โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรควัณโรค - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 13 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
powad1208
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 64


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 09, 2018, 08:24:55 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


กรุ๊ปบุคคลผู้ที่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรค

  • ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ที่มักพบเป็นคนเจ็บเอดส์ (มีโอกาสเป็นวัณโรคในตลอดช่วงชีวิตถึงจำนวนร้อยละ 50 หรือมากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 10 ต่อปี) เบาหวาน ไตวาย คนที่กินยาสตีรอยด์นานๆหรือใช้ยาเคมีบำบัดรักษา คนไข้ติดเชื้อโรคบางจำพวก (ยกตัวอย่างเช่น ฝึกหัด ไอกรน ไข้หวัดใหญ่ ฯลฯ) คนที่ทุกข์ยากลำบากงานหนักหรือมีความตึงเครียดสูง
  • ผู้ติดยาเสพติดหรือแอลกอฮอล์
  • ผู้ที่มีภาวะไม่ได้กินอาหาร คนจรจัด
  • ผู้ที่อยู่ในสถานที่แออัดคับแคบ การระบายอากาศไม่ดี เป็นต้นว่า เรือนจำ ศูนย์อพยพ ฯลฯ
  • ผู้ที่สัมผัสใกล้ชิดกับคนป่วยเป็นระยะยาวนาน ยกตัวอย่างเช่น สมาชิกในบ้านคนเจ็บ เพื่อนร่วมห้องพัก หรือห้องทำงาน
  • พนักงานสาธารณสุขที่ให้การดูแลพยาบาลผู้เจ็บป่วย
  • คนวัยแก่ (พบอุบัติการณ์สูงในกลุ่มวัยมากกว่า 65 ปี)
  • ทารกแรกเกิด

ขั้นตอนการรักษาวัณโรค ตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นว่าวัณโรคโรคปอด ส่วนหนึ่งมักไม่มีอาการแสดงที่แจ่มแจ้ง การวิเคราะห์จึงจำเป็นจะต้องใช้หลักฐานหลายแบบประกอบกันตั้งแต่เรื่องราวสัมผัสวัณโรค อาการแสดง อาทิเช่น ไข้ต่ำๆไม่อยากกินอาหาร น้ำหนักลดซึ่งไม่มีลักษณะที่เฉพาะ ผู้เจ็บป่วยมีอาการจับไข้รวมทั้งไอนานเกิน 1-2 อาทิตย์ขึ้นไป ไอออกเป็นเลือด ฟังเสียงแนวทางการทำงานของปอดในขณะที่หายใจ
ต่อจากนั้นหมอบางทีอาจทำตรวจเบื้องต้นด้วยแนวทางตรวจคัดเลือกกรองวัณโรคที่เรียกว่า “การตรวจทูเบอร์คูลิน” (Tuberculin skin test : TST) ซึ่งเป็นการตรวจทางผิวหนังที่ใช้หลักการของการโต้ตอบโดยกลไกภูมิคุ้มกันของร่างกายที่จะสามารถได้ผลบวกได้ระหว่าง 2-8 สัปดาห์ หลังจากที่ได้รับเชื้อวัณโรคเข้าสู่ร่างกาย โดยแพทย์จะกระทำการฉีดยาที่เป็นโปรตีนสารสกัดจากเชื้อวัณโรค เรียกว่า “พีพีดี” (Purified protein derivative : PPD) เข้าชั้นใต้ผิวหนังรอบๆท้องแขน จากนั้นราว 48-72 ชั่วโมง จะต้องกลับมาให้หมอหรือพยาบาลตรวจรอยฉีดยา หากบริเวณที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมน้อยกว่า 10 มิลลิเมตร หมายความว่าบุคคลนั้นไม่น่าจะติดเชื้อโรค (ให้ผลลบ) แม้กระนั้นถ้าเกิดรอบๆที่ฉีดยามีขนาดรอยบวมตั้งแต่ 10 มิลลิเมตรขึ้นไป หมายความว่าบุคคลน่าจะติดเชื้อวัณโรค (ได้ผลบวก) และจะต้องทำตรวจอื่นๆ
