โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไตเรื้อรัง - อาการ, สาเหตุ, วิธีการรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 25 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
แสงจันทร์5555
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 80


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: มีนาคม 29, 2018, 08:16:41 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคไตเรื้อรัง (Chronic Kidney Disease)

  • โรคไตคืออะไร "ไต" มีรูปร่างเหมือนเมล็ดถั่ว ขนาดเท่ากำปั้น ๒ ข้าง อยู่ข้างหลังช่องท้องข้างละ ๑ อัน ไตทำหน้าที่เกี่ยวกับการขับถ่ายของเสียออกมาจากร่างกาย ผ่านทางฉี่ ข้างละราวๆ 1 ล้านหน่วย รวมทั้งยังช่วยรักษาสมดุลของน้ำ เกลือแร่ แล้วก็สมดุลกรด-ด่างภายในร่างกาย สร้างฮอร์โมน อาทิเช่น ฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมสมดุล แคลเซียม แล้วก็ฟอสเฟต (คือ วิตามินดี นั่นเอง) และฮอร์โมนกระตุ้นไขกระดูกให้สร้างเม็ดเลือดแดง การที่ไตมี 2 ข้างนับเป็นความฉลาดหลักแหลมของธรรมชาติอย่างหนึ่ง คนเราบางครั้งอาจจะเสียไตไปข้างหนึ่ง รวมทั้งยังสามารถมีชีวิตอยู่ได้ตามธรรมดา ด้วยเหตุว่าไตข้างที่เหลือจะดำเนินงานแทนได้แทบร้อยเปอร์เซ็นต์ และถ้าเกิดไตที่เหลืออีกข้างหนึ่งมีการเริ่มเสียไปอีกอย่างช้าๆร่างกายก็จะปรับนิสัยไปได้เรื่อยก็ยังไม่กำเนิดอาการอะไรด้วยเหมือนกัน จนเมื่อไตเสียไปมาก ดำเนินการได้เพียงแต่โดยประมาณ 10 เปอร์เซ็นต์แล้วนั่นแหละ ก็เลยจะเกิดมีลักษณะของโรคไต

    โรคไตเรื้อรังเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่สำคัญของคนทั่วไป มีผลต่อต่อพลเมืองทุกอายุ เชื้อชาติ และทุกสถานะทางเศรษฐกิจ ความชุกรวมทั้งอุบัติการณ์ของโรคที่เพิ่มขึ้นเพราะว่าเบาหวาน ความดันเลือดสูง รวมทั้งโรคอ้วน ในสหรัฐฯมีราษฎรมากยิ่งกว่า 20 ล้านคน หรือ 1 ใน 9 คนที่เป็นโรคไตเรื้อรัง และมีราษฎรกว่า 20 ล้านคนที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไตเรื้อรัง เพราะผู้ป่วนปั่นจะไม่มีอาการในระยะเริ่มต้น อาการไตวายจะปรากฏเมื่อไตอับอายขายขี้หน้าที่สำหรับการดำเนินงานไปมากกว่าร้อยละ 70 – 80  โรคไตเรื้อรัง เป็นสภาวะที่มีการเสื่อมหลักการทำงานของไตอย่างสม่ำเสมอเป็นระยะเวลานานเป็นเดือนหรือปี หรือมีตัวระบุว่าไตถูกทำลายจากความไม่ดีเหมือนปกติของเลือดหรือปัสสาวะหรือการตรวจทางรังสี หรืออัตราการกรองของไตลดน้อยลงน้อยกว่า 60 มิลลิลิตร/นาที/พื้นผิวร่างกาย 1.73 ตารางเมตร ตรงเวลา 3 เดือน หรือมากยิ่งกว่า 3 เดือน ซึ่งโรคโดยมากมักจะทำให้ไตเสื่อมลงอย่างถาวร ไม่สมารถยนต์กลับมาดำเนินงานอย่างธรรมดาได้ แล้วก็เดี๋ยวนี้พบได้บ่อยขึ้นในมวลชนไทยและบางทีก็อาจจะร้ายแรงไปจนกระทั่งการเกิดภาวการณ์ไตวายแล้วก็เสียชีวิตได้ท้ายที่สุด
    การแบ่งระยะของโรคไตเรื้อรัง  โรคไตเรื้อรังแบ่งเป็น 5 ระยะ ตามระดับความรุนแรงดังต่อไปนี้
    ระยะที่ 1 เจอมีการทำลายไตเกิดขึ้น โดยเจอความเปลี่ยนไปจากปกติจากการพิสูจน์เลือดปัสสาวะเอกซเรย์ หรือพยาธิสภาพของชิ้นเนื้อไต โดยที่อัตราการกรองของไตยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ พูดอีกนัยหนึ่ง มากกว่าหรือเท่ากับ 90 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตร.ม.
    ระยะที่ 2 เจอมีการทำลายไตร่วมกับเริ่มมีการลดลงของอัตราการกรองของไตนิดหน่อยเป็นอยู่ในช่วย 60 – 89 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม
    ระยะที่ 3 มีการลดลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในช่วง 30 – 59 มล. ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม
    ระยะที่ 4 มีการลดน้อยลงของอัตราการกรองของไตรุนแรง เป็นอยู่ในตอน 15 – 29 มิลลิลิตร ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจม.
    ระยะที่ 5 มีสภาวะไตวายเรื้อรังระยะในที่สุด (อัตราการกรองของไตน้อยกว่า 15 มล.ต่อนาทีต่อพื้นที่ผิวกาย 1.73 ตำรวจมัธยม)

