Advertisement
![http://www.disthai.com/](http://www.คลัง<a href=)
[b]สมุนไพร[/b].com/wp-content/uploads/2017/09/%E0%B9%81%E0%B8%A1%E0%B8%87%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1.jpg" alt="" border="0" />
แมงมุ[/size][/b]
แมงมุมเป็นชื่อเรียกสัตว์ชนิดแมงหลายชนิดในตระกูล ทุกประเภทจัดอยู่ในชั้น Araneae มีชื่อสามัญว่า spider รับประทานสัตว์เป็นอาหาร มีขนาดนาๆประการตามแต่ชนิด พวกที่ทีขนาดเล็กอาจมีลำตัวยาวเพียงแต่ ๐.๗ เซนติเมตร ส่วนพวกที่มีขนาดใหญ่อาจมีลำตัวยาวถึง ๙ เซนติเมตร พวกที่เจอตามบ้านเมืองแล้วก็ก่อความเลอะเทอะรุงรังมักเป็นแมงมุมที่อยู่สกุล Pholcus หลากหลายประเภท (ตระกูล pholcidae )
แมงกับแมลงในทางกีฏวิทยา คำ “แมง” กับ “แมลง” สื่อความหมายแตกต่างกัน และก็มักเรียกงงงวยกัน คำ “แมง”ใช้เรียกชื่อสัตว์ที่ไม่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภท ซึ่งเมื่อเติบโตเต็มกำลังแล้ว ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๒ ส่วนหมายถึงส่วนหัวกับอกรวมเป็นส่วนเดียวกันส่วนใดส่วนหนึ่ง กับส่วนท้องอีกส่วนใดส่วนหนึ่ง มีขา ๘ หรือ ๑๐ ขา ไม่มีหนวด ไม่มีปีก อาทิเช่น แมงมุม แมงป่อง แมงดาทะเล ส่วนคำ “แมลง” ใช้เรียกชื่อสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังหลากหลายประเภท ซึ่งเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่แล้ว ลำตัวแบ่งออกได้เป็น ๓ ส่วนอย่างเห็นได้ชัดหมายถึงท่อนหัว ส่วนอก แล้วก็ส่วนท้อง มีขา ๖ ขา เป็นสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังเพียงแต่พวกเดียวที่มีปีก อาจมีปีก ๑ หรือ ๒ คู่ หรือเปล่ามีปีกเลยก็ได้ เป็นสัตว์ที่มีมากมายชนิดที่สุดในโลก ตัวอย่างเช่น แมลงสาบ แมลงวัน
ชีววิทยาของแมงมุมแมงมุมมีลำตัวแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน ส่วนหัวกับส่วนอกติดกันเป็นส่วนเดียวคลุมด้วยแผ่นแข็งอีกทั้งด้านหลังและด้านล่าง มีตาเล็กๆข้างละหลายตา ลางชนิดอาจมีได้ถึง ๘ ตา อยู่ใกล้ๆกัน (เว้นเสียแต่แมงมุมลางชนิดที่ไม่มีตา ซึ่งมักเป็นแมงมุมที่อาศัยอยู่ในที่มืด เป็นต้นว่าในถ้ำ) ที่ปากมีเขี้ยวเป็นอวัยวะคู่ มีรูปร่างเหมือนปากคีบหรือคีมหนีบใช้คีบ จับ หรือยึดเหยื่อเป็นอาหารได้ มีข้อฐานปล้องเดียว ส่วนปลายอาจมีรูปล่อยพิษซึ่งเชื่อมต่อถึงต่อมพิษที่ฐานปาก นอกจากที่ปากยังมีอวัยวะคู่รูปทรงเหมือนขา