โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกล้ามเนื้ออ่อนเเรง - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 9 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
ณเดช2499
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 76


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 24, 2018, 02:13:02 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง MG (Myasthenia gravis)

  • โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นยังไง โรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (Myasthenia gravis) โรคกล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ยเพลียแรง (myasthenia gravis) หรือ โรคเอ็มจี เป็นชื่อภาษากรีกและก็ภาษาละติน แสดงว่า "grave muscular weakness" เป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง ชนิดหนึ่งที่เป็นโรค ออโตอิมมูน (Autoimmune) ชนิดเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่ทำให้กล้ามเนื้อลาย (กล้ามเนื้อที่อยู่สำหรับเพื่อการควบคุมของสมอง ซึ่งคือ กล้ามเนื้อด้านนอกร่างกาย ที่ร่างกายใช้เพื่อการขยับเขยื้อนต่างๆดังเช่น กล้ามเนื้อ แขน ขา ดวงตา ใบหน้า ช่องปาก กล่องเสียง และกล้ามซี่โครงที่ใช้เพื่อการหายใจ มีการอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจนถึงไม่สามารถปฏิบัติงานหดตัวได้ตามเดิม หรืออีกแง่หนึ่งคือโรคกล้ามอ่อนแรง (Myasthenia Gravis; MG) เป็นโรคภูมิต้านทานของร่างกายทำงานเปลี่ยนไปจากปกติ ซึ่งไปทำลายตัวรับสัญญาณประสาท (receptor) ที่อยู่บนกล้ามเนื้อของตนเองนำมาซึ่งอาการกล้ามเหน็ดเหนื่อย ด้วยเหตุว่าไม่สามารถรับสัญญาณประสาทที่กระตุ้นให้กล้ามหดตัวได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะหนังตาตก ยิ้มได้ลดลง หายใจติดขัด มีปัญหาการพูด การบด การกลืน รวมถึงการเคลื่อนไหวของร่างกาย โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรงเกิดขึ้นได้ในผู้ป่วยทุกเพศทุกวัย ปัจจุบัน ทั้งยังการรักษาทำเป็นเพียงแต่เพื่อทุเลาอาการเท่านั้น

    ทั้งนี้ โรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า MG  ไม่ใช่โรคใหม่ แม้กระนั้นเป็นโรคที่มีการบันทึกว่าพบคนเจ็บ มาตั้งแต่ 300 ปีก่อน  และโรคกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อย MG เป็นโรคพบได้ไม่บ่อยนัก ราว 10 ราย ต่อพลเมือง 100,000 คน เจอได้ในทุกอายุ ตั้งแต่เด็กอ่อนจนกระทั่งผู้สูงวัย โดยพบในหญิงมากกว่าในเพศชายราวๆ 3:2 เท่า ดังนี้เจอโรคนี้ในเด็กได้ราว 10%ของผู้ที่เจ็บป่วยที่มีสาเหตุมาจากโรคชนิดนี้ทั้งผอง ในผู้ใหญ่เพศหญิง พบมากโรคได้สูงในช่วงอายุ 30-40 ปี แม้กระนั้นในผู้ใหญ่ผู้ชาย พบได้มากโรคได้สูงในช่วงอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป

  • สิ่งที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) สำหรับในการเคลื่อนกล้ามเนื้อแต่ละมัด สมองต้องส่งสัญญาณประสาทไปตามเส้นประสาท และก็จะมีการกระตุ้นการหลั่งสารสื่อประสาทที่รอบๆรอยต่อระหว่างเส้นประสาทแล้วก็กล้ามสารสื่อประสาทนี้จะไปส่งสัญญาณที่ตัวรับสัญญาณบริเวณกล้ามแต่ละมัดเพื่อให้กล้ามเนื้อเกิดการหดตัว คนไข้โรคกล้ามเหน็ดเหนื่อย (MG) เมื่อปลายประสาทมีการหลั่งสารสื่อประสาทออกมาจะไม่สามารถส่งสัญญาณสู่ตัวรับบนกล้ามเนื้อได้ เนื่องจากว่าร่างกายได้สร้างแอนติบอดีมากัดกันและทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามเนื้อไป ซึ่งเมื่อการถูกทำลายขึ้นแล้วนั้น แม้ว่าเซลล์ประสาทจะหลั่งสารเคมีให้กำเนิดกระแสไฟส่งมายังเซลล์กล้ามเนื้ออย่างไรก็ตาม เซลล์กล้ามเนื้อก็ไม่ทำงานด้วยเหตุว่าถูกทำลายไปแล้วอย่างสิ้นเชิง

