Advertisement
โรคบาดทะยัก (Tetanus)- โรคบาดทะยักเป็นอย่างไร โรคบาดทะยักเป็นโรคติดเชื้อที่จัดอยู่ในกลุ่มของโรคทางประสาทและกล้าม เป็นโรคติดเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่เป็นอันตรายร้ายแรง สามารถเจอได้ในคนทุกวัย ส่วนมากคนไข้จะมีประวัติมีรอยแผลตามร่างกาย ที่มีบาดแผลเลอะเทอะ หรือขาดการดูแลแผลอย่างแม่นยำ ซึ่งความสำคัญของโรคนี้คือ ผู้เจ็บป่วยจะมีโอกาสเสียชีวิต ส่วนเคยเป็นโรคนี้กาลครั้งหนึ่งและจากนั้นก็ยังสามารถเป็นซ้ำได้อีก แม้กระนั้นปัจจุบันโรคนี้สามารถปกป้องได้ด้วยการฉีดยา
โรคบาดทะยัก (Tetanus) คำว่า Tetanus มีรากศัพท์มาจากภาษากรีกเป็น Teinein ซึ่งแปลว่า ‘ยืดออก’ ที่เรียกแบบนี้ เนื่องจากคนไข้ที่เป็นโรคนี้จะมีการหดตัวรวมทั้งแข็งเกร็งตัวของกล้ามเนื้อเกิดขึ้นทั่วตัว โดยที่ทำให้แผ่นหลังมีการยืดตัวออก ซึ่งเป็นอิริยาบถที่เป็นแบบอย่างเฉพาะโรค คนไข้จะมีอาการเด่นคืออาการกล้ามเกร็ง จำนวนมากการเกร็งจะเริ่มที่กล้ามกราม รวมทั้งแพร่กระจายไปยังกล้ามส่วนอื่นๆการเกร็งแต่ละครั้งมักเป็นอยู่ไม่กี่นาที และเกิดขึ้นบ่อยๆเป็นเวลา 3-4 สัปดาห์ รวมถึงอาจมีอาการอื่นที่บางทีอาจพบร่วม เช่น ไข้ เหงื่อออก ปวดหัว กลืนลำบาก ความดันโลหิตสูง และก็หัวใจเต้นเร็ว บาดทะยักเป็นโรคที่เจอได้ทั้งโลก แม้กระนั้นพบได้บ่อยหลายครั้งในพื้นที่ที่มีสภาพอากาศแบบร้อนเปียกชื้น ซึ่งมีดินและสารอินทรีย์อยู่มากมายในปี พ.ศ. 2558 มีกล่าวว่ามีคนไข้โรคบาดทะยักราวๆ 209,000 คนรวมทั้งเสียชีวิตประมาณ 59,000 คนทั่วโลก การบรรยายถึงโรคนี้เอาไว้เก่าแก่ตั้งแต่สมัยแพทย์ภาษากรีกชื่อฮิปโปกราเตสเมื่อ 500 ปีกลายคริสตกาล สาเหตุของโรคถูกศึกษาและทำการค้นพบเมื่อ พ.ศ. 2427 โดย Antonio Carle รวมทั้ง Giorgio Rattone แห่งมหาวิทยาลัยทูริน ส่วนวัคซีนถูกสร้างขึ้นคราวแรกเมื่อ พุทธศักราช 2467
- สิ่งที่ทำให้เกิดโรคบาดทะยัก มีสาเหตุจากเชื้อ Clostridium tetani ตัวเชื้อมีลักษณะเป็นรูปแท่งที่ปลายมีสปอร์ (Spore) ซึ่งเป็น anaerobic bacteria ย้อมติดสีมึงรมบวก มีคุณลักษณะที่จะอยู่ในรูปแบบของสปอร์ (spore) ที่ทนทานต่อความร้อนและก็ยาฆ่าเชื้อหลายอย่างสามารถสามารถสร้าง exotoxin ที่ไปจับและก็เป็นพิษต่อระบบประสาท ที่ควบคุมรูปแบบการทำงานของกล้าม ทำให้มีการหดเกร็งตัวอยู่ตลอดระยะเวลา เริ่มต้นกล้ามขากรรไกรจะเกร็ง ทำให้อ้าปากไม่ได้โรคนี้ก็เลยมีชื่อเรียกหนึ่งว่า โรคขากรรไกรแข็ง (lockjaw) คนป่วยจะมีคอแข็ง ข้างหลังแข็ง ถัดไปจะมีลักษณะอาการเกร็งของกล้ามทั่วตัว และก็มีอาการชักได้ เชื้อนี้จะอยู่ตามดินปนทรายแล้วก็มูลสัตว์ สามารถมีชีวิตอยู่นานนับปีรวมทั้งเจริญก้าวหน้าได้ดิบได้ดีในที่ที่ไม่มีออกสิเจน โดยจะสร้างสปอร์ห่อหุ้มตนเอง