Advertisement
โรคเอดส์ (Acquired immunodeficiency syndrome. AIDS)- โรคเอดส์เป็นอย่างไร โรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง หรือโรคภูมิคุมกันบกพร่อง เพิ่งมีการค้นพบมา 30 กว่าปี และก็ทั่วโลกต่างหวาดกลัว เพราะตอนนี้ยังไม่มีแนวทางรักษาให้หายสนิทได้
ประวัติของโรค ภูมิต้านทานบกพร่อง/AIDS ข้อแรกคงจะจำต้องพูดถึงปี พุทธศักราช ๒๔๕๒ Carlos Ribeiro Justiniano Chagas แพทย์ชาวบราซิล ค้นพบเชื้อที่ในตอนนั้นคิดว่าเป็นโปรโตซัวชื่อ Pneumocystis carinii ซึ่งก่อโรคปอดอักเสบ(Pneumonia) ในหนูและก็ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันผิดพลาด (Immunodeficiency) โรคปอดอักเสบนี้เรียกว่า Pneumocystis carinii Pneumonia (PCP) ถัดมา Otto Jirovec นักพยาธิวิทยาชาวเช็ก เสนอว่าเชื้อนี้ที่ก่อโรคในคนกับสัตว์เป็นคนละชนิดกัน แต่ไม่มีหลักฐานที่แน่ๆ
พ.ศ. ๒๕๒๔ Michael Gottlieb แพทย์คนอเมริกันกล่าวว่าพบคนเจ็บที่เป็นชายรักร่วมเพศ ๕ ผู้ป่วยเป็นโรค PCP แล้วก็อีก ๕ เดือนถัดมาทั้งปวงก็ติดเชื้อไวรัส CMV ซึ่งมักจะเป็นในมีภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่อง แม้กระนั้นหาต้นสายปลายเหตุไม่พบว่าภูมิต้านทานของคนเหล่านี้บกพร่องจากอะไร ก็เลยเชื่อว่าเป็นโรคใหม่ เพราะเหตุว่า ๔ ใน ๕ คนนี้ตรวจเจอเชื้อไวรัสตับอักเสบบีร่วมด้วยซึ่งติดต่อทางเพศสมาคม ก็เลยคาดว่าโรคที่เจอใหม่นี้คงจะติดเชื้อทางเพศชมรมเช่นกัน
พ.ศ. ๒๕๒๕ ศูนย์ควบคุมและคุ้มครองโรคของอเมริกา (CDC) ตั้งชื่อโรคนี้ว่า Acquired Immunodeficiency Syndrome หรือโรคเอดส์ (AIDS) นั่นเอง
พุทธศักราช ๒๕๒๖ Luc Montagnier รวมทั้งทีมงานนักวิจัยจากสถาบัน Pasteur ใน Paris ศึกษาค้นพบเชื้อไวรัสที่เป็นต้นเหตุของโรคนี้โดยใช้ชื่อว่า Lymphadenopathy Associated Virus (LAV)
อีกหนึ่งปีถัดมา Robert Gallo แล้วก็ทีมงานวิจัยจากสถาบันไวรัสวิทยาใน Baltimore ก็ศึกษาค้นพบเชื้อไวรัสนี้เช่นเดียวกันโดยเรียกว่า Human T-cell Lymphotrophic Virus-III (HTLV-III) แต่ว่า Gallo อ้างถึงว่าตนเป็นผู้ค้นพบเชื้อนี้เป็นคนแรกก่อให้เกิดการถกเถียงกัน ท้ายที่สุดพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่เป็นเชื้อเดียวกันก็เลยให้ใช้ชื่อเดียวกันว่า Human Immunodeficiency Virus (HIV) และถือว่าทั้งสองเป็นผู้ค้นพบร่วมกัน โรคภูมิคุมกันบกพร่อง หรือโรคภูมิคุ้มกันขาดตกบกพร่อง (AIDS : Acquired Immune Deficiency Syndrome) สื่อความหมายกว้างๆว่า โรคภูมิคุ้มกันบกพร่องซึ่งไม่ได้เป็นมาตั้งแต่เกิดแต่โรคภูมิคุมกันบกพร่อง (AIDS) เป็นโรคที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ซึ่งย่อมาจากคำว่า Human immunodeficiency virus จัดเป็นเชื้อไวรัสในกลุ่มรีโทรไวรัส (Retro virus)โดยเชื้อเอชไอวีจะเข้าไปทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่มีหน้าที่สร้างภูมิคุ้มกันโรค ทำให้คนไข้ที่ติดโรคมีภูมิคุ้มกันต่ำลง จนถึงร่างกายไม่สามารถที่จะยับยั้งเชื้อโรคได้อีก โรคต่างๆจึงกำเนิดลักษณะการเจ็บเจ็บไข้ต่างๆซึ่งส่งผลให้เกิดการตายได้ ปัจจุบันยังไม่มีกรรมวิธีใดรักษาเอดส์ให้หายขาด มีเพียงแต่ยาที่ช่วยชะลอการพัฒนาของโรคและลดอัตราการเสียชีวิตจากเอดส์ ถ้าผู้ติดโรครู้สึกตัวรวมทั้งได้รับการดูแลรักษาแต่แรกเริ่ม ก็บางทีอาจช่วยไม่ให้การติดเชื้อโรคเอชไอวีแผ่ขยายไปสู่ระยะที่เป็นเอดส์สุดกำลังได้ โดยจะนับว่าเมื่อโรคไปสู่ระยะลำดับที่สามของการติดเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเรียกว่าเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องโดยสมบูรณ์แล้ว
- สาเหตุของโรคเอดส์ เอดส์มีสาเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อเอชไอวี (Human Immunodeficieney Virus) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายเม็ดเลือดขาว ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันที่อยู่ในเม็ดเลือดขาวดำเนินการขาดตกบกพร่อง โดยเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องเป็นเชื้อไวรัสในกรุ๊ป Lentivirus ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยของกรุ๊ปไวรัส Retrovirus ไวรัสกลุ่มนี้ลือชื่อในด้านการมีระยะซ่อนเร้นนาน กระบวนการทำให้มีเชื้อไวรัสในกระแสเลือดนาน การต่อว่าดเชื้อในระบบประสาท รวมทั้งวิธีการทำให้ภูมิต้านทานของผู้ติดเชื้อโรคอ่อนแอลง เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมีความจำเพาะต่อเม็ดเลือดขาวจำพวก CD4 T lymphocyte แล้วก็ Monocyte สูงมาก โดยจะจับกับเซลล์ CD4 รวมทั้งฝังตัวเข้าไปภายใน ยิ่งกว่านั้นเชื้อไวรัสตัวนี้ยังสามารถเข้าไปอยู่ในเซลล์จำพวกอื่นๆของร่างกายได้อีก เช่น เซลล์ มาโครฟาจ (Macro phage) เดนไดความรักคเซลล์ (Dendritic cell) ไมโครเกลียของสมอง (Microglia)เป็นต้น เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะเพิ่มโดยสร้างสายดีเอ็นเอโดยเอนไซม์ reverse transcryptase ต่อจากนั้นสายดีเอ็นเอของเชื้อไวรัสจะแทรกเข้าไปในสายดีเอ็นเอของผู้ติดโรคอย่างถาวร และสามารถเพิ่มจำนวนถัดไปได้ ยิ่งไปกว่านี้เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆอาทิเช่น HIV-1 และ HIV-2 การระบาดทั้งโลกส่วนมาก รวมทั้งประเทศไทยมีสาเหตุมาจาก HIV-1 ซึ่งยังแบ่งเป็นจำพวกย่อยๆได้อีกหลายแบบ ส่วน HIV-2 พบระบาดในแอฟริกา) ซึ่งเป็นเชื้อไวรัสชนิดใหม่ ที่มีการเพาะเลี้ยงแยกเชื้อได้ในปี พ.ศ.2526 เชื้อนี้มีมากมายในเลือด น้ำอสุจิ และน้ำมูกในช่องคลอดของผู้ติดเชื้อ
ในปัจจุบันทั่วทั้งโลกเจอสายพันธุ์เชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง มากยิ่งกว่า 10 สายพันธุ์ ที่มีการกลายพันธุ์มาจากสายพันธุ์เดิม กระจายอยู่ตามประเทศต่างๆทั่วโลก โดยพบได้บ่อยที่สุดที่ทวีปแอฟริกามีมากยิ่งกว่า 10 สายพันธุ์ สายพันธุ์ที่พบได้บ่อยที่สุดในโลก คือสายพันธุ์ซี มากถึง 40% พบในทวีปแอฟริกา ประเทศอินเดีย จีน และประเทศพม่า ส่วนในประเทศไทยพบเชื้อเอชไอวี 2 สายพันธุ์เป็น สายพันธุ์เอ-อี (A/E) หรืออี (E) พบได้บ่อยกว่า 95% แพร่ระบาดระหว่างผู้ที่มีเพศสัมพันธ์ระหว่างชายหญิง กับสายพันธุ์บี (B) ที่แพร่ระบาดกันในกรุ๊ปรักร่วมเพศ และผ่านการใช้สารเสพติดฉีดเข้าเส้น
