Advertisement
โรคไมเกรน (Migraine)โรคไมเกรนคืออะไร โรคไมเกรนมีชื่อเรียกอีกหลายชื่อ ได้แก่ โรคปวดศีรษะไมเกรน , โรคปวดศรีษะด้านเดียว , โรคลมตะกัง ฯลฯ โรคไมเกรนเป็นโรคที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการปวดศีรษะเรื้อรังชนิดหนึ่ง ที่มีลักษณะเฉพาะตัวที่สำคัญคือ ลักษณะของการปวดหัวนั้นชอบปวดด้านเดียว หรือเริ่มปวดด้านเดียวก่อนแล้วจึงปวดทั้งสองข้าง และแต่ละครั้งที่ปวดชอบย้ายข้างไปมาหรือย้ายตำแหน่งได้ แต่ว่าบางครั้งก็อาจจะปวดทั้งสองข้างขึ้นมาพร้อมๆกันตั้งแต่ทีแรก ลักษณะของการเกิดอาการปวดมักจะปวดตุ๊บๆเป็นระยะๆแต่ว่าก็มีบางขณะที่ปวดแบบทื่อๆส่วนใหญ่จะปวดรุนแรงปานกลางถึงรุนแรงมาก โดยจะเบาๆปวดเยอะขึ้นที่ละน้อยจนกระทั่งปวดรุนแรงเต็มที่แล้วจึงค่อยๆบรรเทาอาการปวดลงจนถึงหาย ในเวลาที่ปวดศีรษะก็มักจะมีลักษณะอาการคลื่นไส้หรืออาเจียนร่วมด้วย ระยะเวลาปวดมักจะนานหลายชั่วโมง แม้กระนั้นจำนวนมากจะนานไม่เกิน 1 วัน ในบางรายอาจจะมีอาการเตือนนำมาก่อนหลายนาที ได้แก่ สายตาพร่ามัว หรือ แลเห็นแสงสว่างกระพริบๆอาการปวดนั้นไม่เลือกเวลา บางรายบางครั้งอาจจะปวดมากยิ่งขึ้นลางดึก หรือปวดตั้งแต่ตื่นนอนขึ้นมา บางรายก็ปวดตั้งแต่ก่อนเข้านอนจนกว่าตื่นยามเช้าก็ยังไม่หายปวดเลยก็ได้
ลักษณะของการปวดหัวไมเกรนไม่เหมือนกับลักษณะของการปวดหัวปกติตรงที่ว่า ลักษณะของการปวดศีรษะปกติมักจะปวดทั่วอีกทั้งศีรษะ ส่วนใหญ่เป็นอาการปวดทื่อๆที่ไม่รุนแรงนัก รวมทั้งมักจะไม่มีอาการอื่น ตัวอย่างเช่น คลื่นไส้ร่วมด้วย โดยมากจะหายได้เองเมื่อได้นอนหลับสนิทไปพักใหญ่ คนไข้โรคนี้ส่วนมากเป็นผู้หญิง โดยเฉลี่ยพบว่า หญิงราวๆ 15% จะเป็นโรคนี้ ใน ในช่วงเวลาที่ผู้ชายเจอเป็นโรคนี้เพียงประมาณ 6% โดยมีอัตราการเป็นโรคไมเกรนสูงสุดทั้งในสตรีรวมทั้งในเพศชายอยู่ที่ช่วงอายุ 30 -40 ปี ดังนี้เกือบจะไม่พบคนป่วยที่มีลักษณะอาการปวดศีรษะไมเกรนเป็นครั้งแรกเมื่ออายุเลย 50 ปีไปแล้ว
นอกเหนือจากนี้ผู้ป่วยโรคปวดศีรษะไมเกรน มักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ด้วย แต่ปัจจุบันโรคนี้มียาที่สามารถรักษาทุเลาอาการ แล้วก็ยาที่คุ้มครองปกป้องอาการกำเริบของโรค มีการทำนองว่าใน 24 ชั่วโมง ทั่วทั้งโลกจะมีผู้เจ็บป่วยที่มีอาการปวดศีรษะไมเกรนราวๆ 3,000 คนต่อมวลชน 1 ล้านคน โดยพบอัตราเป็นโรคนี้สูงสุดในคนอเมริกาเหนือ รองลงมาคือคนอเมริกากลาง อเมริกาใต้ ยุโรป ทวีปเอเชีย และแอฟริกา
สาเหตุขอ
โรคไมเกรน[/url] มูลเหตุที่แท้จริงของไมเกรนยังไม่ทราบเด่นชัด แต่มีการสันนิษฐานว่ามีความเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสำหรับในการปฏิบัติงานของระบบประสาทแล้วก็หลอดเลือดในสมองเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมองที่มีชื่อว่า ซีโรโทนิน หรือ serotonin (ซึ่งพบว่ามีปริมาณน้อยลงขณะที่มีลักษณะอาการกำเริบ) แล้วก็สารเคมีในสมองกลุ่มอื่นๆดังเช่น โดปามีน ก่อให้เกิดการอักเสบของเส้นใยประสาทสมองเส้นที่ ๕ ที่ เลี้ยงบริเวณใบหน้าแล้วก็ศีรษะ และทำให้เส้นเลือดแดงในแล้วก็นอกกะโหลกศีรษะมีการอักเสบ และก็มีการหดแล้วก็ขยายตัวผิดปกติ หลอดเลือดในกะโหลกจะมีการหดตัวทำให้เปลือกสมองมีเลือดไปเลี้ยงน้อยลง ส่วนเส้นโลหิตนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัว ทั้งสิ้นนี้ก่อให้เกิดอาการแสดงต่างๆของโรคไมเกรน