มีคงทนถาวรต่อน้ำเดือด 100 องศา ได้นานถึง 1 ชั่วโมง อยู่ในภาวะที่ไร้แสงได้นานถึง 10 ปี เมื่อคนเรากำเนิดรอยแผลที่มัวหมองถูกเชื้อโรคนี้ ดังเช่นว่า เลอะถูกดินทรายหรือมูลสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอยแผลที่ปากแผลแคบแม้กระนั้นลึก ยกตัวอย่างเช่น ตะปูตำ ลวดหรือหนามตำเกี่ยว ไม้แทงแทง ฯลฯ (ซึ่งมีออกซิเจนน้อย เหมาะกับการเจริญของเชื้อบากทะยัก) เชื้อโรคก็จะกระจัดกระจายเข้าสู่ร่างกายแล้วปล่อยพิษที่มีชื่อว่า เตตาโนสปาสมิน (Tetanospasmin) ออกมาทำลายระบบประสาท ส่งผลให้เกิดลักษณะของโรคที่กล้ามเนื้อทั่วร่างกาย
- ลักษณะของโรคบาดทะยัก หลังจากได้รับเชื้อ Clostridium tetani สปอร์ที่เข้าไปตามรอยแผลจะกระจายตัวออกเป็น vegetative form ซึ่งจะแบ่งตัวเพิ่มและก็ผลิต exotoxin ซึ่งจะกระจายจากแผลไปยังปลายประสาทที่แผ่กระจายอยู่ในกล้ามเนื้อ นำมาซึ่งการก่อให้เกิดความผิดแปลกในการควบคุมการเกร็งตัวของกล้าม ระยะจากที่เชื้อไปสู่ร่างกายจนกระทั่งกำเนิดอาการเริ่มต้น คือ มีลักษณะขากรรไกรแข็ง ที่เรียกว่าระยะฟักตัวของโรคราว 3-28 วัน แต่ว่าโดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ราว 8 วัน โดยสามารถแบ่งได้ 2 กรุ๊ปเป็น
- บาดทะยักในทารกแรกเกิดอาการมักจะเริ่มเมื่อเด็กอ่อนอายุราวๆ 3-10 วัน อาการแรกที่จะสังเกตได้คือ เด็กดูดนมตรากตรำ ไหมค่อยดูดนม เพราะมีขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ ถัดมาเด็กจะดูดไม่ได้เลย หน้ายิ้มแสยะ (Risus sardonicus หรือ Sardonic grin) เด็กอาจร้องครวญต่อมาจะมีมือ แขน แล้วก็ขาเกร็ง ข้างหลังแข็งและแอ่น หากเป็นมากจะมีลักษณะอาการชักกระดุกและหน้าเขียวอาการเกร็งข้างหลังแข็งและหลังแอ่นนี้จะเป็นมากขึ้น ถ้ามีเสียงดังหรือเมื่อแตะต้องตัวเด็ก อาการเกร็งชักกระดุกถ้าเกิดเป็นถี่ๆเยอะขึ้นเรื่อยๆ จะทำให้เด็กหน้าเขียวมากยิ่งขึ้น ทำให้เป็นอันตรายถึงตายได้ไพเราะขาดออกซิเจน
- บาดทะยักในเด็กโตหรือคนแก่ เมื่อเชื้อเข้าทางบาดแผล ระยะฟักตัวของโรคก่อนจะมีอาการประมาณ 5-14 วัน บางรายอาจนานถึง 1 เดือน หรือยาวนานกว่านั้นได้ กระทั่งครั้งคราวบาดแผลที่เป็นปากทางเข้าของเชื้อบาดทะยักหายไปแล้ว อาการเริ่มแรกที่จะพินิจพบเป็น ขากรรไกรแข็ง อ้าปากมิได้ มีคอแข็ง ต่อจากนี้ 1-2 วัน ก็จะเริ่มมีลักษณะอาการเกร็งแข็งในส่วนอื่นๆของร่างกายเป็น ข้างหลัง แขน ขา เด็กจะยืนแล้วก็เดินข้างหลังแข็ง แขนดูหมิ่นเหยียดหยามเกร็งให้ก้มหลังจะทำไม่ได้ หน้าจะมีลักษณะเฉพาะคล้ายยิ้มแสยะแล้วก็ระยะถัดไปก็อาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีอาการกระตุกเหมือนกันกับในทารกแรกคลอด หากมีเสียงดังหรือสัมผัสตัวจะเกร็ง แล้วก็กระดุกเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีหลังแอ่น