  • ที่มาของโรคไตเรื้อรังคือ โรคไตเรื้อรังมีมูลเหตุการเกิดโรคได้หลายสาเหตุ ซึ่งแบ่งมูลเหตุการเกิดได้ดังนี้ ต้นเหตุนอกไต เป็นต้นว่า โรคเบาหวาน พบว่ามีคนไข้ที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 1 ที่พึ่งพิงอินสุลิน 20-50% ที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดไตวายเรื้อรังระยะท้ายที่สุดภายในช่วงเวลา 20-30 ปี ที่เริ่มรักษาโดยใช้การให้อินสุลิน และโรคเบาหวานยังทำให้กำเนิดโรคไตเรื้อรังได้ถึงจำนวนร้อยละ 30-40 รวมทั้งกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดไตวายเรื้อรังระยะสุดท้ายได้ถึงร้อยละ 45 นอกจากนั้นเบาหวานยังเป็นปัจจัยเสี่ยงที่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิต ความดันโลหิตสูง แล้วก็ไขมันในเลือดสูงได้ เบาหวานทำให้มีความผิดธรรมดาของเส้นโลหิตหลอดฝอยไต ทำให้เส้นโลหิตแข็งเพิ่มแรงต้านทานของหลอดเลือดที่ไต และระบบความดันโลหิตสูงขึ้น ไตได้รับเลือดลดน้อยลง และขาดเลือด ก็เลยทำให้มีการเกิดไตล้มเหลวตามมา  โรคความดันเลือดสูง พบว่าความดันโลหิตสูงเป็นสาเหตุที่นำมาซึ่งโรคไตเรื้องรังได้ถึงร้อยละ 28 ด้วยเหตุว่าไตจึงควรได้รับเลือดมาเลี้ยงเยอะมากๆจากการบีบตัวของหัวใจ ซึ่งมีผลต่ออัตราการกรองและก็การทำหน้าที่ของไต ความดันดลหิตสูงทำให้เลือดมาเลี้ยง ไตน้อยลงก็เลยทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของไตผิดปกติเช่นเดียวกัน ความดันดลหิตสูงเกิดเนื่องจากเส้นเลือดแดงที่ไตตีบแข็ง หรือขาดเลือด ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ไตน้อยลง รวมทั้งกระตุ้นระบบเรนินแองจิโอเทนซิน อัลโดสเตอโรน ทำให้เพิ่มความดันดลหิต ยิ่งไปกว่านี้ ความดันโลหิตสูงยังเกี่ยวข้องกับโรคของเนื้อไต ยกตัวอย่างเช่น Glomerulonephritis, Polycystic Disease, Pyelonephritis ฯลฯ ทำให้ไตขับน้ำ รวมทั้งเกลือได้ลดลง มีการคั่งของน้ำแล้วก็เกลือเพิ่มขึ้น ความดันเลือดต่ำ ภาวะช็อคจากหัวใจรวมทั้งเส้นโลหิต หรือความดันเลือดต่ำมีผลต่อการทำหน้าที่ของไต ทำให้หลอดเลือดที่ไตหดตัว เลือดไปเลี้ยงที่ไตลดลง  โรคระบบหัวใจรวมทั้งเส้นเลือด ส่งผลต่อจำนวนเลือดที่ออกมาจากหัวใจ รวมทั้งระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งส่งผลต่อวิธีการทำหน้าที่ไต ทำให้ไตลดการขับน้ำรวมทั้งโซเดียม มีการคั่งของน้ำในเส้นโลหิต ทำให้มีการเกิดอาการบวม โรคของหลอดเลือดส่วนปลาย ดังเช่น การเกิดลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือด (Thromboembolic) ภาวการณ์ Disseminated Intravascular Coagulopathy ส่งผลต่อระบบการไหลเวียนของเลือดที่ไต เป็นสาเหตุให้ไตขาดเลือด การต่อว่าดเชื้อในกระแสเลือด อาจมีผลต่อกระบวนการทำหน้าที่ของไต ส่งผลต่อระบบไหลเวียนเลือด ทำให้ความดันเลือดต่ำและจะทำการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำให้เกิดGlomerulonepritis การตั้งครรภ์ ส่งผลต่อการทำหน้าที่ขอบงไต การมีท้องในไตรมาสแรก ทำให้ไตมีขนาดใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะดำรงอยู่ 9 -1 2 อาทิตย์ ทำให้อัตราการกรองของไตมากขึ้น 30 – 50 % ระหว่างตั้งท้อง ทำให้ Creatinine Clearance เพิ่มขึ้น การขับกรดยูริกต่ำลง การตั้งครรภ์อาจส่งผลให้โปรตีนในเยี่ยวเพิ่มขึ้น ปัสสาวะมากเพิ่มขึ้น รวมทั้งปัสสาวะบ่อยมากในตอนการคืน