ตอนนี้พบว่าโรคนี้สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรม พบว่าโดยประมาณจำนวนร้อยละ ๖๐-๗๐ ของผู้ที่เป็นไมเกรน มีประวัติว่าพ่อแม่พี่น้องประชาชนเป็นโรคนี้ด้วย ส่วนมูลเหตุกำเริบเสิบสานของไมเกรนนั้น คนเจ็บมักบอกได้ว่า แต่ละครั้งที่มีลักษณะปวดหัวจะมีแรงกระตุ้นหรือเหตุกำเริบแจ่มกระจ่าง ซึ่งแต่ละคนอาจมีเหตุกำเริบที่นาๆประการ และมักจะมีได้หลายๆอย่างด้านในการกำเริบครั้งเดียวเหตุกำเริบเสิบสานที่พบได้บ่อยๆเป็นต้นว่า
- มีแสงไฟจ้าเข้าตา ดังเช่น ออกกลางแดดแรงๆแสงสว่างจ้า แสงกะพริบ แสงสีระยิบระยับในโรงมหรสพหรือสถานเริงรมย์
- การใช้สายตาเพ่งดูอะไรนานๆเช่น หนังสือ หรือกล้องจุลทรรศน์ เย็บปักถักร้อย
- การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังจอแจ ได้แก่ ตลาดนัด หรือเสียงอึกทึก
- การสูดดมกลิ่นฉุนๆอย่างเช่น กลิ่นสี กลิ่นน้ำมันรถ กลิ่นน้ำหอม กลิ่นสารเคมี ควันที่เกิดจากบุหรี่
- การดื่มกาแฟมากๆก็อาจกระตุ้นให้ปวดได้
- ยานอนหลับ เหล้า เบียร์สด ไวน์ ถั่วต่างๆกล้วย นมเปรี้ยว เนยแข็ง ช็อกโกแลต ตับไก่ ไส้กรอก อาหารทะเล ของกินทอดน้ำมัน ผงชูรส น้ำตาลเทียม ยากันบูด ผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว ล้วนกระตุ้นทำให้ปวดได้
- การอยู่ในที่ร้อนหรือเย็นเหลือเกิน ยกตัวอย่างเช่น อากาศร้อน หรือหนาวจัด
- การอดนอน (นอนพักผ่อนน้อยเกินไป) หรือนอนมากเหลือเกิน การนอนตื่นสาย
- การงดข้าว ทานข้าวไม่ถูกเวลา หรือกินอิ่มจัด เชื่อว่าเกี่ยวกับภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งกระตุ้นให้ปวดศีรษะได้ บางครั้งพบว่า ผู้ป่วยไมเกรนเมื่อเป็นโรคเบาหวาน (มีน้ำตาลในเลือดสูง) อาการปวดจะหายไป
- การนั่งรถ นั่งเรือ หรือนั่งเครื่องบิน
- การจับไข้ ดังเช่นว่า ตัวร้อนจากหวัด ไข้หวัดใหญ่
- การบริหารร่างกายกระทั่งอ่อนแรงเกินความจำเป็น
- ร่างกายเมื่อยล้า
- การถูกกระแทกแรงๆที่ศีรษะ (อย่างเช่น การใช้หัวโหม่งฟุตบอลหรือตะกร้อ) ก็อาจจะก่อให้ปวดศีรษะทันที
- อิทธิพลของฮอร์โมนเพศสำหรับผู้เจ็บป่วยหญิง มีผลต่อการเกิดอาการไมเกรนอย่างยิ่ง เช่น บางรายมีลักษณะปวดเฉพาะเวลาใกล้จะมีหรือมีเมนส์ และก็มีไม่น้อยที่หายปวดไมเกรนขณะท้อง ๙ เดือน (มีฮอร์โมนโพรเจสเตอโรนสูง) บางรายกินยาเม็ดคุมกำเนิด (มีฮอร์โมนเอสโตรเจน) ทำให้ปวดบ่อยครั้งขึ้น พอหยุดรับประทานยาก็
- ความตึงเครียดทางอารมณ์ คิดมาก อารมณ์ขุ่นหมอง ตื่นเต้น ตระหนกตกใจ