ทางห้องปฏิบัติการที่ช่วยวินิจฉัยวัณโรคยกตัวอย่างเช่น เอ็กซเรย์ปอด ลักษณะผิดปกติที่เข้าได้กับวัณโรคปอดตัวอย่างเช่น เจอการอักเสบของปอดที่ ปอดกลีบบน การย้อมเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ควรจะทำในผู้ป่วยทุกรายที่สงสัยว่าเป็นวัณโรคเพื่อช่วย รับรองการวินิจฉัย โดยจะเก็บเสลดตอนเช้าหลังจากที่ตื่นนอนขึ้นมาแล้ว 3 วันติดต่อกัน จะทราบผลด้านในโดยประมาณ 30 นาที แต่มีข้อเสียคือ แนวทางนี้มีโอกาสตรวจพบเชื้อวัณโรคได้เพียงราวๆครึ่งเดียวของผู้เจ็บป่วย เท่านั้น ด้วยเหตุนั้นคนป่วยที่ตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคในเสมหะก็ยังอาจเป็นโรควัณโรคปอดได้ การเพาะเชื้อวัณโรคจากเสมหะ ลักษณะเด่นคือ แนวทางแบบนี้สามารถตรวจพบเชื้อได้มากถึง 80 - 90% ของคนไข้ แต่ต้องใช้เวลาราวสองเดือนก็เลยทราบผล
เมื่อแพทย์วิเคราะห์ว่เป็นวัณโรค[/url]ปอด แพทย์จะให้ยารักษาวัณโรค โดยธรรมดาจะนิยมใช้สูตรยากิน 6 เดือน 2 เดือนแรกใช้ยา 4 จำพวก ตัวอย่างเช่น ไอเอ็นเอช (INH) หรือไอโซไนอะซิด (Isoniazid) ไรแฟมพิซิน (rifampicin) ,ไพราซิที่นาไมด์ (pyrazinamide) แล้วก็อีแทมบูทอล (ethambutol) บางรายอาจใช้ สเตรปโตไมสินประเภทฉีดแทนอีแทมบูทอล แล้วต่อด้วยยา 2 ประเภท ได้แก่ ไอเอ็นเอช รวมทั้งไรแฟมพิซิน อีก 4 เดือน
    หมอจะย้ำเตือนให้ผู้เจ็บป่วยรับประทานยาให้ตามกำหนดแต่ละวัน ห้ามลืมหรือเว้นบางมื้อหรือบางวัน กำชับให้พี่น้องช่วยดูแลให้คนเจ็บกินยาได้เป็นประจำ มิเช่นนั้นอาจทำให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยา ทำให้รักษาไม่เป็นผล หรือจะต้องแปรไปใช้ยาสูตรที่แรงขึ้น    ส่วนคนไข้ที่เป็นโรคภูมิคุมกันบกพร่องร่วมกับวัณโรคปอด เว้นแต่ให้ยาต้านเชื้อไวรัสโรคภูมิคุมกันบกพร่องแล้ว ยังต้องให้ยารักษาวัณโรค (ซึ่งเปลี่ยนสูตรยาที่ต่างกันออกไป) เป็นระยะเวลานาน 9 เดือน
    หมอจะนัดคนเจ็บมาติดตามผลของการรักษาอย่างใกล้ชิด โดยธรรมดาเมื่อใช้ยาได้ 2 สัปดาห์ ลักษณะของการมีไข้และก็ไอจะเริ่มทุเลา รับประทานข้าวได้ แล้วก็น้ำหนักขึ้น
    แพทย์จะกระทำการตรวจเสมหะ (ดูว่าเชื้อหายหมดหรือยัง) เป็นระยะๆเช่น เมื่อกินยาครบ 2 เดือน 5 เดือน และเมื่อหมดการใช้ยารักษา นอกนั้นบางทีอาจทำการเอกซเรย์ปอดดูว่ารอยโรคหายดีหรือยัง
    ส่วนผู้ที่เป็นกรุ๊ปเสี่ยงต่อการเกิดตับอักเสบ ดังเช่น คนเจ็บดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์เป็นประจำ มีประวัติเป็นโรคตับอยู่ก่อน หรืออายุมากกว่า 35 ปี เมื่อรับประทานยารักษาวัณโรค ซึ่งอาจส่งผลให้ตับอักเสบได้ หมอจะกระทำการตรวจเลือดดูระดับโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีตับ (AST, ALT) เพื่อมองว่ามีการอักเสบของตับเกิดขึ้นหรือเปล่า