สารที่เป็นพิษต่อไต จะทำลายเซลล์ของไต ทำให้ไตได้รับบาดเจ็บ เกิด  Acute Tubular Necrosis  Aminoglycosides, Tetacyclines, Amphoteracin B, Cephalosporin, Sulfonamide โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท สารหนู ทองแดง แคดเมียม ทองลิเทียม พิษต่างๆอาทิเช่น เห็ดพิษ แลงกัดต่อย สมุนไพรที่เป็นพิษ พิษจากงู ยาชา สารทึบแสงสว่าง ยาพารา อาทิเช่น Salicylates, Acitaminophen, Phenacetin, NSAID ฯลฯ
โรคที่เกิดขึ้นและมีสาเหตุมาจากไตเอง นิ่ว ทำให้มีการเคลื่อนที่มาอุดตันได้ในระบบฟุตบาทปัสสาวะ และก็มีการทำลายเนื้อไต การอักเสบที่กรวยไต ทำให้มีการสนองตอบต่อการอักเสบ ทำให้เม็ดเลือดขาวมากขึ้น กระบวนการอักเสบกระตุ้นให้เกิดการบวมของเนื้อเยื่อ เมื่อการอักเสบได้รับการรักษาก็จะทำให้กำเนิด fibrosis ทำให้มีการดูดกลับและก็การขับสิ่งต่างๆเปลี่ยนไป ทำให้แนวทางการทำหน้าที่ของไตต่ำลง ภาวะไตบวมน้ำ ทำให้มีการขยายของกรวยไต แล้วก็ Calices ทำให้มีการอุดกันของปัสสาวะ การสะสมของน้ำเยี่ยว ทำให้มีการเกิดแรงดันในกรวยไตมากขึ้น และก็เป็นสาเหตุให้หน่วยไตถูกทำลาย มะเร็งในไต เนื้องอกที่โตขึ้นอย่างรวดเร็วก่อให้เกิดการอุดกันของระบบทางเท้าเยี่ยว รวมทั้งทำให้มีการเกิดไตบวมน้ำตามมา

  • ลักษณโรคไตเรื้อรัง[/url] โรคไตเรื้องรังโดยมากทำให้ไตไม่ปกติทั้งสองข้าง ในระยะต้นผู้ป่วยมักไม่มีอาการ เมื่อโรคดำเนินไปมากขึ้น อาจมีอาการต่างๆเนื่องจากไตดำเนินการผิดปกตินำไปสู่การคั่งของเกลือแร่น้ำส่วนเกินและก็ของเสียในเลือด อย่างเช่น จำนวนฉี่ลดลง ความดันเลือดสูงขึ้น ซีด อิดโรยง่ายดายมากยิ่งขึ้น ไม่อยากกินอาหาร อ้วกอาเจียน นอนไม่หลับ คันเรียกตัว มีอาการบวมที่หน้า ขา และลำตัว ความรู้สึกตัวต่ำลง หรือมีลักษณะชัก เป็นต้น