แล้วก็หน้าเขียว บางโอกาสมีลักษณะอาการรุนแรงมากอาจจะทำให้มีการหายใจไม่สะดวกถึงตายได้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคบาดทะยัก อาการชักกระตุกของกล้ามอย่างรุนแรงของโรคบาดทะยักที่เกิดขึ้นอาจจะเป็นผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงตั้งแต่นี้ต่อไปตามมา- จังหวะการเต้นของหัวใจไม่ดีเหมือนปกติ
- สมองเสียหายจากการขาดออกสิเจน
- กระดูกสันหลังและก็กระดูกส่วนอื่นๆหักจากกล้ามที่เกร็งมากมายแตกต่างจากปกติ
- มีการติดโรคที่ปอดกระทั่งเกิดปอดบวม
- ไม่อาจจะหายใจได้ ด้วยเหตุว่าการชักเกร็งของเส้นเสียงและก็กล้ามที่ใช้หายใจ
- การตำหนิดเชื้ออื่นๆเข้าแทรกที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการพักฟื้นหรือรักษาตัวจากโรคบาดทะยักในโรงหมอเป็นเวลานับเป็นเวลาหลายสัปดาห์ถึงนับเป็นเวลาหลายเดือน
การตำหนิดเชื้อโรคบาดทะยักอาจรุนแรงถึงกับตาย โดยที่มาของการตายจากโรคนี้ส่วนใหญ่มีต้นเหตุจากภาวการณ์หายใจล้มเหลว ส่วนปัจจัยอื่นที่ส่งผลให้เกิดการเสียชีวิตได้เช่นกัน ได้แก่ ภาวะปอดอักเสบ การขาดออกซิเจน รวมทั้งภาวการณ์หัวใจหยุดเต้น
- ปัจจัยเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักมีเหตุมาจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียที่เข้าไปสู่บาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่ไม่สะอาดหรือรอยแผลที่ขาดการดูแลที่ถูกต้อง ซึ่งรอยแผลที่เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะก่โรคบาดทะยัก[/url]ได้ อาทิเช่น แผลถลอกปอกเปิก รอยขูด หรือแผลจากการโดนบาด แผลจากการเช็ดกสัตว์กัด ดังเช่นว่า สุนัข ฯลฯ แผลที่มีการฉีกจนขาดของผิวหนังเกิดขึ้น แผลไฟเผา แผลถูกทิ่มแทงจากตะปูหรือสิ่งของอื่นๆแผลจากการเจาะร่างกาย การสัก หรือการใช้เข็มฉีดยาที่แปดเปื้อนสิ่งสกปรก แผลจากกระสุนปืน กระดูกหักที่ทิ่มแทงผิวหนังออกมาข้างนอก แผลติดเชื้อโรคที่เท้าในผู้เจ็บป่วยเบาหวาน แผลบาดเจ็บที่ดวงตา แผลจากการผ่าตัดที่ปนเปื้อนเชื้อ การตำหนิดเชื้อที่ฟัน การตำหนิดเชื้อทางสายสะดือในทารก เพราะวิธีการทำคลอดที่ใช้ของมีคมที่ไม่สะอาดตัดสายสะดือ และก็ยิ่งมีการเสี่ยงสูงเมื่อคุณแม่ไม่ได้ฉีดยาปกป้องบาดทะยักอย่างครบถ้วน แผลเรื้อรัง อย่างเช่น แผลโรคเบาหวาน รวมทั้งแผลเป็นฝี แผลจาการเป็นโรคหูชั้นกึ่งกลางอักเสบ