แต่ว่าสั้นกว่าและก็มักแบนกว่า (มักเจริญดีรวมทั้งเห็นได้ชัดในเพศผู้ที่ยังไม่โตสุดกำลังและในตัวเมีย) แมงมุมไม่มีหนวด มีขา ๔ คู่ ที่ขามักมีโครงสร้างพิเศษให้ใช้ถักใยได้ ตัวอย่างเช่น มีแผ่นแบนอยู่ระหว่างง่ามเล็บ ส่วนท้องอาจกลมหรือยาวสุดแต่ชนิดของแมงมุมที่ปลายมีท่อเป็นรูเปิดสำหรับปลดปล่อยใยได้ บริเวณข้างล่างของส่วนท้องข้อที่ ๒ และก็ ๓ มีอวัยวะปฏิบัติภารกิจเป็นจมูกสำหรับหายใจ ซึ่งมักเป็นช่อง ข้างในมีแผ่นบางๆเรียงทับกันคล้ายกระดาษหนังสือ แมงมุมส่วนใหญ่ที่คนไทยเห็นนั้น มักเป็นชนิดถักใยกีดกั้นผ่านของสัตว์เพื่อจับรับประทานเป็นอาหาร เมื่อมีสัตว์มาติดใยและดิ้นรน แรงกระเทือนจะไปถึงตัวแมงมุมผู้ครอบครองรัง แมงมุมซึ่งมีสายตาไม่ดีก็จะติดตามแนวทางของแรงกระเทือนนั้นเข้าพบเหยื่อ กัดเหยื่อ และก็ปล่อยน้ำพิษทำให้เหยื่อสลบ ก่อนที่จะรับประทานเป็นอาหาร
แมงมุมในประเทศไทยแมงมุมที่พบในประเทศไทยมีมากมาย จัดอยู่ในหลายวงศ์ แม้กระนั้นทุกสกุลจัดอยู่ในชั้นเดียวกัน หมายถึง Araneae ชนิดที่พบในประเทศไทยนั้น โดยมากไม่มีพิษร้ายถึงกับกัดคนให้เจ็บหรือตายได้ เป็นต้นว่า
๑.แมงใย หรือ ตัวหยากไย่ เป็นแมงมุมที่พบตามอาคารบ้านเรือนและถักใยจนกระทั่งดูเลอะเทอะสกปรกรวมทั้งรุงรัง มักเป็นพวกที่จัดอยู่ในสกุล Pholcus หลากหลายประเภท (ตระกูล Pholcidae ) แมงมุมเหล่านี้มักมีลำตัวสีน้ำตาลหรือสีเทาทึบ หลังท้องสีมักเข้ม ลางจำพวกมีลาย โดยมากมีลำตัวยาว ๔-๕ มิลลิเมตร ขายาวกว่าลำตัวมาก คือยาวราว ๕-๖ ซม. ทำให้มองเกะกะและก็บอบบาง จึงมีชื่อสามัญว่า daddy long-leg spider ชาวไทยลางถิ่น เรียก แมงมุมเถ้าถ่าน เพราะว่าถักใยทำให้รกรุงรังและก็มีฝุ่นผงหรือเถ้าถ่านมาติด ใยแมงมุมที่แมงมุมพวกนี้ถักทอเอาไว้ในบ้าน โดยเฉพาะในครัว หรือที่อยู่ใกล้เตาไฟ ซึ่งมีขี้เขม่าไฟหรือเถ้าถ่านติดอยู่ร่วมกัน แพทย์โบราณใช้เป็นเครื่องยา เรียก หญ้ายองไฟ
๒.แมงมุมทำหลาว เป็นแมงมุม พวกที่ถักใยนอกบ้าน พบมากตามแปลงพืชหรือตามเรือกสวนไร่ เป็นแมงมุมที่จัดอยู่ในสกุล Tetragnatha หลายอย่าง (สกุล Tetragnathidae ) ซึ่งราษฎรเรียก แมงมุมทำหลาว เนื่องจากว่าเมื่อตกอกตกใจ แมงมุมพวกนี้จะวิ่งไปหลบอยู่ข้างหลังใบไม้ ยื่นขา ๒ คู่แรกไปด้านหน้า ขาคู่ที่ ๔ ยื่นไปข้างหลังอยู่ในระดับเดียวกับลำตัว ขาคู่ที่ ๓ ใช้ยึดเกาะยืนตั้งฉากกับลำตัว ดูคล้ายจัดเตรียมพุ่งแหลนลงน้ำ แมงมุมเหล่านี้ดักจับเพลี้ยจักจั่นกินเป็นของกิน จัดเป็นสัตว์ที่เป็นประโยชน์ต่อเกษตรกร