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) กล่าวว่า ตั้งแต่เจอการระบาดของโรคเอดส์ครั้งแรกจนถึงปี พุทธศักราช2558 มีผู้ติดเชื้อไปแล้วกว่า 70 ล้านคนทั่วทั้งโลก รวมทั้งเสียชีวิตไปแล้วกว่า 35 ล้านคน
ในตอนที่รายงานของโครงการโรคภูมิคุมกันบกพร่องแห่งยูเอ็น (UNAIDS) พบว่า เหตุการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง/โรคภูมิคุมกันบกพร่อง ในปี 2559 มีผู้ติดเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องทั่วทั้งโลกสะสม 36.7 ล้านคน เป็นผู้ติดโรครายใหม่ 1.8 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตจากเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง 1 ล้านคน
ในส่วนของประเทศไทยนั้น โดยจากแถลงการณ์ในปีล่าสุดของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค (ปี 2557) พบว่าตั้งแต่ปี 2527-2557 ตลอด 30 ปีให้หลังมีผู้เจ็บป่วยโรคภูมิคุมกันบกพร่องเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของอีกทั้งภาครัฐแล้วก็เอกชนทั้งหมดทั้งปวง 388,621 ราย รวมทั้งมีคนป่วยเสียชีวิต 100,617 ราย โดยในปีต่อมา (ปี 2558) มีการคาดราวๆจำนวนผู้ป่วยเอดส์และติดโรคเอชไอวีในประเทศไทยเป็นจำนวนทั้งปวงราวๆ 1,500,000 คน
เนื่องด้วยผู้ติดเชื้อโรคเอชไอวีจะมีการเปลี่ยนของร่างกายแตกต่างกันไป ก็แล้วแต่จำนวนของเชื้อและระดับภูมิคุ้มกัน (จำนวน CD4) ของร่างกาย โดยเหตุนั้นโรคเอดส์ จึงสามารถแบ่งได้ 3 ระยะร่วมกันดังต่อไปนี้
- ระยะติดโรคโดยไม่มีอาการ ผู้ติดโรคที่ไม่มีอาการหรือมีอาการนิดหน่อยอยู่ชั่วครู่ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมักจะแข็งแรงปกติราวกับคนทั่วไป แม้กระนั้นการพิสูจน์เลือดจะเจอเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องแล้วก็สารภูมิต้านทานต่อเชื้อจำพวกนี้รวมทั้งสามารถกระจายเชื้อให้ผู้อื่นได้ เรียกว่าเป็นพาหะ (carrier)
ระยะนี้แม้ว่าจะไม่มีอาการ แต่ว่าเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องจะแบ่งตัวเจริญขึ้นไปเรื่อยๆแล้วก็ทำลาย CD4 จนมีปริมาณต่ำลง โดยเฉลี่ยราวปีละ 50-75 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร จากระดับธรรมดา (คือ 600-1,000 เซลล์) เมื่อลดลดน้อยลงมากมายๆก็จะเกิดลักษณะการเจ็บเจ็บป่วย ดังนี้อัตราการลดลงของ CD4 จะเร็วช้าสังกัดความรุนแรงของเชื้อเอชไอวี รวมทั้งสภาพความแข็งแรงของระบบภูมิต้านทานของคนไข้
ระยะนี้มักเป็นอยู่นาน 5-10 ปี บางรายอาจสั้นเพียงแค่ 2-3 เดือน แม้กระนั้นบางรายอาจเป็นเวลานานกว่า 10-15 ปีขึ้นไป
- ระยะติดเชื้อที่มีอาการ เดิมเรียกว่า ระยะที่มีลักษณะสโมสรกับโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (AIDS related complex/ARC) คนไข้จะมีอาการมากน้อยขึ้นอยู่กับจำนวน CD4 ดังต่อไปนี้
มีลักษณะบางส่วน ระยะนี้หากตรวจ CD4 จะมีเยอะๆกว่า 500 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร คนป่วยอาจมีอาการ ดังนี้
* ต่อมน้ำเหลืองที่คอโตน้อย
* โรคเชื้อราที่เล็บ
* แผลแอฟทัส
* ผิวหนังอักเสบประเภทเกล็ดรังแคที่ไรผม ข้างจมูก ริมฝีปาก
