โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคเเพ้ภูมิต้านทานตนเอง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 9 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
adzposter
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 14640


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 23, 2018, 07:26:25 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรค SLE (โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง,โรคแพ้ภูมิคุ้มกันตนเอง) (Systemic lupus erythematosus)[/size]

  • โรค SLE เป็นอย่างไร โรคเอสแอลอี หรือ โรคพุ่มพวงเป็นโรคภูมิแพ้ตัวเอง หรือ โรคภูเขาไม่ต้านตนเอง (Autoimmune disease)  มีเหตุมาจากการที่ร่างกายสร้างสารภูมิต้านทานต่อต้าน หรืออิมมูน (Immune) เปลี่ยนไปจากปกติ โดยจะต้านเนื้อเยื่อเกี่ยวเนื่องของเยื่อต่างๆเกิดขึ้นได้กับทุกอวัยวะ เป็นผลให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง (จำพวกไม่ใช่จากการติดเชื้อ) ของเยื่อได้ทุกส่วนของร่างกาย  อวัยวะที่เกิดการอักเสบได้บ่อยเป็นต้นว่า ผิวหนัง ข้อ ไต ระบบเลือด ระบบประสาท เป็นต้น การอักเสบนี้จะดีกว่าเนื่องจนเป็น โรคเรื้อรัง  ซึ่งโรคเอสแอลอี (SLE) ย่อมาจากชื่อจริงในภาษาอังกฤษว่า systemiclupus erythematosus หรือเรียกกล้วยๆว่าโรคลูปัส

    โดยจัดเป็นโรคที่เรื้อรังประเภทหนึ่งที่อยู่ในกรุ๊ปโรคภูมิคุ้มกันบ้า มีเหตุมาจากการที่ร่างกายคนเจ็บผลิตโปรตีนของภูมิคุ้มกันในเลือดที่ เรียกว่า "แอนติบอดี้" ขึ้นมามากเกินธรรมดา สร้างปัญหาในอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกายไม่ว่าทั้งยังทางตรงหรือทางอ้อม ยกตัวอย่างเช่น จากปกติภูมิคุ้มกันในร่างกายจะต่อต้านเชื้อโรคแล้วก็สิ่งปลอมปน อาทิเช่น แบคทีเรีย หรือไวรัสจากด้านนอกร่างกาย แต่กลับต่อต้านร่างกายของตนเอง จนกระทั่งส่งผลให้เกิดการอักเสบที่อวัยวะต่างๆรวมทั้งเกิดเป็นโรค SLE ในที่สุด
    ซึ่งคำว่า ลูปัส มีรากศัพท์มาจากภาษาลาติน มีความหมายว่า สุนัขป่า ซึ่งคาดการณ์ว่า มาจากการที่ผื่นที่ใบหน้าที่เกิดขึ้นจากโรคนี้อยู่ในตำแหน่งคล้ายลักษณะขนบนใบหน้าของสุนัขป่า หรือเหมือนถูกหมาป่ากัด หรือข่วน หรือจากการที่เพศหญิงประเทศฝรั่งเศสใส่หน้ากากเพื่อปกปิดบริเวณใบหน้าเมื่อมีผื่นเกิดขึ้น หน้ากากนี้เรียกว่า “Loup” หรือ “Wolf/สุนัขป่า” โรค SLE หรือโรคลูปัส เป็นโรคแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune disease) ที่พบได้บ่อยในหญิงวัยเจริญพันธุ์ (ร้อยละ 90) โดยพบได้ทั่วไปในสตรีอายุช่วง 20-30 ปี เจอในผู้หญิงเชื้อชาติผิวดำได้บ่อยครั้งที่สุด รองลงไปเป็นลำดับ คือ ผู้หญิงเอเชีย และก็เพศหญิงผิวขาว

  • สาเหตุของโรค SLE พยาธิเกิดยังไม่รู้จักแจ่มแจ้ง แต่ว่าสันนิษฐานว่าเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากระบบภูมิต้านทานของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรคหรือสารเคมีอะไรบางอย่าง ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเยื่อต่างๆจึงจัดเป็นโรคภูมิต้านทานตนเอง (autoimmune) ประเภทหนึ่ง บางทีอาจเจอปัจจัยที่กระตุ้นให้อาการไม่ดีขึ้น ได้แก่ ยาบางชนิด (เป็นต้นว่า ซัลฟา ไฮดราลาซีน เมทิลโดพา ไอเอ็นเอช คลอร์โพรมาซีน เฟนิโทอิน ไทโอยูราสิล) การถูกแดด การกระทบกระเทือนด้านจิตใจ สภาวะท้อง เป็นต้น

