โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคกระดูกพรุน มีวิธีรักษาอย่างไรเเละมีสรรพคุณ-ประโยชน์อะไรบ้าง  (อ่าน 25 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
teareborn
Drift King
*****

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 743


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 02, 2018, 11:12:48 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคกระดูกพรุน (Osteoporosis)
โรคกระดูกรุน คืออะไร โรคกระดูกพรุนโดยทั่วไปแล้ว เป็นสภาวะที่ปริมาณแร่ธาตุ (ที่สำคัญคือแคลเซียม) ในกระดูกลดลง ร่วมกับความเสื่อมของเยื่อที่ประกอบเป็นองค์ประกอบข้างในกระดูก ทำให้เนื้อหรือมวลกระดูกลดความหนาแน่น จึงบอบบางแตกหักง่าย รอบๆที่พบการหักของกระดูกได้บ่อยครั้ง ดังเช่น ข้อมือ สะโพก รวมทั้งสันหลัง  ส่วนคำนิยามของสภาวะกระดูกพรุนหรือโรคกระดูกพรุน หมายถึง ภาวการณ์ที่ความหนาแน่นของมวลกระดูก (bone mineral density : BMD) ลดน้อยลงซึ่งมีผลให้กระดูกเปราะบาง แล้วก็มีการเสี่ยงที่จะเกิดกระดูกหักได้ง่าย โดยใช้ความหนาแน่นของมวลกระดูก เป็นมาตรฐานสำหรับในการวิเคราะห์สภาวะกระดูกพรุนที่องค์การอนามัยโลกได้ประกาศใช้ตั้งแต่ปี คริสต์ศักราช1994 โดยเทียบเทียงค่า BMD ของคนไข้กับของวัยหนุ่มสาวที่มีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงโดยใช้ค่า T-score เป็นเกณฑ์ คนที่มีค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (standard deviation : SD) ต่ำลงยิ่งกว่า -2.5 วิเคราะห์ว่ามีภาวะกระดูกพรุน ในเวลาที่ค่า -1.0 ถึง -2.5 ถือว่ามีสภาวะกระดูกบาง (osteopenia) และก็ ค่ามากกว่า -1.0 ถือว่ากระดูกธรรมดา
โรคกระดูกพรุนเป็นโรคเรื้อรังที่พบได้บ่อยในคนวัยแก่ โดยยิ่งไปกว่านั้นในหญิงวัยหมดระดู (มักไม่ค่อยเจอในเด็กและคนหนุ่มคนสาว นอกจากในเรื่องที่มีภาวะปัจจัยเสี่ยง) โดยสตรีมีโอกาสกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุนสูงถึงร้อยละ 30-40 ตอนที่ผู้ชายมีโอกาสจำนวนร้อยละ 13 โดย เพศหญิงช่วงอายุ 10 ปีแรกข้างหลังหมดเมนส์ กระดูกจะบางลงเร็วมาก อธิบายได้ว่าเกิดจากการที่ขาดฮอร์โมนผู้หญิงที่มีชื่อว่าเอสโตรเจน นอกจากการขาดฮอร์โมนเอสโตรเจนแล้ว ยังเกิดขึ้นได้เนื่องมาจากความเสื่อมตามวัยซึ่งเจอได้ในผู้ชายแล้วก็ผู้หญิง  และก็เป็นโรคที่คนโดยมากมักละเลยเนื่องจากว่าจะไม่ออกอาการตราบจนกระทั่งจะเกิดภาวะเข้าแทรก(การหักของกระดูกต่างๆเช่น กระดูกข้อมือ กระดูกสะโพก กระดูกสันหลัง) ทำให้คนส่วนมากไม่ได้รับการตรวจหรือรักษา อย่างทันเวลาจนถึงเป็นเหตุให้เกิดการหักของกระดูกตามอวัยวะต่างๆจากที่กล่าวมา (โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระดูกบั้นท้าย)