ทั้งนี้ปัญหาใหญ่เกี่ยวกับวัณโรคในประเทศไทย คือ การเกิดวัณโรคดื้อยาหลายขนานซึ่งทำให้การดูแลรักษาหายขาดเป็นได้ยากขึ้น แล้วก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงชีวิตได้ในเด็กและผู้ใหญ่ ส่วนใดส่วนหนึ่งมาจากการกินยาที่ไม่บ่อยนักของคนเจ็บสาเหตุจากปัญหาหลายแบบ อาทิเช่น การที่จำเป็นต้องกินยาเป็นเวลานาน (ขั้นต่ำ 6 เดือน) ทำให้คนเจ็บที่มีลักษณะอาการดีขึ้นเล็กน้อยหยุดยาหรือไม่มีตามนัด หรือในรายที่อาจทนผลกระทบของยามิได้ก็เลยหยุดยาเอง เป็นต้น
การติดต่อของวัณโรค เชื้อวัณโรคสามารถแพร่กระจายได้ทางอากาศ จากผู้เจ็บป่วยที่เป็นวัณโรคปอดรวมทั้งกล่องเสียง การติดเชื้อเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากการหายใจเอาละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคของคนป่วย ซึ่งมีต้นเหตุจากการไอหรือจาม บอกหรือร้องเพลง ฯลฯ การไอหรือจามหนึ่งครั้งสามารถสร้างละอองฝอยได้ถึงล้านละอองฝอย อนุภาคของเชื้อมีขนาดเล็กมากประมาณ1-5 ไมครอน ละอองของเชื้อจึงสามารถลอยอยู่ในอากาศได้นานแล้วก็ไปได้ระยะทางไกล เมื่อหายใจรับละอองฝอยที่มีเชื้อวัณโรคเข้าไปในระบบทางเดินหายใจที่ถุงลมของปอดรวมทั้งบางทีอาจเกิดการติดเชื้อที่ปอดรวมทั้งแพร่ไปเชื้อสู่อวัยวะต่างๆในร่างกายทางต่อมน้ำเหลืองหรือกระแสโลหิตได้
                สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อการต่อว่าดเชื้อขึ้นอยู่กับจำนวน หรือความเข้มข้นของเชื้อกลางอากาศแล้วก็ช่วงเวลาสำหรับในการสัมผัสเชื้อเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมเดียวกันกับคนไข้เป็นวันหรืออาทิตย์ เช่นอยู่ห้องเดียวกัน ฯลฯ วัณโรคเป็นโรคติดเชื้อที่มีลักษณะพิเศษคือ คนเจ็บที่ติดเชื้อหรือรับเชื้อเข้าไปในร่างกายทุกรายไม่จำเป็นต้องเจ็บป่วยเป็น ไม่มีอาการรวมทั้งอาการแสดงของวัณโรค เรียกว่า การต่อว่าดเชื้อตอนนี้ว่า วัณโรคอยู่ในระยะปกปิด/ระยะแฝง (latent Mycobacterium tuberculosis infection)  เมื่อบุคคลได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายแล้ว ตลอดช่วงชีวิตต่อจากนั้นเสี่ยงต่อการเป็นโรคได้ประมาณ ร้อยละ 10ซึ่งราวๆจำนวนร้อยละ 5  (หรือโดยประมาณ จำนวนร้อยละ50) ได้โอกาสเป็นโรคในตอน 1-2 ปีแรก (CDC, 2011) ส่วนอีกปริมาณร้อยละ 5   จะได้โอกาสเป็นโรคต่อไปหากร่างกายมีระบบภูมิต้านทานปกติ ในกลุ่มที่มีภูมิคุ้มกันภายในร่างกายขาดตกบกพร่องจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมากกว่าปริมาณร้อยละ 10
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นวัณโรค