๓.แมงมุมก๋า หรือ ตัวก๋า มีชื่อวิทยาศาสตร์ Heteropodae venatoria (Linnaeus ) จัดอยู่ในวงศ์ Sparassidae มีชื่อสามัญว่า banana spider ( เพราะว่าพบได้ทั่วไปแมงมุมก๋านี้ในโกดังเก็บกล้วย ) เป็นแมงมุมขาดกลาง เพศผู้ลำตัวยาว ๑.๕-๒ ซม. ตัวเมียมีลำตัวยาว ๒.๕-๓ เซนติเมตร ขายาว ๕-๖ ซม. หัวกระทรวงอุตสาหกรรมขา แล้วก็ท้องสีน้ำตาล ตาสีคล้ำ ที่หลังอกมีแถบสีดำครึ้มพาดตามทางขวางข้างหน้า รวมทั้งแถบเป็นง่ามเหมือนรูปตัววี (V) ด้านปลายอีก ๑ แถบที่สันหลังท้องมีเส้นสีน้ำตาลแก่พาดมาถึงตรงกลาง บางทีอาจพบจุดสีน้ำตาลแก่เป็นลายข้างๆ ข้างละ ๔-๕ จุด มีขนสีน้ำตาลอ่อนรอบๆหน้าและขา ทำให้มองน่าขนลุก แมงมุมชนิดนี้ไม่ถักใย ออกหากินโดยการจับเหยื่อโดยตรง เจออาศัยอยู่ตามบ้านช่องหรือตามโรงเก็บของ เป็นแมงมุมที่มีประโยชน์ เพราะชอบรับประทานแมลงสาบ
๔.แมงมุมมดแดง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Myrmarachne formicaria Linnaeus จัดอยู่ในวงศ์ Salticidae เป็นแมงมุมจำพวกที่มีรูปร่างเลียนแบบสัตว์อื่น พบบ่อยแล้วก็มีชุกตามจังหวัดหาดทราย เป็นต้นว่า จังหวัดชลบุรีหรือระยอง มีรูปร่าง ขนาด แล้วก็สีสันใกล้เคียงกับมดแดง และก็ถูกใจอาศัยปนเปอยู่กับมดแดง แม้กระนั้นแตกต่างกันตรงที่เมื่อแมงมุมเหล่านี้กระโจน จะถักใยทิ้งตัวเพื่อเคลื่อนย้ายได้ เมื่อพินิจอย่างพิถีพิถันจริงจัง จะพบว่าจำนวนขาและก็ลักษณะอื่นๆไม่เหมือนกับมดแดง
คุณประโยชน์ทางยาหมอแผนไทยรู้จักใช้ “ต้นหญ้ายองไฟ”แล้วก็ “แมงมุมตายซาก” เป็นเครื่องยาด้วย ดังนี้๑.ต้นหญ้ายองไฟ หมอแผนไทยรู้จักใช้หยากไย่แมงมุมเหนือเตาไฟในห้องครัวของบ้านไทยในต่างจังหวัดยุคเก่า (เตาไฟใช้ฟืนใช้ถ่าน) ใยแมงมุมแมงมุมที่มีเขม่า เถ้าถ่าน รวมทั้งฝุ่นเกาะอยู่ด้วยนี้ แพทย์โบราณเรียก ต้นหญ้ายองไฟ ลางตำราเรียนเรียกเป็น ใยแมงมุมไฟ หรือ หยักไย่ไฟ ก็มี ใช้เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง
[url=http://www.disthai.com/]สมุนไพร [/b]แบบเรียนคุณประโยชน์ยาโบราณว่า หญ้ายองไฟมีรสเค็ม เฝื่อน มีสรรพคุณแก้โลหิต ฟอกเลือด กระจายเลือดอันเป็นลิ่มเป็นก้อน ขับเลือดประจำเดือน