* ฝ้าขาวข้างลิ้น (hairy leukoplakia) ซึ่งมีต้นเหตุจากเชื้อไวรัสอีบีวี (Epstein-Barr virus/EBV) มีลักษณะเป็นฝ้าขาวที่ข้างๆของลิ้น ซึ่งขูดไม่ออก
* โรคโซริอาสิส (สะเก็ดเงิน) ที่เคยเป็นอยู่เดิมกำเริบ
มีลักษณะปานกลาง ช่วงนี้หากตรวจ CD4 จะมีปริมาณระหว่าง 200-500 เซลล์/ลบ.มม. คนไข้อาจมีอาการทางผิวหนังแล้วก็เยื่อบุช่องปากแบบข้อ ก. หรือไม่ก็ได้ อาการที่บางทีอาจพบได้มีดังนี้
* เริมที่ริมฝีปาก หรืออวัยวะสืบพันธุ์ ซึ่งกำเริบบ่อยครั้ง และก็เป็นแผลเรื้อรัง
* งูสวัด ที่มีอาการกำเริบเสิบสานขั้นต่ำ 2 ครั้ง หรือขึ้นพร้อมกันมากกว่า 2 แห่ง
* โรคเชื้อราในช่องปาก หรือช่องคลอด
* ท้องเสียบ่อยมาก หรือเรื้อรังนานเกิน 1 เดือน
* ไข้เกิน 37.8 องศาเซลเซียส แบบเป็นๆหายๆหรือต่อเนื่องกันทุกวี่ทุกวันนานเกิน 1 เดือน
* ต่อมน้ำเหลืองโตมากกว่า 1 แห่งในบริเวณไม่ต่อเนื่องกัน (อาทิเช่น คอ จั๊กกะแร้ ขาหนีบ) นานเกิน 3 เดือน
* น้ำหนักลดเกินปริมาณร้อยละ 10 ของน้ำหนักตัวโดยไม่เคยทราบต้นสายปลายเหตุ
* ปวดกล้ามและข้อ
* ภูมิแพ้เรื้อรัง
* ปอดอักเสบจากแบคทีเรีย ซึ่งเป็นซ้ำบ่อยมาก
- ระยะมีอาการป่วยเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่อง (โรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น) ระยะนี้ระบบภูมิคุ้มกันของคนป่วยเสื่อมเต็มที่ ถ้าตรวจ CD4 จะพบมีปริมาณต่ำลงยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. ได้ผลสำเร็จทำให้เชื้อโรคต่างๆอาทิเช่น เชื้อรา ไวรัส แบคทีเรีย โปรโตซัว วัณโรค เป็นต้น ฉวยโอกาสเข้ารุมเร้า เรียกว่า โรคติดเชื้อชุบมือเปิบ (opportunistic infections) ซึ่งจำนวนมากเป็นการติดโรคหวานใจษาค่อนข้างยาก และก็อาจติดเชื้อโรคจำพวกเดิมซ้ำอย่างเดียวหรือติดเชื้อโรคจำพวกใหม่ หรือติดโรคหลายประเภทร่วมกัน
ช่วงนี้คนเจ็บอาจมีอาการดังนี้
* เหงื่อออกมากกลางคืน
* ไข้ หนาวสั่น หรือไข้สูงเรื้อรังติดต่อกันยาวนานหลายสัปดาห์หรือเป็นนานเป็นเดือนๆ
* ไอเรื้อรัง หรือหายใจหอบอิดโรยจากวัณโรคปอด หรือปอดอักเสบ
* ท้องร่วงเรื้อรัง จากเชื้อราหรือโปรตัวซัว
* น้ำหนักลด รูปร่างผ่ายผอม และอ่อนเพลีย
* ปวดศีรษะร้ายแรง ชัก สับสน ซึม หรือสลบจากการติดเชื้อในสมอง
* ปวดท้อง คลื่นไส้ อ้วก
* กลืนทุกข์ยากลำบาก หรือเจ็บเวลากลืน เนื่องจากหลอดอาหารอักเสบจากเชื้อรา
* สายตามัวดูไม่ชัด หรือเห็นเงาใยแมงมุมลอยไปมาจากจอตาอักเสบ
* ตกขาวบ่อยครั้ง
* มีผื่นคันตามผิวหนัง (papulopruritic eruption)
* ซีดเผือด
* มีจุดแดงจ้ำเขียวหรือเลือดออกมาจากสภาวะเกล็ดเลือดต่ำ
* งงเต็ก ความจำไม่ดี หลงๆลืมๆง่าย ไม่มีสมาธิ ความประพฤติปฏิบัติผิดแปลกไปจากเดิม เนื่องจากว่าความไม่ปกติของสมอง
* อาการโรคโรคมะเร็งที่เกิดสอดแทรก ตัวอย่างเช่น โรคมะเร็งของฝาผนังเส้นเลือดที่เรียกว่า Kaposi's sarcoma (KS) โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองในสมอง โรคมะเร็งปากมดลูก มะเร็งทวารหนัก ฯลฯ