                จากการคะเนโดยประมาณขององค์การอนามัยโลก คาดว่าใน ค.ศ.2050 จะมีผู้เจ็บป่วยเพราะกระดูกบั้นท้ายหักสูงถึง 6.25 ล้านคน ซึ่งเพิ่มขึ้นจากการแถลงการณ์ในปี ค.ศ. 1990 ที่มีจำนวนคนเจ็บเพียง 1.33 ล้านคน เนื่องจากสภาวะกระดูกพรุนมีความเชื่อมโยงกับกระดูกสันหลังสถิติดังที่กล่าวมาแล้วจึงสะท้อนถึงปริมาณผู้ที่มีภาวะกระดูกพรุนที่จะเพิ่มขึ้นอย่างเร็วในตอนศตวรรษที่ 21 โดยเฉพาะอย่างยิ่งประเทศในกลุ่มทวีปเอเชียซึ่งพบว่าในปริมาณราษฎร
กระดูกบั้นท้ายหักทั่วโลกในปี คริสต์ศักราช1990 ร้อยละ 30 เป็นชาวเอเชียและในปี 2050 คาดว่าชาวเอเชียจะสามัญชนผู้ป่วยกระดูกบั้นท้ายหักถึงจำนวนร้อยละ 50 ของราษฎรโลกทั้งผอง
สำหรับเมืองไทย (ข้อมูลเมื่อปี 2555) ยังไม่มีการศึกษาถึงสถิติโรคกระดูกพรุนเป็นทุกปี แต่ว่าจากสถิติจำนวนพลเมืองคนสูงอายุของเมืองไทยที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างเร็ว จึงทำให้ความชุกของโรคกระดูกพรุนมากขึ้นตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะในคนที่แก่ตั้งแต่ 70 ปีขึ้นไปจะพบโรคกระดูกพรุนได้มากกว่า 50% โดยพบภาวการณ์กระดูกพรุนรอบๆสันหลังส่วนเอว 15.7-24.7% บริเวณกระดูกสะโพก 9.5-19.3% อุบัติการณ์ของกระดูกบั้นท้ายหักในเพศหญิงวัยหมดประจำเดือนที่แก่ตั้งแต่ 50 ปีขึ้นไปได้จำนวน 289 ครั้งต่อประชากร 1 แสนรายต่อปี
ที่มาของโรคกระดูกพรุน เหตุเพราะกระดูกมี โปรตีน คอลลาเจน รวมทั้งแคลเซียม โดยมีแคลเซียมฟอสเฟตเป็นตัวทำให้กระดูกแข็งแรง ทนต่อแรงดึงรั้ง กระดูกมีการสร้างแล้วก็เสื่อมสภาพอยู่ตลอดเวลา พูดอีกนัยหนึ่ง ตอนที่มีการสร้างกระดูกใหม่โดยใช้แคลเซียมจากของกินที่กินเข้าไป ก็มีการสลายแคลเซียมในเนื้อกระดูกเก่าออกมาในเลือดรวมทั้งถูกขับออกมาทางฉี่แล้วก็อุจจาระ ธรรมดาในเด็กจะมีการสร้างกระดูกมากยิ่งกว่าการสลาย ทำให้กระดูกมีการเจริญวัย มวลกระดูกจะค่อยๆเพิ่มขึ้นจนมีความหนาแน่นสูงสุด เมื่ออายุประมาณ ๓๐-๓๕ ปี ต่อจากนั้นจะเริ่มมีการสลายกระดูกมากยิ่งกว่าการผลิต ทำให้กระดูกค่อยๆบางตัวลงตามอายุที่มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสตรีช่วงหลังวัยหมดระดู ซึ่งมีการลดลงของฮอร์โมนเอสโทรเจนอย่างเร็ว ฮอร์โมนชนิดนี้ช่วยการดูดซึมแคลเซียมเข้าสู่ร่างกายแล้วก็ชะลอการสลายของแคลเซียมในเนื้อกระดูก เมื่อพร่องฮอร์โมนจำพวกนี้ก็จะทำให้กระดูกบางตัวลงอย่างเร็ว จนกระทั่งเกิดภาวะกระดูกพรุน
ส่วนกลไกการเกิดกระดูกพรุนที่แน่ๆยังไม่เคยรู้ แต่ในเบื้องต้นพบว่าเป็นผลมาจากการเสียสมดุลระหว่างเซลล์สร้างกระดูก (Osteoblast) และก็เซลล์ดูดซับทำลายกระดูก (Osteoclast) ซึ่งการมีกระดูกที่แข็งแรงต้องมีสมดุลระหว่างเซลล์ทั้งสองประเภทนี้เสมอ ซึ่งการเสียสมดุลกำเนิดได้จากหลายสาเหตุคือ

