Advertisement
โรคไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)โรคไส้ติ่งอักเสบคืออะไร ไส้ติ่ง (Vermiform appendix) เป็นส่วนเพิ่มเติมของไส้ที่ยื่นออกมาจากกระพุ้งไส้ใหญ่ (Cecum) ไส้ติ่งมีรูปร่างเสมือนถุงยาวๆขนาดเท่านิ้วก้อย ยื่นออกมาจากลำไส้ใหญ่ อยู่ตรงบริเวณท้องน้อยข้างขวา โดยมีลักษณะเป็นถุงแคบแล้วก็ยาว มีขนาดกว้างเพียงแค่ 5-8 มม. และมีความยาวหรือก้นถุงลึกโดยเฉลี่ย 8-10 เซนติเมตร (ในผู้ใหญ่) ด้านในมีรูติดต่อกับลำไส้ใหญ่ส่วนต้น ฝาผนังข้างในของไส้ติ่งมีเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลืองกระจายอยู่ ซึ่งเป็นเยื่อเกิดการอักเสบได้ง่าย โดยเนื้อเยื่อนี้จะมีการเพิ่มปริมาณมากมายช่วงวัยรุ่น จึงเจอไส้ติ่งอักเสบกำเนิดได้บ่อยครั้งในวัย รุ่น ไส้ติ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของลำไส้ใหญ่ที่ฝ่อตัวลงและไม่ได้ทำหน้าที่ในการย่อยรวมทั้งซับอาหาร ด้วยเหตุว่าเป็นท่อขนาดเล็กปลายตัน เมื่อเกิดการอักเสบจึงทำให้เนื้อผนังไส้ติ่งเน่าตายรวมทั้งเป็นรูทะลุในเวลาอันรวดเร็วทันใจได้
ไส้ติ่งอักเสบคือ อาการบวมและติดเชื้อของไส้ติ่งนับเป็นอาการที่เกิดขึ้นอย่างกระทันหันรวมทั้งอันตราย ซึ่งจำเป็นที่จะต้องได้รับการผ่าตัดอย่างรีบ ด่วน เพราะว่าถ้าทิ้งไว้นาน ไส้ติ่งที่อักเสบมักแตกกระจายเชื้อโรคสู่ช่องท้อง และก็บางทีอาจเป็นสา เหตุรุนแรงจนถึงติดโรคในกระแสโลหิตจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
โดยการเสียชีวิตโดยมากของโรคไส้ติ่งอักเสบมีสาเหตุมาจากภาวะเยื่อบุช่องท้องอักเสบแล้วก็ภาวการณ์ช็อค โรคไส้ติ่งอักเสบได้รับการอธิบายเป็นครั้งแรกโดย Reginald Fitz ในปี พ.ศ. 2429 ปัจจุบันนี้ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นเลิศในสาเหตุของลักษณะของการปวดท้องร้ายแรงรุนแรงที่มักพบที่สุดทั้งโลกรวมทั้ง โรคไส้ติ่งอักเสบยังพบเป็นสาเหตุอันดับแรกๆของโรคปวดท้อง ที่จำเป็นต้องรักษาด้วยแนวทางผ่าตัดเร่งด่วน บ่อยที่ค้นพบว่าคนไข้ปล่อยให้มีอาการปวดท้องนานหลายวันแล้วพอหลังจากนั้นก็ค่อยมาโรงหมอ ซึ่งมักจะพบว่าเป็นถึงขั้นไส้ติ่งแตกแล้ว ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย ตั้งแต่เด็กอายุ 2 ขวบไปจนกระทั่งคนชรา และก็ยังรวมทั้งหญิงตั้งครรภ์ แม้กระนั้นจะมักพบในช่วงอายุ 10-30 ปี (พบได้น้อยในคนชรา เนื่องจากไส้ติ่งตีบยุบมีเยื่อหลงเหลือน้อย แล้วก็ในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 3 ปี ด้วยเหตุว่าโคนไส้ติ่งยังค่อนข้างจะกว้าง) ในสตรีรวมทั้งเพศชายมีโอกาสเป็นโรคนี้ได้เท่าๆกัน และมีการคาดทำนองว่าในทั้งชีวิตของผู้คนจะได้โอกาสเป็นโรคนี้ราวๆ 7% ในปีๆหนึ่งจะมีคนป่วยเป็นโรคนี้โดยประมาณ 1 ใน 1,000 คน
