Advertisement
โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema)โรคถุงลมโป่งพอ[/color]เป็นอย่างไร โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) เป็นโรคที่อยู่ในกลุ่มของโรคปอดอุดกันเรื้อรัง (Chronic Obstructive Pulmonary Disease: COPD) ซึ่งโรคปอดอุดกันเรื้อรัง จะประกอบไปด้วยโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งถุงลมโป่งพอง โดยปกติแล้วจะพบลักษณะของ 2 โรคนี้ด้วยกัน แต่ถ้าตรวจเจอว่าปอดมีพยาธิภาวะของถุงลมที่โป่งพองออกเป็นคุณลักษณะเด่น ก็จะเรียกว่า “โรคถุงลมโป่งพอง” ซึ่งก็คือ สภาวะทุพพลภาพอย่างคงทนของถุงลมในปอด ซึ่งมีต้นเหตุมาจากผนังถุงลมเสียความยืดหยุ่นรวมทั้งเปราะง่าย ทำให้ถุงลมสูญเสียหน้าที่สำหรับในการแลกเปลี่ยนอากาศ และก็ฝาผนังของถุงลมที่เปราะยังมีการแตกทะลุ ทำให้มีถุงลมขนาดเล็กๆหลายๆอันรวมตัวเป็นถุงลมที่โป่งพองแล้วก็พิการ นำมาซึ่งการทำให้จำนวนพื้นผิวของถุงลมที่ยังปฏิบัติภารกิจได้ทั้งปวงต่ำลงกว่าธรรมดา รวมทั้งมีอากาศภายในปอดมากยิ่งกว่าธรรมดาได้ผลสำเร็จให้ออกสิเจนจึงเข้าสู่กระแสเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้น้อยลง ผู้ป่วยก็เลยมีลักษณะหายใจตื้นและเกิดอาการเหนื่อยง่ายตามมา
โรคนี้มักจะเจอในคนวัยแก่ (ช่วงอายุ 45-65 ปี) พบในผู้ชายได้มากกว่าผู้หญิง แล้วก็พบมากร่วมกับโรคหลอดลมอักเสบเรื้อรังแล้วก็แยกออกมาจากกันยาก ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะมีประวัติการสูบบุหรี่จัด มานานเป็น 10-20 ปีขึ้นไป หรือไม่ก็มีประวัติอยู่การได้รับมลภาวะทางอากาศในปริมาณมากและก็ติดต่อกันนานๆไม่ว่าจะเป็นอากาศเสีย ฝุ่นผง ควัน หรือมีอาชีพดำเนินงานในโรงงานหรือบ่อแร่ที่หายใจเอาสารระคายเข้าไปเป็นประจำ โรคถุงลมโป่งพอง เป็นโรคที่มักพบรวมทั้งเป็นต้นเหตุอันดับหนึ่งของการตายในประชากรทั่วโลก โดยในประเทศสหรัฐฯพบเป็นลำดับที่ 4 ของปัจจัยการเสียชีวิตของราษฎร หากนับเฉพาะโรคถุงลมโป่งพอง อัตราการพบโรคหมายถึง18 คน ในพลเมือง 1,000 คน ส่วนเหตุการณ์ปัจจุบันนี้ของถุงลมโป่งพองในประเทศไทย มีลักษณะท่าทางสูงขึ้นเป็นลำดับเช่นเดียวกันกับทั่วทั้งโลก และก็เป็นเลิศในสิบ ต้นเหตุของการตาย ของประชาชนไทย ก็เลยนับเป็นโรคที่คือปัญหาทางสาธารณสุขของประเทศไทยอีกโรคหนึ่ง
ต้นเหตุของโรคถุงลมโป่งพอง ต้นเหตุสำคัญที่ทำให้มีการเกิดถุงลมโป่งพอง คือการสูบยาสูบ แต่จากการเรียนรู้พบว่าคนที่ดูดบุหรี่ได้โอกาสเป็นถุงลมโป่งพองมากยิ่งกว่ามิได้ดูดบุหรี่สูงถึง 6 เท่า ซึ่งผู้ที่เป็นโรคนี้ มักมีประวัติสูบบุหรี่จัด (มากยิ่งกว่าวันละ 20 มวน) นาน 10-20 ปีขึ้นไป สารพิษในยาสูบจะเบาๆทำลายเยื่อบุหลอดลมรวมทั้ง ถุงลมในปอด ทีละน้อยๆ ใช้เวลานานนับสิบๆปี กระทั่งสุดท้ายถุงลมปอดพิการ เป็นสูญเสียหน้าที่สำหรับเพื่อการเปลี่ยนอากาศ (นำก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งเป็นอากาศเสียออกมาจากร่างกาย แล้วก็นำออกสิเจนซึ่งเป็นอากาศดีไปสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบฟุตบาทหายใจ) เกิดอาการหอบอ่อนล้าง่าย รวมทั้งกำเนิดโรคติดเชื้อของปอดซ้ำซาก
