โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคไข้หวัด - อาการ, สาเหตุ, การรักษา-เเละ สมุนไพร  (อ่าน 15 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: เมษายน 24, 2018, 03:57:38 pm »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


หวัด (Common cold)
หวัด เป็นยังไง โรคหวัด หรือหวัด ในที่นี้ คือ โรคไข้หวัดธรรมดา (Common cold) ไม่ใชโรคไข้หวัด[/url]ใหญ่ หรือ ฟลู (Influenza หรือ Flu)   โรคหวัด เป็น โรคที่มีต้นเหตุมากจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสรอบๆทางเท้าหายใจส่วนต้น อาทิเช่น จมูก คอ ไซนัส รวมทั้งกล่องเสียง โดยเชื้อที่นำไปสู่ไข้หวัดมักเป็นเชื้อไวรัสประเภทไม่รุนแรง และสามารถหายได้ด้านใน 1-2 อาทิตย์ โรคไข้หวัดเป็นโรคติดโรคยอดฮิตพบได้มากมากมาย ทั้งยังในคนแก่และก็เด็ก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเด็กในวัยเด็ก ซึ่งมักพบเป็นหวัดได้บ่อยมากถึงปีละ 6-8 ครั้ง ด้วยเหตุว่าเด็กมีภูมิต้านทานต่อต้านโรคน้อยกว่าคนแก่ ก็เลยได้โอกาสเป็นหวัดได้บ่อยมากกว่าคนแก่มากมาย รวมทั้งโรคหวัดยังเป็นโรคเกิดได้ทั้งปี แม้กระนั้นมักพบในฤดูฝนแล้วก็หน้าหนาว หวัดถือได้ว่าเป็นโรคที่เป็นแล้วสามารถหายเองได้ โดยไม่จำเป็นจำเป็นต้องใช้ยาอะไรพิเศษ ซึ่งยาที่ต้องมีเพียงแต่พาราเซตามอล ที่ใช้สำหรับลดไข้ แก้ปวด เฉพาะเมื่อเป็นไข้สูงหรือปวดศีรษะ
ข้อบกพร่องในขณะนี้คือ มีการใช้ยาปฏิชีวนะเกินจำเป็นอย่างมากเกินไป ซึ่งไม่ได้คุณประโยชน์ เนื่องจากมิได้มีส่วนฆ่าเชื้อโรคไวรัสหวัดที่เป็นสาเหตุยังอาจจะก่อให้กำเนิดปัญหาเชื้อดื้อยาง่าย แพ้ยาง่าย แล้วก็ทำให้ร่างกายอ่อนแอตามมาได้  ด้วยเหตุผลดังกล่าว ควรต้องเรียนรู้วิธีสำหรับดูแลไข้หวัดด้วยตัวเองและไม่มีอันตราย
ที่มาของโรคไข้หวัด ปัจจัยส่วนมากของการเป็นโรคหวัดมีเหตุที่เกิดจากร่างกายได้รับเชื้อไวรัสก่อโรค ร่วมกับสภาวะที่ภูมิต้านทานของร่างกายลดลง ได้แก่ เครียด พักไม่พอ ส่วนเชื้อที่เป็นต้นเหตุ : เกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจาก “เชื้อโรคหวัด” ที่มีอยู่มากยิ่งกว่า 200 ประเภทจากกลุ่มไวรัสจำนวน 8 กลุ่มร่วมกัน โดยกรุ๊ปเชื้อไวรัสที่สำคัญ ยกตัวอย่างเช่น กรุ๊ปไวรัสไรโน (Rhinovirus) ซึ่งมีมากยิ่งกว่า 100 ชนิด พบมากที่สุดโดยประมาณ 30-50% นอกนั้นก็มีกลุ่มไวรัสวัวโรท้องนา (Coronavirus) ที่พบได้โดยประมาณ 10-15%,แล้วก็กรุ๊ปเชื้อไวรัสอะดีโน (Adenovirus) ฯลฯ
                ซึ่งการเกิดโรคขึ้นแต่ละครั้งจะมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสหวัดเพียงแค่ชนิดเดียว เมื่อเป็นแล้วร่างกายก็จะมีภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสหวัดชนิดนั้น ในการเจ็บป่วยหวัดครั้งใหม่ก็จะมีต้นเหตุที่เกิดจากเชื้อไวรัสหวัดชนิดใหม่ที่ร่างกายยังไม่เคยติดเข้ามา หมุนวนแบบนี้ไปเรื่อยๆโดยเหตุนั้น คนเราก็เลยป่วยหวัดได้บ่อยครั้ง เด็กตัวเล็กๆที่ยังไม่ค่อยได้ติดเชื้อโรคหวัดมาก่อน ก็อาจเป็นไข้หวัดจำเจได้ และบางทีอาจเป็นไข้หวัดได้บ่อยครั้งถึงเดือนละ 1-2 ครั้ง หรือทุกอาทิตย์
อาการของโรคหวัด โดยธรรมดามักมีลักษณะไม่ร้ายแรง เป็นไข้ไม่สูง ครั่นเนื้อครั่นตัวเป็นตอนๆปวดหนักหัวบางส่วน เมื่อยล้าน้อย อาจมีอาการคอแห้ง แสบคอหรือเจ็บคอเล็กน้อยเอามาก่อน ถัดมาจะมีน้ำมูกไหลใสๆคัดจมูก ไอแห้งๆหรือไอมีเสมหะเล็กน้อย ลักษณะใสหรือขาวๆคนป่วยส่วนมาก เดินเหิน ดำเนินงานได้ แล้วก็จะรับประทานอาหารได้ ในเด็กเล็ก อาจมีไข้สูงเฉียบพลัน ตัวร้อนเป็นช่วงๆเวลาไข้ขึ้นอาจซึมน้อย เวลาไข้ลง (ตัวเย็น) ก็จะวิ่งเล่นหรือเค้าหน้าแจ่มใสเหมือนปกติ ต่อมาจะมีน้ำมูกใส ไอเล็กน้อย ในผู้ใหญ่ บางทีอาจไม่มีไข้ มีเพียงแค่อาการเจ็บคอน้อย น้ำมูกใส ไอนิดหน่อย ในเด็กแบเบาะอาจมีอาการอ้วก หรือท้องเดิน ร่วมด้วย อาการไข้มักเป็นอยู่นาน 48-96 ชั่วโมง (2-4 วันเต็มๆ) และดีขึ้นกว่าเดิมได้เอง
                อาการน้ำมูกไหลจะเป็นมากอยู่ 2-3 วัน ส่วนอาการไอ บางทีอาจไอนานเป็นอาทิตย์ หรือบางรายบางทีอาจไอนานเป็นนานเป็นเดือนๆ ภายหลังจากอาการอื่นๆหายก็ดี
ในรายที่การต่อว่าดเชื้อแบคทีเรียเข้าแทรก ผู้เจ็บป่วยจะมีไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 1 วัน หรือไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียวทุกครั้ง
ทั้งนี้ลักษณะของการมีไข้หวัดรวมทั้งไข้หวัดใหญ่ จะค่อนข้างคล้ายกัน อาจงงงันได้ แต่คนเจ็บแล้วก็ผู้ดูแลสามารถดูความแตกต่างได้ตามตารางนี้