สิ่งที่ทำให้เกิดโรคไส้ติ่งอักเสบ ไส้ติ่งอักเสบ เกิดขึ้นได้เนื่องมาจากมีสภาวะอุดกันของรูไส้ติ่ง ส่วนการอุดกั้นนั้นส่วนใดส่วนหนึ่งเป็นการเกิดขึ้นเองโดยไม่เคยรู้ต้นสายปลายเหตุเด่นชัด แม้กระนั้นส่วนหนึ่งมีเหตุมาจากมีเศษอุจจาระแข็งๆเรียกว่า "นิ่วอุจจาระ" (fecalith) ชิ้นเล็กๆตกลงไปอุดกั้นอยู่ภายในรูของไส้ติ่ง แล้วทำให้เชื้อแบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในรูไส้ติ่งปริมาณน้อยเกิดการเจริญรุ่งเรืองขยายพันธุ์แล้วก็รุกล้ำเข้าไปในฝาผนังไส้ติ่ง จนเกิดการอักเสบตามมา ถ้าหากปลดปล่อยไว้เพียงแต่ไม่กี่วัน ฝาผนังไส้ติ่งก็มีการเน่าตายรวมทั้งแตกทะลุได้ รวมทั้งมูลเหตุที่พบได้รองลงมาคือ มีเหตุที่เกิดจากเนื้อเยื่อต่อมน้ำเหลือง (Lymphoid tissue) ที่ผนังไส้ติ่งที่ดกตัวขึ้นตามการอักเสบต่างๆที่เกิดขึ้นภายในร่างกาย นอกนั้นอาจเกิดขึ้นจากสิ่งแปลกปลอม (เป็นต้นว่า เมล็ดผลไม้), หนอนพยาธิ (ที่สำคัญเป็น พยาธิไส้เดือน พยาธิด้าย พยาธิตืดหมู) หรือเนื้องอก หรือบางเวลาก็อาจเกิดขึ้นจากการตำหนิดเชื้อที่ระบบทางเดินหายใจส่วนบน ที่นำมาซึ่งการทำให้ต่อมน้ำเหลืองทั่วร่างกาย และก็ต่อมน้ำเหลืองในไส้ติ่งมีการปฏิกิริยาตอบสนองด้วยการขยายตัวขึ้นจนไปปิดกั้นไส้ติ่ง และทำให้ไส้ติ่งที่อาจมีเชื้อโรคอาศัยอยู่กำเนิดอาการอักเสบท้ายที่สุด ในคนป่วยบางรายบางทีอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัสไซโตเมกะโล (Cytomegalovirus) ซึ่งมักจะพบได้ในผู้ป่วยเอดส์ รวมทั้งบางรายอาจเป็นไส้ติ่งอักเสบโดยที่แพทย์ไม่รู้ต้นเหตุเลยก็ได้
อาการโรคไส้ติ่งอักเสบ อาการสำคัญของโรคไส้ติ่งอักเสบนั้นคือ คนป่วยจะมีลักษณะเจ็บท้องที่มีลักษณะต่อเนื่องรวมทั้งปวดแรงขึ้นนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป หากมิได้รับการรักษาก็มักจะปวดอยู่นานหลายวัน กระทั่งผู้ป่วยทนปวดไม่ไหวจะต้องพาส่งโรงหมอ ซึ่งอาการของไส้ติ่งอักเสบนั้นอาจแบ่งออกเป็นสองจำพวก เป็นจำพวกตรงไปตรงมาและก็ประเภทไม่ตรงไปตรงมาดังนี้ จำพวกขวานผ่าซากเดิมอาจปวดแน่นตรงลิ้นปี่คล้ายโรคกระเพาะ บางคนบางทีอาจปวดบิดเป็นพักๆรอบๆสะดือ คล้ายลักษณะของการปวดแบบท้องร่วง อาจเข้าส้วมหลายครั้ง แม้กระนั้นถ่ายไม่ออก (แม้กระนั้นบางคนอาจมีอาการถ่ายเป็นน้ำหรือ ถ่ายเหลวร่วมด้วย)ถัดมาจะมีอาการอาเจียน อ้วก ไม่อยากกินอาหารร่วมด้วย ลักษณะของการปวดท้องชอบไม่ดีขึ้น แม้ว่าจะรับประทานยาพาราอะไรก็ตาม ต่อมาอีก 3-4 ชั่วโมง อาการปวดจะย้ายมาที่ท้องน้อยข้างขวา มีลักษณะปวดเสียดตลอดเวลา และก็จะเจ็บมากขึ้นเมื่อมีการขยับตัว หรือเวลาเดินหรือไอจาม ผู้เจ็บป่วยจะนอนนิ่งๆถ้าเกิดเป็นมากคนเจ็บจะนอนงอขา