ส่วนต้นเหตุของโรคกล้ามอ่อนล้านั้น มักมีต้นเหตุมาจากปัญหาเรื่องการแพ้ภูมิตนเอง (Autoimmune Disorder) โดยมีเนื้อหาสิ่งที่ทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนล้า ดังนี้  สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี้ (Antibodies) รวมทั้งการส่งสัญญาณประสาท ปกติระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายจะผลิตแอนติบอดี้ออกมาเพื่อทำลายเชื้อโรคหรือสิ่งเจือปนที่เข้ามาในร่างกาย แม้กระนั้นในคนไข้กล้ามเนื้ออ่อนแรง แอนติบอดี้จะไปทำลายหรือขัดขวางหลักการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิตำหนิลโคลีน (Acetylcholine) โดยถูกส่งไปที่ตัวรับ (Receptor) ซึ่งอยู่ที่ปลายระบบประสาทบนกล้ามแต่ละผูก ทำให้กล้ามเนื้อไม่อาจจะหดตัวได้  ทั้งนี้ อวัยวะที่หมอมั่นใจว่าเป็นตัวก่อกำเนิดการผลิตสารภูมิคุ้มกันแตกต่างจากปกติตัวนี้เป็นต่อมไทมัส (Thymus gland) ต่อมไทมัส เป็นต่อมที่มีบทบาทเกี่ยวพันกับการผลิตภูมิคุ้มกันต้นทานโรคของร่างกาย (Immune system) เป็นต่อมที่อยู่ในช่องอกตอนบน ต่อมอยู่ใต้กระดูกอก (Sternum) โดยวางอยู่บนด้านหน้าของหัวใจโดยต่อมไทมัสจะผลิตสารภูมิต้านทานหรือแอนติบอดี้ไปกีดกั้นการทำงานของสารสื่อประสาทแอสิติเตียนลโคลีน (Acetylcholine) จึงทำให้มีการเกิดอาการกล้ามเมื่อยล้าดังกล่าวข้างต้น ซึ่งปกติแล้วเด็กจะมีต่อมไทมัสขนาดใหญ่แล้วก็จะเบาๆเล็กลงเรื่อยเมื่อโตเป็นผู้ใหญ่ แม้กระนั้นผู้เจ็บป่วยกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยจะมีขนาดของต่อมไทมัสที่ใหญ่ไม่ปกติ หรือผู้เจ็บป่วยบางรายมีสภาวะกล้ามอ่อนล้าที่เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเนื้องอกของต่อมไทมัส ซึ่งเจอประมาณร้อยละ 10 ในคนไข้สูงอายุ

  • ลักษณะโรคกล้ามอ่อนกำลัง (MG) อาการสำคัญของโรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG) คือจะมีอาการเหนื่อย อ่อนล้า กล้ามเนื้อเมื่อยล้า และก็จะอ่อนล้ามากขึ้นเรื่อยๆเมื่อออกแรงเยอะขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าอาการจะดีขึ้นเมื่อกล้ามหยุดพักการออกแรง