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมแพ้




ไข้


ไข้ต่ำๆหรือไม่มี


มักมีไข้สูง อาจสูงถึง 40
องศาเซลเซียส


ไม่มีไข้




ปวดหัว


ไม่ค่อยพบ


พบได้ปกติ


ไม่พบ




ปวดเมื่อย
กล้ามเนื้อ
อ่อนเพลีย


อาจมีอาการเล็กน้อย


พบได้บ่อยและอาการรุนแรง


ไม่พบ (อาจอ่อนเพลียหากพักผ่อนน้อย)




น้ำมูกไหล คัดจมูก


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




จาม


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ


พบได้บ่อย




เจ็บคอ


พบได้บ่อย


อาจพบได้บางครั้ง


อาจพบได้บางครั้ง




ไอ


พบได้บ่อย


พบได้บ่อย และมีความรุนแรงมากกว่า


อาจพบได้บางครั้ง




เจ็บหน้าอก


อาบพบได้แต่อาการไม่รุนแรง


พบได้บ่อย


ไม่ค่อยพบ(ยกเว้นเป็นโรคหอบหืด)




อาการ


ไข้หวัดธรรมดา


ไข้หวัดใหญ่


โรคภูมิแพ้




สาเหตุการเกิด


เกิดจากไวรัส
(Rhinoviruses เป็นสาเหตุหลักประมาณ 30-50%)


เกิดจากไวรัส (influenza virus type A and B)


เกิดจากสารก่อภูมิแพ้ เช่น ฝุ่น อากาศเย็น/ร้อน ละอองเกสร




การดูและการรักษา


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอากาต่างๆ เช่น ยาแก้คัดจมูก หรือยาลดไข้
-มักดีขึ้นและหายได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์