เอียงไปข้างหนึ่ง หรือเดินตัวงอ เพื่อให้รู้สึกสบายขึ้น เมื่อถึงขั้นที่มีอาการอักเสบของไส้ติ่งแจ้งชัด มีวิธีตรวจอย่างง่ายๆคือ ให้คนเจ็บนอนหงายแล้วใช้มือกดลงลึกๆหรือใช้กำปั้นตีเบาๆตรงรอบๆไส้ติ่ง (ท้องน้อยข้างขวา)ผู้ป่วยจะรู้สึกเจ็บมากมาย (เรียกว่า อาการกดเจ็บ) ผู้เจ็บป่วยอาจมีไข้ต่ำๆ(อุณหภูมิ 37.7-38.3 องศาเซลเซียส) ส่วนชนิดไม่ไม่อ้อมค้อมนั้นอาจเริ่มต้นจากมีอาการปวดเริ่มที่ท้องข้างล่างขวาตั้งแต่ต้น ท้องเดิน และมีการดำเนินโรคที่ยาวนานค่อยๆเป็น ค่อยๆไปกว่าชนิดขวานผ่าซาก แม้ไส้ติ่งที่อักเสบสัมผัสกับกระเพาะปัสสาวะอาจก่อให้มีอาการเยี่ยวบ่อยครั้ง ถ้าเกิดไส้ติ่งที่อักเสบอยู่ข้างหลังลำไส้เล็กตอนท้ายอาจมีอาการอ้วกรุนแรงได้ บางรายอาจรู้สึกปวดเบ่ง
ส่วนผู้ป่วยในกลุ่มที่เป็นเด็ก หรือสตรีมีท้อง อาจมีอาการบางสิ่งที่ต่างจากคนโดยปกติทั่วๆไป ดังนี้- ในกรุ๊ปคนไข้ที่เป็นเด็ก เด็กที่แก่ต่ำว่า 2 ปี ลงไป จะมีอาการที่เห็นได้ชัดคือ อาเจียนมากมาย ท้องเฟ้อ แม้ใช้มือกดบริเวณท้องจะรู้สึกเจ็บ ส่วนเด็กที่แก่มากยิ่งกว่า 2 ปีขึ้นไปจะเริ่มชี้อาการได้ ซึ่งอาการก็จะไม่แตกต่างจากคนทั่วไป
- ในกลุ่มคนเจ็บที่เป็นสตรีตั้งครรภ์ เพราะว่าอวัยวะต่างๆที่ถูกดันให้สูงขึ้นเพื่อรองรับการขยายตัวของมดลูก ไส้ติ่งของสตรีมีท้องจะเขยื้อนไปอยู่ที่รอบๆหน้าท้องส่วนบน ซึ่งหากมีลักษณะอาการไส้ติ่งอักเสบจะมีผลให้ปวดรอบๆพุงส่วนบนทางด้านขวาแทน นอกจากนี้อาจมีลักษณะของการปวดบีบที่ท้อง มีแก๊สในกระเพาะ หรืออาการแสบร้อนที่กึ่งกลางอก บางรายบางทีอาจพบอาการท้องร่วง หรือท้องผูกควบคู่กัน
ผู้ป่วยโรคไส้ติ่งอักเสบถ้าหากไม่ได้รับการดูแลรักษาโดยการผ่าตัดข้างใน 24-36 ชั่วโมงหลังมีการอักเสบ ไส้ติ่งจะขาดเลือดกลายเป็นเนื้อเน่าและก็ตาย ท้ายที่สุดฝาผนังของไส้ติ่งที่เปื่อยยุ่ยจะแตกทะลุ หนองและก็สิ่งสกปรกข้างในไส้จะไหลออกมาในท้อง ทำให้กลายเป็นเยื่อบุช่องท้องอักเสบ (Peritonitis) และแม้เชื้อแบคทีเรียแผ่ขยายเข้าสู่กระแสโลหิตก็จะเกิดการติดโรคในกระแสโลหิต ก่อให้เกิดอันตรายจนถึงขั้นเสียชีวิตได้
กรรมวิธีการรักษ
โรคไส้ติ่งอักเสบ[/url] เป็นโรคที่มีปัญหาในการวิเคราะห์ให้ที่ถูกต้องค่อนข้างจะมากมาย คนไข้บางรายได้รับการวิเคราะห์ว่าเป็นโรคนี้ แต่ว่าเมื่อผ่าตัดเข้าไปก็พบว่าไส้ติ่งไม่มีการอักเสบ ผู้ป่วยบางรายแม้จะไปพบหมอแต่ก็ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคอื่น ตราบจนกระทั่งไส้ติ่งแตกแล้วจึงได้รับการดูแลและรักษาวินิจฉัยที่ถูก เด็กที่อายุน้อยกว่า 2 ขวบดูเหมือนจะทุกรายมักจะวินิจฉัยโรคนี้ได้ภายหลังการแตกของไส้ติ่งแล้ว ในเด็กเล็กและผู้เจ็บป่วยสูงอายุพบว่าอาจเกิดปัญหารุนแรง ถ้าหากได้รับการวิเคราะห์รวมทั้งรักษาโรคช้าเพราะว่ามีภูมิต้านทานต่ำ