ในเด็ก ที่ติดโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง ระยะเริ่มต้นอาจมีอาการน้ำหนักตัวไม่ขึ้นตามเกณฑ์ เมื่อโรคลุกลามเยอะขึ้นก็อาจมีอาการเดินลำบากหรือความก้าวหน้าทางสมองช้ากว่าปกติ และก็เมื่อเป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องเต็มขั้น เว้นเสียแต่มีโรคติดเชื้อฉวยโอกาสแบบเดียวกับคนแก่แล้ว ยังอาจพบว่าแม้เป็นโรคที่พบทั่วๆไปในเด็ก (อย่างเช่น หูชั้นกึ่งกลางอักเสบ ปอดอักเสบ ทอนซิลอักเสบ) ก็มักจะมีลักษณะอาการรุนแรงมากยิ่งกว่าธรรมดา
- สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
- เพศสัมพันธ์ การตำหนิดเชื้อเอชไอวีโดยมากมีสาเหตุมาจากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้คุ้มครองระหว่างคู่รักที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีเชื้อเอชไอวี
- การสัมผัสกับสารคัดหลั่งที่มีเชื้อ ผู้ปฏิบัติงานทางสาธารณสุขสัมผัสเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องได้โดยทำงาน หรือสารคัดเลือกหลั่งของคนเจ็บที่มีเชื้อ
- การติดต่อจากแม่สู่ลูก มารดาที่มีเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องให้นมลูกหรือการคลอดลูกขณะติดโรค
- การใช้ของมีคมด้วยกัน เป็นต้นว่า เข็มฉีดยาในคนที่ติดยาเสพติด
- ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายเลือดจากการให้ทานแม้กระนั้นในกรณีนี้พบได้น้อยมาก
- กรรมวิธีรักษาโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
การวินิจฉัยโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่อง ขั้นต้นสุดคือ แนวทางในการซักเรื่องราวของผู้เจ็บป่วยรวมทั้งการตรวจร่างกาย ซึ่งมัก จะมีประวัติการติดเชื้อไวรัสเอชไอวีมาก่อนแล้ว ซึ่งแพทย์สามารถรู้จากการตรวจเลือดว่า มีผลบวกต่อเอชไอวีหรือไม่ นอกเหนือจากนั้นการตรวจร่างกายชอบพบอาการแสดงที่บ่งชี้ว่า คนป่วยอยู่ในระยะของการเป็นโรคโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว
ตรวจหาสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ต่อเชื้อไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่อง โดยวิธีอีไลซ่า (ELISA) จะตรวจพบสารภูมิคุ้มกันหลังติดเชื้อ 3-12 อาทิตย์ (ส่วนมากราว 8 อาทิตย์ บางรายอาจนานถึง 6 เดือน) แนวทางนี้เป็นการตรวจยืนยันด้วยการตรวจกรองขั้นต้น ถ้าเกิดเจอเลือดบวก ต้องกระทำการตรวจรับรองด้วยวิธีอีไลซ่าที่ผลิตโดยอีกบริษัทหนึ่งที่ไม่ซ้ำกับวิธีตรวจครั้งแรก หรือทำตรวจด้วยวิธี particle agglutination test (PA) ถ้าได้ผลบวกก็สามารถวิเคราะห์ว่ามีการติดโรคเอชไอวี แม้กระนั้นหากให้ผลลบก็จำต้องตรวจรับรองโดยแนวทางเวสเทิร์นบลอต (Western blot) อีกรอบ ซึ่งได้ผลบวก 100% หลังติดโรค 2 อาทิตย์
การเจาะเลือดเพื่อนับปริมาณเม็ดเลือดขาวจำพวก ทีลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวก (CD 4-positive T cell) จะพบว่าจำนวนลดน้อยลงมาก เพราะเชื้อไวรัสจะเข้าไปอยู่ในเซลล์ชนิดนี้ แล้วก็จะทำลายเซลล์ประเภทนี้ไปเรื่อยๆส่วนใหญ่ถ้าเกิดมีปริมาณของคราวลิมโฟซัยท์ที่มีซีดี 4 เป็นบวกต่ำลงต่ำยิ่งกว่า 350 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตรในคนแก่ (ค่าธรรมดา 600 - 1,200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิ เมตร) ระดับของ CD4+ T cell ที่ใช้สำหรับการวินิจฉัย หากเป็นเด็กอายุน้อยกว่า 12 เดือนจะมี CD4+น้อยกว่า 30% ของเม็ดเลือดขาวทั้งหมดทั้งปวง เด็กอายุ12 - 35 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 25% และก็เด็กอายุ 36 - 59 เดือนจะมี CD4+ น้อยกว่า 20%