เว้นเสียแต่ยาสูบซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคนี้แล้ว ผู้เจ็บป่วยส่วนน้อยยังอาจเกิดขึ้นจากต้นเหตุอื่น ตัวอย่างเช่น มลภาวะกลางอากาศ การหายใจเอามลพิษในอากาศ ดังเช่น ควันจากการเผาไหม้ที่เกิดจากเชื้อเพลิง ไอเสียรถยนต์ จะเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดถุงลมโป่งพอง เนื่องจากว่าพบว่าพลเมืองที่อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ๆจะมีอัตราการป่วยเป็นโรคปอดอุดกันเรื้อรังซึ่งรวมถึงโรคถุงลมโป่งพองได้มากกว่าสามัญชนที่อาศัยอยู่ในชนบท มลภาวะทางอากาศก็เลยน่าจะมีความเกี่ยวข้องไม่มากก็น้อย ควันพิษหรือสารเคมีจากโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นฝุ่นหรือควันที่มีพิษที่มีส่วนประกอบของสารเคมีหรือฝุ่นจากไม้ ฝ้าย หรือวิธีการทำเหมือง หากหายใจเข้าไปในปริมาณที่มากรวมทั้งเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ก็มีแนวโน้มเสี่ยงที่นำไปสู่ถุงลมโป่งพองได้มากขึ้น ซึ่งจะเพิ่มโอกาสมากขึ้นไปอีกถ้าหากเป็นคนที่สูบบุหรี่ สภาวะพร่องสารต้านทริปซิน (α1-antitrypsin) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ทำหน้าที่เร่งปฏิกิริยาเคมีคุ้มครองป้องกันการเช็ดกทำลายของเนื้อเยื่อเกี่ยวพันจากสารต่างๆก็เลยช่วยปกป้องไม่ให้ถุงลมปอดถูกสารพิษ ภาวการณ์นี้จัดเป็นโรคทางพันธุกรรมที่สามารถถ่ายทอดไปสู่บุตรหลานได้ ซึ่งโรคทางพันธุกรรมชนิดนี้ส่วนมากจะพบในคนเชื้อชาติผิวขาว ชอบมีลักษณะอาการในกรุ๊ปคนไข้ที่แก่ต่ำกว่า 40-50 ปี และคนเจ็บมักจะไม่ดูดบุหรี่ แม้กระนั้น ภาวการณ์นี้ก็เจอเกิดได้น้อยมากคือโดยประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งสิ้น
อาการของโรคถุงลมโป่งพอง ระยะเริ่มต้นจะมีอาการของหลอดลมอักเสบเรื้อรัง กล่าวอีกนัยหนึ่งจะมีลักษณะไอมีเสมหะเรื้อรังเป็นนานเป็นเดือนๆแรมปี คนไข้ชอบไอหรือขากเสมหะในคอภายหลังตื่นเวลาเช้าเสมอๆ จนกระทั่งนึกว่าเป็นเรื่องปกติและไม่ได้เอาใจใส่รักษา ถัดมาจะเริ่มไอถี่ขึ้นตลอดวัน แล้วก็มีเสมหะเยอะมากๆ ในช่วงแรกเสลดมีสีขาว ถัดมาบางครั้งอาจจะแปลงเป็นสีเหลืองหรือเขียว จับไข้ หรือหอบเมื่อยล้าเป็นบางครั้งบางคราวจากโรคติดเชื้อสอดแทรก เว้นแต่อาการไอเรื้อรังดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว ผู้เจ็บป่วยจะมีลักษณะอ่อนเพลียง่ายเวลาออกแรงมาก อาการหอบอ่อนแรงจะเบาๆเป็นมากขึ้น แม้แต่เวลาเดินตามปกติ เวลาบอกหรือทำกิจกรรมเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวันก็จะรู้สึกอ่อนเพลียง่าย