    ซึ่งอาการของโรคไตเรื้อรัง สามารถแบ่งได้ 5 ระยะตามระดับของค่าประเมินอัตราการกรองของไต (Epidermal growth factor receptor : eGFR) ซึ่งเป็นค่าที่ทำนองว่าในแต่ละนาทีไตสามารถกรองของเสียออกจากเลือดได้เท่าไหร่ โดยในคนทั่วไปจะมีค่านี้อยู่ราวๆ 90-100 มล./นาที โดยระยะของโรคไตเรื้อรังนั้นมีดังนี้
    ระยะที่ 1 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการบอกให้เห็นแจ่มกระจ่าง แม้กระนั้นรู้ได้จากการตรวจทางพยาธิวิทยา ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์เลือด การตรวจค่าประเมินอัตราการกรองของไต (eGFR) ซึ่งในระยะต้นนี้ค่า eGFR จะอยู่ที่ประมาณ 90 มิลลิลิตร/นาที ขึ้นไป แต่ว่าบางทีอาจพบอาการไตอักเสบหรือภาวการณ์โปรตีนรั่วออกมาปะปนในเลือดหรือในปัสสาวะ ระยะที่ 2 เป็นระยะที่อัตราการกรองของไตลดน้อยลง แต่ยังไม่มีอาการอะไรก็แล้วแต่บ่งบอกถึงนอกเหนือจากการตรวจทางพยาธิวิทยาดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว ซึ่งค่า eGFR จะเหลือเพียงแค่ 60-89 มล./นาที ระยะที่ 3 เป็นระยะที่ยังไม่มีอาการอะไรก็ตามแสดงออกมาให้เห็น นอกจากค่า eGFR ที่ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงนี้จะแบ่งออกเป็น 2 ระยะย่อยหมายถึงระยะย่อย 3A ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 45-59 มิลลิลิตร/นาที และก็ระยะย่อย 3B ซึ่งจะมีค่า eGFR อยู่ที่ 30-44 มิลลิลิตร/นาที ระยะที่ 4 อาการต่างๆของผู้ป่วยจะค่อยแสดงในช่วงนี้ เว้นเสียแต่ค่า eGFR จะต่ำลงเหลือแค่ 15-29 มล./นาทีแล้ว จะสังเกตว่ามีเยี่ยวออกมากแล้วก็ปัสสาวะหลายครั้งช่วงกลางคืน ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอ่อนเพลีย เหน็ดเหนื่อยง่าย เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลดน้อยลง อ้วก อ้วก นอนไม่หลับ ขาดสมาธิ ความจำไม่ดี ปวดศีรษะ ตามัว ท้องร่วงบ่อยครั้ง ชะตามปลายมือปลายตีน ผิวหนังแห้งแล้วก็มีสีคล้ำ (จากของเสียเป็นต้นเหตุกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดสารให้สีของผิวหนังเปลี่ยนแปลง) คันตามผิวหนัง (จากของเสียที่คั่งส่งผลให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนัง) บางรายอาจมีอาการหอบเมื่อยล้า สะอึก กล้ามเนื้อเป็นตะคริวบ่อยครั้ง ใจหวิว ใจสั่น เจ็บหน้าอก มีอาการบวมเรียกตัว (โดยเฉพาะอย่างยิ่งรอบดวงตา ขา รวมทั้งเท้า) หรือมีเลือดออกตามผิวหนังเป็นจุดแดงจ้ำเขียว หรืออาเจียนเป็นเลือด ถ่ายเป็นเลือด โลหิตจาง หรือรู้สึกป่วยหนักเนื้อสบายตัวตลอดเวลา ระยะที่ 5 เป็นระยะในที่สุดของภาวการณ์ไตวาย ค่า eGFR เหลือไม่ถึง 15 มิลลิลิตร/นาที เว้นเสียแต่คนเจ็บจะมีลักษณะอาการคล้ายกับระยะที่ 4 แล้ว ยังอาจมีสภาวะโลหิตจางที่รุนแรงขึ้น และบางทีอาจตรวจเจอการเสียสมดุลของแคลเซียม ฟอสเฟต หรือสารอื่นๆที่อยู่ในเลือด นำมาสู่ภาวการณ์กระดูกบางและเปราะหักง่าย แม้มิได้รับการรักษาอย่างทันการก็บางครั้งก็อาจจะเสียชีวิตได้