- กระบวนการรักษาโรคโรคบาดทะยัก แพทย์จะวินิจฉัยโรคบาดทะยักได้จากอาการเป็นหลัก และก็ประวัติการมีบาดแผลตามร่าง กาย การตรวจร่างกาย และประวัติการได้รับวัคซีนบาดทะยัก ซึ่งในบุคคลที่เคยได้รับวัคซีนครบและก็ได้รับวัคซีนกระตุ้นตามที่ได้กำหนด ก็จะไม่มีจังหวะเป็นโรคบาดทะยักสำหรับในการตรวจทางห้อง ปฏิบัติการ ไม่มีการตรวจที่เจาะจงกับโรคนี้ การตรวจจะเป็นเพียงเพื่อแยกโรคอื่นๆที่อาจมีอา การคล้ายคลึงกัน เท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น การตรวจหาสารพิษสตริกนีน (Strychnine) คนป่วยที่ได้รับพิษ Strychnine ซึ่งอยู่ในยากำจัดศัตรูพืช จะมีลักษณะหดตัวและแข็งเกร็งของกล้ามคล้ายกับผู้เจ็บป่วยที่เป็นบาดทะยัก หากประวัติการได้รับสารพิษของผู้ป่วยไม่ชัดเจน ก็จำต้องเจาะตรวจหาสารพิษจำพวกนี้ด้วย การตรวจเม็ดเลือดขาวจากเลือด (การตรวจCBC) ส่วนมากจะพบว่าเข้าขั้นปกติ ไม่เหมือนโรคติดเชื้อแบคทีเรียอื่นๆที่มักมีปริมาณเม็ดเลือดขาวขึ้นสูง การตรวจน้ำไขสันหลังจะพบว่าธรรมดา ซึ่งต่างจากโรคติดเชื้ออื่นๆที่ทำให้มีไขสันหลังและก็สมองอักเสบ ที่ทำให้มีลักษณะชักเกร็งคล้ายคลึงกัน
หลังการตรวจวิเคราะห์ ถ้าเกิดหมอใคร่ครวญว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อบาดทะยักแม้กระนั้นคนไข้ยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่ปรากฏให้เห็น กรณีนี้จะรักษาโดยการทำความสะอาดแผลรวมทั้งฉีด Tetanus Immunoglobulin ซึ่งเป็นยาที่ประกอบด้วยแอนติบอดี้ ช่วยฆ่าแบคทีเรียจากโรคบาดทะยักและก็สามารถคุ้มครองป้องกันโรคบาดทะยักได้ในช่วงระยะสั้นๆถึงปานกลาง ยิ่งไปกว่านี้บางทีอาจฉีดวัคซีนคุ้มครองบาดทะยักร่วมด้วยแม้คนเจ็บยังมิได้รับวัคซีนประเภทนี้ถึงกำหนด สำหรับผู้เจ็บป่วยที่เริ่มแสดงอาการของโรคบาดทะยักแล้ว แพทย์จะรับตัวไว้รักษาในโรงหมอโดยชอบรับไว้ภายในห้องบำบัดรักษาพิเศษหรือห้องดูแลผู้ป่วยหนักในโรงพยาบาล เพื่อให้หมอดูแลอย่างใกล้ชิด แล้วก็คนไข้มักจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลนานเป็นอาทิตย์ๆหรือเป็นนานเป็นเดือนๆ ซึ่งหลักของการดูแลรักษาคนเจ็บโรคบาดทะยักที่ปรากฏอาการของโรคแล้วหมายถึงเพื่อกำจัดเชื้อโรคบาดทะยักที่ผลิตพิษ เพื่อทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว และการรักษาเกื้อหนุนตามอาการ และก็การให้วัคซีนเพื่อคุ้มครองปกป้องการเกิดโรคอีกโดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
- การกำจัดเชื้อบาดทะยักที่ผลิตพิษ โดยการให้ยายาปฏิชีวนะเพื่อฆ่าเชื้อโรคและก็สปอร์ของเชื้อที่กำลังแตกหน่อ ดังเช่น เพนิซิลิน ยาต่อต้านพิษโรคบาดทะยัก (human tetanus immune globulin ) ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยมีรอยแผลที่ยังไม่หายดี ก็จะพูดแผลให้กว้าง ล้างทำความสะอาดแผลให้สะอาด และก็ตัดเยื่อที่ตายแล้วออก เพื่อเป็นการลดจำนวนเชื้อโรคที่อยู่ในรอยแผล