ถ้าเกิดคนเจ็บยังสูบบุหรี่ถัดไป สุดท้ายอาการจะรุนแรง จนแม้แต่อยู่เฉยๆก็รู้สึกหอบเหนื่อย ดังนี้เนื่องด้วยถุงลมปอดพิการอย่างรุนแรง ไม่อาจจะปฏิบัติภารกิจแลกเปลี่ยนอากาศ นำออกสิเจนไปเลี้ยงร่างกายให้กำเนิดพลังงาน คนเจ็บมักมีลักษณะกำเริบหนักเป็นบางครั้งบางคราว ด้วยเหตุว่ามีการติดโรค (หลอดลมอักเสบ ปอด) แทรกซ้อน ทำให้จับไข้ ไอมีเสมหะเหลืองหรือเขียว หายใจหอบ หายใจมีเสียงดังวี้ดๆตัวเขียว จนจำต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล เมื่อเป็นถึงขนาดระยะร้ายแรง คนเจ็บมักมีลักษณะอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด รูปร่างผอมแห้งแรงน้อย มีลักษณะอาการหอบเหน็ดเหนื่อย อยู่ตลอดระยะเวลา มีอาการระทมทุกข์แสนสาหัสและก็บางทีอาจเสียชีวิตได้จากโรคแทรกซ้อน
ยิ่งไปกว่านั้น ในบางรายบางทีอาจพบว่ามีริมฝีปากหรือเล็บเป็นสีคล้ำออกม่วงเทาหรือฟ้าเข้มด้วยเหตุว่าขาดออกสิเจน หรือถ้าหากมีลักษณะหายใจตื้นเป็นเวลานานยาวนานหลายเดือนและมีลักษณะอาการที่ห่วยแตกลงอีกด้วย
ปัจจัยเสี่ยงที่จะก่อกำเนิดโรคถุงลมโป่งพอง สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง แบ่งได้ 2 กรุ๊ปหมายถึง
- ต้นเหตุด้านคนป่วย เช่น ลักษณะทางกรรมพันธุ์ เป็นโรคทางพันธุกรรมที่ขาดเอนไซม์ (Enzyme) ชื่อ Alpha-one antitrypsin ซึ่งเป็นเอนไซม์ป้องกันการเช็ดกทำลายของเยื่อเกี่ยวพันจากสารต่างๆซึ่งเป็นโรคที่ถ่ายทอดไปสู่บุตรหลานได้
- ปัจจัยด้านสภาพการณ์ห้อมล้อม มีความจำเป็นเยอะที่สุด เช่น
- ควันจากบุหรี่ เป็นต้นเหตุสำคัญที่สุดของโรคนี้ พบว่ามากยิ่งกว่าปริมาณร้อยละ 75.4 ของคนป่วย COPD มีสาเหตุมาจากยาสูบ การสูบบุหรี่ เป็นสาเหตุที่พบได้ทั่วไปที่สุด ซึ่งรวมทั้งยาสูบยาเส้นพื้นเมืองด้วย ปริมาณและก็ระยะเวลาที่ดูดบุหรี่มีความเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค ยิ่งดูดบุหรี่มากมายแล้วก็ดูดมานานยาวนานหลายปี ก็ได้โอกาสกำเนิดโรคนี้ได้มาก นอกเหนือจากนี้ผู้ที่มิได้ดูดบุหรี่เอง แม้กระนั้นได้รับควันของบุหรี่จากผู้อื่นต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาที่นานๆๆก็ได้โอกาสเกิดโรคนี้ได้เช่นกัน
- มลภาวะทั้งในรอบๆบ้าน ที่ทำงาน และก็ที่ชุมชนที่สำคัญเป็นการเผาไหม้เชื้อเพลิงสำหรับในการประกอบอาหาร (biomass fuel) รวมทั้งสำหรับขับเคลื่อนเครื่องจักรต่างๆ(diesel exhaust)
ขั้นตอนการรักษาโรคถุงลมโป่งพอง การวินิจฉัยโรคถุงลมโป่งพอง แพทย์จะอาศัยส่วนประกอบหลายสิ่งหลายอย่าง ตัวอย่างเช่น ความเป็นมาสัมผัสปัจจัยเสี่ยงดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ร่วมกับ อาการ ผลของการตรวจร่างกาย ภาพรังสีหน้าอก และก็รับรองการวินิจฉัยด้วย spirometry ดังอาการต่อไปนี้