แบบเรียนยาไทยหลายขนานเข้า “ต้นหญ้ายองไฟ” เป็นเครื่องยาอย่างหนึ่ง ในที่นี้ขอยกตัวอย่างยา ๒ ขนาน ขนานแรกเป็นยาแก้กษัยอันเกิดเพื่อโชธาตุชื่อ “สันตัปปัคคี” ซึ่งบันทึกเอาไว้ภายในพระหนังสือไกษย ดังต่อไปนี้ ขนานหนึ่งเล่า ถ้ามันให้จุกเสียดปวดขบเปนกำลัง ให้เอาพริกเทศ ๑๐๘ เม็ด พริกล่อน ๑๐๘ เม็ด ผักกะซึมซับเอาทั้งต้นรากใบลูกเอาสิ่งละ ๑ บาท ต้นหญ้าไซห้อย ๑ ต้นหญ้าไซแห้ง ๑ เอาสิ่งละ ๑ บาท ต้นหญ้ายองไฟ ๑ บาท
ไพลแห้[/b] ๑ บาท ตำเปนผง ละลายน้ำเหล้าน้ำส้มซ่าน้ำขิงน้ำมะนาวน้ำกระเทียมก็ได้ ยักน้ำกระสายให้ถูกใจโรคนั้นเถอะ อีกขนานหนึ่งเป็นยาขับเลือดของสตรีซึ่งมีบันทึกไว้ใน พระคู่มือมหาโชตรัต ดังนี้ อนึ่งเอาสหัศคุณเทศ ๑ แก่นแสมทเล ๑ ต้นหญ้ายองไฟ ๑
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%82%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B9%89%E0%B8%99%E0%B8%AD%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%A2/]ขมิ้นอ้อ[/b] ๑ บดละลายสุรารับประทาน ใหขับเลือดดีนักแล ตำรับยาลางขนาน เจ้าของตำรับบางทีอาจเขียนตัวยาไว้เป็นปริศนาให้แปลความกันเอาเอง อาทิเช่น ยาแก้บิดขนานหนึ่ง ผู้ครอบครองยาให้ตำรับยาไว้ว่า “ลุกใต้ดิน รับประทานตีนท่า อยู่หลังคา ขี้ค้างรู คู่อ้ายบ้า” ซึ่งหมายถึง “
[url=http://www.disthai.com/16488300/%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%A1%E0%B8%B9%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87]รากเจตมูลเพลิงเเด[/color] ๑
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/07/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%94/]ผักเป็[/b] ๑ ต้นหญ้ายองไฟ ๑ คนติดยา
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/08/%E0%B8%9D%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%99/]ฝิ่น ๑ สุราเป็นน้ำกระสาย”
๒. แมงมุมตายซาก หมอแผนไทยใช้แมงมุมที่ตายแล้วซากแห้งสนิท ไม่เน่าและไม่ขึ้นรา เป็นเครื่องยาในยาไทยโบราณหลายขนาน ดังเช่น “ยานากพด” ซึ่งมีบันทึกไว้ในพระตำราปฐมจินดาร์ ดังต่อไปนี้ ยาชื่อนากพด ท่านให้เอา
ใบหนาด ๑
พริกไ[/color] ๑ เบี้ยจั่นเผา ๑
[url=http://www.disthai.com/16488302/%E0%B8%82%E0%B8%B4%E0%B8%87]ขิง ๑ รังหมาร่าเผา ๑
แมงมุ[/b]ตายซาก ๑
[url=http://www.xn--42cg8cuanoj5b9czdzg.com/2017/09/%E0%B8%A5%E0%B8%B3%E0%B8%9E%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%81%E0%B8%94%E0%B8%87/]ลำพัน ๑ รวมยา ๗ สิ่งนี้เอาเสมอภาค บดทำแท่งไว้ แก้ทรางทั้งผอง แก้ละอองพระบาท แก้ตะพั้น ทั้งยังรับประทานทั้งชะโลมดีนัก