นอกจากนั้น  ยังสันนิษฐานว่า บางทีอาจเกี่ยวข้องกับฮอร์โมนเพศหญิง (เนื่องมาจากพบมากในหญิงวัยหลังมีระดูแล้วก็ก่อนวัยหมดประจำเดือนรวมทั้งมักพบกว่าเพศ 7-10 เท่า)   รวมทั้งพันธุกรรม (พบบ่อยในผู้ที่มีพี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้)
ส่วนกลไกการเกิดโรคมีเหตุที่เกิดจากมีความผิดธรรมดาของระบบภูมิคุ้มกัน เกิดภาวะภูมิไวเกิน (hypersensitivity) ของเม็ดเลือดขาวประเภท T รวมทั้ง B lymphocyte ทำให้เกิดการผลิต autoantibodies ต้านเนื้อเยื่อของตนแล้วก็เกิด immune complex ลอยละล่องไปตามกระแสเลือดไปติดตามอวัยวะต่างๆนอกจากนี้ยังมีความผิดปกติของการกาจัด immune complex นำไปสู่การอักเสบของอวัยวะรวมทั้งเส้นเลือดนำไปสู่การเกิดพยาธิสภาพในหลายอวัยวะ

  • ลักษณะของโรค SLE โรคนี้พบได้มากในวัยหนุ่มสาว อายุ 15-40 ปี เพศหญิงมากยิ่งกว่าเพศชาย อาการและอาการแสดงบางทีอาจแตกต่างกันได้มาก คนไข้บางรายอาจมีอาการน้อยเป็นต้นว่า จับไข้ หมดแรง ปวดข้อ มีผื่นแดงตามบริเวณใบหน้า ผื่นแพ้แดด ผมตก มีแผลในปาก รายที่เป็นมากขึ้นอาจมีอาการซีด ติดเชื้อโรคง่าย มีจุดเลือดออกหรือเส้นเลือดอักเสบ นิ้วซีดเผือดเขียวเวลาถูกความเย็น ขาบวม ฉี่ไม่ดีเหมือนปกติ มีความผิดธรรมดาทางไต หอบ เจ็บทรวงอก ชักหรือมีปัญหาทางระบบประสาทได้ แล้วก็ด้วยโรคนี้เป็นโรคเรื้อรังที่มีอาการเกิดขึ้นกับหลายอวัยวะหรือหลายระบบของร่างกาย บางรายอาการกลุ่มนี้เกิดขึ้นพร้อมเพียงกัน บางรายมีการแสดงออกเพียงแค่อวัยวะใดอวัยวะหนึ่งระบบ