การวิเคราะห์โรคไส้ติ่งอักเสบ การวินิจฉัยโรคในคนไข้จำนวนมากอาศัยลักษณะทางสถานพยาบาล (clinical menifestation) คืออาการและการตรวจเจอเป็นหลัก ส่วนการตรวจทางห้องปฎิบัติการแล้วก็การค้นหาทางรังสีวิทยา (radiologic investigation) หรือการตรวจเพิ่มอื่นๆมีความสำคัญน้อย เป็นประโยชน์เฉพาะในคนไข้บางรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่ชัดแจ้งเพียงแค่นั้นโดยมีวิธีการวิเคราะห์ดังนี้
- การวินิจฉัยอาการของไส้ติ่งอักเสบ เป็น
- ลักษณะของการปวดท้อง เป็นอาการที่สำคัญที่สุด ช่วงแรกมักจะปวดบริเวณสะดือ หรือบอก มิได้แจ่มแจ้งว่าปวดที่บริเวณใดแต่ว่าระยะต่อมาลักษณะของการปวดจะชัดเจนที่ท้องน้อยทางด้านขวา (right lower quadrant-RLQ)
- อาการอื่นๆที่บางทีอาจเจอร่วมด้วยเป็น
- อาเจียน คลื่นไส้ อาการนี้เจอได้ในคนป่วยแทบทุกราย
- ไข้ ชอบกำเนิดภายหลังจากเริ่มลักษณะของการปวดท้องแล้วระยะหนึ่ง
- เบื่อข้าว
- ท้องเสีย เจออาการในผู้ป่วยบางราย ชอบกำเนิดภายหลังจากไส้ติ่งแตกทะลุ หรือ ชี้แจง ได้จากไส้ติ่งอักเสบที่อยู่ตำแหน่งใกล้กับลำไส้ใหญ่ส่วน sigmoid หรือ rectum
- ในเด็กที่มีไส้ติ่งแตกทะลุอาจมาด้วยลักษณะของลำไส้อุดตันได้
- การตรวจร่างกาย เป็นสิ่งจำเป็นที่สุดในการวินิจฉัยโรค
- การกดเจ็บเฉพาะที่ (local tenderness) เกือบ 100%จะมี maximal tenderness ที่ RLQ และอาจมี guarding แล้วก็ rebound tenderness ด้วย ในคนป่วยไส้ติ่งแตกทะลุ tenderness และ guarding มักตรวจพบบริเวณกว้างขึ้นหรือเจอทั่วบริเวณท้องน้อยข้างล่างทั้งยัง 2 ข้าง จากการมี pelvic peritonitis ในรายที่เป็นก้อนไส้ติ่งอักเสบ (appendiceal mass) จาก phlegmon หรือ abscess มักคลำได้ก้อนที่ RLQ
- การตรวจทางทวารหนัก (rectal examination) ถือว่าเป็นคุณประโยชน์มากมาย จะพบว่ากดเจ็บที่ทางขวาของ cul-de-sac แต่ไม่นิยมทำในเด็กตัวเล็กๆด้วยเหตุว่าแปลผลประโยชน์ตรากตรำ ในเด็กสาวอาจมีประโยชน์สำหรับเพื่อการวิเคราะห์แยกโรคที่มีสาเหตุมาจาก twisted ovarian cyst เพราะเหตุว่าบางทีอาจคลำได้ก่อน ส่วนในรายที่สงสัยว่าอาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะ pelvic inflammatory disease นอกเหนือจากการที่จะได้ประวัติการมีเพศสัมพันธ์แล้วการตรวจด้านใน (per vagina examination - PV) จะให้คุณประโยชน์มากมาย
- การตรวจอื่นๆอาจได้ผลบวกในการตรวจ เช่น
- Rovsing sign
- Obturator sign
- Psoas sign
- การตรวจทางห้องปฎิบัติการ ไม่ค่อยมีความสำคัญเท่าไรนักในคนป่วยส่วนมาก โดยเฉพาะเมื่อการตรวจร่างกายสามารถให้การวิเคราะห์ได้อยู่แล้ว แม้กระนั้นจะทำเป็นเบื้องต้นเพื่อการดูแลระหว่างการดูแลและรักษาถัดไป ตัวอย่างเช่น