-พักผ่อน และดื่มน้ำมากๆ
-ใช้ยาบรรเทาอาการต่างๆ เช่น ยาลดไข้พาราเซตามอบ (แต่ไม่ควรใช้ยากลุ่ม NSAIDs กรณีสงสัยไข้เลือดออกด้วย)
-หากอาการรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นควรพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติม และอาจต้องได้รับยาต้านไวรัสตลอดจนการรักษาให้ถูกต้อง


-หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นภูมิแพ้ เช่นหลีกเลี่ยงฝุ่นอากาศเย็น
-ใช้ยาบรรเทาอาการเช่นยาแก้แพ้ ยาแก้คัดจมูก
-หากรุนแรงควรพบแพทยืเพื่อพิจารณาใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดพ่นจมูก




การป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ไม่มีวัคซีนป้องกัน


-หลีกเลี่ยงการสัมผัสใกล้ชิดกับผู้ป่วย
-ใส่หน้ากากอนามัย
-ฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่


หลีกเลี่ยงสิ่งที่แพ้




แล้วก็ในขณะที่มีอาการป่วยเป็นหวัด ผู้เจ็บป่วยหรือผู้ดูแล (ในเด็กตัวเล็กๆ) ควรติดตามอาการอย่างใกล้ชิด แล้วก็ควรจะรีบไปพบแพทย์ทันทีถ้ามีลักษณะอาการดังนี้
คนแก่
           ไข้สูงเกินกว่า 38.5 องศาเซลเซียส ติดต่อกันเกิน 5 วันขึ้นไป
           กลับมาเป็นไข้ซ้ำภายหลังลักษณะของการมีไข้หายแล้ว
           หายใจหอบเหนื่อย รวมทั้งหายใจมีเสียงหวีด
           เจ็บคออย่างหนัก ปวดศีรษะ หรือมีลักษณะอาการปวดรอบๆไซนัส
เด็ก
           จับไข้สูงยิ่งกว่า 38 องศาเซลเซียส ในทารก-12 อาทิตย์
           มีลักษณะอาการไข้สูงต่อเนื่องกันมากกว่า 2 วัน
           อาการต่างๆของหวัดร้ายแรงเพิ่มมากขึ้น หรือรักษาแล้วอาการเกิดขึ้นอีก
           มีลักษณะปวดหัว หรือไออย่างรุนแรง
           หายใจมีเสียงหวีด
           เด็กมีลักษณะงอแงอย่างหนัก
           ง่วงงุนมากมายผิดปกติ
           ความอยากอาหารลดลง ปฏิเสธประทานอาหาร
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหวัด คนที่มีปัจจัยเสี่ยงดังนี้ มักไม่สบายหวัดได้ง่ายกว่าคนธรรมดา ตัวอย่างเช่น

  • อายุ เด็กที่อายุน้อยกว่า 6 ปี มีการเสี่ยงมีอาการป่วยด้วยไข้หวัดสูง โดยเฉพาะเด็กที่ต้องอยู่ในสถานที่รับเลี้ยงเด็ก หรือเนอสเซอรี่
  • ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ผู้เจ็บป่วยที่มีลักษณะอาการเจ็บไข้เรื้อรัง หรือมีภาวการณ์สุขภาพที่ทำให้ระบบภูมิต้านทานอ่อนแอมีแนวโน้มที่จะมีอาการป่วยด้วยไข้หวัดได้ง่ายดายเสียยิ่งกว่าปกติ
  • ช่วงเวลา โดยส่วนใหญ่แล้วไม่ว่าจะเด็ก หรือผู้ใหญ่มักจะจับไข้หวัดได้ง่ายในฤดูฝน แล้วก็หรือฤดูหนาว
  • ดูดบุหรี่ ผู้ที่สูบบุหรี่มีลักษณะท่าทางจะป่วยเป็นหวัดได้ง่าย แล้วก็ถ้าเป็นก็จะอาการร้ายแรงกว่าปกติอีกด้วย
  • อยู่ในที่ที่ผู้คนขวักไขว่แออัดคับแคบ สถานที่ที่มีคนคับคั่ง ทำให้มีความเสี่ยงต่อการตำหนิดเชื้อไวรัสโรคไข้หวัดได้ง่าย
  • ผู้ที่จำเป็นต้องดูแลคนเจ็บโรคไข้หวัด ซึ่งกรุ๊ปบุคคลพวกนี้จะต้องสัมผัสกับสารคัดหลั่งของคนไข้ทั้งน้ำลาย น้ำมูก หรือละอองน้ำมูก น้ำลาย จากลมหายใจของคนเจ็บ