  • อายุ: อายุที่มากขึ้น เซลล์ต่างๆจึงเสื่อมลงแล้วก็เซลล์สร้างกระดูก การสร้างกระดูกก็เลยน้อยลง แต่เซลล์ทำลายกระดูกยังดำเนินงานได้ตามปกติหรือบางทีอาจทำงานมากขึ้น
  • ฮอร์โมน - การลดระดับของฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ในผู้หญิง อย่างการเข้าสู่วัยหมดระดู ก็เป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้กระดูกพรุนและก็เปราะบางลง ส่วนในเพศชายจะมีการเสี่ยงเกิดโรคกระดูกพรุนเมื่อมีการผลิตฮอร์โมนเทสโทสเทอโรน (Testosterone) ลดลง
  • พันธุกรรม - คนที่มีพี่น้องสนิทสนมทางเชื้อสายที่มีประวัติมีอาการป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน ก็มีความเสี่ยงที่จะได้รับกรรมพันธุ์โรคดังที่กล่าวถึงแล้วไปด้วย
  • ความแปลกสำหรับในการดำเนินการของต่อมและก็อวัยวะต่างๆ- เช่น ต่อมไทรอยด์ ต่อมพาราต่อมไทรอยด์ ต่อมหมวกไต ไตและตับปฏิบัติงานแตกต่างจากปกติ
  • โรคแล้วก็การเจ็บป่วย - ผู้เจ็บป่วยที่มีสภาวะกระดูกพรุนอาจจะเกิดขึ้นเนื่องมาจากการเจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆเป็นต้นว่า โรคที่เกี่ยวพันกับตับ ไต กระเพาะ ลำไส้อักเสบ โรคทางเดินอาหาร กรดไหลย้อน โรคความไม่ปกติทางการกิน โรคภูมิแพ้ตนเอง โรคแพ้กลูเตน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคมะเร็งเม็ดเลือด โรคมะเร็งกระดูก
  • การบริโภค - กินอาหารที่มีแคลเซียมน้อยเกินไปต่อสิ่งที่จำเป็นของร่างกายในการสร้างกระดูกแล้วก็การเติบโต รับประทานอาหารที่ทำให้แคลเซียมเสียสมดุล อย่างของกินประเภทโปรตีนจากเนื้อสัตว์ซึ่งมีความเป็นกรดสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมที่เป็นแอลกอฮอล์ รวมทั้งสูบบุหรี่
  • การใช้ยา - คนที่เจ็บป่วยรวมทั้งต้องรักษาด้วยยาบางประเภทติดต่อกันนาน ดังเช่น กรุ๊ปยาสเตียรอยด์ ก็มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุนเช่นกัน ด้วยเหตุว่าตัวยาบางประเภทจะออกฤทธิ์ไปก่อกวนกระบวนการสร้างกระดูก ได้แก่ ยาเพรดนิโซโลน (Prednisolone)
  • การใช้ชีวิตประจำวัน - การนั่งหรืออยู่ในอิริยาบถท่าใดท่าเดิมเป็นระยะเวลานาน หรือการขาดการบริหารร่างกายอย่างพอเพียง

