั้งมีความรู้สึกว่ามีคุณค่า เห็นตนเองเยอะขึ้น หรือใช้ในมีพฤติกรรมแยกตัว เอาเพลงเข้ามาเป็นสื่อ มีคนป่วยเด็กที่ถูกตัดขาเขาปวดมาก ก็จะกรี๊ด ยาเอาไม่อยู่ เด็กก็จะไม่คุยกับคนไหน เพียงพอรู้ว่าเขาถูกใจดนตรี เราก็เอาเพลงที่เขาถูกใจมาเปิด หาคนบริจาคเครื่องเล่นต่อกับโทรทัศน์ในห้อง เด็กก็มีความสุขขึ้น ถ้าเกิดไม่เช่นนั้นก็อยู่แต่ในห้องสี่เหลี่ยม เขาไม่เคยทราบจะไประบายตรงไหน ก็ได้แต่กรี๊ดๆเพลงช่วยดึงความพอใจแล้วก็ตัวตนของเขาออกมา ทำให้เกิดความรู้สึกดีๆกับตนเอง และก็ภาคภูมิใจ"
"ไม่ว่าจะเปิดฟังเองหรือเปิดให้บุคคลอื่นฟัง ไม่ใช่เพลงนั้นเพลงนี้ดีแล้วจะบังคับให้คนไหนกันฟัง อย่างบางบุคคลกล่าวว่า เพลงคลาสสิกดี แม้กระนั้นหากไม่ชอบแล้วจะต้องทนฟัง มันก็ทรมาน ถ้าเกิดชอบแนวพื้นๆสบายๆก็ฟัง อยู่ที่ว่าเอาไปใช้กับผู้ใดกัน หรือเพลงที่ทำให้มีความรู้สึกดีได้ อย่างเพลงที่สื่อความหมายมีความหลัง อย่างบางคนเป็นทหารเรือ เขาภูมิใจในความเป็นนาวิกโยธิน ก็เปิดเพลงวอลล์ราชกองทัพเรือ คิดถึงความสำราญกับอาชีพที่เขายินดี ให้เขาได้เล่า ได้ย้อนระลึก เขาก็จะภูมิใจ ความรู้สึกเศร้าสิ้นหวังก็จะทุเลาลง ทำให้เขามีความรู้สึกว่าชีวิตน่าภูมิใจ" วิทยากร เล่าทิ้งท้าย
ขอบคุณบทความจาก :
[url]http://www.mephoomschool.com/[/url]
Tags : ศิลปะการแสดง