แนวทางการรักษาโรคหวัด โดยธรรมดาผู้ป่วย (คนแก่) สามารถวินิจฉัยโรคหวัดเองได้ จากอาการที่แสดง แต่ว่าถ้าผู้ป่วยไปพบแพทย์ หมอจะวินิจฉัยโรคหวัดได้จากอาการที่แสดง เรื่องราวระบาดของโรค ฤดู และก็จากการตรวจร่างกาย อย่างเช่น อาการไข้ มีน้ำมูก เยื่อจมูกบวมแล้วก็แดง คอแดงน้อย ส่วนในเด็กบางทีอาจพบต่อมทอนซิลโต แต่ว่าไม่แดงมาก และไม่มีหนอง แม้กระนั้นในคนป่วยที่มีลักษณะรุนแรง เช่น ไข้สูง หมออาจมีการพิสูจน์เลือดซีบีซี (CBC) เพื่อแยกว่าเป็นการติดเชื้อโรคเชื้อไวรัสหรือติดโรคแบคทีเรีย และอาจมีการตรวจสืบค้นอื่นๆเสริมเติมตามดุลพินิจของแพทย์ ได้แก่ การพิสูจน์เลือดมองค่าเกล็ดเลือดเพื่อแยกจากโรคไข้เลือดออก ฯลฯ
         เนื่องมาจากไข้หวัดมีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัส จึงไม่มียาที่ใช้รักษาโดยเฉพาะ เพียงแต่ให้การรักษาไปตามอาการแค่นั้น ซึ่งการปรับปรุงแก้ไขอาการที่เกิดขึ้นในเบื้องต้นหมอจะจ่ายยาที่เป็น ยาสามัญประจำบ้านเพื่อทุเลาอาการก่อน เช่นพาราเซตามอล (paracetamol) สำหรับลดไข้ คลอเฟนนิรามีน (chlorpheniramine) สำหรับลดน้ำมูก และก็จะชี้แนะให้พักให้เพียงพอ ดื่มน้ำอุ่นเพื่อละลายเสลด การกินน้ำมากมายๆและก็การเช็ดตัวจะช่วยลดอุณหภูมิร่างกายได้
       โดยทั่วไปยาที่ใช้เมื่อเป็นหวัดจะเป็นยาที่ใช้เพื่อรักษาตามอาการ เหตุเพราะไม่มีการใช้ยาที่ออกฤทธิ์ต่อเชื้อไวรัสก่อโรคโดยตรง รวมทั้งเมื่ออาการแล้วก็สามารถหยุดใช้ยาได้ ยาที่นิยมใช้ทั่วไปเมื่อเป็นหวัดมีดังนี้

  • ยาลดไข้ โดยธรรมดายาที่นิยมสำหรับลดไข้เป็นparacetamol สำหรับผู้ใหญ่ กินยาขนาด 500 mg ต่อเม็ด จำนวน 1-2 เม็ด สามารถรับประทานซ้ำได้ทุก 4-6 ชั่วโมง ใช้ไม่เกิน 8 เม็ดต่อวัน และไม่ควรจะใช้ติดต่อกันตรงเวลา 5 วัน เพราะว่ามีโอกาสเกิดพิษต่อตับ สำหรับเด็กต้องมีการปรับขนาดยาตามน้ำหนักตัว ด้วยเหตุผลดังกล่าวควรถามไถ่รายละเอียดต่างๆนอกเหนือจากนี้จากหมอหรือเภสัชกร ยาอีกกรุ๊ปที่ได้รับความนิยมในการใช้ลดไข้เป็นยากลุ่มต้านการอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (Non-Steroidal Anti Inflammatory Drugs:-NSAIDs) เช่นแอสไพริน (aspirin), ibuprofen ซึ่งการใช้ยาในกลุ่มข้างหลังนี้ให้ผลสำหรับในการลดไข้ได้อย่างรวดเร็ว แต่ว่ามีสิ่งที่จำเป็นต้องระมัดระวังในการใช้สำหรับลดไข้ในกรณีของโรคไข้เลือดออก แม้กระนั้นในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี หน่วยงานอนามัยโลก (WHO) เสนอแนะว่าไม่ให้ใช้ยาแอสไพริน
  • ยาลดน้ำมูกแก้คัดจมูก

ในกรุ๊ปของยาลดน้ำมูกนั้น สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กรุ๊ป คือยาแก้คัดจมูก ออกฤทธิ์โดยการยุบเส้นเลือด ทำให้อาการคัดจมูกต่ำลง แบ่งเป็น