นอกจากนั้น อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย โดยจะขึ้นกับว่า โรคกำเนิดกับกล้ามส่วนไหนของร่างกาย ดังนี้ ประมาณ 85% ของคนเจ็บจะมีลักษณะอาการกล้ามเนื้ออ่อนเพลียในทุกผูกของกล้ามเนื้อลายส่วนอาการที่พบได้มากที่สุดของโรคกล้ามอ่อนแรง (MG)เป็นอาการอ่อนแรงของกล้ามที่ช่วยชูกลีบตาแล้วก็กล้ามเนื้อตา ส่งผลให้เกิดหนังตาตกรวมทั้งเห็นภาพซ้อน ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งยัง 2 ข้างก็ได้ และมักพบอาการแตกต่างจากปกติอื่นๆของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆได้อีกตัวอย่างเช่น
บริเวณใบหน้า แม้กล้ามเนื้อที่เกี่ยวพันกับการแสดงออกบนใบหน้าได้รับผลพวง จะก่อให้การแสดงออกทางสีหน้าถูกจำกัด อาทิเช่น ยิ้มได้ลดน้อยลง หรือแปลงเป็นยิ้มแยกเขี้ยวเพราะเหตุว่าไม่สามารถที่จะควบคุมกล้ามเนื้อบนใบหน้าได้
การหายใจ ผู้ป่วยกล้ามเนื้อเหน็ดเหนื่อยจำนวนหนึ่งมีลักษณะอาการหายใจติดขัด โดยยิ่งไปกว่านั้นเมื่อนอนราบอยู่บนเตียงหรือหลังจากการออกกำลังกาย
การพูด การเคี้ยวแล้วก็การกลืน เป็นผลมาจากกล้ามเนื้อรอบปาก เพดานอ่อน หรือลิ้นอ่อนล้า นำไปสู่อาการผิดปกติ เช่น พูดเสียงเบาแหบ พูดเสียงขึ้นจมูก เคี้ยวไม่ได้ กลืนทุกข์ยากลำบาก ไอ สำลักของกิน บางกรณีอาจเป็นสาเหตุไปสู่การตำหนิดเชื้อที่ปอด
คอ แขนแล้วก็ขา บางทีอาจเกิดขึ้นร่วมกับอาการอ่อนเพลียของกล้ามเนื้อส่วนอื่นๆมักเกิดขึ้นที่แขนมากยิ่งกว่าที่ขา ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของร่างกาย อย่างเช่น เดินเตาะแตะ เดินตัวตรงได้ยาก กล้ามเนื้อบริเวณคออ่อนแรง ทำให้ตั้งหัวหรือชันหัวลำบาก เป็นเหตุให้เกิดปัญหาในการทำกิจกรรมต่างๆ

  • สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่จะส่งผลให้เกิดโรคกล้ามอ่อนแรง (MG) ในปัจจุบันยังไม่สามารถชี้แจงสาเหตุของความไม่ปกติของระบบภูมิคุ้มกันที่ไปทำลายตัวรับสัญญาณบนกล้ามได้อย่างแจ่มแจ้ง อย่างไรก็ดี พบว่าโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้า (MG) มักมีความสัมพันธ์กับโรคของต่อมไทมัส โดย โดยประมาณ 85%พบเกิดร่วมกับมีโรคเซลล์ต่อมไทมัสเจริญรุ่งเรืองเกินปกติ (Thymus hyperplasia) และก็ราวๆ 10-15% เกิดร่วมกับโรคเนื้องอกต่อมไทมัส (Thymoma)

นอกเหนือจากนั้น มีแถลงการณ์ว่า พบโรคกล้ามเนื้ออ่อนเพลีย (MG) เกิดร่วมกับโรคมะเร็งปอดจำพวกเซลล์ตัวเล็ก แล้วก็โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองฮอดจ์กิน ทั้งคนเจ็บบางทีอาจเจอความผิดปกติรวมทั้งโรคที่มีต้นเหตุมากจากภูมิต้านทานตนเองประเภทอื่นๆร่วมด้วยได้ อย่างเช่น โรคตาจากไทรอยด์ (Thyroidorbitopathy) โรคกล้ามอ่อนเปลี้ยเพลียแรง (MG)จะสามารถดียิ่งขึ้นได้เองแล้วบางทีอาจกลับเป็นซ้ำได้อีกคล้ายกับโรคภูมิคุ้มกันตัวเองชนิดอื่นๆ

  • กระบวนการรักษาโรคกล้ามเนื้ออ่อนกำลัง (MG)

การวินิจฉัย MG เป็นโรคที่มีลักษณะสำคัญคือ fatigue รวมทั้งfluctuation ของกล้ามรอบๆตาแขนขาและก็การพูดรวมทั้งกลืนอาหาร ผู้เจ็บป่วยจะมีอาการเพิ่มขึ้นเรื่อยๆเมื่อได้ใช้งานหน้าที่นั้นๆไประยะหนึ่ง รวมทั้งอาการร้ายแรงในขณะที่แตกต่างกันโดยมีลักษณะมากมายเวลาบ่ายๆบางเวลาผู้เจ็บป่วยมาเจอแพทย์ช่วงที่ไม่มีอาการ แพทย์ก็ตรวจไม่เจอความผิดแปลก ก็เลยไม่สามารถที่จะให้การวินิจฉัยโรคได้ รวมทั้งอาจวินิจฉัยบกพร่องว่าเป็น anxiety แม้กระนั้นการให้การวินิจฉัยโรคMG ทำ ได้อย่างง่ายๆในคนป่วยจำนวนมากเพราะมีลักษณะจำ เพาะทางคลินิกที่ได้กล่าวผ่านมาแล้ว การตรวจเพิ่มอีกเพื่อให้ได้การวินิจฉัยที่แน่นอนแล้วก็ในรายที่อาการคลุมเครือยกตัวอย่างเช่น