โรคที่มีต้นเหตุมากจากติดเชื้อโรคไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องแล้วก็โรคภูมิคุมกันบกพร่องในตอนนี้ ยังไม่อาจจะรักษาให้หายได้ แต่สามารถควบคุมโรครวมทั้งทำให้มีชีวิตอยู่ได้นานอย่างคนปกติได้ โดยกระบวนการรักษาผู้ติดโรค ไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องแล้วก็คนเจ็บเอดส์ ได้แก่
การใช้ยายับยั้งการเพิ่มปริมาณของเชื้อไวรัสหรือยาต้านทานเชื้อไวรัส ซึ่งจะต้องรับประทานไปตลอดชีวิต เรียกว่า Antiretroviral therapy ซึ่งเราสามารถติดตามผลการรักษาได้จากการเจาะเลือดดูจำนวนเม็ดเลือดขาว CD 4 positive T cell ว่า อยู่ในเกณฑ์ปกติหรือไม่ แล้วก็นับจำนวนเชื้อไวรัสในเลือดได้โดยตรง (Viral load) เดี๋ยวนี้ยาต้านเชื้อไวรัสไวรัสที่เป็นสาเหตุของโรคภูมิคุ้มกับบกพร่องมีหลากหลายประเภทได้แก่
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งเอนไซม์รีเวิสทรานสคริปเตส (Nucleoside analogues Reverse transcriptase inhibitors) อาทิเช่น ยาชื่อ Zidovudine (AZT), Didanosine (ddI), Zalcitabine (ddC), Stavudine (d4T), Lamivudine (3TC)
ยาที่มีฤทธิ์ยั้งโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีรีเวิสทรานสคริปเตสที่ไม่ใช่นิวคลีโอไซด์ (Non-nucleoside reverse transcriptase inhibitors) อาทิเช่น ยาชื่อ Delavirdine, Loviride, Nevirapine
ยาที่มีฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โปรตีเอส (Protease inhibitors) ตัวอย่างเช่น ยาชื่อ Nelfinavir, Indinavir, Ritonavir, Saquinavir
อนึ่ง วิธีการให้ยาต่อต้านเชื้อไวรัสในปัจจุบันคือ ต้องให้ยาอย่างน้อย 3 ชนิดโดยใช้ยาในกรุ๊ป Nucleoside analogue 2 ตัว ร่วมกับยาในกรุ๊ป Non-nucleoside หรือ Protease inhibitor อีก 1 ตัวรวมเป็น 3 ตัว โดยจำต้องใช้ยาทุกวี่ทุกวันและก็ตรงตรงเวลาที่ระบุโดยเข้มงวด
โดยหมอจะพินิจให้ยาต้านทานเชื้อไวรัสในกรณีใดกรณีหนึ่ง ดังต่อไปนี้
เมื่อมีลักษณะแสดงของโรคอีกทั้งในระยะต้นเริ่มแล้วก็พักหลัง การให้ยาต้านไวรัสในคนป่วยที่เป็นระยะเดิม (primary HIV infection) สามารถชะลอการดำเนินโรคเข้าสู่ระยะที่ร้ายแรงได้
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่ตรวจเลือดพบว่ามีค่า CD4 ต่ำลงมากยิ่งกว่า 200 เซลล์/ลบ.มิลลิเมตร
เมื่อยังไม่มีอาการแสดง แต่มีค่า CD4 อยู่ที่ 200-350 เซลล์/ลบ.มม. อาจไตร่ตรองให้ยาต้านทานไวรัสเป็นรายๆไป อาทิเช่น ในรายที่จำนวนเชื้อไวรัสสูง มีอัตราการลดน้อยลงของ CD4 อย่างเร็ว ความพร้อมเพรียงของคนป่วย ฯลฯ สำหรับการให้ยาควรจะติดตามดูผลกระทบ ซึ่งอาจมีอันตรายต่อคนไข้ หรือทำให้คนเจ็บไม่ยอมกินยาอย่างต่อเนื่อง
การใช้ยารักษาโรคติดโรคที่เกิดจากมีภูมิต้านทานขัดขวางโรคบกพร่องหรือเชื้อฉกโอ กาส ขึ้นอยู่กับว่าผู้ป่วยติดโรคจำพวกใด อย่างเช่น ติดโรควัณโรคก็ให้ยารักษาวัณโรค ติดโรคราก็ให้ยารักษาเชื้อรา หรือถ้าเป็นโรคโรคมะเร็งก็รักษาโรคมะเร็ง เป็นต้น