  • สำหรับกิน เป็นต้นว่า phenylephrine, pseudoephedrine (pseudoephedrine รับได้จากสถานพยาบาลเท่านั้น ไม่มีจัดจำหน่ายตามร้านค้ายา)
  • สำหรับหยดหรือพ่นรูจมูก ได้แก่ oxymetazoline ซึ่งก่อนใช้จำต้องสั่งขี้มูกออกก่อน

ยาลดน้ำมูก ออกฤทธิ์โดยการหยุดยั้งผลของฮีสตามีน (histamine) ซึ่งมีผลทำให้การหลั่งน้ำมูกลดลง แต่ว่าจะได้ผลน้อยกับอาการคัดจมูก สามารถแบ่งย่อย เป็น 2 กรุ๊ปเป็น

  • ยาลดน้ำมูกกรุ๊ปที่นำไปสู่อาการง่วงซึม ได้แก่ chlorpheniramine, brompheniramine, hydroxyzine, cyproheptadine เป็นต้น ยากลุ่มนี้จะลดจำนวนสารคัดเลือกหลั่งในระบบทางเดินหายใจ ยกตัวอย่างเช่น น้ำมูก เสลด แม้กระนั้นจะมีผลให้กำเนิดอาการง่วงซึมได้ เนื่องด้วยมีฤทธิ์กดระบบประสาท แม้กระนั้น ยาในกลุ่มนี้สามารถคุมอาการได้ดีมากยิ่งกว่าเมื่อเทียบกับยาในกลุ่มที่ไม่ทำให้ง่วงซึม หากคนไข้ใช้ยาในกลุ่มนี้ควรจะหลีกเลี่ยงการขับรถและการทำงานที่เกี่ยวโยงกับเครื่องจักร และก็บางทีอาจถือเป็นจังหวะที่ดีสำหรับการพักผ่อน
  • ยาลดน้ำมูกกลุ่มที่ไม่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดอาการง่วงซึม อย่างเช่น cetirizine, loratadine, desloratadine, fexofenadine เป็นต้น ซึ่งจุดเด่นของยาในกลุ่มนี้ก็คือ ไม่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดอาการง่วงซึม หรืออาจมีอาการง่วงซึมได้บ้างบางส่วน โดยเหตุนั้นก็เลยนิยมใช้ยาในกลุ่มนี้ในคนเจ็บโรคภูมิแพ้ด้วย
  • ยาบรรเทาอาการไอ ในกรุ๊ปของยาที่ช่วยบรรเทาอาการไอ ก็สามารถแบ่ง ได้เป็น 2 กรุ๊ปด้วยเหมือนกัน เป็น
  • ยาสำหรับอาการไอมีเสลด โดยสิ่งที่ทำให้เกิดอาการไอชนิดนี้ เนื่องมาจากมีเสลดเป็นตัวกระตุ้นนำมาซึ่งการก่อให้เกิดการไอ ด้วยเหตุนั้นจำเป็นต้องใช้ยารักษาที่มูลเหตุซึ่งก็คือ การทำให้เสลดเหลวหรือขับออกได้ง่ายดายมากยิ่งขึ้น ยาละลายเสมหะ อย่างเช่น acetylcysteine, carbocysteine, bromhexine, ambroxol ฯลฯ ยาขับเสมหะ ดังเช่นว่า glyceryl guaiacolate (guaifenesin) เป็นต้น ซึ่งการใช้ยากลุ่มนี้อาจจะเป็นผลให้ผู้เจ็บป่วยมีลักษณะอาการไอเพิ่มขึ้นเรื่อยๆในทีแรกๆ เพื่อนำเสลดออกมาจากทางเท้าหายใจ แต่ว่าภายหลังจากนั้นอาการไอจะต่ำลงตามลำดับ
  • ยาสำหรับอาการไอที่ไม่มีเสลด หรือ ไอแห้ง ยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนที่นำไปสู่การไอ ซึ่งการกดระบบประสาทนั้นอาจจะทำให้เพศผู้ป่วยไข้ง่วงซึมได้ แม้ผู้ป่วยใช้ยาในกลุ่มนี้จะต้องหลบหลีกการขับรถยนต์และก็การทำงานที่เกี่ยวโยงกับเครื่องจักร ยาที่ออกฤทธิ์กดการไอดังเช่น dextromethorphan, codeine, brown mixture เป็นต้น

ฉะนั้นก็เลยต้องหาที่มาของการไอ และปรับแต่งให้ถูกจุด ถ้าเกิดผู้เจ็บป่วยใช้ยาแก้ไอไม่ถูกกับที่มาของอาการไอที่เป็นอยู่ ยกตัวอย่างเช่น ใช้ยากดการไอในเรื่องที่การไอเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากเสลด นอกจากเสมหะจะกัดกันฟุตบาทหายใจแล้ว ร่างกายก็ยังไม่สามารถขับเสลดออกโดยการไอได้อีกด้วย