ลักษณะโรคกระดูกพรุน ส่วนใหญ่ชอบไม่มีอาการแสดง ตราบจนกระทั่งเกิดผิดปกติของโครงสร้างกระดูก ดังเช่นว่า ปวดข้อมือ สะโพก หรือข้างหลัง (เหตุเพราะกระดูกข้อมือ บั้นท้าย หรือสันหลังแตกหัก) ส่วนสูงน้อยลงจากเดิม (เนื่องจากว่าการหักและยุบตัวของกระดูกสันหลัง ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยไม่ได้คาดคิด เป็นต้น) ถ้าหากเป็นโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิก็อาจมีอาการแสดงของโรคที่เป็นต้นเหตุ
ทั้งผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนจะเสี่ยงต่อการหักของกระดูกซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่พบได้ทั่วไปชองภาวการณ์กระดูกพรุนโดยเฉพาะกระดูกบั้นท้าย กระดูกสันหลัง แล้วก็กระดูกข้อมือ ซึ่งทำให้เกิดผลกระทบต่อการ
สูญเสียอีกทั้งเศรษฐกิจของชาติและคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย รวมทั้งโดยส่วนใหญ่จะมีเหตุมาจากอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงหรือมีแรงกระแทกต่ำ ดังเช่น กระดูกหักจากการเปลี่ยนท่ายืนหรือนั่ง, กระดูกหักขณะก้มถือของหรือชูของหนัก, ซี่โครงหักเพียงไอหรือจาม, กระดูกข้อมือหักจากการใช้มือจนกระทั่งตัวเอาไว้จากการลื่นหรือหกล้ม, กระดูกสะโพกหักจากตูดชนกับพื้น ฯลฯ
ขั้นตอนการรักษาของโรคกระดูกพรุน เนื่องจากว่าภาวการณ์กระดูกพรุนส่วนใหญ่ไม่ปรากฏอาการแสดงที่ไม่ปกติจวบจนกระทั่งจะมีการหักของกระดูก รวมทั้งมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆดังเช่น อาการปวดเกิดขึ้น การตรวจและวิเคราะห์การสูญเสียมวลกระดูกให้ได้ก่อนที่จะมีการหักของกระดูกจึงเป็นหัวข้อสำคัญ โดยหมอจะวินิจฉัยโรคกระดูกพรุน จากเรื่องราวอาการ เรื่องราวป่วยไข้ต่างๆประวัติการออกกำ ลังกาย อายุ การตรวจร่างกาย รวมทั้งจะทำการวินิจฉัยด้วยการเอกซเรย์กระดูก ตรวจความหนาแน่นของกระดูก (bone mineral density)  แล้วนำค่าที่ได้ไปเปรียบเทียบกับค่าปกติในเพศและอายุตอนเดียวกัน ถ้าหากกระดูกมีค่ามวลกระดูกน้อยกว่า 1.00 gm/cm2 จะมีโอกาสกระดูกหักได้ง่าย ซึ่งการแบ่งกระดูกตามค่ามวลกระดูกจะแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ดังต่อไปนี้

  • กระดูกธรรมดา (Normal bone) คือ กระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ในช่วง 1 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานจากค่าเฉลี่ย (-1 SD)
  • กระดูกบาง (Osteopenia) คือ กระดูกมีค่ามวลกระดูกอยู่ระหว่างตอน -2.5 ความเบี่ยงเบนมาตรฐานที่ต่ำกว่าค่าถัวเฉลี่ย (-1 ถึง -2.5 SD )
  • กระดูกพรุน (Osteoporosis)เป็นกระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำลงมากยิ่งกว่าค่าเฉลี่ยเกินกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน (ต่ำยิ่งกว่า -2.5 SD)
  • กระดูกพรุนอย่างหนัก (Severe or Established osteoporosis) คือ กระดูกที่มีค่ามวลกระดูกอยู่ต่ำยิ่งกว่าค่าถัวเฉลี่ยมากกว่า 2.5 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐานร่วมกับการมีกระดูกหัก

การตรวจด้วย dual-energy x-ray absorptiometry (DEXA) ได้รับการยินยอมรับว่าเป็นแนวทางการตรวจที่เป็นมาตรฐาน (gold standard) มีความถูกต้องแม่นยำที่สุดในการตรวจวัดความหนาแน่นของมวลกระดูกแม้ว่าจะสูญเสียมวลกระดูกไปเพียงแค่ร้อยละ  1 ก็ตาม กรรมวิธีรักษาโรคกระดูกพรุนคือ เพิ่มหลักการทำงานของเซลล์สร้างกระดูกและก็หยุดหรือลดรูปแบบการทำงานของเซลล์ทำลายกระดูก
โดยหมอจะมีแนวทางการดูแลรักษาผู้ที่มีภาวะกระดุพรุน ดังต่อไปนี้