  • กินยาให้สม่ำเสมอและต่อเนื่องตามคำสั่งแพทย์ หากระหว่างการรักษามีอาการผิดปกติให้กลับมาพบแพทย์ทันที ห้ามหยุดยาเอง หรือเปลี่ยนที่รักษาใหม่หลังกินยา 2-3 เดือน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่ามีอาการดีขึ้นแต่อาการที่ดีขึ้นนั้นไม่ได้หมายความว่าผู้ป่วยหายจากโรคแล้ว ต้องกินยาจนแพทย์มีความเห็นว่าหายขาดและสั่งให้หยุดยา ถ้าด่วนหยุดยาเองโรคจะกำเริบและเชื้ออาจดื้อยาที่เคยรักษาอยู่ ทำให้รักษาหายยากขึ้น
  • ปิดปากและจมูกเวลาไอหรือจาม เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อสู่ผู้อื่น
  • บ้วนเสมหะลงในภาชนะที่มีฝาปิดมิดชิด ทำลายเชื้อโรคในเสมหะด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ
  • งดสิ่งเสพติดเช่น เหล้า บุหรี่ พักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ (อาหารมีประ โยชน์ห้าหมู่) เช่น เนื้อสัตว์ ไข่ ธัญพืช ผัก และผลไม้
  • ให้บุคคลใกล้ชิดเช่น คนในบ้านพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายและเอกซเรย์ปอด ซึ่งในผู้ใหญ่ ถ้าผลเอ็กซเรย์ไม่พบความผิดปกติจะถือว่าไม่เป็นวัณโรคไม่จำเป็นต้องมีการรักษา แต่ในเด็ก เล็ก ถึงแม้จะไม่มีอาการและเอ็กซเรย์ปอดปกติ จะต้องตรวจทูเบอร์คูลิน (tuberculin skin test หรือ TST) ซึ่งถ้าผลเป็นบวก แพทย์จึงจะให้การรักษาวัณโรค
  • ในช่วงแรกของการรักษา (โดยเฉพาะในช่วง 2-3 สัปดาห์แรก) จะถือเป็นระยะแพร่เชื้อ ผู้ป่วยจึงควรแยกตัวออกให้ห่างจากผู้อื่น โดยการอยู่แต่ในบ้าน แยกห้องนอน ไม่อยู่ใกล้ชิดกับคนในบ้าน ภายในห้องควรเปิดหน้าต่างเพื่อให้มีอากาศถ่ายเทได้สะดวกและให้แสงแดดส่องถึง (เนื่องจากแสงแดดและความร้อนจะทำลายเชื้อวัณโรคได้ดี) หมั่นนำเครื่องนอนออกไปตากแดด และไม่ออกไปที่ที่มีผู้คนแออัด นอกจากนี้ยังควรแยกถ้วย ชาม สำรับอาหารและเครื่องใช้ออกต่างหากด้วย (หากจำเป็นต้องเข้าใกล้ผู้อื่นหรือเข้าไปในที่ชุมชน ควรสวมหน้ากากอนามัยปิดปากและจมูกเสมอ)
  • ผู้ป่วยที่ต้องทำงานกลับกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยเอดส์ เด็กเล็ก ควรแยกตัวออกห่างจากคนเหล่านี้จนกว่าจะตรวจไม่พบเชื้อวัณโรคแล้ว

การป้องกันตนเองจากวัณโรค

  • ถ้ามีอาการผิดปกติที่น่าสงสัยว่าเป็นวัณโรค เช่น ไอเรื้อรัง 2 สัปดาห์ขึ้นไป มีไข้ต่ำๆโดยเฉพาะตอนบ่ายๆหรือค่ำๆ เจ็บหน้าอก เหนื่อยหอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรรีบไปรับการตรวจรักษาโดยการเอกซเรย์ปอด ตรวจเสมหะ
  • รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ กินอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบ 5 หมู่
  • ประชาชนทั่วไป ควรตรวจร่างกายโดยการเอกซ์เรย์ปอดหรือตรวจเสมหะ (AFB) อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง ถ้าพบว่าเป็นวัณโรคจะได้รีบรักษาก่อนที่จะลุกลามมากขึ้น