  • กรุ๊ปบุคคลที่เสี่ยงที่จะเกิดโรคไตเรื้อรัง
  • คนที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่มีภาวะเสี่ยงเป็นโรคความดันเลือดสูง
  • คนที่มีภาวการณ์เสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจ
  • ผู้ที่รับประทานยาบางชนิดติดต่อกันเป็นระยะเวลานานๆเกินไป อย่างเช่น ยาปฏิชีวนะบางประเภท ตัวอย่างเช่น Tetacyclines, Amphoteracin B อื่นๆอีกมากมาย รวมทั้งยาพารา ดังเช่นว่า ยากลุ่ม NSAIDs, Acitaminophen Salieylates เป็นต้น
  • กระบวนการรักษาโรคไตเรื้อรัง การวินิจฉัยโรคไตเรื้อรังมีดังนี้  การคาดการณ์อัตราการกรองของไตโดยใช้สูตร  Cockcroft-gault หรือสูตร Modification  of Diet in Renal Disease (MDRD) การคาดคะเนจำนวนโปรตีนในปัสสาวะ โดยใช้แถบตรวจปัสสาวะ  (Dipstick  Test) เมื่อแถบตรวจตรวจวัดผลประโยชน์ 1 บวกขึ้นไป ควรจะตรวจฉี่ยืนยันจำนวนโปรตีนด้วยการประมาณค่ารูปร่างของโปรตีนต่อครีเอตินิน  การตรวจอื่นๆด้วยการตรวจขี้ตะกอนฉี่  (Urine Sediment)

หรือใช้แถบ วัดหาเม็ดเลือดแดง รวมทั้งเม็ดเลือดขาว การตรวจทางรังสี การตรวจทางรังสี การตรวจอัลตราซาวด์ เพื่อมองว่ามีการตัน มีนิ่ว และมี Polycystic Kidney Disease รวมทั้งยังมีการวินิจฉัยแยกโรคที่ทำได้ทางสถานพยาบาลจากอาการและก็อาการแสดงของโรค รวมทั้งตรวจเลือดหาระดับ BUN, creatinine และก็ระดับฮอร์โมนต่อมไทรอยด์อื่นๆลักษณะการทำงานของตับ รวมถึง X-ray หัวใจ และก็ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ฯลฯ
                การรักษาไตวายเรื้อรัง แม้สงสัยว่าเป็นโรคไตเรื้อรัง ควรจะส่งผู้เจ็บป่วยไปโรงพยาบาลเพื่อกระทำตรวจปัสสาวะ ตรวจเลือด ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรืออัลตราซาวนด์ หรือตรวจพิเศษอื่นๆและก็บางรายอาจจำเป็นต้องทำเจาะเก็บเยื่อจากไตเพื่อส่งไปเพื่อทำการตรวจด้วย โดยการรักษานั้นจะแบ่งได้ 2 ช่วงใหญ่ๆตามระยะของโรคด้วย คือ โรคไตเรื้อรังระยะที่ 1-3 (เป็นระยะที่ยังไม่ต้องกระทำรักษา แต่จะต้องมาพบแพทย์เพื่อตรวจดูค่าประเมินอัตราการกรองของไต ซึ่งหมออาจนัดหมายมาตรวจทุก 3 เดือน หรืออาจนัดมาตรวจถี่ขึ้นเพื่อติดตามอาการอย่างใกล้ชิดถ้าค่าประเมินอัตราการกรองของไตน้อยลงมากขึ้น) และก็โรคไตเรื้อรังระยะที่ 4-5 (เป็นระยะที่ไตปฏิบัติงานน้อยลงเป็นอย่างมาก คนเจ็บต้องได้รับการดูแลและรักษาหลายๆแนวทางร่วมกันเพื่อช่วยเหลืออาการให้อยู่ในระดับคงที่เพื่อคอยการปลูกถ่ายไต รวมทั้งการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนต่างๆร่วมด้วย) สำหรับวิธีการดูแลรักษาต่างๆนั้นจะแบ่งได้เป็น
การดูแลรักษาที่ต้นเหตุ หากคนไข้มีปัจจัยกระจ่าง หมอจะให้การรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ ได้แก่ ให้ยาควบคุมโรคเบาหวาน โรคความดันเลือดสูง โรคเกาต์ ผ่าตัดนิ่วในไต ฯลฯ นอกนั้นยังจำต้องรักษาภาวการณ์ไม่ดีเหมือนปกติต่างๆที่มีสาเหตุมาจากภาวการณ์ไตวายด้วย
การล้างไต (Dialysis) สำหรับคนเจ็บไตวายเรื้อระยะท้าย (มักมีระดับยูเรียไนโตรเจนแล้วก็ระดับครีอะตินีนในเลือดสูงเกิน 100 และ 10 มิลลิกรัม/ดล. เป็นลำดับ) การรักษาด้วยยาจะไม่ได้เรื่อง คนเจ็บจำต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยขัดล้างของเสียหรือล้างไต ซึ่งจะมีอยู่ร่วมกันหลายวิธี ซึ่งจะสามารถช่วยทำให้ผู้ป่วยมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น ซึ่งบางรายอาจอยู่ได้นานเกิน 10 ปีขึ้นไป แต่ว่าก็ยังมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างจะแพงอยู่ ทั้งนี้การจะเลือกล้างไตด้วยแนวทางใดนั้นก็ขึ้นกับดุลยพินิจของหมอเป็นหลัก เพราะการล้างไตจะมีผลข้างๆหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นความดันโลหิตต่ำ เวียนศีรษะ หน้ามืด อาเจียน ทั้งยังการล้างไตบางแนวทางอาจไม่เหมาะสมกับสภาพร่างกายของผู้ป่วยอีกด้วย โดยเหตุนี้ ก็เลยต้องให้หมอเป็นผู้วินิจฉัยและตัดสินใจว่าการล้างไตแบบใดจะเหมาะกับผู้เจ็บป่วยสูงที่สุด)
การปลูกถ่ายไต (Kidney transplantation หรือ Renal transplantation) คนไข้โรคไตเรื้อรังระยะท้ายบางราย หมออาจตรึกตรองให้การรักษาโดยใช้การผ่าตัดปลูกถ่ายไต ซึ่งวิธีการแบบนี้นับว่าเป็นแนวทางที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบัน เพราะถ้าเกิดการเปลี่ยนถ่ายไตได้ประสิทธิภาพที่ดีก็จะสามารถช่วยให้คนป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีเหมือนคนธรรมดาและก็แก่ได้ยืนยาวขึ้นนานเกิน 10-20 ปีขึ้นไป แต่ การเปลี่ยนถ่ายไตก็เป็นกระบวนการรักษาที่มีความยุ่งยากสลับซับซ้อนหลายประการ ราคาแพงแพง แล้วก็ต้องหาไตจากญาติสายตรงหรือผู้ให้ที่มีไตกับเนื้อเยื่อของคนป่วยได้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ทั้งยังปริมาณของไตที่ได้รับการให้ทานก็ยังมีน้อยกว่าผู้ที่รอคอยรับการบริจาค ผู้เจ็บป่วยก็เลยบางทีอาจต้องทำความสะอาดโดยการล้างไตต่อไปเรื่อยตราบจนกระทั่งจะหาไตที่เข้ากันได้ (แม้จะได้รับการล้างไตแล้ว แต่ว่าลักษณะของไตวายเรื้อรังจะยังไม่หายไป ซึ่งผู้ป่วยจะต้องได้รับการดูแลและรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายไตแค่นั้น) นอกจาก คราวหลังการเปลี่ยนถ่ายไต ผู้ป่วยต้องรับประทานยากดภูมิต้านทานทุกวี่ทุกวันไปตลอดเพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้านไตใหม่