ซึ่งจะมีลักษณะที่เกิดสังกัดอวัยวะต่างๆสามารถแยกได้เป็น อาการทางผิวหนัง คนป่วยมักมีผื่นแดงขึ้นที่ใบหน้า รอบๆสันจมูก แล้วก็โหนกแก้ม 2 ข้าง เป็นรูปคล้ายผีเสื้อที่เรียกว่า ผื่นปีกผีเสื้อ (Butterfly rash) หรือมีผื่นแดงคันรอบๆนอกร่มผ้าที่ถูกแสงอาทิตย์ หรือมีผื่นขึ้นเป็นวง เป็นแผลเป็นตามใบหน้า หนังหัว หรือบริเวณใบหู มีแผลในปาก โดยยิ่งไปกว่านั้นบริเวณเพดานปาก ยิ่งไปกว่านี้ยังมีผมตกเยอะขึ้น
อาการทางข้อแล้วก็กล้ามเนื้อ คนไข้ส่วนใหญ่จะมีลักษณะปวดข้อ มักเป็นที่ข้อนิ้วมือ ข้อมือ ข้อไหล่ ข้อเข่า หรือข้อเท้า บางคราวมีบวมแดงร้อนร่วมด้วย
อาการทางไต คนเจ็บมักมีอาการบวมรอบๆเท้า 2 ข้าง ขา หน้า หนังตา เพราะว่ามีอาการอักเสบที่ไต รายที่มีอาการรุนแรงจะมีความดันเลือดสูงขึ้น ปัสสาวะออกน้อยลง ไปจนกระทั่งขั้นไตวายได้ในระยะเวลาอันสั้น
อาการทางระบบเลือด คนป่วยอาจมีเลือดจาง มีเม็ดเลือดขาวหรือเกล็ดเลือดลดน้อยลง ทำให้มีลักษณะอาการอ่อนแรง มีภาวะติดโรคง่าย หรือมีจุดเลือดออกเรียกตัวได้
อาการทางระบบประสาท ผู้เจ็บป่วยบางรายอาจมีอาการชัก หรือมีลักษณะพูดพล่ามไม่รู้เรื่อง หรือคล้ายคนโรคจิตจำวงศาคณาญาติมิได้ เพราะว่ามีการอักเสบของสมองหรือเส้นโลหิตในสมอง
นอกจากนี้ ยังอาจมีอาการทั่วไปร่วมด้วย อาทิเช่น จับไข้ อ่อนเพลีย เบื่อข้าว เมื่อยกล้ามเนื้อ ปวดศรีษะ จิตใจหมดกำลังใจ ร่วมได้ ลักษณะของโรคชอบแสดงความรุนแรงมากมายหรือน้อยภายในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีแรก จากที่เริ่มมีลักษณะอาการ หลังจากนั้นมักจะเบาลงเรื่อยๆแต่อาจมีอาการเกิดขึ้นอีกร้ายแรงได้เป็นครั้งๆ  ในขณะนี้โรคเอสแอลอียังมีวิธีที่ไม่สามารถที่จะรักษาให้หายสนิทได้ แม้กระนั้นสามารถควบคุมอาการโรคให้สงบ รวมทั้งดำเนินชีวิตได้ตามเดิมถ้าเกิดรักษาได้ทันทีทันควัน

  • ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำมาซึ่งโรค SLE
  • เพศ เพราะว่าเจอโรคได้สูงในเพศหญิง ซึ่งพบบ่อยกว่าผู้ชายถึง 7 เท่า
  • การต่อว่าดเชื้อบางจำพวกอีกทั้งจากแบคทีเรีย และก็เชื้อไวรัส บางชนิด
  • การถูกแสงอาทิตย์จัดเรื้อรัง
  • การแพ้สิ่งต่างๆและอาหารบางจำพวก
  • การสูบบุหรี่
  • ฮอร์โมนผู้หญิง (เพราะโรคนี้กำเนิดในผู้หญิงสูงกว่าในเพศชาย ถึงโดยประมาณ 7-10 เท่า) และการมีครรภ์
  • จากผลกระทบของยาบางประเภท ตัวอย่างเช่น ยาคุ้มครองปกป้องการชัก ยาคุมกำเนิด และก็ยาลดความอ้วนบางประเภท ซึ่งเมื่อมีเหตุที่เกิดจากยา หลังหยุดยา โรคมักหายได้
  • อารมณ์ (อาการเครียด)
  • การทำงานหนัก แล้วก็ การบริหารร่างกายเกินเลย
  • ประเภทบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ครอบครัวมีประวัติมีอาการป่วยด้วยโรค SLE

อาการที่เสี่ยงที่จะเป็นโรค SLE (ควรไปพบหมอเพื่อตรวจวิเคราะห์)

  • เป็นไข้ต่ำๆไม่เคยทราบต้นเหตุเป็นเวลานาน
  • มีลักษณะปวดตามข้อ
  • มีผื่นขึ้นใบหน้า หรือมีผื่นคันรอบๆที่ถูกแสงอาทิตย์
  • มีผมหล่นมากมายแตกต่างจากปกติ
  • มีอาการบวมตามขา หน้าหรือหนังตา
  • แนวทางอาการรักษาโรค SLE