  • ถ้ามีผู้ป่วยวัณโรคอยู่ในบ้านเดียวกัน ควรกำชับให้ผู้ป่วยปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด โดยในช่วงที่ผู้ป่วยยังกินยารักษาวัณโรคได้ไม่ถึง 2 สัปดาห์ หรือยังไม่หายจากอาการไอ ควรหลีกเลี่ยงการนอนในห้องเดียวกับผู้ป่วย และถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยเพื่อป้องกันการติดเชื้อเสมอ รวมถึงต้องล้างมือทุกครั้งหลังการสัมผัสผู้ป่วยหรือสิ่งของๆผู้ป่วย
  • ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรค และผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับผู้ป่วยหรือเป็นสมาชิกในบ้านเดียวกับผู้ป่วย แม้ว่าจะยังรู้สึกสบายดีก็ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจทูเบอร์คูลิน ถ้าพบว่าให้ผลเป็นบวกซึ่งแสดงว่าเป็นผู้ติดเชื้อวัณโรค
  • ฉีดวัคซีนบีซีจี (BCG) (Beeilus Calmette Guerin)ให้ทารกแรกเกิดทุกราย วัคซีนชนิดนี้มีผลในการป้องกันวัณโรค ชนิดรุนแรงในเด็กเล็ก แต่ไม่สามารถป้องกันวัณโรคปอดในผู้ใหญ่ ผู้ที่เคยฉีดบีซีจีมาแล้วก็ยังมี โอกาสเสี่ยงต่อการเป็นวัณโรคปอดได้

ซึ่งวัคซีน BCG ถูกผลิตขึ้นเมื่อ  พ.ศ. 2461 A. Calmette และ A. Guerin สองนักวิทยาศาสตร์แห่งสถาบันพลาสเตอร์ ก็ผลิตวัคซีนขึ้นมาเรียกว่า Bacille Calmette-Guerin (BCG) และเริ่มใช้ในปี พ.ศ. 2464
สมุนไพรที่ใช้รักษา/บรรเทาอาการของวัณโรค วัณโรคเป็นโรคที่ติดต่อจากเชื้อไมโครแบคทีเรียที่เป็นอันตรายร้ายแรงและมีการติดต่อที่เร็วมาก เพราะสามารถแพร่เชื้อทางอากาศได้ แต่ในประเทศไทยของเราถือว่าได้รับข่าวดีเป็นอย่างมากเมื่อมีคณะนักวิจัยสามารถศึกษาวิจัยต้นพบว่ามีสมุนไพรที่มีฤทธิ์ต้านเชื้อวัณโรคได้ถึง 14 ชนิด ดังที่มีการจัดการประชุมวิชาการกรมวิทศาสตร์การแพทย์ ณ.อิมแพค เมืองทองธานี เมื่อปี 2551 ซึ่งสอดคล้องกับผลการศึกษาวิจัย มหาวิทยาลัยโคโบราโดของอเมริกา ก็เพิ่งค้นพบว่า สารที่อยู่ในขมิ้นช่วยปราบวัณโรคชนิดที่ดื้อยาลงได้ โดยนักวิจัยของมหาวิทยาลัยได้พบว่า ขมิ้นมีสารที่เรียกว่า แมคโครเฟลกซ์ ซึ่งมีสรรพคุณในการกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มโรคของมนุษย์สามารถขับไล่เชื้อวัณโรคได้ด้วย โดยจะไปกระตุ้นภูมิคุ้มโรคให้ต่อต้านเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาให้อ่อนฤทธิ์กับการต่อสู้กับยาลง ซึ่งนักวิจัยได้ชี้แจงว่า การศึกษาทำให้เราได้พบหลักฐาน แสดงว่าสารในขมิ้นสามารถช่วยต่อต้านการอักเสบของวัณโรคชนิดที่ดื้อยาในเซลล์ของมนุษย์ได้  ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่านักวิจัยของไทย จะสามารถนำข้อมูลการวิจัยสมุนไพรเหล่านี้มาต่อยอด เพื่อผลิตเป็นยาเพื่อมารักษาวัณโรคได้ในภายหน้า
เอกสารอ้างอิง