  • ยาปฏิชีวนะที่นิยมใช้พื้นฐาน (ในกรณีที่พบว่ามีการติดเชื้อโรคแบคทีเรียแทรก อาทิเช่น จับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 4 ชั่วโมง
  • ยากลุ่มแพนิซิลิน (penicillins) เช่น amoxicillin ซึ่งองค์ประกอบของยาตัวนี้ทนประมือดในทางเดินของกิน สามารถรับประทานหลังรับประทานอาหารได้
  • ยากลุ่มแมคโครไลด์ (macrolides) เช่น erythromycin, roxithromycin เนื่องมาจากองค์ประกอบของยาในกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ทนประมือดในทางเดินอาหาร จำเป็นต้องกินก่อนอาหาร เว้นเสียแต่ erythromycin estolate และ erythromycin ethylsuccinate ที่มีการดัดแปลงส่วนประกอบของยาแล้ว ทำให้สามารถกินหลังอาหารได้

แต่ว่าการใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่สม่ำเสมอ และไม่ครบตามจำนวนที่กำหนด นอกจากคนไข้จะไม่หายจากอาการที่เป็นอยู่ ยังเป็นการสนับสนุนให้เกิดปัญหาเชื้อดื้อยา และก็อาจไม่มียาปฏิชีวนะสำหรับรักษาลักษณะของผู้ป่วยในอนาคต
การติดต่อของโรคหวัด โรคไข้หวัดเป็นโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจ โดยเชื้อหวัดมีอยู่ในน้ำมูก น้ำลาย และเสลดของคนเจ็บ ติดต่อโดยการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่ผู้เจ็บป่วยไอหรือจามรด ด้านในระยะไม่เกิน 1 เมตร
นอกเหนือจากนี้ เชื้อหวัดยังบางทีอาจติดต่อโดยการสัมผัส พูดอีกนัยหนึ่ง เชื้อหวัดบางทีอาจติดที่มือของคนเจ็บ สิ่งของ ของใช้ อาทิเช่น ผ้าที่เอาไว้เช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดตัว ถ้วยน้ำ จาน จานชาม ของเล่นเด็ก หนังสือ โทรศัพท์ หรือสิ่งแวดล้อม เช่น ลูกบิดประตู โต๊ะ เก้าอี้ เมื่อคนธรรมดาสัมผัสถูกมือของคนเจ็บ สิ่งของเครื่องใช้หรือสภาพแวดล้อมที่ด่างพร้อยเชื้อหวัด เชื้อหวัดก็จะติดมือของคนคนนั้น และก็เมื่อเผลอใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก เชื้อก็จะเข้าสู่ร่างกายของคนคนนั้น จนถึงกลายเป็นหวัดได้  ส่วนระยะฟักตัวของโรค (ตั้งแต่ผู้เจ็บป่วยรับเชื้อเข้าไปจวบจนกระทั่งออกอาการ) : ประมาณ 1-3 วัน โดยเฉลี่ย รวมทั้งมักมีลักษณะอาการรุนแรงที่สุดในตอน 2-3 ครั้งหน้าเริ่มมีลักษณะอาการ

การปฏิบัติตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคหวัด คำแนะนำการกระทำตัวของคนป่วยมีดังนี้