- การทำลายสารพิษที่เชื้อโรคผลิตแล้ว ซึ่งจะช่วยลดอัตราการตายได้มาก โดยการให้สารภูมิคุ้มกันหรือแอนติบอดี (Antibody) ไปทำลายพิษ ซึ่งสารภูมิต้านทาน อาจได้จากน้ำเหลืองของม้าหรือของคน (Equine tetanus antitoxin หรือ Human tetanus immunoglobulin) ซึ่งแอนติบอดีที่ไปทำลายสารพิษนี้จะทำลายเฉพาะสารพิษที่อยู่ในกระแสโลหิตเท่านั้น ไม่สามารถที่จะทำลายสารพิษที่เข้าสู่เส้นประสาทไปแล้วได้
- การรักษาจุนเจือตามอาการ ได้แก่ การให้ยาเพื่อลดการยุบตัวและแข็งเกร็งของกล้าม ซึ่งมียาอยู่หลายกลุ่ม ในกรณีที่ใช้ยาไม่ได้ผล ผู้ป่วยยังมีอาการหดเกร็งมากมาย มีความเสี่ยงต่อภาวการณ์หายใจล้มเหลว บางครั้งอาจจะใคร่ครวญให้ยาที่ทำให้เป็นอัมพาตหมดทั้งตัว แล้วใส่เครื่องที่ใช้สำหรับในการช่วยหายใจไว้หายใจแทน
- คนป่วยที่มีอาการแตกต่างจากปกติจากระบบประสาทอัตโนมัติ ดังเช่นว่า ความดันเลือดขึ้นสูงมากมายก็ให้ยาควบคุมความดันโลหิต หากมีลักษณะอาการหัวใจเต้นช้าหรือหยุดเต้นก็อาจจำเป็นต้องใส่ตัวกระตุ้นหัวใจ
- การให้วัคซีน ผู้ป่วยทุกรายที่หายจากโรคแล้ว จะต้องให้วัคซีนตามที่ได้กำหนดทุกราย เพราะการต่อว่าดเชื้อโรคบาดทะยักไม่อาจจะกระตุ้นให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันขึ้นมาได้
- การติดต่อของโรคบาดทะยัก โรคบาดทะยักเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียที่รอบๆรอยแผลต่างๆโดยเฉพาะรอยแผลที่แคบและก็ลึกที่ไม่สามารถที่จะล้างชำระล้างบาดแผลได้หรือเป็นรอยแผลที่ไม่สะอาด โดยเหตุนี้โรคบาดทะยักนี้ก็เลยไม่มีการติดต่อจากคนสู่คน หรือจากสัตว์สู่คนอะไร
- การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคโรคบาดทะยัก หากแพทย์วิเคราะห์แล้วว่ามีการเสี่ยงหรือแนวโน้มที่จะติดเชื้อบาดทะยักแม้กระนั้นยังไม่มีอาการปรากฏ หมอจะทำการรักษาและฉีดวัคซีนปกป้องโรคบาดทะยักให้ แล้วให้กลับไปอยู่บ้าน ดังนั้นข้อควรปฏิบัติตนเมื่ออยู่ที่บ้านคือ
- รักษาความสะอาดของบาดแผล
- รักษาสุขลักษณะของร่างกายตามสุขข้อบังคับ
- รับประทานอาหารที่มีสาระแล้วก็ครบอีกทั้ง 5 หมู่
- กินยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
- มาตรวจดังที่หมอนัด
ส่วนในกรณีผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะของโรคปรากฏแล้วนั้น แพทย์ก็จะรับเข้ารักษาในโรงพยาบาลห้องไอซียู เพื่อดูแลเอาใจใส่ด้วยความใกล้ชิดถัดไป- การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคบาดทะยัก บาดทะยักเป็นโรคที่ทำให้เป็นอันตรายร้ายแรง รวมทั้งอาจเสียชีวิตด้านในไม่กี่วันแต่สามารถคุ้มครองปกป้องได้ โดยเหตุนั้นการป้องกันก็เลยเป็นหัวใจของการดูแลรักษาโรคบาดทะยัก ซึ่งมีเนื้อหาดังต่อไปนี้ โรคบาดทะยักมีวัคซีนป้องกัน วัคซีนคุ้มครองโรคบาดทะยักถูกทำแล้วก็ใช้ได้ผลเสร็จในทหารตั้งแต่การทำศึกโรคครั้งที่ 2 ต่อมาวัคซีนชนิดนี้ได้ถูกพัฒนาให้อยู่ในรูปของวัคซีนรวม คอตีบ ไอกรน โรคบาดทะยัก (DTP) และอาจเป็นแบบวัคซีนรวมอื่นๆการฉีดยา วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักมักนิยมให้ดังต่อไปนี้