ซึ่งในอดีตกาลมีการค้นพบทฤษฏีที่เกี่ยวกับการเกิดอาการของไมเกรนเป็น- แนวความคิดเกี่ยวกับเส้นโลหิต (Vascular theory) แนวคิดนี้ถูกคิดขึ้นมาในช่วงปี พุทธศักราช 2483 โดย Wolff (หมอชาวอเมริกัน) ซึ่งอธิบายว่า อาการนำก่อนปวดศีรษะประเภทออรา (มีลักษณะนำ) มีเหตุมาจากเส้นโลหิตในสมองมีการหดตัว รวมทั้งเมื่อเส้นเลือดที่หดตัวขยายตัวออก จะทำให้มีอาการปวดหัวตามมา โดยหลักฐานช่วยเหลือคือ พบเส้นโลหิตนอกกะโหลกศีรษะมีการขยายตัวและก็เต้นตุ้บๆและการให้ยาช่วยให้เส้นเลือดหดตัว ทำให้ลักษณะของการปวดศีรษะดียิ่งขึ้น ส่วนการให้ยาที่ขยายหลอดเลือด ทำให้อาการปวดหัวรุนแรงขึ้น
อย่างไรก็แล้วแต่ แนวคิดนี้ไม่สามารถชี้แจงอาการนำก่อนปวดหัวจำพวกไม่มีออรา (ไม่มีอาการนำ) และก็อาการร่วมที่เกิดระหว่างไมเกรนว่ากำเนิดได้เช่นไร นอกจากนี้ ยาบางตัวซึ่งไม่เป็นผลสำหรับการหดตัวของหลอดเลือด แต่ก็สามารถบรรเทาอาการปวดหัวไมเกรนได้ และการตรวจภาพหลอดเลือดสมองก่อนเกิดอาการและก็ระหว่างเกิดอาการ ก็ไม่สนับสนุนแนวความคิดนี้ ด้วยเหตุดังกล่าวปัจจุบันแนวความคิดนี้ก็เลยไม่ค่อยเป็นที่ยอบรับ
- ทฤษฎีเกี่ยวกับเซลล์ประสาท เส้นเลือด รวมทั้งสารสื่อประสาทร่วมกัน (Neurovascu lar theory) Leao (แพทย์ชาวบราซิล) เป็นผู้เสนอแนวคิดนี้ในปี พุทธศักราช 2487 ซึ่งชี้แจงว่า เซลล์ประ สาทในสมองบางตัวเกิดการตื่นตัว รวมทั้งปลดปล่อยสารสื่อประสาท (สารเคมีที่มีบทบาทส่งต่อสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาท) กระตุ้นเซลล์ประสาทใกล้เคียงให้ตื่นตัว รวมทั้งส่งต่อสัญญาณไปเรื่อยการที่เซลล์ประสาทถูกกระตุ้นนี้ เอามาอธิบายการเกิดอาการนำก่อนที่จะมีการปวดศีรษะของคนเจ็บได้ ส่วนอาการปวดศีรษะของคนไข้ชี้แจงได้จาก เมื่อเซลล์ประสาทถูกกระตุ้นไปเรื่อยๆกระทั่งไปกระ ตุ้นกลุ่มเซลล์ประสาทเฉพาะ เรียกว่า Trigerminal nucleus ซึ่งจะปล่อยสารเคมีหลายแบบที่มีผลนำมาซึ่งลักษณะของการปวดเข้าสู่เส้นโลหิต เว้นเสียแต่สารเคมีกลุ่มนี้ส่งผลให้เกิดลักษณะของการปวดแล้ว ยังส่งผลทำให้ เส้นเลือดขยายตัวอีกด้วย จากแนวความคิดพวกนี้ มีผู้ค้นพบเพิ่มต่อไปอีกมากมายในปัจจุบัน
อาการโรคไมเกรน เมื่อกำเนิดอาการปวดหัวด้านเดียว หลายๆท่านรู้เรื่องว่าเป็นโรคปวดไมเกรน เพราะว่าพวกเราเคยเรียกโรคปวดไมเกรนกันว่า โรคปวดหัวข้างเดียว จึงทำให้เข้าใจผิดคิดว่าถ้ามีลักษณะอาการปวดหัวด้านเดียวแปลว่าเป็นไมเกรน โดยความเป็นจริงอาการปวดไมเกรนนั้นไม่มีความจำเป็นที่จะต้องปวดศีรษะเพียงแค่ข้างเดียว บางทีอาจปวดสองข้างก็ได้ ในทางตรงกันข้าม อาการปวดหัวฝ่ายเดียวอาจไม่ใช่ไมเกรนก็ได้ โดยลักษณะโรคไมเกรนเป็นผลจากการขยายและก็หดของเส้นโลหิตที่กะโหลกศีรษะ โดยมักมีลักษณะอาการนำ (aura) ก่อนลักษณะของการปวด แม้กระนั้นปัจจุบันพบว่าบางทีอาจไม่มีอาการนำก็ได้ ที่สามารถแบ่งอาการโรคไมเกรนเป็น 4 ขั้น ตัวอย่างเช่น ระยะอาการนำ (Premonitory Symptom แล้วก็ Singn) ระยะอาการเตือน (Aura phase) ระยะปวดหัว (Headache) และระยะหายปวด (Postdrome) ซึ่งคนเจ็บอาจไม่แสดงอาการในทุกขั้นก็ได้