  • พักมากมายๆห้ามตรากตรำงานหนักหรือออกกำลังกายมากจนเกินไป
  • ใส่เสื้อผ้าให้ร่างกายอบอุ่น อย่าถูกฝนหรือถูกอากาศเย็นจัด รวมทั้งอย่าอาบน้ำเย็น
  • ดื่มน้ำมากๆเพื่อช่วยลดไข้ รวมทั้งทดแทนน้ำที่เสียไปด้วยเหตุว่าไข้สูง
  • ควรจะทานอาหารอ่อน น้ำข้าว น้ำหวาน น้ำส้ม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มร้อนๆ
  • ใช้ผ้าชุบน้ำ (ควรใช้น้ำอุ่น หรือน้ำก๊อกธรรมดา อย่าใช้น้ำเย็นจัดหรือน้ำแข็ง) เช็ดตัวเวลาเป็นไข้สูง
  • หากจับไข้สูง ให้พาราเซตามอล (คนที่แก่ต่ำยิ่งกว่า 18 ปี ควรเลี่ยงการใช้แอสไพริน เพราะบางทีอาจเพิ่มการเสี่ยงต่อการเกิดโรคเรย์ซินโดรม ซึ่งทำให้เป็นอันตรายร้ายแรงได้) ควรให้ยาลดไข้เป็นครั้งคราวเฉพาะเวลามีไข้สูง ถ้าหากมีไข้ต่ำๆ หรือไข้เพียงพอทนได้ ก็ไม่จำเป็นต้องรับประทาน
  • ถ้าเกิดมีอาการน้ำมูกไหลมากกระทั่งสร้างความหงุดหงิด ให้ยาแก้แพ้ เช่น คลอร์เฟนิรามีน ใน 2-3 วันแรก เมื่อดีขึ้นกว่าเดิมแล้วควรจะหยุดยา หรือกรณีที่มีลักษณะไม่มาก ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องให้ยานี้
  • ถ้าเกิดมีอาการไอ จิบน้ำอุ่นมากมายๆหรือจิบน้ำผึ้งผสมมะนาว (น้ำผึ้ง 4 ส่วน น้ำมะนาว 1 ส่วน) ถ้าเกิดไอมากมายลักษณะไอแห้งๆไม่มีเสลดควรจะ ให้ยาแก้ไอ
  • หากมีลักษณะหอบ หรือนับการหายใจได้เร็วกว่าธรรมดา (เด็กอายุ 0-2 เดือนหายใจมากกว่า 60 ครั้ง/นาที อายุ 2 เดือนถึง 1 ขวบหายใจมากยิ่งกว่า 50 ครั้ง/นาที อายุ 1-5 ขวบหายใจมากกว่า 40 ครั้ง/นาที) หรือมีไข้นานเกิน 7 วัน ควรส่งโรงพยาบาลอย่างเร็ว อาจเป็นปอดอักเสบหรือภาวะร้ายแรงอื่นๆได้ อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเลือด ตรวจเสมหะ เป็นต้น
  • ถ้าหากมีลักษณะอาการเจ็บคอมาก ไข้สูงตลอดระยะเวลา ซึม ไม่อยากอาหารมาก เมื่อยมากมาย ปวดหู หูอื้อ หรือสงสัยไข้หวัดใหญ่ หรือไข้หวัดนก (มีประวัติสัมผัสสัตว์ปีกที่เจ็บไข้หรือตายด้านใน 7 วัน หรืออยู่ภายในเขตพื้นที่ที่มีการระบาดของไข้หวัดนกข้างใน 14 วัน) หรือจับไข้เกิน 4 วัน หรือมีน้ำมูกข้นเหลืองหรือเขียวเกิน 24 ชั่วโมง ควรจะไปพบแพทย์โดยด่วน

การปกป้องตัวเองจากโรคหวัด รักษาสุขอนามัยเบื้องต้น เพื่อให้มีสุขภาพทางร่างกายแข็งแรง ทานอาหารมีสาระห้าหมู่ทุกๆวัน เพื่อให้มีสุขภาพด้านร่างกายแข็งแรง ดื่มน้ำสะอาดให้ได้วันละอย่างน้อย 6-8 แก้วเมื่อไม่มีโรคจำเป็นต้องจำกัดน้ำ พักผ่อนให้พอเพียงเสมอๆ ไม่ไปในที่แออัดคับแคบ ดังเช่น ศูนย์การค้า ในตอนที่มีการระบาดของโรคไข้หวัดรู้จักใช้หน้ากากอนามัยเมื่อต้องไปในเขตที่มีคนพลุลนลานหรือไปโรงหมอ  รักษาร่างกายให้อบอุ่นอยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่มีอากาศเปลี่ยนแปลงไม่ควรอาบน้ำหรือสระผมด้วยน้ำที่เย็นเกินความจำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลาที่มีอากาศเย็น  อย่าเข้าใกล้หรือนอนรวมกับคนเจ็บ หากจำเป็นจะต้องดูแลผู้เจ็บป่วยอย่างใกล้ชิด ควรใส่หน้ากากอนามัยและก็หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่  อย่าใช้สิ่งของเครื่องใช้ (อาทิเช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าที่มีไว้สำหรับเช็ดตัว ถ้วยน้ำ โทรศัพท์ ของเด็กเล่น ฯลฯ) ร่วมกับคนป่วย รวมทั้งควรจะหลบหลีกการสัมผัสมือคนป่วย
สมุนไพรที่ช่วยคุ้มครองป้องกัน/รักษาโรคหวัด