เข็มแรก อายุ 2 เดือน เข็มที่ 2 อายุ 4 เดือน เข็มที่ 3 อายุ 6 เดือน เข็มที่ 4 อายุ 1 ปี 6 เดือนเข็มที่ 5 อายุ 4-6 ปีอีกรอบหนึ่ง ต่อไปควรมีการฉีดกระตุ้นทุก 10 ปี ในกรณีที่มีบาดแผลเกิดขึ้น หากว่าเคยฉีดวัคซีนครบ 3 ครั้ง มาข้างใน 5 ปี ไม่ต้องฉีดกระตุ้น แต่ว่าหากเกินกว่า 5 ปี จำเป็นต้องฉีดกระตุ้น 1 ครั้ง หญิงมีครรภ์ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนคุ้มครองบาดทะยักมาก่อน ควรจะฉีดวัคซีนปกป้องโรคนี้รวม 3 ครั้ง โดยเริ่มฉีดเข็มแรกเมื่อฝากครรภ์ครั้งแรก เข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรกอย่างต่ำ 1 เดือน และก็เข็มที่ 3 ห่างจากเข็มที่ 2 อย่างต่ำ 6 เดือน (ถ้าฉีดไม่ทันขณะตั้งครรภ์ ก็ฉีดหลังคลอด) ถ้าหากหญิงตั้งท้องเคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคนี้มาแล้ว 1 ครั้ง ควรให้อีก 2 ครั้ง ห่างกันอย่างต่ำ 1 เดือน ในระหว่างมีครรภ์ หากหญิงตั้งครรภ์เคยได้รับวัคซีนปกป้องโรคนี้ครบชุด (3 ครั้ง) มาแล้วเกิน 5 ปี ให้ฉีดกระตุ้นอีกเพียง 1 ครั้ง แม้กระนั้นถ้าเกิดเคยฉีดครบชุดมาแล้วไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่ต้องฉีดกระตุ้น สำหรับในเด็กที่แก่กว่า 7 ปีขึ้นไปและในผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนมาก่อน หรือได้รับวัคซีนในวัยเด็กไม่ครบ หรือได้รับมาเกิน 10 ปีแล้ว ให้ฉีดวัคซีนโรคบาดทะยัก - คอตีบ 3 เข็ม โดยฉีดเข็มที่ 2 ให้ห่างจากเข็มแรก 4 อาทิตย์ เข็มที่ 3 ให้ห่างจากเข็มที่ 2 โดยประมาณ 6 -12 เดือน และฉีดกระตุ้นๆทุกๆ10 ปีตลอดกาล
เมื่อมีบาดแผลจำเป็นต้องทำแผลให้สะอาดโดยทันที โดยการฟอกด้วยสบู่ล้างด้วยน้ำที่สะอาดเช็ดด้วยยาฆ่าเชื้อ ยกตัวอย่างเช่น แอลกอฮอล์ 70% หรือทิงเจอร์ใส่แผลสด พร้อมทั้งให้ยารักษาการติดเชื้อโรคหากแผลลึกจะต้องใส่ drain ด้วย
ใช้ผ้าปิดรอยแผลเพื่อแผลสะอาดแล้วก็ปกป้องจากการสัมผัสเชื้อแบคทีเรียของแผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผลพุพองที่กำลังแห้งจะยิ่งมีความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อ จำเป็นต้องปิดแผลไว้จนกระทั่งแผลเริ่มก่อตัวเป็นสะเก็ด นอกจากนี้ควรจะเปลี่ยนผ้าทำแผลแต่ละวัน อย่างน้อยวันละ 1 ครั้งหรือเมื่อใดก็ตามที่ผ้าปิดแผลเปียกน้ำหรือเริ่มสกปรก เพื่อหลีกเลี่ยงจากการต่อว่าดเชื้อ
- สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคบาดทะยัก เนื่องด้วยโรคบาดทะยักเป็นโรคที่เป็นการติดโรคแบคทีเรียที่ร้ายแรงแล้วก็มีระยะฟักตัวของโรคที่ค่อนข้างสั้น แม้กระนั้นมีลักษณะอาการแสดงของโรคที่ร้ายแรงรวมทั้งมีความอันตรายถึงชีวิต ซึ่งหลักการใช้สมุนไพรนั้นได้กล่าวเอาไว้ดังนี้