อาการรวมทั้งอาการแสดงของ ไมเกรน แบ่งได้เป็นระยะต่างๆดังนี้- ระยะอาการนำ (Premonitory symptom แล้วก็ singn) มีอาการและก็อาการแสดงทางสมอง ซึ่งแสดงออกในรูปของความผิดปกติของหลักการทำงานของสมองแบบธรรมดา ความแปลกของระบบทางเดินอาหาร สมดุลย์ของน้ำในร่างกาย และก็อาการทางกล้ามเนื้อ ซึ่งปรากฎการณ์นี้ เจอราวๆ 40% ของคนไข้ไมเกรน อาการพวกนี้มักเอามาก่อนราว 3 ชั่วโมงก่อนเกิดลักษณะของการปวดหัวรวมทั้งบางทีอาจเกิดเร็วใน 1 ชั่วโมง หรือกำเนิดก่อนนานถึง 2 วัน อาการกลุ่มนี้มีทั้งอาการแสดงทางด้านจิตใจ อาการทางระบบประสาทและการเปลี่ยนแปลงในระบบอื่นๆของร่างกาย ยกตัวอย่างเช่น สมาชิเสีย อารมณ์รำคาญ เก็บเนื้อเก็บตัว ทำอะไรรวดเร็ว ทำอะไรซ้ำซากจำเจ คิดช้าทำช้า หรือทำอะไรงุ่มสวย บางคราวอารมณ์ร้าย ผู้ป่วยอาจมีหาวบ่อยครั้ง อยากนอนมากทนต่อแสงเสียงไม่ค่อยได้ ผิวหนังบางทีอาจไวต่อความรู้สึกทนต่อการสัมผัสมิได้ นอนมาก อิดโรยง่าย กล่าวไม่ชัดเจน คิดคำพูดไม่ออก กล่าวน้องลง กล้ามคอบางทีอาจตึง มีลักษณะอาการหมดแรงทั่วไป รู้สึกหนาวต้องห่มผ้าสำหรับห่ม หน้าซีด ขอบตาคล้ำ หนังตาหนักๆหรือตาลึก อาการทางเดินอาหารก็มีได้ทั้งยังอยากของกิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งของที่มีรสหวาน ไม่อยากกินอาหาร อุจจาระหลายครั้ง ท้องผูก ท้องขึ้น เจ็บท้อง อาการอื่นๆได้แก่ ปัสสาวะบ่อย อยากดื่มน้ำ บวมจึงทำให้มั่นใจว่าไมเกรน น่าจะเป็นปรากฎการณ์ของการเปลื่ยนแปลงทางวิชาชีวเคมีในเซลล์ประสาทรวมทั้งการเปลี่ยนแปลงทางเส้นเลือดในระยะปวดหัวเป็นปรากฎการณ์ที่ตามมาคราวหลัง
- ระยะอาการเตือน (Aura phase) เป็นอาการทางระบบประสาทเฉพาะที่ซึ่งกำเนิดก่อนลักษณะของการปวดหัวราว 30 นาที แล้วก็ส่วนใหญ่จะมีลักษณะอาการอยู่นาน 20-30 นาที โดยทั่วไปจะหายเมื่อกำเนิดลักษณะของการปวดศีรษะขึ้นมาแล้ว ซึ่งอาการที่พบได้มากคือ อาการไม่ปกติทางทางแลเห็น เป็นต้นว่า การเห็นแสงสี มองเห็นแสงระยิบ เห็นแสงสว่างดาวกระพริบ และอาจมีอาการชารอบๆนิ้วมือ แขนรวมทั้งบริเวณใบหน้า รวมทั้งบางทีอาจเจอภาวะพูดตรากตรำร่วมด้วย
- ระยะปวดหัว (Headache) มักจะเริ่มเป็นช้าๆในเวลา 30-60 นาที ก่อนจะปวดศีรษะมากมายสุด แม้กระนั้นบางรายอาจสังเกตว่าปวดศีรษะหลังตื่นนอน ซึ่งทำให้ไม่เคยรู้ว่าตามที่เป็นจริงอาการปวดศีรษะเริ่มเป็นเมื่อใดรวมทั้งรวดเร็วเท่าใด บางรายความรุนแรงของลักษณะของการปวดศีรษะก็ดำเนินไปอย่างช้าๆกินเวลาครึ่งวันหรือทั้งวัน และก็ชอบค่อยๆหายไป แต่ในเด็กอาการเหล่านี้จะหายอย่างเร็ว วันหลังอ้วก ลักษณะปวดหัวนี้มีไม่ถึง 50% ที่ปวดแบบตุ๊บๆส่วนที่เหลือมักปวดตื้อๆหรือปวดราวกับมีอะไรมารัด ลักษณะปวดที่สำคัญในไมเกรน คือ อาการปวดในตำแหน่งต่างๆจะย้ายที่ได้และก็ย้ายข้างได้ ซึ่งบางทีอาจเกิดขึ้นสำหรับการเป็นแต่ละครั้งหรือในการปวดครั้งเดียวกัน