การวิเคราะห์โรค เพราะเหตุว่าโรค SLE มีความมากมายในอาการรวมทั้งอาการแสดงโดยเหตุนี้จึงมีการตั้งเกณฑ์สำหรับการวิเคราะห์ ACR criteria โดยอาศัยอาการหรือสิ่งตรวจพบ 4 ใน 11 ข้อ (ความไว 75%, ความจำเพาะ 95%) การวิเคราะห์ จำเป็นจะต้องอาศัยอาการทางสถานพยาบาลร่วมกับการตรวจทางห้องทดลอง การวินิจฉัยมักไม่เป็นปัญหาเนื่องจากคนเจ็บโดยมากจะมีอาการชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น ผู้หญิงอายุน้อยมาด้วยผื่น malar rash, discoid rash ร่ปวดข้อ อ่อนแรง จับไข้ ร่วมกับผลตรวจเลือดเข้าได้รับโรค SLE แต่ว่าการวินิจฉัยจะมีความลำบากในคนไข้บางครั้งได้แก่ ผู้ชาย, ผู้สูงวัยหรือผู้ป่วย ที่มีอาการแสดงเพียงแต่ระบบเดียวต้อง อาศัยการตรวจทางห้องทดลองซึ่งอย่างเช่น CBC, UA, CXR รวมทั้ง ANA ช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคที่มีสาเหตุมาจากโรคอื่น
นอกจากนั้นหมอจะกระทำวินิจฉัยโดยอาศัยผลการตรวจทางห้องทดลองอื่นๆอีกอาทิเช่น ตรวจเลือด พบแอนตินิวเคลียร์แฟกเตอร์ (antinuclear factor) แล้วก็แอลอีเซลล์ (LE cell) ตรวจเยี่ยวอาจพบสารไข่ขาวรวมทั้งเม็ดเลือดแดง  นอกนั้น บางทีอาจต้องกระทำการตรวจเอกซเรย์ คลื่นหัวใจและก็ตรวจพิเศษอื่นๆอีกด้วย  ปัจจุบันนี้ยังไม่มียา หรือแนวทางการรักษาโรคนี้ให้หายสนิทได้ แม้กระนั้นเป็นการรักษาให้โรคสงบเป็นช่วงรวมทั้งการดูแลรักษาประคับประคองตามอาการ   การดูแลและรักษาโรคเอสแอลอีต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจที่เกี่ยวข้องกับเรื่องตัวโรคของผู้เจ็บป่วย การปฏิบัติตัวอย่างถูกของคนไข้  และการดูแลอย่างใกล้ชิดของหมอผู้ทำการดูแลรักษา
โดยในรายที่เป็นไม่ร้ายแรง (เช่น มีเพียงไข้ ปวดข้อ ผื่นแดงที่หน้า) แพทย์อาจจะเริ่มให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สตีรอยด์ (ยาที่ใช้รักษาโรคข้ออักเสบ) ถ้าไม่ได้เรื่องอาจให้ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine) เพื่อช่วยลดอาการกลุ่มนี้
ในรายที่เป็นร้ายแรง แพทย์จะให้สตีรอยด์ (ยกตัวอย่างเช่น เพร็ดนิโซโลน) ในขนาดสูงติดต่อเป็นอาทิตย์หรือนับเป็นเวลาหลายเดือน เพื่อลดการอักเสบของอวัยวะต่างๆเมื่อดียิ่งขึ้นแล้วก็ค่อยๆลดปริมาณยาลง รวมทั้งให้ในขนาดต่ำเพื่อควบคุมอาการไปเรื่อยอาจนานเป็นนานนับปีหรือจนกว่าจะมีความคิดเห็นว่าไม่เป็นอันตราย หากให้ยาดังที่ได้กล่าวผ่านมาแล้วแล้วไม่เป็นผล หมอจะให้ยากดภูมิต้านทาน เป็นต้นว่า ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophasphamide) อะซาไทโอพรีน (azathioprine) ฯลฯ
ในรายที่มีลักษณะรุนแรง เช่น บวม หายใจหอบ มีอาการไม่ดีเหมือนปกติทางสมอง เป็นต้น จึงควรรับตัวไว้รักษาในโรงหมอ จนกว่าจะไม่เป็นอันตราย จึงให้คนเจ็บกลับไปอยู่บ้านแล้วก็นัดหมายมาตรวจกับแพทย์เป็นช่วงๆ