- ถ้าเกิดเป็นโรคที่ยังพิสูจน์มิได้แจ้งชัดว่ารักษาโดยใช้สมุนไพรได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็ไม่สมควรรักษาโดยใช้สมุนไพร ยกตัวอย่างเช่น งูพิษกัด สุนัขบ้ากัด โรคบาดทะยัก กระดูกหัก เป็นต้น
- กลุ่มอาการบางสิ่งที่ระบุว่า อาจจะเป็นโรคร้ายแรงที่จำต้องรักษาอย่างรีบเร่งอย่างเช่น ไข้สูง ซึม ไม่มีสติ ปวดอย่างหนัก อ้วกเป็นเลือด ตกเลือดจากช่องคลอด ท้องเดินอย่างรุนแรง หรือผู้เจ็บป่วยเป็นเด็กรวมทั้งสตรีตั้งท้อง ควรจะรีบนำหารือแพทย์ แทนที่จะรักษาด้วยสมุนไพร
- การใช้ยาสมุนไพรนั้น ควรจะค้นคว้าจากหนังสือเรียน หรือปรึกษาท่านผู้รอบรู้ โดยใช้ให้ถูกส่วน ใช้ให้ถูกแนวทาง ใช้ให้ถูกโรค ใช้ให้ถูกคน
- ไม่สมควรใช้สมุนไพรต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆด้วยเหตุว่าพิษอาจจะสะสมได้
เอกสารอ้างอิง- โรคบาดทะยัก (Tetanus). สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.บาดทะยัก.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 294.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.ตุลาคม.2547
- บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคณะ. (2527). โรคบาดทะยัก.ใน บุญเยี่ยม เกียรติวุฒิ และคนอื่นๆ (บรรณาธิการ), โรคติดต่อระหว่างคนและสัตว์ (หน้า 80-82). บัณฑิตการพิมพ์ : กรุงเทพมหานคร.
- พญ.สลิล ศิริอุดมภาส.บาดทะยัก (Tetanus).หาหมอ.com.( ออนไลน์) เข้าถึงได้จาก
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2.”บาดทะยัก (Tetanus).(นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).หน้า 590-593.
- Elias Abrutyn, tetanus, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald , Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
- "Tetanus Symptoms and Complications". cdc.gov. January 9, http://www.disthai.com/[/b]
- สมจิต หนุเจริญกุล. (2535). การพยาบาลผู้ป่วยบาดทะยัก.ในการพยาบาลอายุรศาสตร์ เล่ม 1 (หน้า 57-59). วี.เจ.พริ้นติ้ง : กรุงเทพมหานคร.
- Atkinson, William (May 2012). Tetanus Epidemiology and Prevention of Vaccine-Preventable Diseases (12 ). Public Health Foundation. pp. 291–300. ISBN 9780983263135. สืบค้นเมื่อ 12 February 2015.
- สุรเกียรติ อาชานานุภาพ. บาดทะยัก หมอชาวบ้าน ปีที่ 17 ฉบับที่ 194 มิถุนายน 2538. หน้า 25-27
- บาดทะยัก-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์.com(ออนไลน์)เข้าถึงได้จาก
- สมุนไพร.ศูนย์พิษวิทยารามาธิบดี.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี.มหาวิทยาลัยมหิดล.
Tags : โรคบาดทะยัก