  • การตรวจ ระบบประสาท ดังเช่นว่าการให้คนเจ็บได้ทำกิจกรรมสม่ำเสมอที่ทำ     ให้ผู้เจ็บป่วยมีลักษณะอาการ

อ่อนล้าได้ยกตัวอย่างเช่นการมองขึ้นนาน1นาทีแล้วตรวจว่าคนไข้มีภาวการณ์หนังตาตก มากขึ้นหรือเปล่า โดยวัดความกว้างของ palpablefissure ที่ตาอีกทั้ง 2 ข้างการให้คนเจ็บเดินขึ้นบันไดหรือลุก-นั่ง สลับกันเป็นระยะเวลาหนึ่งผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะเหน็ดเหนื่อยขึ้นอย่างชัดเจนรวมทั้งอาการอ่อนเพลียดีขึ้นเมื่อพักสักประเดี๋ยวการให้ผู้เจ็บป่วยกล่าวหรืออ่านออกเสียงดังๆคนป่วยจะมีลักษณะเสียงแหบหรือหายไปเมื่อพักแล้ว

  • Ice test โดยการนำนํ้าแข็งห่อใส่อุปกรณ์ตัวอย่างเช่น นิ้วของถุงมือยาง แล้วนำ ไปวางที่เปลือกตาของผู้ป่วยนาน2นาทีประเมินอาการptosisว่าดียิ่งขึ้นหรือไม่ผู้เจ็บป่วย MG จะให้ผลบวก
  • Prostigmintest โดยการฉีด prostigmin ขนาด 1-1.5 มก. ฉีดเข้าทางกล้าม แล้วประเมินที่ 15, 20, 25 รวมทั้ง 30 นาทีโดยประเมินอาการภาวการณ์หนังตาตกอาการอ่อนล้าหรือเสียงแหบให้ผลบวกราวๆร้อยละ90 คือคนไข้จะมีอาการดีขึ้นอย่างแจ่มแจ้ง ผู้ป่วยบางทีอาจกำเนิดลักษณะของการปวดท้องอย่างหนัก หรือหัวใจเต้นช้าลงจากฤทธิ์ของยาวิธีปรับปรุงคือฉีดยา atropine 0.6 มิลลิกรัมทางหลอดเลือดดำ ซึ่งหมอบางท่านแนะนำ ให้ฉีดยาatropineก่อนจะกระทำการทดสอบ
  • การตรวจเลือด แพทย์จะตรวจนับจำนวนของแอนติบอดี้ คนที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนล้านั้นจะมีจำนวนของแอนติบอดี้ที่ไปยับยั้งการทำงานของกล้ามเนื้อมากไม่ดีเหมือนปกติ ส่วนใหญ่จะตรวจพบแอนติบอดี้ชนิด Anti-MuSK
  • การตรวจการโน้มน้าวประสาท (Nerve Conduction Test) ทำได้ 2 วิธีเป็นRepetitive Nerve Stimulation Test เป็นการทดสอบด้วยการกระตุ้นเส้นประสาทบ่อยๆเพื่อมองการทำงานของผูกกล้าม โดยการต่อว่าดขั้วกระแสไฟฟ้าที่ผิวหนังบริเวณที่เจออาการอ่อนเพลีย แล้วก็ส่งกระแสไฟฟ้าจำนวนนิดหน่อยเข้าไปเพื่อวิเคราะห์ความรู้ความเข้าใจของเส้นประสาทในการส่งสัญญาณไปที่มัดกล้าม และการตรวจด้วยไฟฟ้า (Electromyography) เป็นการวัดกระแสไฟฟ้าจากสมองที่ส่งไปยังกล้ามเนื้อเพื่อมองรูปแบบการทำงานของเส้นใยกล้ามเนื้อเพียงแต่เส้นเดียว (Single-fiber Electromyography หรือ EMG)

การดูแลและรักษา จุดมุ่งหมายสำหรับการรักษาคนไข้ MG ของแพทย์คือการที่ผู้เจ็บป่วยหายจากอาการโดยไม่ต้องกินยาซึ่งมีกลไกในการรักษา 2 ประการเป็น เพิ่มวิธีการทำ งานของ neuromusculartransmissionลดผลของ autoimmunity ต่อโรค
การดูแลและรักษาจะแบ่งคนป่วยเป็น 2 กลุ่มซึ่งมีแนวทางการดูแลรักษาแตกต่างกัน