  • การติดต่อของโรค SLE โรค SLE เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากความเปลี่ยนไปจากปกติของภูมิต้านทานของร่างกาย ที่สร้างภูมิต้านทานต่อเยื่อของตัวเอง ก็เลยนำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการต่างๆของโรค SLE ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด (แต่ว่ามีกล่าวว่าบางทีอาจเจอการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้)
  • การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรค SLE
  • คนป่วยควรรู้ดีว่า โรคนี้มีความรุนแรงต่างกัน บางบุคคลอาจมีอาการนิดหน่อย แต่ว่าบางบุคคลอาจมีอาการรุนแรงได้ ถึงแม้คนไข้มีลักษณะอาการบางส่วน หากมิได้รับการดูแลรักษา อาการบางทีอาจรุนแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆได้ โรคนี้เป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งมีลักษณะอาการกำเริบและสงบสลับกันไป เพราะฉะนั้นควรมารับการตรวจรักษาจากแพทย์โดยบ่อย กินยาตามสั่งโดยเคร่งครัด ไม่สมควรหยุดยาหรือลดยาเอง ด้วยเหตุว่าอาจจะทำให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • เวลาไม่สบายไม่สมควรซื้อยารับประทานเอง ควรพบหมอและก็บอกแพทย์เพราะว่าเป็นเอสแอลอี เพื่อการรักษาที่เหมาะสม และก็แพทย์จะได้หลบหลีกยาบางตัวที่อาจทำให้โรคกำเริบเสิบสานขึ้น
  • หลีกเลี่ยงการสนิทสนมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคติดโรค เนื่องจากว่าคนไข้โรคเอสแอลอีอาจติดเชื้อโรคได้ง่าย รวมทั้งโรคเอสแอลอีบางทีอาจกำเริบเสิบสานขึ้นได้
  • ถ้ามีอาการที่บ่งบอกถึงการติดเชื้อ ตัวอย่างเช่น ไข้สูง ไอ
  • ควรตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ กระบวนการทำฟัน ถอนฟัน ควรกินยาปฏิชีวนะก่อนและหลังทำ เพื่อคุ้มครองปกป้องการติดเชื้อ ดังนี้ต้องอยู่ภายใต้ความควบคุมของหมอ
  • ถ้าหากมีลักษณะอาการผิดปกติ ที่อาจบ่งว่าโรคกำเริบเสิบสาน อย่างเช่น ไข้ หมดแรง ผมหล่น ผื่นผิวหนังเห่อแดง ปวดข้อ ควรมาเจอหมอก่อนนัดหมายได้
  • เลี่ยงแดด โดยเฉพาะอย่างยิ่งระหว่าง 10.00-16.00 น. ด้วยเหตุว่าแสงแดดจะมีผลให้โรคกำเริบเสิบสานได้ ผู้เจ็บป่วยที่แพ้แสงมากมาย ควรจะใช้ยากันแดด ใส่หมวก กางร่ม สวมเสื้อแขนยาว ถ้าเกิดต้องออกไปถูกแดด
  • เลี่ยงภาวะเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ
  • ควรพักผ่อนให้พอเพียง ออกกำลังกายบ่อย
  • ไม่รับประทานของกินกึ่งสุกกึ่งดิบหรือไม่สะอาด สถานที่แออัดคับแคบ เนื่องจากว่าเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
  • ถ้าโรคยังไม่สงบ ไม่สมควรตั้งครรภ์ เหตุเพราะโรคอาจกำเริบขณะท้องได้ อาจเป็นอันตรายต่อคนเจ็บแล้วก็เด็กอ่อน ยิ่งกว่านั้นยาที่กินเพื่อควบคุมโรคในผู้เจ็บป่วยบางรายอาจมีผลต่อลูกในท้อง หากโรคสงบแล้ว สามารถตั้งท้องได้แต่ควรจะขอความเห็นหมอก่อน และขณะท้องควรมารับการตรวจร่างกายอย่างใกล้ชิดมากยิ่งกว่าเดิม เนื่องจากว่าบางทีโรคบางทีอาจกำเริบเสิบสาน
  • การคุมกำเนิด ควรเลี่ยงการใช้ยาคุมกำเนิด เพราะเหตุว่าอาจจะทำให้โรคกำเริบเสิบสาน ในการใส่ห่วงคุมกำเนิดบางทีอาจเพิ่มอุบัติการณ์ของการตำหนิดเชื้อ เสนอแนะว่าให้ใช้ถุงยางอนามัย
  • คนเจ็บที่ได้รับยาลดลักษณะของการปวดข้อ (NSAIDs) ถ้าหากมีลักษณะปวดท้อง ควรจะแจ้งให้แพทย์ทราบ
  • ดื่มนมสด หรือรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูงคุ้มครองกระดูกพรุน
  • การป้องกันตนเองจากโรค SLE เนื่องจากยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริงของโรคนี้ จึงยังไม่ทราบการป้องกันไม่ให้เกิดโรคนี้  แต่ก็มีวิธีที่จะช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคนี้ได้ด้วยการดูแลรักษาร่างกายของตัวเองให้แข็งแรงอยู่เสมอ โดย
  • รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่
  • ออกกำลังกายเป็นประจำ
  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ไม่เครียดจนเกินไป
  • รักษาสุขอนามัยของตัวเองให้สะอาด เพื่อลดโอกาสในการติดเชื้อ
เมื่อมีอาการผิดปกติที่เสี่ยงจะเป็นโรค SLE ข้อใดข้อหนึ่ง (ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว) ให้รีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยโดยด่วน

