Advertisement
โรคหัด (Measles)โรคหัดคืออะไร|เป็นอย่างไร|เป็นยังไง} โรคหัด (Measles) จัดเป็นโรคไข้เป็นผื่นที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อไวรัสที่พบมากในเด็กเล็ก แม้กระนั้นก็สามารถเจอได้ในทุกวัย ซึ่งโรคฝึกฝนนี้ยังนับเป็นโรคติดเชื้อระบบทางเท้าหายใจอีกด้วย สำหรับประวัติความเป็นมากของโรคฝึกนี้มีประวัติภูมิหลังดังนี้
โรคหัด หรือชื่อภาษาอังกฤษเรียกว่า “measles” มีรากศัพท์จากคำว่า Masel ในภาษาเนเธอแลนด์ แปลว่า จุด (spots) ที่ชี้แจงอาการนำของโรคนี้ที่ผู้ป่วยจะมีอาการไข้และผื่น นอกจากนี้อาการสำคัญอื่นๆที่เป็นจุดแข็งของโรคหัด เช่น ไอ น้ำมูลไหล และตาแดง โรคหัดมีชื่อเสียงมานานกว่า 2000 ปี พบหลักฐานการร่ายงานทีแรกโดยแพทย์แล้วก็นักปรัชญาชาวอิหร่านชื่อ Rhazed และใน คริสต์ศักราช1954 Panum แล้วก็ภาควิชา ได้รายงานการระบาดของโรคฝึกที่หมู่เกาะฟาโรห์และให้ข้อสรุปของโรคนี้ว่าเป็นโรติดเชื้อโรคที่มีการติดต่อสู่บุคคลอื่นได้ง่าย มีระยะฟักตัวราว 2 สัปดาห์ รวมทั้งข้างหลังติดโรคผู้ป่วยจะมีภูมิคุ้มกันตลอดชีวิต
โรคหัดถือได้ว่าเป็นโรคที่มีความหมายมากมายโรคหนึ่ง ด้วยเหตุว่าอาจจะส่งผลให้กำเนิดโรคแทรกส่งผลให้เสียชีวิตได้ และก็แม้กระนั้นในตอนนี้โรคนี้มีวัคซีนคุ้มครองป้องกันที่มีคุณภาพสูงแทบ 100% แล้ว(ในประเทศไทยเริ่มใช้วัคซีนคุ้มครองโรคฝึกฝนตั้งแต่ ปี พ.ศ.2527) โรคฝึกหัดเป็นโรคที่พบกำเนิดได้ตลอดทั้งปี แต่มีอุบัติการณ์สูงในตอนเดือนมกราคมถึงเดือน แล้วก็ช่องทางในการเกิดโรคในหญิงและเพศชายมีใกล้เคียงกัน
จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่ามีคนเสียชีวิตด้วยโรคฝึกจากทั่วทั้งโลก 134,200 ราย สำหรับสถานการณ์โรคฝึกในประเทศไทย ตามรายงานของสำนักระบาดวิทยา กระทรวงสาธารณสุขปี 2555,2556 พบว่ามีจำนวนผู้ป่วยโรคฝึกฝนรวมทั้งสิ้น 5,207 คน รวมทั้ง 2,646 คน ในแต่ละปีเป็นลำดับ โดยเด็กอายุ 9 เดือน-7 ปี จัดเป็นตอนๆอายุที่เจอคนไข้โรคนี้สูงที่สุด คิดเป็นปริมาณร้อยละ 37.03 แล้วก็ 25.85 ของแต่ละปี
สาเหตุของโรคฝึก โรคหัดมีเหตุมาจากการต่อว่าดเชื้อ Measles virus (หรือ Rubeola) อยู่ในGenus Morbillivirus และ Paramyxovirus เป็น single-stranded RNA รูปร่างกลม (spherical) ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 100-250 นาโนเมตร ห่อหุ้มโอบล้อมโดย envelope เป็น glycol-protien ที่ประกอบด้วยโปรตีนสำคัญ 3 ชนิด อย่างเช่น H protein ปฏิบัติภารกิจให้ผนังไวรัสติดตามกับผนังเซลล์ของมนุษย์ F protein มีความจำเป็นสำหรับในการแพร่ไวรัสจากเซลล์หนึ่งสู่เซลล์อื่นๆM protein มีความจำเป็นเกี่ยวข้องกัน viral maturation ด้วยเหตุว่าเป็นเชื้อไวรัสที่มี envelope หุ้มก็เลยถูกทำลายได้ง่ายด้วยความร้อน (>37◦ซ.) แสงไฟ สภาพการณ์ที่เป็นกรดและก็สารที่ละลายไขมันเป็นต้นว่าอีเทอร์ คลอโรฟอร์ม โดยเชื้อกลางอากาศแล้วก็บนผิววัตถุจะมีชีวิตเพียงช่วงเวลาสั้นๆ(ไม่เกิน 2 ชั่วโมง) และเชื้อนี้สามารถก่อโรคได้เฉพาะในคนเท่านั้น