อาการ จำนวนมากผู้เจ็บป่วยที่มาพบแพทย์จะมีลักษณะเมื่อพยาธิสภาพแพร่กระจายไปๆมาๆกแล้ว อาการที่ตรวจพบ ตัวอย่างเช่น หอบ เหน็ดเหนื่อยซึ่งจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆไอเรื้อรังหรือมีเสลดโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนเช้า อาการอื่นที่พบได้ คือ แน่น หน้าอก หรือหายใจมีเสียงหวีดร้อง
การตรวจทางรังสีวิทยา ภาพรังสีทรวงอกมีความไวน้อยสำหรับการวินิจฉัย
โรคถุงลมโป่งพอง แต่มี จุดสำคัญสำหรับเพื่อการแยกโรคอื่น ในคนไข้ emphysema บางทีอาจพบลักษณะ hyperinflationเป็นกะบังลมแบน ราบและก็หัวใจมีขนาดเล็กมีอากาศในปอดมากกว่าปกติ ในผู้เจ็บป่วยที่มี corpulmonale จะพบว่าหัวใจห้องขวา และ pulmonary trunk มี ขนาดโตขึ้น แล้วก็ peripheral vascular marking ลดลง
การตรวจสมรรถภาพปอด Spirometry มีความจำเป็นในการวินิจฉัยโรคนี้มากมาย แล้วก็สามารถจัดระดับความรุนแรงของโรคได้ด้วย โดยการตรวจ spirometry นี้จะต้องตรวจเมื่อคนป่วยมีลักษณะอาการคงที่ (stable) และไม่มีลักษณะอาการกำเริบเสิบสานของโรคอย่างต่ำ 1 เดือน การตรวจนี้สามารถวินิจฉัยโรคได้ตั้งแต่ระยะที่ผู้เจ็บป่วยยังไม่มีอาการ โดยแพทย์จะให้ผู้เจ็บป่วยหายใจเข้าให้เต็มที่ แล้วเป่าลมหายใจออกอย่างรวดเร็วผ่านเครื่องสไปโรมิเตอร์ (Spirometry) แล้ววัดดูค่า FEV1 (Forced expiratory volume in 1 second) ซึ่งหมายถึง ปริมาตรอากาศที่หายใจออกใน 1 วินาที และก็ค่า FVC (Forced vital capacity) ซึ่งหมายถึง ขนาดอากาศที่หายใจออกทั้งหมดทั้งปวงจนสุดอย่างเต็ม 1 ครั้ง จะพบรูปแบบของ airflow limitation โดยค่า FEV1 / FVC ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลมน้อยกว่าปริมาณร้อยละ 70 และแบ่งความรุนแรงเป็น 4 ระดับ โดยใช้ค่า FEV1 ข้างหลังให้ยาขยายหลอดลม
การตรวจด้วยเครื่องตวงออกซิเจนปลายนิ้ว (Pulse oximetry) เป็นการตรวจเพื่อวัดความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือด ซึ่งในคนป่วยโรคถุงลมโป่งพองชอบมีออกซิเจนในเลือดต่ำเป็นวัดค่าความอิ่มตัวของออกสิเจนในเลือดได้น้อยกว่าธรรมดา เพราะร่างกายมิได้รับออกสิเจนอย่างเพียงพอ (โดยค่าธรรมดาจะอยู่ที่ 96-99% ถ้าหากต่ำลงมากยิ่งกว่านี้ผู้เจ็บป่วยจะรู้สึกอ่อนเพลียเป็นอย่างมากขึ้นเรื่อยๆ)
การตรวจหาระดับสารทริปซินในเลือด ถ้าผู้ป่วยที่เป็
โรคถุงลมโป่งพองแก่น้อยกว่า 40-50 ปี ต้นสายปลายเหตุอาจมาจากสภาวะพร่องสารต่อต้านทริปสินซึ่งเป็นโรคทางพันธุกรรมได้ คนป่วยจึงจำเป็นจะต้องตรวจหาจำนวน α1-antitrypsin ในเลือด
การดูแลและรักษา เพื่อทรงสภาพร่างกายตอนนี้ให้ดีเยี่ยมที่สุด และก็เพื่อ ลดการเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ประกอบด้วย หลัก 4 ประการเป็น การเลี่ยงหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง การดูแลรักษา stable COPD การประมาณรวมทั้งติดตามโรค การดูแลรักษาภาวการณ์กําเริบกะทันหันของโรค (acute exacerbation)