- complete blood count พบได้บ่อยว่า เม็ดเลือดขาวสูงกว่าธรรมดาแล้วก็มี shift to the left
- การตรวจปัสสาวะ ไม่ค่อยมีประโยชน์มากนักสำหรับการวินิจฉัยแยกโรค แม้กระนั้นช่วยแยกโรคอื่น ดังเช่น มีเม็ดเลือดแดงในฉี่อาจจะต้องระลึกถึงนิ่วในท่อไต
- การตรวจพิเศษ ในรายที่ลักษณะทางคลินิกบ่งชัดเจนว่าเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบกะทันหัน การตรวจพิเศษเพิ่มเติมก็ไม่สำคัญ แต่ว่าในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่แน่ชัดนั้น การตรวจพิเศษอาจมีคุณประโยชน์สำหรับในการวิเคราะห์แยกโรค เป็นต้นว่า
- การถ่ายภาพรังสีของช่องท้อง อาจเจอเงาของ fecalith หรือ localized ileus ที่ RLQ
- การตรวจด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง (ultrasonography) ของช่องท้อง หรือ barium enema ไม่จำเป็นในผู้ป่วยโดยมาก แม้กระนั้นอาจช่วยสำหรับเพื่อการวินิจฉัยโรคในผู้เจ็บป่วยบางรายที่มีปัญหาในการวินิจฉัยโรค
ไส้ติ่งอักเสบสามารถรักษาได้ด้วยการผ่าตัดเท่านั้น เพราะเหตุว่าจะช่วยรักษาอาการแล้วก็ช่วยกำจัดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะไส้ติ่งแตก โดยการผ่าตัดที่นิยมใช้ในตอนนี้เป็นการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เนื่องจากเป็นการผ่าตัดเล็กสามารถกลับไปพักฟื้นที่บ้านได้ทันที เหมาะกับกรณีไส้ติ่งที่อักเสบยังอยู่ในระยะไม่ร้ายแรงนัก ถ้าหากร้ายแรงถึงกับขนาดไส้ติ่งแตก ก็ต้องใช้การผ่าตัดแบบเปิด (Open Surgery) ซึ่งเป็นผ่าตัดแบบมาตรฐาน เพราะนอกจากจะต้องนำไส้ติ่งที่แตกออกแล้ว ยังจำต้องชำระล้างข้างในท้อง รวมทั้งใส่ท่อเพื่อระบายหนองจากฝีที่เกิดขึ้นอีกด้วย โดยหมอจะใคร่ครวญผ่าตัดรักษาดังนี้
- ในรายที่ลักษณะทางคลินิกระบุว่าน่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ เสนอแนะให้การรักษาด้วยการใช้การ ผ่าตัดโดยเร่งด่วน หลังจากการเตรียมคนไข้ให้พร้อมและก็สมควรต่อการให้ยาสลบรวมทั้งการผ่าตัด
- ในรายที่ลักษณะทางคลินิกไม่แน่ชัดว่าจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ แต่มีสิ่งที่ทำให้สงสัยว่าบางทีอาจจะเป็นโรคนี้ ควรรับตัวไว้พินิจอาการในโรงหมอ เพื่อติดตามประเมินลักษณะทางสถานพยาบาลต่อเป็นช่วงๆโดยงดน้ำและก็ของกิน และไม่ให้ยาปฎิชีวนะ เมื่อลักษณะทางสถานพยาบาลชี้แจ่มแจ้งขึ้นว่าน่าจะเป็นไส้ติ่งอักเสบกระทันหัน จะได้นำคนเจ็บไปทำการผ่าตัดรักษาอย่างทันเวลา
- ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลระบุชัดว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบกะทันหัน ไม่แตกทะลุ ไม่มีความจำเป็นที่ต้องให้ยายาปฏิชีวนะทั้งก่อนและข้างหลังผ่าตัด แต่ว่าแพทย์ผู้ดูแลอาจพินิจให้ยาปฏิชีวนะก่อนผ่าตัดก็ได้ เมื่อผ่าตัดพบว่าไส้ติ่งอักเสบไม่แตกทะลุ ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยาต่อ
- ในรายที่ลักษณะทางสถานพยาบาลไม่อาจจะแยกได้ว่าไส้ติ่งแตกทะลุชัดเจน นิยมให้ยายาปฏิชีวนะ โดยเริ่มตั้งแต่ก่อนผ่าตัด ถ้าหากผ่าตัดแล้วพบว่าไส้ติ่งไม่แตกทะลุ ไม่จำเป็นที่ต้องให้ยาปฏิชีวนะต่อหลังผ่าตัด แต่ถ้าเกิดพบว่าไส้ติ่งแตกทะลุก็ให้ยาปฏิชีวนะต่อ
- ในรายที่การตรวจร่างกายชี้ว่ามี peritonitis ซึ่งมีเหตุมาจากการแตกของไส้ติ่งอักเสบ ในเด็กมักมีลักษณะ generalized peritonitis ส่วนคนแก่จะเป็น pelvic peritonitis ก่อนนำผู้ป่วยไปกระทำผ่าตัดควรจะใช้แนวทางรักษาแบบเกื้อกูลให้อยู่ในสภาพที่สมควรสำหรับการให้ยาสลบและการผ่าตัด ตัวอย่างเช่นการให้ intravenous fluid ที่สมควรให้เพียงพอซึ่งอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง มองว่าคนไข้มีฉี่ออกก็ดี ให้ยาปฎิชีวนะที่สมควร ให้ยาลดไข้หรือเช็ดตัวให้อุณหภูมิร่างกายน้อยลงถ้าหากเป็นไข้สูง ถ้าเกิดท้องขึ้นมากมายควรใส่ nasogastric tube ต่อ suction บางทีอาจใช้เวลาสำหรับเพื่อการเตรียมผู้เจ็บป่วย 3-4 ชั่วโมงก่อนนำผู้ป่วยไปผ่าตัด
- กรณีที่ไส้ติ่งแตกทะลุระหว่างการผ่าตัด หรือไส้ติ่งไม่แตกทะลุ แต่ว่าร้ายแรงถึงกับขนาด gangrenous appendicitis แนะนำให้ยาปฏิชีวนะระหว่างการผ่าตัด และก็ต่อเนื่อง 1-3 วันแล้วแต่พยาธิสภาพ
- ในรายที่มีลักษณะมายาวนานหลายวันรวมทั้งการตรวจร่างกายพบว่ามีก้อนที่ RLQ ที่บ่งชี้ว่าน่าจะเป็น appendiceal phlegmon หรือ abscess ควรจะรักษาโดยวิธีเกื้อกูลโดยให้ยาปฎิชีวนะที่ออกฤทธิ์ครอบคลุมกว้างใหญ่ ถ้าเกิดคนป่วยสนองตอบดีต่อการดูแลรักษา เป็นต้นว่า ลักษณะของการปวดท้องดียิ่งขึ้น ก้อนเล็กลง ให้รักษาต่อโดยวิธีจุนเจือ และนำคนป่วยไปทำ elective appendectomy จากนั้น 6 สัปดาห์ - 3 เดือน แต่ถ้าการรักษาด้วยยาปฎิชีวนะดังที่กล่าวมาข้างต้นไม่ได้รับการโต้ตอบที่ดีอาจต้องผ่าตัดเลย ถ้าหากพยาธิภาวะรุนแรงมากมาย อาจทำเพียงแค่ระบายหนอง แม้กระนั้นหากพยาธิภาวะไม่ร้ายแรง และก็สามารถตัดไส้ติ่งออกได้เลย ก็ชี้แนะให้ทำ
กลุ่มอาการที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ มีลักษณะอาการเจ็บท้องที่มีลักษณะไม่เสมือนลักษณะของการปวดโรคกระเพาะ ท้องเดิน หรือปวดรอบเดือน ก็ให้สงสัยว่าอาจเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบได้ ควรรีบไปพบหมอ ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งดังต่อไปนี้
- ปวดร้ายแรง หรือปวดติดต่อกันนานเกิน 6 ชั่วโมงขึ้นไป
- กดหรือเคาะเจ็บตรงรอบๆที่ปวด