  • ผู้ป่วยที่มีสภาวะกล้ามอ่อนเพลียที่รอบๆกล้ามเนื้อตา ( Ocula MG ) ควรเริ่มด้วยยา ace-tylcholinesteraseinhibitors เช่น pyridostigmine (mestinon) ขนาดเม็ดละ 60 มิลลิกรัม ครึ่งถึง 1 เม็ด 3 เวลาหลังอาหาร แล้วมองการโต้ตอบว่าอาการหนังตาตกลืมตาลำบากมากน้อยเพียงใด มีผลแทรกซ้อนจากยาหรือไม่ ถ้าเกิดอาการยังไม่ดีขึ้นควรจะเพิ่มยา prednisoloneขนาดราวๆ 15-30มก.ต่อวันรวมทั้งร่วมกับการปรับขนาดยา mestinon ตามอาการ ซึ่งส่วนมากคนไข้จะใช้ยาขนาดไม่สูงประมาณ 180-240มิลลิกรัมต่อวัน(3-4 เม็ดต่อวัน) ส่วนใหญ่จะตอบสนองดีต่อยา mestinonและก็ prednisoloneเมื่ออาการจนถึงปกติระยะเวลาหนึ่งราว 3-6 เดือนเบาๆลดยา prednisoloneลงอย่างช้าๆราว 5มิลลิกรัมทุกๆเดือนจนถึงหยุดยาพร้อมๆกับ mestinon การลดผลแทรกซ้อนของยา prednisolone โดยการให้ยาวันเว้นวันในผู้เจ็บป่วย MG ให้ผลดีสิ่งเดียวกันแต่ว่าในวันที่คนไข้ไม่ได้ยาprednisolone อาจมีลักษณะโรคMG ได้หากเกิดกรณีดังกล่าวมาแล้วข้างต้นบางทีอาจจำเป็นต้องให้ยาprednisolone5มก. 1 เม็ดในวันดังกล่าวมาแล้วข้างต้นผู้เจ็บป่วยบางรายอาจมีการดำเนินโรคเป็นgeneralized MG โดยมักเกิดขึ้นในปีแรกก็ต้องให้การรักษาแบบ generalizedMG ต่อไป
  • คนไข้ที่มีภาวะกล้ามเนื้ออ่อนล้าบริเวณอื่นๆ(Generalized MG) การดูแลรักษามียาmestinon,ยากดภูมิต้านทานแล้วก็การผ่าตัดthymectomyมีแนวทางการกระทำดังนี้

o  คนเจ็บทุกคนจำเป็นต้องได้รับยา mestinon ขนาดเริ่ม 1 เม็ด 3 เวลาหลังรับประทานอาหารแล้ววัดผลการโต้ตอบว่าดีหรือไม่ โดยการวัดช่วงยาออกฤทธิ์สูงสุดชั่วโมงที่ 1 รวมทั้ง 2 ข้างหลังรับประทานยาและก็ประเมินช่วงก่อนรับประทานยาเม็ดต่อไปเพื่อได้ทราบว่าขนาดของยาแล้วก็ความถี่ของการกินยาสมควรไหมตามลำดับสิ่งที่ประเมินคือลักษณะของคนป่วย ตัวอย่างเช่น อาการลืมตาตรากตรำ อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง บอกแล้วเสียงแหบควรปรับปริมาณยาแล้วก็ความถี่ทุก2-4สัปดาห์  ขนาดยาโดยมากประมาณ 6-8 เม็ดต่อวัน ขนาดยาสูงสุดไม่สมควรเกิน16 เม็ดต่อวัน
o  การผ่าตัด thymectomy คนเจ็บgeneralized MG ที่แก่น้อยกว่า 45ปีทุกรายควรจะชี้แนะ ให้ผ่าตัด thymectomy ร้อยละ 90 ของคนเจ็บได้ผลดีประมาณจำนวนร้อยละ 40 สามารถหยุดยา mestinon หลังผ่าตัดได้ปริมาณร้อยละ 50 ลดยา mestinon ลงได้เพียงร้อยละ 10 เท่านั้นที่ไม่ได้ผล ช่วงเวลาที่ผ่าตัดควรจะทำ ในขั้นแรกของการดูแลและรักษา
o    การให้ยากดภูมิต้านทาน ที่ใช้บ่อย ได้แก่ prednisolone และก็ azathioprine (immuran)การให้ยาดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมีข้อชี้ชัดในกรณี
   การผ่าตัด thymectomyแล้วไม่เป็นผล ช่วงเวลาที่ประเมินว่าการผ่าตัดไม่เป็นผลเป็นราวๆ 1 ปี
  คนเจ็บที่ไม่ได้รับการผ่าตัดโดยใช้ร่วมกับยา mestinon
   ผู้ป่วยทีมีภาวะการหายใจล้มเหลวจากการดำเนินโรคที่ร้ายแรง