  • การติดต่อของโรคไตเรื้อรัง โรคไตเรื้อรังเป็นโรคที่เกิดจากสภาวะที่ไตทำงานไม่ปกติและก็เป็นโรคที่ไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนและก็จากสัตว์สู่คน
  • การปฏิบัติตนเมื่อเป็นโรคไตเรื้อรัง คนไข้ที่เป็นโรคไตเรื้อรัง ควรติดตามการดูแลรักษากับหมออย่าได้ขาด ควรจะรับประทานยาและก็กระทำตนตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ไม่สมควรปรับขนาดยาเอง หรือซื้อยากินเอง ด้วยเหตุว่ายาบางอย่างอาจมีพิษต่อไตได้ นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตัว ดังนี้


  • จำกัดจำนวนโปรตีนที่กินไม่เกินวันละ ๔๐ กรัม โดยลดปริมาณของ ไข่ นม รวมทั้งเนื้อสัตว์ลง (ไข่ไก่ ๑ ฟอง มีโปรตีน ๖-๘ กรัม นมสด ๑ ถ้วยมีโปรตีน ๘ กรัม เนื้อสัตว์ ๑ ขีด มีโปรตีน ๒๓ กรัม) และก็ทานข้าว เมล็ดธัญพืช ผักแล้วก็ผลไม้ให้เยอะขึ้น
  • จำกัดจำนวนน้ำที่ดื่ม โดยคำนวณจากปริมาณเยี่ยวต่อวันบวกกับน้ำที่เสียไปทางอื่น (ราวๆ ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน) เช่น ถ้าเกิดคนป่วยมีเยี่ยว ๖๐๐ มล./วัน น้ำที่ควรได้รับพอๆกับ ๖๐๐ มิลลิลิตร + ๘๐๐ มล. (รวมเป็น ๑,๔๐๐ มิลลิลิตร/วัน)
  • จำกัดปริมาณโซเดียมที่กิน หากมีลักษณะบวมหรือมีปัสสาวะน้อยกว่า ๘๐๐ มล./วัน ควรจะงดของกินเค็ม งดใช้เครื่องปรุง (ดังเช่นว่า น้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสทุกชนิด) ผงชูรส สารกันเสีย ของกินที่ใส่ผงฟู (เป็นต้นว่า ขนมปังสาลี) อาหารกระป๋อง น้ำพริก กะปิ ปลาแดก ของดอง หนำเลี๊ยบ)
  • จำกัดปริมาณโพแทสเซียมที่กิน ถ้ามีฉี่น้อยกว่า ๘๐๐ มิลลิลิตร/วัน ควรจะเลี่ยงของกินที่มีโพแทสเซียมสูง ดังเช่น ผลไม้แห้ง กล้วย ส้ม มะละกอ มะขาม มะเขือเทศ น้ำมะพร้าว ถั่ว สะโคน มันทอด หอย เครื่องในสัตว์ ฯลฯ