- การเลี่ยงสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยง ในการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญหมายถึงการช่วยเหลือเกื้อกูลให้ผู้เจ็บป่วยเลิกสูบบุหรี่อย่างคงทน โดยใช้พฤติกรรมบำบัด หรือร่วมกับยาที่ใช้ช่วยเลิกบุหรี่ และเลี่ยงหรือลดมลพิษ เช่น เลี่ยงการใช้เตาถ่านในที่อากาศระบายไม่ดี ฯลฯ
- การรักษา stable COPD การดูแลและรักษาผู้ป่วยอาศัยการประเมินความร้ายแรงของโรคตามอาการและก็ผล spirometry ส่วนต้นเหตุอื่นที่ใช้ประกอบสำหรับการตรึกตรองให้การรักษา อาทิเช่น เรื่องราวเกิดภาวะกำเริบเสิบสานกะทันหันของโรค ภาวะแทรกซ้อน ภาวการณ์หายใจล้มเหลว โรคอื่นที่เจอร่วม แล้วก็สถานะสุขภาพ (health status) โดยรวม
การให้ข้อมูลที่สมควรเกี่ยวกับโรค รวมทั้งแผนการรักษาแก่คนไข้แล้วก็พี่น้อง จะช่วยทำให้การดูแลและรักษามีประสิทธิภาพ คนไข้มีความชำนาญสำหรับเพื่อการเรียนรู้การใช้ชีวิตกับโรคนี้ดียิ่งขึ้น แล้วก็สามารถวางแผนชีวิตในเรื่องที่โรคดำเนินเข้าสู่ระยะสุดท้าย (end of life plan)
การดูแลรักษาด้วยยา การใช้ยามีเป้าประสงค์เพื่อบรรเทาอาการ ลดการกำเริบ รวมทั้งเพิ่มคุณภาพชีวิต ปัจจุบันนี้ยังไม่มียาประเภทใดที่มีหลักฐานแจ่มชัดว่าสามารถลดอัตราการตาย แล้วก็ชะลออัตราการน้อยลงของความสามารถปอดได้ ซึ่งการดูแลและรักษาดัวยยา จะประกอบด้วยยาต่างๆยกตัวอย่างเช่น
ยาขยายหลอดลม ยากลุ่มนี้ทำให้อาการและสมรรถนะแนวทางการทำงานของคนป่วยดีขึ้น ลดความถี่รวมทั้งความรุนแรงของการกำเริบ เริ่มคุณภาพชีวิตทำให้สถานะสุขภาพโดยรวมของคนเจ็บดียิ่งขึ้น ถึงแม้ผู้ป่วยบางรายอาจจะเป็นไปได้ว่าจะมีการโต้ตอบต่อยาขยายหลอดลมตามเกณฑ์การตรวจ spirometry ก็ตาม
ยาขยายหลอดลมที่ใช้ แบ่งได้ 3 กลุ่มเป็นβ2-agonist, anticholinergic แĈะ xanthine derivative
การจัดการขยายหลอดลม เสนอแนะให้ใช้แนวทางสูดพ่น (metered-dose หรือ dry-powder inhaler) เป็นขั้นแรกด้วยเหตุว่ามีคุณภาพสูงแล้วก็ผลกระทบน้อย
ICS ถึงแม้ว่าการให้ยา ICS อย่างต่อเนื่องจะไม่สามารถที่จะชะลอการต่ำลงของค่า FEV แต่สามารถทำให้สถานะสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น รวมทั้งลดการกำเริบของโรคในคนป่วยกรุ๊ปที่มีอาการรุนแรงแล้วก็ที่มีอาการกำเริบบ่อยครั้ง
ยาผสม ICS รวมทั้ง LABA ชนิดสูด มีหลักฐานว่ายาผสมกลุ่มนี้มีคุณภาพเหนือกว่ายา LABA หรือยา ICS ชนิดสูดผู้เดียวๆโดยเฉพาะในผู้เจ็บป่วยขั้นร้ายแรงและก็มีลักษณะอาการกำเริบเป็นประจำแต่ก็ยังมีความเอนเอียงที่จะเกิดปอดอักเสบสูงมากขึ้นเช่นกัน
Xanthine derivatives มีสาระแต่ว่าเกิดผลข้างๆได้ง่าย จำเป็นที่จะต้องใคร่ครวญเลือกยาขยายหลอดลมกรุ๊ปอื่นก่อน ดังนี้ สมรรถนะของยากลุ่มนี้ได้จากการเรียนรู้ยาประเภทที่เป็น sustained-release เท่านั้น