  • การติดต่อของโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เป็นโรคที่เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติจึงไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
  • การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)


  • กินยาตามแพทย์แนะนำให้ครบถ้วน ถูกต้อง ไม่ขาดยา
  • ใช้ชีวิตประจำวันในการออกแรงให้สม่ำเสมอ เหมือนๆกันในทุกๆวันเพื่อแพทย์จะได้จัดปริมาณยา (Dose) ที่กินได้อย่างถูกต้อง
  • กินอาหารคำละน้อยๆ เป็นอาหารอ่อน เพื่อลดการทำงานของกล้ามเนื้อช่องปาก และจะได้ไม่สำลัก ระหว่างกิน
  • มีที่ยึดจับในบ้าน เพื่อช่วยในการลุก นั่ง ยืน เดิน ร่วมกับจัดบ้านให้ปลอดภัย ง่ายแก่การใช้ชีวิตที่ไม่ต้องออกแรงมาก รวมทั้งเพื่อการใช้ชีวิตประจำวัน
  • เมื่อออกนอกบ้านต้องวางแผนล่วงหน้า ไม่รีบร้อน ไม่ออกแรงมากเกินปกติ
  • เมื่อเห็นภาพซ้อน ควรปิดตาข้างที่เกิดอาการ จะช่วยให้การมองเห็นดีขึ้น
  • มีป้ายติดตัวเสมอว่าเป็นโรคอะไร กินยาอะไร รักษาโรงพยาบาลไหน เพื่อมีอาการฉุกเฉิน คนจะได้ช่วยได้ถูกต้องรวดเร็ว
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน
  • กินอาหารมีประโยชน์ 5 หมู่ให้ครบถ้วนในทุกวัน ในปริมาณที่ไม่ทำให้เกิดโรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพื่อลดการแบกน้ำหนักของกล้ามเนื้อและเพื่อความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ
  • พบแพทย์/ไปโรงพยาบาลตามนัดเสมอ
  • รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉินเมื่อมีอาการทางการหายใจ เช่น หายใจไม่ออก/หายใจลำบาก
  • การป้องกันตนเองจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) เนื่องจากโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงยังเป็นโรคที่ไม่รู้สาเหตุที่แน่ชัด และโรคที่มีความสัมพันธ์กันก็ยังเป็นโรคที่ส่วนใหญ่ไม่รู้สาเหตุเช่นกันอาทิ เช่น โรคของต่อมไทมัส และโรคของต่อมไทรอยด์ ดังนั้น ปัจจุบัน จึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    ดังนั้นเมื่อมีอาการดังที่ได้กล่าวมาแล้ว โดยเฉพาะเมื่อมีหนังตาตกหรือแขนขาอ่อนแรงเฉียบพลัน จึงควรรีบพบแพทย์เสมอ เพื่อการวินิจฉัยและการรักษาที่รวดเร็วเหมาะสม ซึ่งจะส่งผลให้การรักษาโรคได้ผลดีจนสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติ

  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG)