อาการโรคหัด คนไข้จะเริ่มจับไข้สูง 39◦เซลเซียส-40.5◦เซลเซียส ร่วมกับมีไอ น้ำมูก และก็ตาแดง เป็นอาการสำคัญบางรายอาจเจอตาไม่สู้แสง (photophobia) เจ็บคอ ปวดหัว ต่อมน้ำเหลืองโต ไม่อยากอาหารและท้องเสียร่วมด้วย อาการเหล่านี้จะเกิด 2-4 วันก่อนจะมีผื่นขึ้นและพบ Koplik spots เป็นลักษณะจำเพาะที่สำคัญ เห็นเป็นจุดขาวปนเทาเล็กๆบนพื้นแดงของกระพุ้งแก้ ส่วนมากพบบริเวณกระพุ้งแก้มตรงข้ามกับฟันกรามข้างล่างซี่แรก (first molar) พบบ่อย 1 วันก่อนมีผื่นขึ้นและปรากฏอยู่นาน 2-3 วัน การดำเนินโรคมีลักษณะดังนี้ คือ ไข้จะเบาๆสูงมากขึ้นกระทั่งสูงสุดในวันที่ 3-4 ซึ่งเป็นวันที่เริ่มมีผื่นขึ้น ลักษณะผื่นเป็น maculopapular rash เริ่มที่ไรผม หน้าผาก ข้างหลังหู ใบหน้าและไล่ลงมาที่คอ ทรวงอก แขน ท้อง จนมาถึงขาในเวลา 48-72 ชั่วโมง ผื่นที่ขึ้นก่อนในวันแรกๆมักกลุ่มรวมกันลักษณะเป็น confluent maculopapular rash ทำให้ดูชัดกว่าผื่นรอบๆช่วงล่างของลำตัวซึ่งมีลักษณะเป็น discrete maculopapular rash มีรายงานการพบผื่นที่ฝ่ามือหรืออุ้งเท้าถึงปริมาณร้อยละ 25-50 แล้วก็บางทีอาจสัมพันธ์กับความรุนแรงของโรค เมื่อผื่นเกิดไล่มาถึงเท้าไข้จะน้อยลง อาการอื่นๆจะดียิ่งขึ้น ผื่นจะอยู่นาน 3-7 วันแล้วค่อยๆจางลงจากหน้าลงมาเท้ารวมทั้งเปลี่ยนเป็นสีคล้ำ (hyperpigmentation) ซึ่งเป็นผลจากการมีเลือดออกในหลอดเลือดฝอยแล้วต่อจากนั้นจะหลุดลอกเป็นแผ่นบางๆจำนวนมากมักพินิจไม่เจอเพราะว่าหลุดไปพร้อมการอาบน้ำ บางทีอาจพบการดำเนินโรคที่ไม่สบายแบบ biphasic คือ ไข้สูงใน 24-48 ชั่วโมงแรกต่อมาอุณหภูมิกลับกลายปกติไม่มีไข้ราวๆ 1 วันแล้วจึงเริ่มจับไข้สูงอีกรอบและก็มีผื่นเกิดขึ้นในวันที่ไข้สูงสุด ไข้จะดำรงอยู่อีกราวๆ 2-3 คราวหลังจากผื่นขึ้นแล้วจึงหายไป กรณีที่ไข้ไม่ลงหรือลงแล้วกลายเป็นซ้ำใหม่ควรตรวจค้นภาวะแทรกซ้อนที่อาจจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะการติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย ส่วนอาการไออาจพบนานถึง 10 วัน ส่วนภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกฝนที่มักพบมีดังนี้
ภาวะแทรกซ้อนของโรคหัด เจอได้จำนวนร้อยละ 30 ของคนเจ็บโรคฝึกฝน พบมากในเด็กอายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็ผู้ใหญ่ที่อายุน้อยกว่า 5 ปีแล้วก็ผู้ใหญ่ที่อายุมากกว่า 20 ปี เกิดได้หลายระบบของร่างกาย ปัจจัยจำนวนมากเกิดขึ้นจากเยื่อบุ (epithelial surface) ของอวัยวะต่างๆถูกทำลายรวมทั้งผลของการกดภูมิคุ้มกันจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสของร่างกาย แยกตามอวัยวะต่างๆของร่างกายได้ดังต่อไปนี้
- หูส่วนกลางอักเสบ (otitis media) พบประมาณจำนวนร้อยละ 10
- ปอดบวม (pneumonia) ซึ่งกำเนิดได้ 2 ระยะ ระยะแรกที่เกิดขึ้นจากเชื้อไวรัสเอง จะเป็น interstitial pneumonia ในช่วงหลัง ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากการตำหนิดเชื้อแบคทีเรียแทรก จะเป็น bronchopneumonia