  • แนวทางการดำเนินงานควบคุมวัณโรคแห่งชาติ พ.ศ.2556. สำนักวัณโรค กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม.2556.พิมพ์ที่สำนักกิจการโรงพิมพ์ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมรารูปถัมภ์.186 หน้า
  • นพ.ธีรวัฒน์ บูระวัฒน์.วัณโรค.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 323.คอลัมน์ เล่าสู่กันฟัง.มีนาคม 2549
  • วัณโรค-อาการ,สาเหตุ,การรักษา http://www.disthai.com/[/b]
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “วัณโรคปอด (Tuberculosis)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 424-429.
  • วัณโรค.ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • วัณโรคปอด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 380.คอลัมน์ สารานุกรมทันโรค.ธันวาคม 2553
  • รายงานการเฝ้าระวังทางระบาดวิทยาสถานการณ์วัณโรคและโรคเอดส์ปี2550-2555สำ นักระบาดวิทยา.กรมควบคุมโรค.
  • กระทรวงสาธารณสุข.แนวทางระดับชาติ:ยุทธศาสตร์การผสมผสานการดำ เนินงานวัณโรคและโรคเอดส์เพื่อการควบคุมและป้องกันวัณโรคในผู้ติดเชื้อเอชไอวีในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่2กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์การศาสนา สำ นักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ, 2546
  • ศิริลักษณ์ อภิวาณิชย์,ถนอมวงศ์ มัณฑจิตร์ ,กำธร มาลาธรรม.การเฝ้าระวังการติดเชื้อวัณโรคของบุคลากรในทีมสุขภาพโรงพยาบาลรามาธิบดี.วารสารรามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่18ฉบับที่2.กันยายน-ธันวาคม 2555.หน้า273-286
  • Jarvis, W.    (2007). Tuberculosis. In   W.    R.   Jarvis (Ed.), Bennett & Brachman's hospital infections (pp.539-560). Philadelphia: Lippincott Williams &Wilkins.
  • วัณโรค.แผ่นพับโรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน.คณะกรรมการแผ่นพันเพื่อการประชาสัมพันธ์.คณะเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล.2552.
  • เจริญ ชูโชติถาวร. (2548). โรคติดเชื้อ ใน พรรณทิพย์ ฉายากุล และคณะ (บก.), ตําาราโรคติดเชื้อ 1 (หน้า 683-719). กรุงเทพฯ: โฮลิสติก พับลิชชิ่ง
  • Centers for Disease Control and    (2005a). Guidelinesfor  preventing  the  transmission  of  Mycobacterium tuberculosis  in  health-care  settings,  2005. Retrieved March 16,    2011, from Morbidity and    Mortality Weekly Report Web site:
  • Kumar V, Abbas AK, Fausto N, Mitchell RN (2007). Robbins Basic Pathology (8th ed.). Saunders Elsevier. pp. 516– ISBN 978-1-4160-2973-1.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