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บรรเทาอาการของโรค SLE

พลูคาว (Houttuynia cordata Thunb)  พลูคาว เป็นพืชผักพื้นบ้านของไทย มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Houttuynia cordata Thunb มีชื่อท้องถิ่นได้หลายชื่อ เช่น พลูคาว ผักคาวตอง ผักก้านตอง ในประเทศไทยพบมากทางภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พลูคาว มีองค์ประกอบทางเคมี ที่สำคัญ 6 ประเภทคือ น้ำมันหอมระเหย (Volatile oil), สารประเภท ฟลาโวนอยด์ (Flavonoids), สารประเภท อัลคาลอยด์ (Alkaloid), สารประเภทกรดไขมัน  (Fatty acids), สารประเภทไฟโตเสตอรอล (Phytosterols) และสารประกอบเคมีอื่นๆ ได้แก่ Polyphenolic acid กับแร่ธาตุ เช่น Fluoride, Potassium chloride, Potassium sulfate  งานวิจัยของพลูคาวกับระบบภูมิคุ้มกัน เป็นเรื่องที่น่าสนใจและแปลกใจอย่างยิ่ง เพราะแนวโน้มพบว่า เสริมภูมิคุ้มกัน ในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง เช่นโรคเอดส์ ขณะเดียวกัน ก็ลดภูมิคุ้มกันในผู้ที่มีภูมิคุ้มกันไวเกิน เช่นโรค SLE หรือภูมิต้านทานต่อเนื้อเยื่อตนเอง
นอกจากนี้เจียวกู่หลานยังช่วยปรับสมดุลของภูมิคุ้มกันของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สร้างภูมิคุ้มกันมากจนเกินไป หรือสร้างภูมิคุ้มกันที่ผิดปกติ จนทำให้มีอาการข้ออักเสบหรือมีอาการของโรค SLE ที่เป็นโรคเรื้อรังในปัจจุบัน โดยมีผลต่อการทำงานของร่างกายที่สำคัญคือ ช่วยบำรุงการทำงานของอวัยวะภายในให้แข็งแรงและปรับสมดุลการทำงานของระบบประสาท ระบบฮอร์โมนให้เป็นปกติจากความเครียด ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ทำการศึกษาวิจัยพบว่า สมุนไพรเจียวกู่หลานนั้นเป็น Adaptogen ที่ดีกว่าสมุนไพรชนิดอื่น ๆ
เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.กิตติ โตเต็มโชคชัยการ.โรคเอสแอลดี (SLE).นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่274.คอลัมน์โรคน่ารู้.กุมภาพันธุ์.2545
  • Patients with SLE .คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • วิทยา บุญวรพัฒน์.”เจียวกู่หลาน (ปัญจขันธ์)”หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย.หน้า 188.
  • Tsokos, G. (2011). Systemic lupus erythematosus. N Engl J Med. 365, 2110-2121.
  • โรคลูปุสหรือเอสแอลดี (SLE).ภาควิชาอาจวิทยา.คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Handa, R., Kumar, U., and Wali, J. (2006). Systemic lupus erythematosus and pregnancy http://www.japi.org/june2006/systemicpdf [2012, Jan10].
  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคเอสแอลดี.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่350.คอลัมน์ สารานุกรมพันโรค.กรกฏาคม.2551
  • “เจียวกู่หลาน”.โครงการเผยแพร่ข้อมูลทรัพยากรชีวภาพและภูมิปัญญาท้องถิ่นบนพื้นที่สูง.สถาบันวิจัยและพัฒนาที่สูง
  • ศาสดาจารย์เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคพุ่มพวง/โรคลูปัส/โรคเอสแอลอี (SLE).หาหมอ.
  • แนวทางการรักษาโรคเอสแอลดี.Guideline ราชาวิทยาลัยอายุรแพทย์
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.


Tags : โรคแพ้ภูมิต้านทานตนเอง



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