ในรายที่หรูหราความดันเลือดสูง ควรจะลดระดับความดันโลหิตให้เข้าขั้นน้อยกว่า 130/80 มม.ปรอท โดยการกินอาหารที่ไม่เค็ม บริหารร่างกาย และกินยาจากที่แพทย์ชี้แนะอย่างสม่ำเสมอ คนไข้ที่เป็นโรคเบาหวาน ร่วมด้วยควรจะควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ใกล้เคียงปกติ โดยยิ่งไปกว่านั้นในรายที่ยังเริ่มมีโรคไตเรื้อรังช่วงแรกๆก็เลยจะสามารถคุ้มครองปกป้องหรือชะลอการเสื่อมของไตได้ คนเจ็บควรจะได้รับการดูแลและรักษาโรคหรือภาวการณ์ที่เป็นต้นเหตุของโรคไตเรื้อรังร่วมด้วย เช่น รักษาการอักเสบที่ไต กำจัดนิ่วในทางเดินฉี่ รักษาโรคเก๊าท์ หยุดยาที่ทำลายไต ฯลฯ นอกนั้นคนไข้โรคไตเรื้อรังควรได้รับการตรวจเลือดรวมทั้งเยี่ยวเป็นระยะ เพื่อประเมินแนวทางการทำงานของไต และก็รักษาผลแทรกฝึกที่เกิดจากโรคไตเรื้อรัง