และก็อาการปวดกลุ่มนี้จะเป็นมากเมื่อมีการขยับเขยื้อนศีรษะ อาการร่วมขณะปวดหัวมักเป็นอาการทางระบบประสาทแล้วก็อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ซึ่งในบางรายอาการกลุ่มนี้จะกำเนิดในระยะอาการนำซึ่งในแต่ละคนอาการจะต่างกันรวมทั้งอาการในคนๆเดียวกันการปวดหัวแต่ละครั้งก็อาจแตกต่างได้ด้วย อาการกลุ่มนี้เช่น ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ท้องผูก ท้องเดิน รู้สึกเย็นปลายมือ ปลายตีน กลัวแสงสว่างกลัวเสียง ไม่ชอบให้ผู้ใดมาแตะตัว ไม่อาจจะทนต่อการสั่นสั่นสะเทือน บางบุคคลไวต่อกลิ่น หงุดหงิด ปวดต้นคอ อ่อนแรง คัดจมูก เดินตุปัดตุเป๋ หรือเหมือนจะเป็นลม อาการปวดหัวจะหายไปวันหลังได้นอน 45 นาที ถึง 3 ชั่วโมง หรือคราวหลังดื่มเครื่องดื่มร้อนๆหรือ ตอนหลังคลื่นไส้หรือได้ยาพารา
- ระยะหายปวด (Postdromes) อาการที่สำคัญเป็นเมื่อยล้า ซึ่งบางรายจะมีลักษณะอ่อนกำลังของกล้ามและปวดกล้าม มีลักษณะเคลิบเคลิ้ม หรือมีอารมณ์ไม่แจ่มใส ขาดสมาธิ อารมณ์เสีย หาวมากมายเปลี่ยนไปจากปกติกินอาหารได้น้อย ฉี่มากหรืออยากดื่มน้ำ อาการเหล่านี้จะเป็นอยู่นาน 1 ชั่วโมง ถึง 4 วัน โดยเฉลี่ยประมาณ 2 วัน
นอกจากโรคไมเกรนแล้ว โรคปวดหัวยังมีอีกหลายประเภท ยกตัวอย่างเช่น โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นจากความตึงเครียด (tension headache) โรคปวดหัวแบบคลัสเตอร์ (cluster headache) แล้วก็ โรคปวดศีรษะเนื่องจากมีแรงดันในสมองสูง(increase intracranial pressure) เป็นต้น ซึ่งโรคกลุ่มนี้ก่อให้เกิดการปวดศีรษะเพียงแค่ฝ่ายเดียวได้
ซึ่งโรคปวดหัวที่อาจส่งผลให้หลงผิดคิดว่าเป็นไมเกรนหมายถึงโรคปวดหัวที่เกิดขึ้นมาจากความเครียด ซึ่งเป็นสภาวะที่พบได้ทั่วไปโดยยิ่งไปกว่านั้นคนที่อยู่ในวัยทำงาน มีความรู้สึกหนักใจและก็เครียดตลอดระยะเวลา จำต้องดำเนินการกับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องกันวันละหลายๆชั่วโมง ทำให้กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและแขนมีการเกร็งตึง เป็นสาเหตุของการเกิดลักษณะของการปวดตึงรอบๆท้ายทอย ร้าวขึ้นไปที่ขมับข้างที่มีการตึงของกล้ามเนื้อ หรือเกิดอาการปวดรอบหัวคล้ายถูกรัด ซึ่งหากมีลักษณะอาการไม่มาก เมื่อพัก นวดเพื่อคลายกล้ามที่เกร็งรวมทั้งตึง อาการจะหายไปเอง แต่ว่าในรายที่มีอาการหนักบางทีอาจปวดต่อเนื่อง อย่างไรก็แล้วแต่ โรคปวดศีรษะที่เกิดขึ้นจากความเคร่งเครียดจะไม่กำเนิดร่วมกับอาการคลื่นไส้ อาเจียน ตาฟาง หรือเห็นแสงสี
โรคปวดศีรษะแบบคลัสเตอร์ก็มีลักษณะปวดหัวฝ่ายเดียวได้ด้วยเหมือนกัน แต่ว่าจะปวดร้ายแรง ปวดบ่อยมาก มักปวดรอบตาและขมับ มีตาแดง ร้องไห้ และคัดจมูกในด้านเดียวกัน จะไม่มีคลื่นใส้อาเจียน ส่วนโรคปวดหัวที่เกิดเพราะเหตุว่ามีแรงดันในสมองสูงนั้น เกิดจากมีเรื่องผิดปกติในสมอง อาทิเช่น มีเนื้องงงวยอกในสมอง เลือดออกในสมอง น้ำคั่งในสมอง ฯลฯ ซึ่งจะต้องปรับปรุงแก้ไขที่ต้นสายปลายเหตุ