    พืชสมุนไพรที่จะช่วยป้องกันโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) ได้นั้นควรที่จะต้องมี “สารปรับสมดุล” (adaptogens) เพราะโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (MG) นั้นเกิดขึ้นจากภาวะภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติดังนั้น สารปรับสมดุลจึงจำเป็นสำหรับใช้ป้องกันโรคนี้ มีผู้ให้คำจำกัดความของสารปรับสมดุลไว้หลายประการเช่น หมายถึงสารที่เพิ่มความสามารถของร่างกายในการปรับตัวให้เข้ากับความเครียด โดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ระบบประสาทสารสื่อประสาท และการทำงานของต่อมต่างๆภายในร่างกาย เพิ่มความทนทานของอวัยวะต่างๆต่อความเครียด พยาธิสภาพและสิ่งแวดล้อม รวมถึงรักษาการทำงานของระบบเมตาบอไลท์ของร่างกายให้ปกติและมีประสิทธิภาพ มีฤทธิ์ในการนำสมดุลกลับคืนสู่ร่างกาย (balancing) และบำรุงร่างกาย (tonic) นอกจากนี้ยังช่วยชะลอการเสื่อมสภาพของคนเราโดยลดผลที่เกิดจากการถูกกระตุ้นโดยปัจจัยต่างๆโดยเฉพาะความเครียด การอักเสบ และการเกิดออกซิเดชั่น (oxidation)
    พืชสมุนไพรที่มีการใช้อย่างแพร่หลายในการปรับสมดุลมีหลายชนิดโดยเฉพาะรากของพืชในวงศ์โสม (Araliaceae) ได้แก่ โสมเกาหลี (Panax ginseng) โสมอเมริกัน (Panax quinquefolius) รวมทั้งพืชสมุนไพรอื่นๆ เช่น ผลมะขามป้อม (Emblica officinalis) ต้นปัญจขันธ์ (Gynostemma pentaphyllum) เห็ดหลินจือ (Ganoderma lucidum) รากชะเอมเทศ (Glycyrrhiza glabra) ผลเก๋ากี้ (Lycium chinensis) และถั่งเช่า (Cordyceps sinensis) เป็นต้น สารสำคัญต่างๆในพืชเหล่านี้ที่แสดงฤทธิ์ปรับสมดุลที่มีรายงานนั้นมีหลายกลุ่ม ได้แก่ สารกลุ่มฟีโนลิก (phenolics) เช่น eleutheroside B ในรากของโสม และ ellagic acid ในผลมะขามป้อม สารกลุ่มเทอร์พีนอยด์ (terpenoids) เช่น zeaxanthin ในผลเก๋ากี้ และไตรเทอร์พีนอยด์ซาโปนิน (triterpenoid saponin) เช่น ginsenosides ในรากโสมเกาหลีและโสมอเมริกัน และ glycyrrhizin ในรากชะเอมเทศเป็นต้น
    เอกสารอ้างอิง

  • กล้ามเนื้ออ่อนแรง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • รศ.นพ.สมศักดิ์ เทียมเก่า.Common Pittalls in Myasthenia Gravis.วารสารสมาคมประสาทวิทยาศาสตร์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ.ปีที่6.ฉบับที่3(กรกฎาคม-กันยายน2554).159-168
  • นพ.เกษมสิน ภาวะกุล (2552). Generalized myasthenia gravis. วารสารอายุรศาสตร์อีสาน.ปีที่ 8. 84-91.
  • สมศักดิ์เทียมเก่า, ศิริพร เทียมเก่า, วีรจิตต์โชติมงคล, สุทธิพันธ์จิตพิมลมาศ.ความชุกและลักษณะทางคลินิกของผู้ป่วยmyasthenia gravis อย่างเดียว และ myasthenia gravisที่มี Srinagarind MedJ 1994;9:8-13. http://www.disthai.com/[/b]
  • Anesthesia issues in the perioperative management of myasthenia gravis.Semin Neurol 2004;24:83-94.
  • Drachman, D. (1994). Myasthenia gravis. N Engl J Med. 330,1797-1810.
  • ศ.เกียรติคุณ พญ.พวงทอง ไกรพิบูลย์.โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรงเอมจี (Myasthenia gravis หรือ MG).หาหมอ.
  • Hughes BW, Moro De Casillas ML,KaminskiHJ.Pathophysiology of myasthenia gravis. Semin Neurol2004;24:21-30
  • Meriggioli MN,Sanders DB. Myasthenia gravis: diagnosis. Semin Neurol 2004;24:31-9.
  • ดร.ปองทิพย์ สิทธิสาร.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน ผักแปม สมุนไพรปรับสมดุล.ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาบัยมหิดล
  • Juel VC. Myasthenia gravis: management of myasthenic crisis and perioperativeSemin Neurol 2004;24:75- 81.
  • Alsheklee, A. et al.(2009) Incidence and mortality rates of myasthenia gravis and myasthenic crisis in US hospitals.Neurology.72, 1548-1554.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Saguil, A. (2005). Evaluation of the patient with muscle weakness. Am Fam Physician. 71, 1327-1336.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