การรักษาอื่นๆวัคซีน เสนอแนะให้วัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีละ 1 ครั้ง ช่วงเวลาที่เหมาะสมเป็น เดือนมีนาคม – เมษายน แต่อาจให้ได้ตลอดทั้งปี การฟื้นฟูสมรรถภาพปอด (pulmonary rehabilitation) มีจุดหมายเพื่อลดลักษณะของโรค เพิ่มคุณภาพชีวิต และก็เพิ่มความสามารถในการทำงานประจำวัน ซึ่งการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดนี้ จะต้องครอบคลุมทุกปัญหาที่เกี่ยวด้วย เป็นต้นว่า สภาพของกล้าม สภาพอารมณ์และจิตใจ สภาวะโภชนาการฯลฯ ให้การบรรเทาด้วยออกสิเจนระยะยาว การดูแลรักษาโรคการผ่าตัด แล้วก็/หรือ หัตถการพิเศษ ผู้ป่วยที่ได้รับการดูแลและรักษาด้วยยา และการฟื้นฟูสมรรถภาพปอดอย่างมากแล้ว ยังควบคุมอาการมิได้ ควรส่งต่ออายุรเวชผู้เชี่ยวชาญโรคระบบการหายใจ เพื่อประเมินการรักษาโดยการผ่าตัด เช่น
Bullectomy
การผ่าตัดเพื่อลดขนาดปอด (lung volume reduction surgery)
การใส่วัสดุอุปกรณ์ในหลอดลม (endobronchial valve)
การผ่าตัดเปลี่ยนแปลงปอด
การประมาณแล้วก็ติดตามโรค ในการประเมินผลการดูแลและรักษาควรมีการคาดคะเน อาการผู้ป่วย (subjective) และผลของการตรวจ (objective) อาจประเมินทุก 1-3 เดือนตามสมควร ดังนี้ขึ้นอยู่กับระดับความร้ายแรงของโรคและก็เหตุทางเศรษฐสังคม
ทุกครั้งที่เจอแพทย์ ควรจะติดตามอาการ อาการเหนื่อยหอบ บริหารร่างกาย ความถี่ของกการกำเริบของโรค อาการแสดงของการหายใจลำบาก และการคาดการณ์วิธีการใช้ยาสูด
ทุก 1 ปี ควรวัด spirometry ในคนไข้ที่มีอาการอ่อนเพลียรุกรามกิจวัตรประจําวัน ควรวัด BODE Index, 6 minute walk distance, ระดับ oxygen saturation หรือ arterial blood gases
การดูแลรักษาภาวะกำเริบกระทันหันของโรค (acute exacerbation) การกำเริบฉับพลันของโรค คือ ภาวะที่มีลักษณะอาการเมื่อยล้ามากขึ้นกว่าเดิมในระยะเวลาอันสั้น (เป็นวันถึงสัปดาห์) และ/หรือ มีปริมาณเสลดมากขึ้น หรือมีเสมหะเปลี่ยนสี (purulent sputum) โดยจำเป็นต้องแยกจากโรคหรือภาวการณ์อื่นๆอย่างเช่น หัวใจล้มเหลว pulmonary embolism, pneumonia, pneumothorax
การติดต่อของโรคถุงลมโป่งพอง โรคถุงลมโป่งพองเกิดขึ้นจาก เยื่อบุหลอดลมรวมทั้งถุงลมในปอดถูกทำลายขึ้นรถพิษต่างๆอาทิเช่น สารพิษในควันบุหรี่ , มลพิษที่มีต้นเหตุมากจากอาการและก็สารเคมี ที่พวกเราดมกลิ่นเข้าไป เป็นระยะเวลานานแล้วก็ในจำนวนที่มาก ซึ่งโรคถุงลมโป่งพองขาดการติดต่อ จากคนสู่คน หรือ จากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด แม้กระนั้นบางทีอาจพบได้ว่าเกิดจากกรรมพันธุ์ (สภาวะขาดตกบกพร่องสารต้านทานทริปซีน (a1-antitrypsin)) แม้กระนั้นเจอได้น้อยมาก โดยประมาณ 3% ของโรคปอดเรื้อรังทั้งผอง
การปฏิบัติตนเมื่อป่วยเป็นโรคถุงลมโป่งพอง- ติดตามการดูแลและรักษากับหมออย่างสม่ำเสมอรวมทั้งใช้ยารักษาให้ครบถ้วนสมบูรณ์จากที่แพทย์ระบุ
- เลิกบุหรี่โดยเด็ดขาด
- หลบหลีกการอยู่ในที่ที่มีมลภาวะ ได้แก่ ฝุ่น ควัน