ด้วยเหตุนั้นก่อนที่จะสรุปว่าเป็นโรคปวดหัวไมเกรน ควรจะไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยให้กระจ่างแจ้งก่อน ไม่สมควรคิดเอาเองว่ามีอาการปวดศีรษะข้างเดียว มีความหมายว่าเป็นโรคปวดหัวไมเกรนแน่นอนแล้วไปหาซื้อยาแก้ไมเกรนมารับประทาน เพราะเหตุว่า การกินยาไมเกรนไม่ถูกควรจะมีอันตรายอย่างยิ่ง
กรรมวิธีรักษาโรคไมเกรน ขั้นตอนการวิเคราะห์ไมเกรนใช้หลักเกณฑ์ของ International Headche Society (IHS) ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 กรุ๊ป อาทิเช่น
ซึ่งปัจจุบันแพทย์มักจะวินิจฉัยจากอาการชี้แจงของผู้เจ็บป่วย ได้แก่ อาการปวดตุบๆที่ขมับ แล้วก็คลำได้เส้น (หลอดเลือด) ที่ขมับ เป็นๆหายๆเป็นบางโอกาส แล้วก็มีเหตุกำเริบเสิบสานแจ่มกระจ่าง โดยที่ตรวจร่างกายด้านอื่นๆ ให้ละเอียดแล้วไม่พบสิ่งผิดปกติที่จะนำมาซึ่งลักษณะของการปวดศีรษะ
ฉะนั้น การที่จะทราบว่าลักษณะของการปวดหัวนั้นมีต้นเหตุที่เกิดจากโรคไมเกรนหมอต้องกระทำวิเคราะห์จากลักษณะเจาะจงของอาการปวดหัว อาการที่เกิดร่วมด้วย และก็ผลของการตรวจร่างกายระบบต่างๆแล้วก็การทำงานของสมองที่ปกติ แต่ว่าอย่างไรก็ตาม โรคไมเกรนบางประเภทก็อาจจะส่งผลให้สมองปฏิบัติงานแตกต่างจากปกติไปชั่วครั้งชั่วคราวในขณะที่กำเนิดอาการปวดขึ้นได้ หมอควรต้องทำการวิเคราะห์แยกโรคให้ได้ โดยมีหลักสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ จากลักษณะเฉพาะเจาะจงคือ
- ลักษณะต่างๆของลักษณะของการปวด : ตำแหน่ง ความร้ายแรง ลักษณะการปวด การดำเนินของการปวด
- อาการที่เกิดร่วมด้วย ดังเช่น อาเจียน วิงเวียน
- ความเปลี่ยนไปจากปกติของแนวทางการทำงานของสมองหรืออวัยวะต่างๆที่อาจก่อให้กำเนิดลักษณะของการปวด อย่างเช่น ความคิดความอ่านเฉื่อย แลเห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ปัจจัยกระตุ้นอาการปวด ดังเช่นว่า ความเครียด แสงจ้าๆของกินบางจำพวก
- สาเหตุดีขึ้นลักษณะของการปวด อาทิเช่น การนอน การนวดหนังหัว ยา
ในบางรายหมออาจชี้แนะการตรวจอื่นๆเพื่อจำกัดวงของต้นเหตุที่นำไปสู่ลักษณะของการปวด โดยยิ่งไปกว่านั้นกับคนป่วยที่มีอาการมากมายเปลี่ยนไปจากปกติ อาการสลับซับซ้อน หรือมีลักษณะที่ร้ายแรงรุนแรง เช่น
- การพิสูจน์เลือด หมออาจให้มีการตรวจเลือดเพราะว่าอาจมีการติดเชื้อที่เส้นประสาทไขสันหลัง หรือสมอง รวมทั้งกำเนิดพิษในระบบร่างกายของคนเจ็บ
- การเจาะตรวจน้ำไขสันหลัง (Lumbar Puncture) แพทย์จะให้มีการตรวจแนวทางลักษณะนี้ถ้าหากสงสัยว่าผู้เจ็บป่วยมีการติดเชื้อโรค มีเลือดออกในสมอง
- การใช้งานเครื่อง CT scan (Computerized Tomography) หรือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ที่ให้ความละเอียดมากขึ้นกว่าการเอกซเรย์แบบธรรมดา เป็นการใส่ความไม่ปกติต่างๆในร่างกาย โดยทำให้เห็นภาพของสมอง ให้แพทย์สามารถวินิจฉัยความเปลี่ยนไปจากปกติต่างๆได้มากขึ้น