- อุจจาระร่วง (diarrhea) มักเกิดในระยะเริ่มต้นที่เป็นไข้ หรือเมื่อผื่นเริ่มขึ้น
- สมองอักเสบ (encephalitis) พบได้ 1:1000 ถึง 1:10000 ซึ่งเกิดในตอน 2-5 วัน ภายหลังผื่นออก มีอาการไข้ อ้วก ปวดศีรษะ ซึม ซึ่งถ้าหากกรวดน้ำไขสันหลัง จะพบเซลล์เป็น lymphocyte โปรตีนสูง
- Subacute sclerosing panencephalitis (SSPE) พบได้ 1 ใน 100000 มักกำเนิดภายหลังจากเป็นหัดแล้ว 4-8 ปี อาการจะค่อยเป็นค่อยไป มีความประพฤติไม่ถูกไป สติปัญญาเสื่อมลง มีอาการชัก อาการทางประสาทจะหยาบช้าลงบ่อยถึงโคมา รวมทั้งถึงแก่กรรมในที่สุด ถ้ากรวดน้ำไขสันหลังพบว่ามี high titer of measles antibody ตรวจ EEG เจอ burst suppression pattern with paroxysmal high-amplitude burst and background suppression
วิธีการรักษาโรคฝึกฝนการวิเคราะห์ โรคหัดใช้การวินิจฉัยจากแนวทางซักประวัติความเป็นมารวมทั้งตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยคนป่วยจะเป็นไข้สูง น้ำมูก ไอ ตาแดง และพบผื่นลักษณะ maculopapular rash ในช่วงวันที่ 3-4 ของไข้ การเจอ Koplik spots (จุดข้างในปากช่วงกระพุ้งแก้ม) จะเป็นหัวใจหลักที่ช่วยสำหรับเพื่อการวิเคราะห์ ในเรื่องที่อาการและอาการแสดงไม่แน่ชัดบางทีอาจพิจารณาส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการดังนี้เพิ่มเติมอีกเพื่อช่วยยืนยันการวิเคราะห์
- การตรวจน้ำเหลืองเพื่อหาระดับของดินแดนติเตียนบอดีต่อเชื้อไวรัสฝึกฝน แนวทางที่นิยมใช้ได้แก่ enzyme immunoassay (EIA) เพราะเหตุว่าทำง่าย ราคาถูก มีความไวรวมทั้งความจำเพาะสูง โดยตรวจหาแอนติบอดีชนิด IgM ใน acute phase serum หรือตรวจหาแดนติเตียนบอดีจำพวก IgG 2 ครั้งใน acute รวมทั้ง convalescent phase serum ห่างกัน 2 สัปดาห์ เพื่อมองการเพิ่มขึ้นของระดับดินแดนตำหนิบอดี (fourfold rising of antibody) เพื่อรับรองการวินิจฉัย โดยวิธีการแบบนี้จะสามารถตรวจเจอภายหลังจากมีผื่นแล้ว 3 วัน โดยระดับแอนติบอดีจะขึ้นสูงสุดประมาณ 14 คราวหลังผื่นและก็จะหายไปใน 1 เดือน ช่วงเวลาที่แนะนำให้ตรวจคือ 7 วันหน้าผื่นขึ้น ซึ่งมีวิธีดังนี้
วิธี ELISA IgM ใช้ตัวอย่างนน้ำเหลือง (serum): เจาะเลือดเพียงแค่ครั้งเดียวตอน 4-30 คราวหลังเจอผื่น โดยเจาะเลือด 3-5 มล.ทิ้งไว้ที่อุณหภูมิปกติ รอจนกระทั่งเลือดแข็ง ดูดเฉพาะ Serum (หามีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมให้ ปั่นแยก Serum) เก็บใส่หลอดไม่มีเชื้อ ปิดจุกให้สนิทและจากนั้นจึงนำไปวินิจฉัยถัดไป
- การตรวจสารพัดธุบาปของเชื้อไวรัสฝึกฝน โดยแนวทาง polymerase chain reaction (PCR) ซึ่งมีวิธีการดังต่อไปนี้
ปิดฉลาก ชื่อ-นามสกุล รวมทั้งวัน-เดือน-ปี ที่เก็บ วิธี PDR ใช้throat/nasal swab : เก็บช่วง 1-5 วันแรกหลังพบผื่น โดยใช้ SWAB ป้ายภายในรอบๆ posterior pharynx จุ่มปลาย swab ใน viral transport media หักด้าม swab ทิ้งเพื่อปิดหลอดให้สนิทแล้วนำไปวินิจฉัยต่อไป