- คลื่นไส้บ่อย กินอะไรก็ออกหมด
- มีลักษณะอาการหน้ามืด เป็นลมเป็นแล้ง ใจหวิว ใจสั่น
- มีไข้สูง หรือหนาวสั่น
- ใบหน้าซีดเหลือง
- รับประทานยาบรรเทาปวดแล้วอาการไม่ทุเลาหรือกลับรุนแรงขึ้น
- ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะท้องผูกร่วมด้วย ถ้าเกิดพบว่ามีลักษณะเจ็บท้องร้ายแรงกว่าธรรมดา ก็ห้ามรับประทานยาถ่าย หรือกระทำการสวนทวาร
การติดต่อของโรคไส้ติ่งอักเสบ โรคไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากการอุดตันของรูไส้ติ่ง จากสิ่งเจือปนต่างๆทำให้ไส้ติ่งมีการอักเสบติดเชื้อโรครวมทั้งแตกท้ายที่สุด ไส้ติ่งอักเสบเป็นโรคที่เกิดขึ้นเฉพาะกับผู้เจ็บป่วยแต่ละคน และไม่ได้เป็นโรคติดต่อที่แพร่ให้คนข้างๆอะไร
การกระทำตนเมื่อเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบ เหตุเพราะโรคไส้ติ่งอักเสบ เป็นโรคเร่งด่วน จะต้องไปพบหมอโดยทันที ที่ห้องรีบด่วนของโรงหมอเพื่อกระทำผ่าตัดและไม่ควรจะกินยาระบายหรือสวนอุจจาระ เมื่อมีอาการท้องผูกร่วมด้วย เพราะเหตุว่าอาจจะก่อให้ไส้ติ่งอักเสบนั้นแตกเร็วขึ้น
- การปฏิบัติตัวก่อนที่จะมีการผ่าตัดไส้ติ่ง คนไข้ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
o เมื่อมีลักษณะของไส้ติ่งอักเสบ ก่อนไปพบแพทย์ผู้ป่วยต้องงดเว้นอาหารรวมทั้งน้ำไว้ด้วยเพื่อเตรียมการในการผ่าตัดฉุกเฉิน
o ในเรื่องที่มีลักษณะอาการเจ็บท้องแต่ว่าคนไข้ยังไม่เคยรู้ปัจจัย ห้ามกินยาแก้ปวด แต่ควรจะรีบไปพบหมอเพื่อตรวจวิเคราะห์ก่อน ด้วยเหตุว่ายาแก้ปวดจะไปบดบังอาการปวดทำให้แพทย์แยกโรคได้ทุกข์ยากลำบาก
o งดเว้นการใช้ครีมรวมทั้งเครื่องแต่งตัวทุกประเภท รวมทั้งทำร่างกายให้สะอาด อาบน้ำ สระผม ตัดเล็บ เพื่อให้แพทย์พินิจอาการไม่ดีเหมือนปกติจากการขาดออกซิเจนได้
- การกระทำตัวข้างหลังการผ่าตัดไส้ติ่ง หลังการผ่าตัดไส้ติ่ง 24 ชั่วโมง คนเจ็บจะต้องทำการลุกจากเตียง เพื่อไส้มีการเคลื่อนไหวเร็วขึ้น งดอาหารและก็น้ำข้างหลังผ่าตัดวันแรก ส่วนการดูแลแผลผ่าตัด ห้ามให้ผ้าปิดแผลเปียกน้ำ ห้ามให้แผลโดนน้ำ ห้ามเกา รวมทั้งเวลาไอหรือจามให้ใช้มือพยุงแผลไว้ด้วยเพื่อคุ้มครองป้องกันแผลที่เย็บแยกออก ถ้าเกิดถ้าหากแผลยังไม่แห้งดีอย่าเพิ่งอาบน้ำ แต่ว่าให้ใช้กรรมวิธีการเช็ดตัวแทน นอกจากนั้นคือการรับประทานยาตามที่หมอสั่งอย่างสม่ำเสมอ เน้นการกินอาหารที่มีโปรตีนสูง เพราะจะช่วยให้แผลติดเร็วมากขึ้น นอกจากนั้นเป็น การขับถ่ายอย่างสม่ำเสมอ และก็พักให้เพียงพอ
การคุ้มครองตัวเองจาก