- การใช้งานเครื่อง MRI (Magnetic Resonance Imaging) เป็นครื่องตรวจร่างกายโดยการสร้างภาพเสมือนจริงของอวัยวะส่วนต่างๆในร่างกาย โดยอาศัยแนวทางของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ซึ่งช่วยให้แพทย์สามารถวิเคราะห์เนื้องอก การอุดตันของเส้นโลหิตที่ไปเลี้ยงสมอง มองอาการการเลือดออกในสมอง การติดเชื้อ และสภาวะอื่นๆในสมองและระบบประสาท
การรักษาผู้เจ็บป่วยเป็นโรคไมเกรน กระบวนการรักษาคนป่วยที่เป็นโรคไมเกรนที่สำคัญดังเช่นว่า การบรรเทาอาการปวดศีรษะ และการปกป้องไม่ให้เกิดหรือลดความถี่ ความรุนแรงของอาการปวดหัว เมื่อตรวจเจอว่าเป็นไมเกรน หมอจะเสนอแนะข้อพึงปฏิบัติตัวต่างๆโดยเฉพาะ การหลีกเลี่ยงเหตุกำเริบเสิบสาน รวมทั้งจะให้ยารักษาดังต่อไปนี้
- การเปลี่ยนแปลงวิถีการดำรงชีวิต ยกตัวอย่างเช่น การหลีกเลี่ยงจากสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นต่างๆได้แก่ การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการนอนมากเกินความจำเป็น ความเคร่งเครียดการถูกแดดมากเกินความจำเป็น การได้รับประทานของกิน หรือเครื่องดื่มบางสิ่ง ดังเช่นว่า กาแฟ ชอคโกแลต อื่นๆอีกมากมาย อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ ส่วนใหญ่สาเหตุกระตุ้นกลุ่มนี้มักกำเนิดร่วมกันหลายๆอย่าง และก็ครั้งคราวเป็นสิ่งที่เลี่ยงมิได้ การออกกำลังกายที่บ่อยเป็นทางออกอีกทางหนึ่งสำหรับผู้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงสาเหตุต่างๆพวกนี้ได้
- การใช้ยารักษา การใช้ยารักษาควรใช้คราวที่มีความจำเป็นยาหวานใจษาพอเพียงสรุปได้ดังต่อไปนี้
ยาในการรักษาลักษณะของการปวดไมเกรนแบบเฉียบพลัน ยกตัวอย่างเช่น- ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) อย่างเช่น ยาแก้อักเสบจำพวกไม่ใช่สเตรอยด์ (Nonsteroid anti-inflammatory drugs; NSAIDs) ได้แก่ Ibuprofen, Naproxen sodium, Paracetamol, Aspirin เป็นต้น
- กลไกการออกฤทธิ์ : ยั้งเอมไซม์ cyclooxygenase (COX) นำมาซึ่งการทำให้ไม่สามารถที่จะสร้างสาร prostaglandins จึงลดอาการอักเสบได้
- ข้อบ่งใช้: บรรเทาอาการปวดระดับน้อยถึงปานกลาง
- ขนาดยาที่ใช้
- Ibuprofen รับประทานครั้งละ 200-600 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 3.2 กรัมต่อวัน
- Naproxen sodium กินครั้งละ 275-550 มก. ทุก 4-6 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 1.65 กรัมต่อวัน
- Paracetamol กินครั้งละ 500-1000 มิลลิกรัม ทุก 4-6 ชั่วโมง ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 2 กรัมต่อวัน
- Aspirin รับประทานครั้งละ 650-1300 มิลลิกรัม ทุก 4 ชั่วโมง ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 4 กรัมต่อวัน
- อาการข้างเคียง: แผลในกระเพาะ
- Ergot alkaloid ยกตัวอย่างเช่น ergotamine+caffeine tablet (Cafergot?)