การรักษา เหตุเพราะการต่อว่าดเชื้อไวรัส ฝึกหัดไม่มียาใช้รักษาเฉพาะ ควรต้องให้การรักษาตามอาการ อาทิเช่น เช็ดตัวลดไข้ ให้ยาลดไข้ สารน้ำในเรื่องที่มีภาวะขาดน้ำหรือทานอาหารได้น้อย ให้ความชื้นแล้วก็ออกสิเจนในกรณีที่หอบหายใจเร็ว ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อแบคทีเรีย ได้แก่ ปอดอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบพิจารณารักษาโดยใช้ยาต้านทานจุลชีวินที่สมควรเป็นต้น
นอกเหนือจากนี้พบว่าการให้วิตามินเอ ยังสามารถลดอัตราการตายแล้วก็ความพิกลพิการจากภาวะแทรกซ้อนของโรคฝึกได้และยังช่วยเสริมภูมิต้านทานโรคหัดได้อีกด้วย ด้วยเหตุนั้นแพทย์ก็เลยมักไตร่ตรองจะให้วิตามินเอแก่คนป่วยที่มีข้อบ่งชีดังต่อไปนี้
- ผู้ป่วยอาการรุนแรงที่อาศัยอยู่ในประเทศไม่ค่อยมีการพัฒนา หรือในรอบๆที่ยากแค้นของประเทศที่กำลังปรับปรุง
- ผู้เจ็บป่วยเด็กอายุ 6-24 เดือน แล้วก็จำเป็นต้องนอนอยู่ในโรงหมอด้วยโรคหัดที่มีภาวะแทรกซ้อน
- ผู้เจ็บป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันขัดขวางโรคบกพร่อง
- ผู้เจ็บป่วยขาดสารอาหาร
- ผู้เจ็บป่วยที่เคยมีประวัติเป็นโรคตา จากการขาดวิตามิน เอ
- ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื่องไส้ดูดซับไม่ดี (จึงมักขาดวิตามิน เอ)
- ผู้เจ็บป่วยที่พึ่งพิงย้ายมาจากพื้นที่ที่มีอัตราการตายจากโรคฝึกสูง
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคฝึก- เด็กหรือผู้ใหญ่ที่ไม่ได้รับการฉีดซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดมีการเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคฝึกหัดได้
- สถานที่ที่มีความชื้อที่แดดส่องไม่ถึง หรือมีผู้คนพลุกพล่านไม่น้อยเลยทีเดียวมักจะเป็นที่ที่มีการระบาดของโรคหัด เป็นต้นว่า สถานศึกษา สถานที่รับเลี้ยงเด็กเป็นต้น
- คนที่มีภาวการณ์ขาดวิตามินเอ ชอบมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคหัด มากยิ่งกว่าคนปกติ
- ผู้ที่มีภาวการณ์ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน
- ผู้ที่อาศัยอยู่ในประเทศที่มีระบบระเบียบสาธารณสุขที่ไม่มีประสิทธิภาพ(ประเทศกำลังพัฒนา)
การติดต่อของโรคฝึก โรคหัดเป็นโรคติดต่อที่แพร่ขยายสู่บุคคลอื่นได้ง่ายผ่านทางการหายใจ (airborne transmission) เชื้อไวรัสหัดจะอยู่ในละอองน้ำมูก น้ำลายและเสมหะของคนเจ็บ ติดต่อไปยังคนอื่นโดยการไอจามรดกัน เชื้อจะติดอยู่ในละอองฝอยๆเมื่อผู้ป่วยไอหรือจาม เชื้อจะกระจายออกไปในระยะไกลรวมทั้งแขวนลอยอยู่ในอากาศได้นาน เมื่อคนธรรมดามาสูดเอาอากาศที่มีฝอยละอองนี้เข้าไป หรือละอองสัมผัสกับเยื่อตาหรือเยื่อเมือกช่องปาก (ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไอหรือจามรดใส่กันตรงๆ) ก็สามารถทำให้ติดเชื้อโรคฝึกฝนได้ หรือสัมผัสสารคัดข้างหลังของคนป่วยโดยตรง ซึ่งเชื้อบางทีอาจติดอยู่ที่มือของผู้ป่วย สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆดังเช่น ถ้วยน้ำ จาน จานชาม ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดหน้า ผ้าที่เอาไว้เช็ดตัว หนังสือ ของเด็กเล่น เมื่อคนธรรมดามาสัมผัสถูกมือผู้ป่วย หรือสิ่งของเครื่องใช้ ที่แปดเปื้อนเชื้อ เชื้อก็จะติดมากับมือของคนๆนั้น เมื่อใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกเชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายได้ ระยะการติดต่อเริ่มตั้งแต่ 4 วันโดยช่วงที่เริ่มมีอาการไอและก็มีน้ำมูกก่อนเกิดผื่นเป็นระยะที่มีจำนวนไวรัสถูกขับออกมาเยอะที่สุด ซึ่งภายในช่วงระยะเวลา 7-14 คราวหน้าสัมผัสโรค เชื้อไวรัสหัดจะกระจายไปทั่วร่างกายกระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดลักษณะของระบบฟุตบาทหายใจ ไข้และผื่นในผู้เจ็บป่วยรวมทั้งความเปลี่ยนแปลงทางพยาธิวิทยาอื่นๆตามมาอีกด้วย โดย 90 เปอร์เซ็นต์ของคนที่ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคฝึกมีโอกาสมีอาการป่วยเป็
โรคหัด[/url]หากอยู่ใกล้ผู้ที่เป็นโรค
การกระทำตนเมื่อป่วยเป็นโรคฝึกหัด- ดื่มน้ำสะอาดให้มากมายๆอย่างน้อยวันละ 6-8 แก้ว โดยอาจเป็นน้ำหวานหรือน้ำผลไม้ก็ได้ เพื่อปกป้องการขาดน้ำ
- พักให้มากมายๆไม่ทำงานหนักหรือออกกำลังกายมากจนเกินความจำเป็น
- ของกินที่รับประทานควรจะเป็นอาหารอ่อนๆยกตัวอย่างเช่น ซุปไก่ร้อนๆโจ๊ก น้ำหวาน น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆเป็นต้นว่า ชาร้อน น้ำขิง
- อุตสาหะรับประทานอาหารให้ได้ตามเดิม โดยควรเป็นของกินที่ปรุงสุกใหม่ๆรสไม่จัด ที่สำคัญคือผู้เจ็บป่วยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องงดของแสลง เพราะโรคนี้ไม่มีของแสลง โดยควรจะย้ำการทานอาหารประเภทโปรตีนให้มากมายๆได้แก่ เนื้อ นม ไข่ ถั่ว รวมทั้งของกินที่มีวิตามินเอ มากมายๆยกตัวอย่างเช่น ผักบุ้ง แครอท ตำลึง ตับวัว ฟักทอง ฯลฯ
- อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด ห้ามอาบน้ำเย็น และก็ควรสวมเสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น
- ใช้ผ้าชุบน้ำชุบน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกอุณหภูมิปกติ (อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลามีไข้สูง
- งดเว้นการสูบยาสูบ เลี่ยงควันจากบุหรี่ รวมทั้งงดการดื่มเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์
- หลบหลีกการไปในที่สาลำธารณที่มีคนคนเยอะ
- รับประทานยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งห้องครัว
- ไปพบหมอตามนัดหมาย
การปกป้องคุ้มครองตัวเองจากโรคหัด- ในตอนที่มีการระบาดของโรคฝึกหัด ควรเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีผู้คนยัดเยียด แต่ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย รวมทั้งหมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาด หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัสถูกเสมหะของผู้ป่วย และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะไชจมูกถ้าเกิดยังไม่ได้ล้างมือให้สะอาด
- ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ ร่วมกับคนไข้ และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือกับคนเจ็บโดยตรง แม้ไม่ได้สวมถุงมือคุ้มครองป้องกัน
- อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับคนเจ็บ แต่จำเป็นต้องดูแลคนไข้อย่างใกล้ชิด ควรใส่หน้ากากอนามัย และหมั่นล้างมือด้วยสบู่ให้สะอาดอยู่เป็นประจำภายหลังจากสัมผัสกับคนเจ็บหรือข้าวของของผู้เจ็บป่วย
แต่ดังนี้ แนวทางที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่จะป้องกันโรคหัดได้เป็นฉีดวัคซีนป้องกัน เดี๋ยวนี้กระทรวงสาธารณสุขให้ฉีดยาป้อง กันโรคฝึกหัด 2 ครั้ง ทีแรกเมื่อเด็กอายุ 9-12 เดือน และก็ครั้งที่ 2 เมื่อเด็กเข้าเรียนชั้นประถมศึก ษาปีที่ 1 โดยทั้งคู่ครั้งให้ในรูปของวัคซีนรวม คุ้มครองได้สามโรคเป็นโรคหัด โรคคางทูม แล้วก็โรคหัดเยอรมัน เรียกว่า วัคซีนเอ็มเอ็มอาร์ (MMR, M= mumps/มัมส์/โรคคางทูม M= measles/มีเซิลส์/ฝึก รวมทั้ง R=rubella/รูเบลลา/ โรคหัดเยอรมัน)
ประวัติความเป็นมาของการพัฒนะวัคซีน วัคซีนปกป้องโรคหัดเริ่มมีการพัฒนาตั้งแต่ปี ค.ศ.1960 จวบจนกระทั่งมีการจดทะเบียนการใช้วัคซีนเป็นครั้งแรกในประเทศประเทศสหรัฐอเมริการเมื่อปี คริสต์ศักราช1963 อีกทั้งวัคซีนชนิดเชื้อตาย (killed vaccine) และก็วัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์ (live attenuated vaccine) หลังจากเริ่มใช้วัคซีนทั้ง 2 จำพวกได้เพียงแต่ 4 ปี วัคซีนป้องกันโรคหัดจำพวกเชื้อตามก็ถูกถอนทะเบียนจากตลาดด้วยเหตุว่าพบว่าทำให้เกิด atypical measles ด้วยเหตุนั้นในช่วงต้นวัคซีนที่ใช้ก็เลยเป็น monovalent live attenuated measles vaccine ที่สร้างขึ้นมาจากเชื้อสายประเภท Edmonston ประเภท B โดยนำเชื้อเพาะในไข่ไก่ฟักและก็ chick embryo cell แม้กระนั้นพบปัญหาข้างเคียงที่รุนแรงเรื่องไข้ ผื่น จึงมีการปรับปรุงวัคซีนจำพวกเชื้อเป็นที่อ่อนฤทธิ์จากสายพันธุ์ Edmonston ชนิดอื่นๆด้วยกระบวนการผลิตชนิดเดียวกันแม้กระนั้นทำให้เชื้ออ่อนฤทธิ์ลงอีก ผลกระทบก็เลยลดน้อยลง ถัดมาในปี ค.ศ.1971 มีการขึ้นทะเบียนวัคซีนรวมจำพวก trivalent live attenuated measles-mumps-rubella vaccine (MMR) รวมทั้งใช้อย่างมากมายจนกระทั่งปัจจุบันนี้สำหรับเมืองไทยเริ่มมีการบรรจุวัคซีนปกป้องโรคฝึกฝนรุ่งเช้าไปกลยุทธ์เสริมสร้างภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติหนแรกในปี พ.ศ.2527 โดยเริ่มให้ 1 ครั้งในเด็กอายุ 9-12 เดือนและก็ในปี พุทธศักราช 2539 ก็เลยเพิ่มการให้เข็มที่ 2 แก่เด็กชั้นประถมเรียนปีที่ 1 จนตราบเท่าปี พ.ศ.2540 ได้กำหนดให้ใช้วัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดหรือวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคหัด-คางทูม-โรคเหือด (MMR) ในเด็กอายุ 9-12 เดือนรวมทั้งเปลี่ยนวัคซีนคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัดสำหรับเด็กอายุ 4-6 ปีหรือชั้นประถมเรียนปีที่ 1 เป็นวัคซีนรวมคุ้มครองปกป้องโรคฝึกหัด – คางทูม – หัดเยอรมัน (MMR) เช่นเดียวกัน