- การติดต่อของโรคภูมิคุมกันบกพร่อง สามารถติดต่อได้โดยการได้รับเลือด และ/หรือสารคัดหลั่ง (Secretion) จากคนที่ติดเชื้อซึ่งมีหลายวิธี ดังนี้
- ทางการมีเซ็กส์ ทั้งปวงศสมาคมเพศเดียวกันระหว่างชายรักร่วมเพศ หญิงรักร่วมเพศ แล้วก็การร่วมเพศระหว่างชายกับหญิง การติดต่อทางเพศสัมพันธ์นี้คิดเป็นอัตราประ มาณ 78% ของการติดเชื้อเอชไอวีทั้งหมดทั้งปวง
- การใช้สิ่งเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้น (เส้นเลือด) โดยใช้เข็มฉีดร่วมกับผู้อื่น คนที่ติดเชื้อโดยแนวทางแบบนี้มีราว 20%
- ทางการรับเลือดจากผู้อื่นที่มีเชื้อไวรัสอยู่ ผู้ที่มีความเสี่ยงในกลุ่มนี้ อย่างเช่น คนไข้โรคเลือดเรื้อรังที่จำต้องรับเลือดเสมอๆ เป็นต้นว่า โรคฮีโมฟิเลีย (Hemophilia) หรือผู้ที่รับการปลูกถ่ายอวัยวะจากคนที่ติดเชื้อ การติดเชื้อโดยวิธีการแบบนี้มีโดยประมาณ 1.5%
- ติดต่อจากแม่ที่ติดเชื้อสู่ลูก ซึ่งอาจติดต่อได้ทางเลือดจากแม่สู่ลูกโดยตรงผ่านทางเกลื่อนกลาด หรือจากการที่ทารกกลืนเลือดของแม่ระหว่างการคลอด หรือได้รับเชื้อที่อยู่ในนมแม่ก็ได้
- การตำหนิดเชื้อของเจ้าหน้าที่ทางด้านการแพทย์จากอุบัติเหตุด้านการแพทย์ เป็นต้นว่า ถูกเข็มฉีดยา หรือเข็มเจาะเลือดคนป่วยตำนิ้วโดยบังเอิญ ซึ่งเคยมีกล่าวว่าทำให้เจ้าหน้าที่ด้านการแพทย์ติดเชื้อโรคได้ ถึงแม้ว่าจะได้โอกาสน้อยก็ตาม
จากการเรียนในประเทศต่างๆเท่าที่ผ่านมาไม่พบว่ามีการติดต่อโดยวิธีตั้งแต่นี้ต่อไป
* การหายใจ ไอ จามรดกัน
* การกินของกิน และกินน้ำด้วยกัน
* การว่ายน้ำในสระ หรือเล่นกีฬาร่วมกัน
* การใช้ห้องอาบน้ำร่วมกัน
* การอยู่ข้างในห้องเรียน ห้องทำงาน ยานพาหนะ หรือการอยู่สนิทสนมกับผู้ติดโรค
* การสัมผัส กอด
* การใช้ครัว ภาชนะเครื่องครัว จาน แก้ว หรือผ้าที่มีไว้เช็ดตัวด้วยกัน
* การใช้โทรศัพท์ด้วยกัน
* การเช็ดกยุงหรือแมลงกัด
- การปฏิบัติตนเมื่อป่วยด้วยโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
- ไปพบแพทย์และก็ตรวจเลือดเป็นระยะๆตามที่แพทย์แนะนำ รวมทั้งรับประทานยาต่อต้านเชื้อไวรัสเมื่อมีค่า CD4 ต่ำกว่า 200 เซลล์/ลบ.มม. การกินยาต้านทานเชื้อไวรัสอย่างต่อเนื่องมักจะช่วยทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีรวมทั้งยาวนาน ส่วนใหญ่มักจะยาวนานกว่า 10 ปีขึ้นไป
- ดำเนินการ เรียนหนังสือ คบค้าสมาคมกับคนอื่นรวมทั้งปฏิบัติงานกิจวัตรได้ตามปกติ ไม่จำเป็นต้องกลุ้มใจว่าจะแพร่เชื้อให้ผู้อื่นโดยการสัมผัสหรืออยู่ใกล้ชิดกันหรือหายใจรดผู้อื่น
- ถ้าเกิดมีความไม่สาบายใจกังวลดวงใจ ควรเล่าความในใจให้ญาติสนิทสหายฟัง หรือขอความเห็นชี้แนะจากหมอ พยาบาล นักจิตวิทยา หรืออาสาสมัครในองค์กรพัฒนาเอกชน
- ทำความเข้าใจธรรมชาติของโรค การดูแลและรักษา การดูแลตนเอง จนถึงมีความรู้และความเข้าใจโรคนี้อย่างดีเยี่ยม ก็จะไม่มีความรู้สึกท้อแท้หมดหวัง แล้วก็มีกำลังใจแข็งแกร่ง ซึ่งเป็นอาวุธอันทรงพลังในการทำนุบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงต่อไป