- ดื่มน้ำมากมายๆวันละ 10-15 แก้ว เพื่อช่วยขับเสลด
- ในรายที่เป็นระยะรุนแรง มีลักษณะอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด ควรจะหาทางบำรุงอาหารให้ร่างกายแข็งแรง
- หากต้องควรมีถังออกซิเจนไว้ประจำบ้าน เพื่อใช้ช่วยหายใจ บรรเทาอาการหอบอ่อนล้า
- ถ้ามีลักษณะเข้าแทรก ดังเช่นว่า เป็นไข้ หายใจหอบ ก็ควรจะรีบพาไปรักษาที่โรงพยาบาลทันที
- กินอาการที่มีคุณประโยชน์ครบ 5 กลุ่ม
- ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
- รักษาสุขภาพอย่างเคร่งครัด
การปกป้องตนเองจากโรคถุงลมโป่งพอง- การปกป้องที่สำคัญที่สุด คือ การไม่สูบบุหรี่ (รวมถึงยาเส้น) และก็เลี่ยงการอยู่สนิทสนมกับคนที่สูบบุหรี่หรือสถานที่ที่มีควันจากบุหรี่
- ผู้ที่สูบบุหรี่จัด แม้เลิกสูบไม่ได้ ควรหมั่นไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจสุขภาพ โดยเฉพาะหากเริ่มมีอาการไอบ่อยครั้งทุกเมื่อเชื่อวันโดยไม่มีมูลเหตุที่กระจ่างแจ้ง
- เลี่ยงการอยู่ในที่ที่มีมลพิษในอากาศ รวมทั้งรู้จักใส่หน้ากากอนามัยป้องกันตัวเองจากควันและพิษที่เป็นโทษต่างๆส่วนผู้ที่จำต้องทำงานในโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆควรจะไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจ
- หลบหลีกการใช้ฟืนหุงหรือจุดไฟข้างในที่ขาดการถ่ายเทอากาศ
- ถ้าเกิดเป็นโรคหลอดลมอักเสบรวมทั้งโรคหืด ต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเอาจริงเอาจังและกินยาอย่างเคร่งครัด
สมุนไพรที่ใช้รักษา/ทุเลาลักษณะโรคถุงลมโป่งพอง- ขิง แก่ สุดยอดของกินบำรุงปอด ช่วยขับสารนิโคตินในผู้ดูดบุหรี่ มีสรรพคุณสำหรับเพื่อการกำจัดนิโคตินตกค้างในปอดรวมทั้งหลอดลม ช่วยขจัดสารพิษที่เกิดขึ้นมาจากนิโคตินในกระแสโลหิต ยิ่งไปกว่านี้ยังมีสรรพคุณเด่นเกี่ยวกับการบำรุงรักษาระบบฟุตบาทหายใจ การเปิดหลอดลม ระบายขับความร้อน เวลากินขิงก็เลยรู้สึกเตียนโล่ง
- กระเทียม กระเทียมเป็นยาบำรุงร่างกาย รับประทานเป็นยาแก้อักเสบในอก ในปอด แก้เสลด
- ขมิ้[/b] เป็นสมุนไพรเบื้องต้นที่ใช้รักษาอาการอักเสบกับอวัยวะต่างๆแก้ไข้คลุ้มคลั่ง แก้ไข้ร้อน แก้เสลด อายุเวทแนะนำให้กินผงขมิ้นละลายกับน้ำผึ้ง เป็นยาบำรุงปอด สมานแผลอักเสบในปอด มีขมิ้นแคปซูลรับประทานเช้าตรู่เย็นได้
- ฟ้าทะลายขโมย รสขม สรรพคุณกินแก้อาการอักเสบต่างๆแก้ไข้ แก้หวัด แก้ปอดอักเสบ แก้ไอ แก้เจ็บคอ
เอกสารอ้างอิง- สมุนไพรบำรุงปอด.สยามรัฐ
- รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.ถุงลมปอดโป่งพอง.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่361.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.พฤษภาคม.2552
- Spencer S, Calverley PM, Burge PS, et al. Impact of preventing exacerbations on deterioration of health status in COPD. EurRespir J 2004; 23:698-702.