สมุนไพรที่ใช้ป้องกัน/รักษา/บรรเทาลักษณะโรคฝึกหัด ตามตำรายาไทยนั้นกล่าวว่าสมุนไพรที่ใช้รักษาลักษณะโรคฝึกหัดมีดังนี้- สะเดา (Azadirachta indica A.Juss.) ใช้ก้านสะเดา 33 ก้าน ต้มกับน้ำ 10 ลิตร แล้วต้มกระทั่งเหลือน้ำ 5 ลิตร ยกลงทิ้งเอาไว้รอคอยให้เย็น ผสมกับน้ำเย็น 1 ขัน ใช้อาบให้ทั่วร่างกายวันละ 1-2 ครั้ง กระทั่งจะหาย และก็ต้องระมัดระวังอย่าอาบตอนที่เม็ดฝึกหัดผุดขึ้นมาใหม่ๆแม้กระนั้นให้อาบในช่วงที่เม็ดหัดออกเต็มที่แล้ว
- ขมิ้นอ้อย (urcuma zedoaria (Christm.) Roscoe) ใช้เป็นยาแก้ฝึกหัดหลบใน ด้วยการใช้เหง้า 5 แว่น และก็ต้นต่อไส้ 1 กำมือ นำมาต้มรวมกับน้ำปูนใสพอเหมาะพอควร แล้วนำมาใช้ดื่มเป็นยาก่อนอาหารยามเช้าและเย็น ทีละ 1 ถ้วยชา
- ปลาไหลเผือก (Eurycoma longifolia Jack) เปลือกลำต้นนำมาต้มเอาน้ำกินเป็นยาแก้ไข้เหือดฝึก
ยิ่งกว่านั้นในบัญชีสามัญประจำบ้านแผนโบราญ พุทธศักราช2556 ดังกำหนดไว้ว่ายาเขียวสามารถใช้รักษารวมทั้งบาเทาลักษณะโรคฝึกฝนได้ โดยในสมัยโบราณ ที่แท้การใช้ยาเขียวในโรคไข้เป็นผื่นในแผนไทย มิได้มีจุดมุ่งหมายสำหรับในการยั้งเชื้อไวรัส แต่อยากกระแทกพิษที่เกิดขึ้นให้ออกมาเยอะที่สุด คนเจ็บจะหายได้เร็วขึ้น ผื่นไม่หลบใน หมายคือไม่เกิดผื่นข้างใน โดยเหตุนี้จึงมีผู้คนจำนวนมากที่กินยาเขียวแล้วจะรู้สึกว่ามีผื่นขึ้นมากขึ้นจากเดิม แพทย์แผนไทยก็เลยเสนอแนะให้ใช้ทั้งยังวิธีรับประทานและก็ทา โดยการกินจะช่วยกระทุ้งพิษภายในให้ออกมาที่ผิวหนัง และการทาจะช่วยลดความร้อนที่ผิวหนัง ถ้าหากจะเปรียบเทียบกับวิธีการหมอแผนปัจจุบัน น่าจะเป็นไปพอดียาเขียวบางทีอาจออกฤทธิ์โดยลดการอักเสบ หรือ เพิ่มภูมิต้านทาน หรือต่อต้านออกซิเดชัน มักใช้รักษาในเด็กที่ไม่สบายออกผื่น ดังเช่น ฝึก อีสุกอีใส เพื่อกระแทกให้พิษไข้ออกมา เป็นผื่นเพิ่มขึ้น และหายได้เร็ว
ตำรับยาเขียว มีส่วนประกอบของพืชที่ใช้ส่วนของใบเป็นองค์ประกอบหลัก การที่ใช้ส่วนของใบทำให้ยามีสีค่อนข้างไปทางสีเขียว จึงทำให้เรียกกันว่า ยาเขียว และใบไม้ที่ใช้นี้ส่วนมาก มีสรรพคุณ เป็นยาเย็น หอมเย็น หรือ บางประเภทมีรสขม เมื่อประกอบเป็นตำรับแล้ว จัดเป็นยาเย็น ทำให้ตำรับยาเขียวโดยมากมีสรรพคุณ ดับความร้อนของเลือดที่เป็นพิษ ซึ่งตามความหมายของการแพทย์แผนไทยนั้น ซึ่งก็คือการที่เลือดมีพิษและก็ความร้อนสูงมากมายจนต้องระบายทางผิวหนัง สำเร็จให้ผิวหนังเป็นผื่น หรือ ตุ่ม ยกตัวอย่างเช่นที่เจอในไข้เป็นผื่น ฝึกหัด อีสุกอีใส เป็นต้น
เอกสารอ้างอิง- รศ.พญ.ธันยวีร์ ภูธนกิจ.โรคหัด.(Measles).เอกสารประกอบการสอน ไข้ออกผื่น (Exanthematous Fever).ภาควิชากุมารเวชศาสตร์.คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่.พฤษภาคม.2547
- ศศิธร ลิขิตนุกูล. โรคหัดและหัดเยอรมัน (Measlesand rubella). ใน: พรรณทิพย ฉายากุล, บรรณาธิการ.ตําราโรคติดเชื้อ เลม 1 กรุงเทพฯ: สมาคมโรคติดเชื้อแหงประเทศไทย; น.523-9.