- กลไกการออกฤทธิ์: nonselective 5-HT receptor agonists โดยผลที่อยากได้หมายถึงทำให้หลอดเลือดที่สมองหดตัว
- ข้อบ่งใช้: บรรเทาอาการปวดรุนแรง โดยเป็นยา first line สำหรับรักษาอาการปวดหัวไมเกรนทันควัน
- ขนาดยาที่ใช้: Cafergot? (ergotamine 1 มก. แล้วก็ caffeine 100 มิลลิกรัม) รับประทานครั้งแรก 2 มก. ซ้ำได้ทุก 30 นาที ขนาดยาสูงสุดไม่เกิน 6 เม็ดต่อวันหรือ 10 เม็ดต่ออาทิตย์
- อาการข้างเคียง: อ้วก คลื่นไส้
- Triptans อาทิเช่น Sumatriptan, Naratriptan
- กลไกการออกฤทธิ์: selective 5-HT receptor agonists โดยทำให้เส้นเลือดที่สมองหดตัวแต่ว่าเพราะเหตุว่าเป็น selective จึงมิได้ไปกระตุ้น receptor อื่นที่ทำให้เกิดอาการอาเจียน คลื่นไส้ เสมือนใน ergot alkaloid นำมาซึ่งการทำให้ไม่กำเนิดอาการคลื่นไส้ อ้วก
- ข้อบ่งใช้: ทุเลาลักษณะของการปวดรุนแรงและกะทันหันรวมทั้งอาการที่ดื้อต่อยาแก้ปวดขนานอื่นๆโดยจัดเป็นยา first line สำหรับรักษาอาการปวดศีรษะ ไมเกรนทันควัน
- ปริมาณยาที่ใช้:
- Sumatriptan รับประทานทีละ 25-100 มก. แล้วก็สามารถกินซ้ำในชั่วโมงที่ 2 ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 200 มก.ต่อวัน
- Naratriptan รับประทานครั้งละ 2.5 มิลลิกรัมและก็สามารถรับประทานซ้ำในชั่วโมงที่ 4 ปริมาณยาสูงสุดไม่เกิน 5 มิลลิกรัมต่อวัน
- อาการข้างเคียง: อาการแน่นหน้าอก, บริเวณใบหน้าร้อนแดง, อาเจียนอ้วก
สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคไมเกรน คือ- กรรมพันธุ์ ราว 70% ของผู้เจ็บป่วยจะมีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคปวดหัวไมเกรน รวมทั้งถ้ามีพี่น้องที่เป็นโรคนี้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นแบบมีอาการนำชนิดออรา (Auraหมายถึงอาการที่เกี่ยวกับความรู้สึก ดังเช่นว่า มองเห็นแสงสว่างวาบ มองเห็นจุดดำๆหรือรู้สึกซ่าในใบหน้าแล้วก็มือ) โอกาสที่จะเป็นโรคนี้มีประมาณ 4 เท่าเมื่อเทียบกับคนทั่วๆไป โดยส่วนมากยังไม่ทราบว่ามีการถ่ายทอดผ่านยีน ตัวไหนชัดเจน แต่ว่าพบว่าอาจสามารถถ่าย ทอดผ่านทางจีนจากแม่สู่ลูกได้
แต่ บางชนิดของโรคปวดหัวไมเกรน ทราบตำแหน่งยีนที่แตกต่างจากปกติแน่ชัดเป็นโรคไมเกรนประเภทมีอัมพาตครึ่งด้านร่วมด้วย (Familial hemiplegic migraine) มีสาเหตุจากมีความผิด ธรรมดาที่บางตำแหน่งบนหน่วยพันธุกรรม (โครโมโซม/chromosome) คู่ที่ 1 หรือ 19 ซึ่งถ่าย ทอดทางพันธุกรรมได้ โดยผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะปวดศีรษะแบบมีลักษณะแขนขาอ่อนเพลียครึ่งส่วนเลว คราวร่วมด้วย
- การเป็นโรคบางชนิด บุคคลที่มีโรคบางสิ่งจะเสี่ยงต่อการเป็นโรคปวดหัวไมเกรนร่วมด้วย ได้แก่ โรคลมชักบางประเภท โรคไขมันในเลือดสูงแบบที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม โรคหืด ผู้ที่มีฝาผนังกั้น ห้องหัวใจห้องบนรั่ว โรคซึมเซา วิตกกังวล และโรคพันธุกรรมอีกหลากหลายประเภท
การติดต่อของโรคไมเกรน โรคไมเกรนเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากความแตกต่างจากปกติของระดับสารเคมีในสมอง รวมทั้งการสื่อกระแสในสมอง หรือการทำงานไม่ดีเหมือนปกติของเส้นโลหิตสมอง ซึ่งถึง
โรคไม