- Calverley P, Pauwels R, Vestbo J, et al. Combined salmeterol and fluticasone in the treatment of chronic obstructive pulmonary disease: a randomized controlled trial. Lancet 2003; 361:449-56
- Eric G. Honig, Roland H. Ingram, Jr. Chronic bronchitis, emphysema, and airways obstruction, in Harrison’s Principles of Internal Medicine, 15th edition, Braunwald, Fauci, Kasper, Hauser, Longo, Jameson (eds). McGrawHill, 2001
- Calverley PM, Anderson JA, Celli B, et al. Salmeterol and fluticasone propionate and survival in chronic obstructive pulmonary disease. N Engl J Med 2007; 356:775-89.
- โรคถุงลมโป่งพอง-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์. [url=http://www.disthai.com/]http://www.disthai.com/[/b]
- แนวปฏิบัติบริการสาธารณสุขโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง พ.ศ.2553.สมาคมอุรเวชช์แห่งประเทศไทย,สมาคมสภาองค์กรโรคหืดแห่งประเทศไทย,สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ.วารสารวัณโรค โรคทรวงอกและเวชบำบัดวิกฤต.ปีที่31.ฉบับที่3.กรกฎาคม-กันยายน2553.หน้า102-110
- หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป 2. “ถุงลมปอดโป่งพอง (Emphysema)”. (นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ). หน้า 432-436.
- Szafranski W, Cukier A, Ramirez A, et al. Efficacy and safety of budesonide/formoterol in the management of chronic obstructive pulmonary disease. Eur Respir J 2003; 21:74-81.
- Lung Health Study Research Group. Effect of inhaled triamcinolone on the decline in pulmonary function in chronic obstructive pulmonary disease: Lung Health Study II. N Engl J Med 2000; 343:1902-09.
- Mahler DA, Wire P, Horstman D, et al. Effectiveness of fluticasone propionate and salmeterol combination delivered via the Diskus device in the treatment of chronic obstructive pulmonary disease. Am J Respir Crit Care Med 2002; 166:1084-91.
- Burge PS, Calverley PM, Jones PW, et al. Randomised, double blind, placebo controlled study of fluticasone propionate in patients with moderate to severe chronic obstructive pulmonary disease: the ISOLDE trial. BMJ 2000; 320:1297-303.
- Wongsurakiat P, Maranetra KN, Wasi C, et al. Acute respiratory illness in patients with COPD and the effectiveness of influenza vaccination: a randomized controlled study. Chest 2004; 125: 2011-20.
- Pauwels RA. Lofdahl CG, Laitinen LA, et al. Long-term treatment with inhaled budesonide in persons with mild chronic obstructive pulmonary disease who continue smoking. European Respiratory Society Study on Chronic Obstructive Pulmonary Disease. N Engl J Med 1999; 340:1948-53.
- Jones PW, Willits LR, Burge PS, et al. Disease severity and the effect of fluticasone propionate on chronic obstructive pulmonary disease exacerbations. Eur Respir J 2003; 21:68-73.
- Global Initiative for Chronic Obstructive Lung Disease. Global strategy for the diagnosis, management and prevention of chronic obstructive pulmonary disease. NHLBI/WHO workshop report. Bethesda, National Heart, Lung and Blood Institute, Da