  • การปกป้องคุ้มครองตนเองจากโรคไตเรื้อรัง ตรวจเช็กมองว่า เป็นความดันเลือดสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน และก็โรคเกาต์ หรือไม่ ถ้าเป็นจะต้องรักษาอย่างเอาจริงเอาจังและก็ตลอดกระทั่งสามารถควบคุมระดับความดันโลหิต ระดับน้ำตาลรวมทั้งกรดยูริกในเลือดให้เข้าขั้นธรรมดา  เมื่อเป็นโรคติดโรคฟุตบาทปัสสาวะ (ตัวอย่างเช่น) กระเพาะปัสสาวะอักเสบ แขนวมไตอับเสบ) หรือมีภาวะอุดกันฟุตบาทเยี่ยว (ดังเช่นว่า นิ่ว ต่อมลูกหมากโต) ต้องกระทำรักษาให้หายสนิท ควรจะรับการตรวจสุขภาพอย่างต่ำปีละครั้ง รวมถึงการตรวจเลือดและฉี่ โดยเฉพาะคนที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไตเรื้อรัง เลี่ยงการทานอาหารรสเค็ม หลีกเลี่ยงการใช้ยาและก็สารที่เป็นพิษต่อไต ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไตจะเสื่อมความสามารถจนกระทั่งเป็นไตวายได้ เช่น ยาพาราข้อปวดกระดูก ยาชุด ยาหม้อ รวมทั้งยาปฏิชีวนะบางจำพวก เลี่ยงการกลั้นปัสสาวะนานๆเนื่องจากทำให้เชื้อโรคเข้าสู่กระเพาะเยี่ยว รวมทั้งมีการอักเสบ หลีกเลี่ยงการสูบยาสูบ
  • สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/บำรุงไต กระเจี๊ยบแดง ส่วนที่นำมาใช้เป็นสมุนไพรฟอกเลือดบำรุงไตให้ย้ำไปที่ดอกสีแดงสด ใช้เป็นยาบำรุงร่างกาย ขับฉี่ บำรุงเลือด แก้โรคนิ่วในไต ใบบัวบก    ใบบัวบกนับว่ามีคุณประโยชน์โดยตรงสำหรับผู้ที่เป็นโรคไต ด้วยเหตุว่ามีสารสำคัญหลายอย่างที่เกี่ยวพันกับระบบเลือดโดยตรง ยกตัวอย่างเช่น ตรีเตอพีนอยด์(อะซิเอติเตียนโคไซ) ช่วยทำให้มีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้นสำหรับเพื่อการสร้างคอลลาเจน เพิ่มความแข็งแรงของผนังเส้นเลือด ทำให้ผนังเส้นเลือดมีความหยืดหยุ่นเพื่มมากยิ่งขึ้น ช่วยลดความดันเลือดสูง       ใบบัวบกก็เลยมีสรรพคุณสำหรับเพื่อการช่วยชะลอการเสื่อมของไต ในคนเจ็บโรคไตได้อย่างดีเยี่ยม ผู้ที่ดื่มน้ำใบบัวบกนอกจากจะไม่เครียดแล้วยังช่วยขยายหลอดเลือดนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนออกสิเจนในเส้นเลือดฝอยมากยิ่งขึ้น ร่างกายจะสามารถจับออกสิเจนอิสระได้มากขึ้น ทำให้เลือดสะอาด เป็นการฟอกเลือดไปในตัว เห็ดหลินจือ คุณครูคณะแพทย์ศาสตร์ จุฬาฯ ได้นำคุณประโยชน์ของเห็ดหลินจือมาทดสอบรักษาผู้เจ็บป่วยโรคไต ปรากฏว่าช่วยลดปริมาณไข่ขาวในปัสสาวะได้ แล้วก็ช่วยชะลออาการไตเสื่อมได้ดี    ปัญหาของผู้เจ็บป่วยโรคไต เป็นจะมีสารที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดการอักเสบจะลดต่ำลง จากการเรียนพบว่าเห็ดหลินจือ ช่วยลดการอักเสบของเยื้อเยื่อภายในร่างกายได้ น้ำขิงร้อนๆใช้เป็นยากระจายเลือด ขับเลือดเสียได้อย่างดี  สำหรับคนที่เป็นโรคไตดื่มบ่อยๆจะดี ดื่มเพื่อบำรุงไต เพราะว่าช่วยลดการอักเสบภายใน ตลอดจนเป็นยาขับปัสสาวะอ่อนๆช่วยขับเยี่ยวที่ค้างอยู่ภายใน สลายนิ่วและก็สิ่งตัน ช่วยลดไขมันในเส้นโลหิต ตลอดจนช่วยกำจัดพิษที่หลงเหลือได้ เก๋ากี้ฉ่าย    ผู้ที่มีความดันโลหิตสูงดื่มเสมอๆจะช่วยลดระดับความดันโลหิต ทำให้หัวใจแข็งแรง สำหรับผู้ป่วยโรคไต ชาเก๋ากี้จะช่วยลดภาระให้แก่ไต ไม่ว่าจะเป็นการลดไขมันในกระแสเลือด ช่วยดูดซับน้ำตาล ช่วยขับฉี่ ชะลอการเสื่อมของไต
เอกสารอ้างอิง

  • Porth, C. M. (2009). Disoder ot renal function. In C.M. Porth., G. Matfin, PathophysiologyConcept of Altered Health Status (8th ed., pp. 855-874). Philadelphia: Wolters Kluwer Health Lippincott Williams & Wilkins.
  • K/DOQI clinical practice guidelines on hypertension and antihypertensive agents in chronickidney disease. Am J Kidney Dis 2004; 43:S1.
  • ผศ.นพ.สุรศักดิ์ กันตชูเวสศิริ. Patient with chronic kidney diseases. ภาควิชาอายุรศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • ศศิธร ชิดนายี.(2550).การพยาบาลผู้ป่วยไตวายเรื้อรังที่ไดรับการฟอกเลือดด้วยเครื่องไตเทียม.กรุงเทพฯ:ธนาเพรส
  • ธนนท์ ศุข.ไตวายเรื้อรังป้องกันได้!.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 295.คอลัมน์เรื่องเด่นจากปก.พฤศจิกายน.2547
  • Ong-Ajyooth L, Vareesangthip K, Khonputsa P, Aekplakorn W.Prevalence of chronic kidney disease in Thai adults: a national health survey. BMC Nephrol 2009;10:35.
  • National Kidney Foundation, (2002). K/DOQI Clinical Practice Guideline for chronic kidney disease: Evaluation, classification, and stratification. Retrieved October 15, 2009, from http://www. kidney.or/kdoqi/guideline-ckd/toc.htm. http://www.disthai.com/[/b]
  • Chobanian AV, Bakris GL, Black HR, Cushman et al. The Seventh Report of the Joint NationalCommittee on Prevention, Detection, Evaluation, and Treatment of High Blood Pressure: The JNC 7 Report. JAMA 2003; 289:2560.
  • ผศ.นพ.สุชาติ อินทรประสิทธิ์.โรคไต.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 9.คอลัมน์โรคน่



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