- รศ.รุ่งระวี เต็มศิริฤกษ์กุล.ยาเขียว.ยาไทยใช้ได้ทั้งผู้ใหญ่และเด็ก.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาเภสัชพฤกษศาสตร์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
- (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). “หัด (Measles/Rubeola)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 396-400.
- ผศ.ดร. ดลฤดี สงวนเสริมศรี, ผศ.ดร. เดือนถนอม พรหมขัติแก้ว มหาวิทยาลัยมหาสารคาม . ฤทธิ์การต้านเชื้อไวรัส varicella zoster ของตำรับยาเขียว (Anti-varicella zoster virus of Ya-keaw remedies). โครงการวิจัยภายใต้ทุนสนับสนุนของ สกว.
- Axton JHM. The natural history of measles. Zambezia. 1979:139-54.
- Babbott FL, Gordon JE. Modern measles. Am J Med Sci. 1954;228:334.
- Koplik HT. The diagnosis of the invasion of measles from study of the exanthema as it appears on the buccal mucosa. Arch pediatr. 1896;13:918-22.
- Maldonado YA. Rubeolar virus (Measles and subacute sclerosing panencephalitis). In: Long SS, Pickering LK, Prober CG, editors. Principles and practical of pediatric infectious disease 3re ed. Churchill Livingston: Elsevier Inc; 2008. p.1120-6.
- Suringa DW, Bank LJ, Ackerman AB. Role of measles virus in skin lesion and Koplik’s spots. N Engl J Med. 1970;283:1139-42.
- แนวทางการเฝ้าระวังควบคุมโรคการตรวจรักษาและส่งตัวอย่างตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อกำจัดโรคหัดตามพันธะสัญญานานาชาติ (ฉบับปรับปรุงวันที่ 2 พฤษภาคม 2555) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข
- Gershon AA. Measles virus. In: Mendell GL, Bennett JE, Dolin R, eds. Mendell, Douglas and Bennett’s principle and practical of infectious disease 7th Churchill Livingston : Elsevier Inc; 2010. p.2229-36.
- Miller C. Live measles vaccine: A21-year follow up. Br Meg J. 1987;295:22.
- Robbins FC. Measles: Clinical Feature. Am J Dis Child. 1965; 266-73.
- Nakai M, Imagawa DT. Electron microscopy of measles virus replication. J virol 1969;3:189-97.
- American Academy of Pediatrics. Rubella. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, eds. Red Book 2009: Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Academy of Pediatrics; 2009. p.579-84.
- Measles (rubeola). In: Krugman S, Katz SL, Gershon AA, Wilfert CM, editors. Infectious disease of children. 9th ed. St. Louis: Mosby Yearbook; 1992. p. 223-45.
- Atabani SF, Byrnes AA, Jaye A, Kidd IM, Magnusen AF, Whittle H, Natural measles causes prolonged suppression of interleukin-12 production. J Infect Dis. 2001;184:1-9.
- Krugman S. Further-attenuated measles vaccine: Characteristics and use. Rev Infectious Dis. 1983;5:477-81.
- Bellini WJ, Helfand RF. The c