โรคไส้ติ่งอักเสบ ในตอนนี้ยังไม่คราวการศึกษาและทำการค้นพบวิธีปกป้องอาการไส้ติ่งอักเสบ เนื่องจากไส้ติ่งอักเสบเป็นอาการกะทันหันที่ไม่อาจจะหาสาเหตุที่แจ่มชัดได้ แต่ว่ามีข้อคิดเห็นว่า ประชาชนที่นิยมรับประทานอาหารพวกผักผลไม้มาก (ตัวอย่างเช่น ชาวแอฟริกา) จะมีอัตราการเป็นไส้ติ่งอักเสบน้อยกว่ากลุ่มที่ทานผักและผลไม้น้อย (ยกตัวอย่างเช่น ชาวต่างชาติ) จึงมีการเสนอแนะให้มานะกินผักและผลไม้ให้มากมายๆทุกวี่วัน ซึ่งเกิดผลดีต่อการปกป้องโรคท้องผูก ริดสีดวงทวาร โรคอ้วน และก็ยังมั่นใจว่าบางทีอาจป้องกันไส้ติ่งอักเสบ และก็โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้อีกด้วย
นอกนั้นมีการเรียนรู้ที่ค้นพบว่า ภาวะท้องผูกมีส่วนสโมสรกับการเกิดไส้ติ่งอักเสบ โดยพบว่าคนไข้ไส้ติ่งอักเสบจะมีปริมาณครั้งสำหรับในการอุจจาระต่ออาทิตย์น้อยกว่ากลุ่มควบคุมอย่างเป็นจริงเป็นจัง รวมทั้งยังพบว่า คนป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่รวมทั้งโรคมะเร็งลำไส้ตรงมักจะเป็นโรคไส้ติ่งอักเสบนำมาก่อน ทั้งยังส่งผลการศึกษาหลายงานที่ค้นพบว่า การกินอาหารที่มีกากใยต่ำจะมีส่วนสำหรับเพื่อการกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดโรคไส้ติ่งอักเสบอีกด้วย
สมุนไพรที่ช่วยป้องงกัน/ทุเลาโรคไส้ติ่งอักเสบ เนื่องแต่การรักษาโรคไส้ติ่งอักเสบจำเป็นต้องรักษาด้วยการใช้การผ่าตัดเพียงแค่นั้นและก็ในตอนนี้ยังไม่มีการรับรองว่าสมุนไพรจำพวกไหนที่จะช่วยปกป้องหรือ ทุเลา/รักษา โรคไส้ติ่งอักเสบได้ รวมถึงยังไม่มีรายงานการศึกษาค้นคว้าวิจัยชิ้นไหนที่กล่าวว่าสมุนไพรจำพวกไหนสามารถช่วยปกป้องหรือ / รักษาโรคไส้ติ่งอักเสบได้
เอกสารอ้างอิง- (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “ไส้ติ่งอักเสบ (Appendicitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 525-527.
- Fitz RH (1886). "Perforating inflammation of the vermiform appendix with special reference to its early diagnosis and treatment". Am J Med Sci(92): 321–46.(อังกฤษ)
- ไส้ติ่งอักเสบ-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.
- Adamis D, Roma-Giannikou E, Karamolegou K (2000). "Fiber intake and childhood appendicitis". Int J Food Sci Nutr51: 153–7. (อังกฤษ)
- รศ.นพ.สุรเกียรติอาชานานุภาพ.ไส้ติ่งอักเสบ.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่301.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2547
- SCHWARTZ, Principle of Surgery , McGRAW HILL
- Wangensteen OH, Bowers WF (1937). "Significance of the obstructive factor in the genesis of acute appendicitis". Arch Surg34: 496–526. (อังกฤษ)
- โรคไส้ติ่งอักเสบ(APPENDICITIS).แนวทางการรักษาพยาบาลผู้ป่วยทางศัลยกรรม.ราชวิทยาลัยศัลยแพทย์แห่งประเทศไทย.
Tags : โรคไส้ติ่งอักเสบ