- ช่วยเหลือสุขภาพตนเองด้วยการออกกำลังกายบ่อยๆ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย (ไม่จำเป็นที่จะต้องทานอาหารเสริมราคาสูง) งดแอลกอฮอล์ บุหรี่ ยาเสพติด นอนพักให้เพียงพอ
- สร้างเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องทางจิตด้วยการฟังเพลง ขับร้อง เล่นกีฬา อยู่สนิทสนมธรรมชาติ ฝึกฝนสมาธิ รุ่งโรจน์สติ สวดมนต์ไหว้พระหรือภาวนาตามลัทธิศาสนาที่เชื่อถือ
- เลี่ยงการกระทำที่บางทีก็อาจจะกระจายเชื้อให้คนอื่นโดย
- ใช้ถุงยางเมื่อใดก็ตามร่วมเพศ และก็งดการร่วมเพศทางปากหรือทวารหนัก
- ไม่ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
- งดการบริจาคเลือดหรืออวัยวะต่างๆดังเช่น ดวงตา ไต ฯลฯ
- เมื่อร่างกายเปื้อนเลือดหรือน้ำเหลือง ให้รีบทำความสะอาด แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าในทันที แล้วนำไปแยกซักให้สะอาดและก็ตากให้แห้ง ควรระวังอย่าให้คนอื่นสัมผัสถูกเลือดหรือน้ำเหลืองของตนเอง
- ไม่ใช้ของมีคม (ดังเช่นว่า ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่น
- หลบหลีกการตั้งครรภ์ โดยการคุมกำเนิด เพราะเหตุว่าเด็กอาจมีจังหวะรับเชื้อจากแม่ได้
- คุณแม่ที่มีการติดเชื้อโรค ไม่ควรเลี้ยงลูกด้วยนมตนเอง
- เมื่อมีโรคติดเชื้อชุบมือเปิบสอดแทรก ควรจะคุ้มครองป้องกันไม่ให้เชื้อโรคต่างๆแพร่ให้คนอื่น อาทิเช่น
- ใช้กระดาษหรือผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้าปิดปากปิดจมูกเวลาไอ หรือจาม
- ถ้วย ชาม จาน แก้วน้ำที่ใช้แล้ว ควรล้างให้สะอาด ด้วยน้ำยาที่เอาไว้สำหรับล้างจานหรือลวกด้วยน้ำร้อน แล้วทิ้งเอาไว้ให้แห้งก่อนเอาไปใช้ใหม่
- ควรระมัดระวังไม่ให้น้ำมูก น้ำลาย น้ำเหลืองจากแผล เยี่ยว รวมทั้งสิ่งขับถ่ายต่างๆไปสกปรกถูกคนอื่นๆ
- การบ้วนน้ำลายหรือเสมหะ แล้วก็การทิ้งกระดาษทิชชูที่ใช้แล้ว ควรมีภาชนะใส่ให้เป็นระเบียบเรียบร้อย และสามารถนำไปทิ้งหรือทำความสะอาดได้สะดวก
- การปกป้องตัวเองจากโรคภูมิคุมกันบกพร่อง
- หลบหลีกการมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่นที่มิใช่คู่รัก ควรยึดมั่นต่อการร่วมเพศกับคู่สมรส (รักเดียวใจเดียว)
- ถ้ายังนิยมมีเพศสัมพันธ์กับบุคคลอื่น โดยยิ่งไปกว่านั้นหญิงบริการ หรือบุคคลที่มีเซ็กส์เสรีหรือมีความประพฤติปฏิบัติเสี่ยงอื่นๆก็ควรใช้ถุงยางคุ้มครองทุกคราว
- เลี่ยงการสัมผัสถูกเลือดของผู้อื่น ตัวอย่างเช่น ขณะช่วยเหลือผู้ที่มีรอยแผลเลือดออก ควรใส่ถุงมือยางหรือถุงก๊อบแก๊บ 2-3 ชั้น คุ้มครองปกป้องอย่าสัมผัสถูกเลือดโดยตรง
- หลบหลีกการใช้เข็มหรือกระบอกที่มีไว้ฉีดยาร่วมกับคนอื่น
- หลีกเลี่ยงการใช้ของมีคม (ยกตัวอย่างเช่น ใบมีดโกน) ร่วมกับคนอื่นๆ หากหลีกเลี่ยงมิได้ ก่อนใช้ควรทำลายเชื้อด้วยการแช่ในน้ำยาฆ่าเชื้อ ตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์ 70% โพวิโดนไอโอดีน 2.5% ทิงเจอร์ไอโอดีน, ไลซอล 0.5-3% โซเดียมไฮโพคลอไรด์ 0.1-0.5% (หรือน้ำยาคลอคอยกซ์ 1ส่วนประกอบน้ำ 9 ส่วนก็ได้) ฯลฯ นาน 10-20 นาที
- ก่อนสมรส ควรขอความเห็นแพทย์ในการตรวจเช็กโรคเอดส์ ถ้าหากพบว่าคนใดคนหนึ่งมีเลือดบวกควรจะใคร