  • ฟ้าทะลายขโมย สารสำคัญในการออกฤทธิ์เป็นAndrographolide มีฤทธิ์รักษาอาการไอ เจ็บคอ ปกป้องและก็ทุเลาหวัด จากการศึกษาการใช้ฟ้าทะลายมิจฉาชีพเพื่อรักษาอาการไข้แล้วก็เจ็บคอเปรียบเทียบกับยาลดไข้พาราเซตามอล พบว่ากรุ๊ปที่ได้รับฟ้าทะลายขโมยขนาด 6 กรัมต่อวัน จะมีอาการไข้แล้วก็การเจ็บคอลดลงในวันที่ 3 ซึ่งดียิ่งกว่ากลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายขโมย 3 กรัม/วัน หรือได้รับพาราเซตามอล  ในการศึกษาเปรียบการใช้ฟ้าทะลายโจรเพื่อปกป้องหวัด ซึ่งทำในช่วงฤดูหนาว โดยให้เด็กนักเรียนรับประทานยาเม็ดฟ้าทะลายโจรแห้ง ขนาด 200 มิลลิกรัม/วัน ภายหลังจาก 3 เดือนของการทดลองพบว่าอุบัติการณ์การเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้ฟ้าทะลายมิจฉาชีพลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ทางสถิติเมื่อเปรียบเทียบกับกลุ่มควบคุม โดยอัตราการเป็นหวัดในกลุ่มที่ได้รับฟ้าทะลายขโมยพอๆกับปริมาณร้อยละ 20 ในช่วงเวลาที่กรุ๊ปควบคุมมีอัตราการเป็นหวัดเท่ากับร้อยละ 62  บางทีอาจสรุปได้ว่าฟ้าทะลายโจรได้ผลป้องกันของยา เท่ากับจำนวนร้อยละ 33

ยาจากสมุนไพรในบัญชียาหลักแห่งชาติ ยาแคปซูล ยาเม็ด ที่มีผงฟ้าทะลายมิจฉาชีพแห้ง 250 มิลลิกรัม และ 500 มิลลิกรัม
o             ทุเลาลักษณะการเจ็บคอ กินวันละ 3 – 6 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก็ก่อนนอน
o             บรรเทาอาการหวัด รับประทานวันละ 1.5 – 3 กรัม แบ่งให้วันละ 4 ครั้ง หลังรับประทานอาหารและก็ก่อนนอน

  • กระเทียม มีฤทธิ์ในการทำลายเชื้อเชื้อไวรัส เชื้อรา ลดอาการภูมิแพ้ มีฤทธิ์ราวกับแอสไพริน ก็เลยทำให้ไข้ลด แล้วก็ยังคุ้มครองป้องกันการจับไข้หวัดได้
  • ใบกระเพรา ใบกระเพราช่วยขับเสลด ทำให้จมูกโล่งเตียน ฆ่าเชื้อในทางเดินหายใจ
  • ชา ใบชามีสารโพลีฟีนนอล เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดการติดเชื้อ ทำใหเยื้อบุโพรงจมูกชุ่มชื้น หายใจสะดวก
  • ขิง เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อน มีกลิ่นเฉพาะบุคคล สามารถช่วยลดอาการหวัด แก้ไอ ทำให้หายใจเตียนโล่งขึ้น ขับเหงื่อ
  • กระเจี๊ยบ อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง เจอสารแอนโธไซยานินในกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ต่อต้านเชื้อไวรัส ลดการต่อว่าเชื้อ
เอกสารอ้างอิง

  • รับมือโรคหวัดอย่างไรให้เหมาะสม.บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาสรีรวิทยา.คณะเภสัชศาสตร์.มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ไข้หวัด (Common cold/Upper respiratory tract infection/URI)”.  (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ).  หน้า 389-392.
  • ฟ้าทะลายโจร.(ฉบับประชาชน).หน่วยปริการฐานข้อมูลสมุนไพร.สำนักงานสมุนไพร คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D., and Jamesson, J.(2001). Harrrison’s:Principles of internal medicine. New York. McGraw-Hill.
  • ผศ.ภก.ธีรวิชญ์ อัชฌาศัย.ไข้หวัดธรรมดา ไข้หวัดใหญ่ หรือแพ้อากาศ เป็นอะไรกันแน่? .บทความเผยแพร่ความรู้สู่ประชาชน.ภาควิชาจุลชีววิทยา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล. http://www.disthai.com/[/b]
  • ไข้หวัด-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ไข้หวัด.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่389.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.กันยายน.2554
  • Lacy CF, Armstrong LL, Goldman MP, Lance LL. Drug Information Handbook, 20th ed. Hudson, Ohio, Lexi-Comp, Inc.;



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