  • สำหรับผู้เจ็บป่วยที่มีกระดูกพรุน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะให้รับประทานแคลเซียม ดังเช่นว่า แคลเซียมคาร์บอเนต ทีละ ๖๐๐-๑,๒๕๐ มก. วันละ ๒ ครั้ง และก็อาจให้วิตามินดีวันละ ๔๐๐-๘๐๐ มก. ร่วมด้วยในรายที่อยู่แม้กระนั้นในร่ม (มิได้รับแดด) ตลอดเวลา
  • สำหรับหญิงหลังวัยหมดประจำเดือน หมอบางทีอาจใคร่ครวญให้ฮอร์โมนเอสโทรเจนทดแทน ดังเช่น conjugated equine estrogen (ชื่อทางด้านการค้า ได้แก่ Premalin) ๐.๓-๐.๖๒๕ มิลลิกรัม หรือ micronized estradiol ๐.๕-๑ มก. วันละครั้ง ในรายที่มีข้อที่ไม่อนุญาตใช้หรือมีผลข้างๆมาก อาจให้ราล็อกสิฟิน (raloxifene) แทนในขนาดวันละ ๖๐-๑๒๐ มิลลิกรัม ยานี้ออกฤทธิ์คล้ายเอสโทรเจน แต่ว่าส่งผลข้างเคียงน้อยกว่า
  • สำหรับผู้ชายเฒ่าที่มีภาวะฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนร่วมด้วย บางทีอาจจำเป็นต้องให้ฮอร์โมนประเภทนี้เสริม
นอกเหนือจากนี้ อาจพินิจพิเคราะห์ให้ยากระตุ้นการดูดซึมแคลเซียม และ/หรือยาลดการสลายกระดูกเพิ่มเติมแก่ผู้เจ็บป่วยบางราย ดังเช่น

  • ยากลุ่มบิสฟอสโฟเนต (bisphosphonate) ที่นิยมใช้ได้แก่ อะเลนโดรเนต (alendronate) ๑๐ มก. ให้กินวันละ ๑ ครั้ง หรือ ๗๐ มิลลิกรัม สัปดาห์ละ ๑ ครั้ง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก และก็เพิ่มความหนาแน่นของกระดูก คุ้มครองการแตกหักของกระดูกสันหลังและสะโพก เหมาะกับคนไข้ชาย คนเจ็บหญิงที่ไม่ได้รับฮอร์โมนทดแทน และใช้คุ้มครองภาวการณ์กระดูกพรุนในคนที่จำเป็นต้องรับประทานยาสตีรอยด์นานๆ
  • แคลสิโทนิน (calcitonin) มีทั้งยังจำพวกพ่นจมูกและฉีดเข้าใต้ผิวหนัง ยานี้ช่วยลดการสลายกระดูก แล้วก็มีคุณประโยชน์ในการใช้ลดลักษณะของการปวด เนื่องจากการแตกหักแล้วก็ยุบตัวของกระดูกสันหลังอีกด้วย

คนป่วยควรต้องใช้ยาเสมอๆ หมอจะนัดมาตรวจเป็นระยะ บางทีอาจจำเป็นต้องกระทำการตรวจกรองโรคมะเร็งเต้านมรวมทั้งปากมดลูก (สำหรับคนที่กินเอสโทรเจน) ปีละ ๑ ครั้ง ตรวจความหนาแน่นของกระดูกทุก ๒-๓ ปี เอกซเรย์ในรายที่สงสัยมีกระดูกหัก ฯลฯ
ในรายที่มีภาวะแทรกซ้อน ดังเช่น กระดูกหัก ก็ให้การรักษา ตัวอย่างเช่น การเข้าเฝือก การผ่าตัด การทำกายภาพบำบัด เป็นต้น
ในรายที่มีโรคหรือภาวะที่เป็นสาเหตุของโรคกระดูกพรุนชนิดทุติยภูมิ ก็ให้การรักษาไปพร้อมเพียงกัน
ปัจจัยเสี่ยงที่จะนำไปสู่โรคกระดูกพรุน สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่นำมาซึ่งการก่อให้เกิดโรคกระดูกพรุนนั้น ปัจจัยเสี่ยงอยู่ 2 ประเภท คือ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนได้ และ สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่ปรับเปลี่ยนไม่ได้ (ตารางที่ 1) ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงหลายเหตุก็จะมีโอกาสสูงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุน รวมทั้งจะได้โอกาสสูงที่จะกำเนิดกระดูกหักจากโรคกระดูกพรุน

สิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงของการเกิดภาวการณ์กระดูกพรุน
ปัจจัยที่ปรับปรุงแก้ไขมิได้            ต้นสายปลายเหตุที่ปรับปรุงแก้ไขได้

  • อายุ(คนสูงอายุ 65 ปีขึ้นไป)
  • เพศ (หญิง)
  • เชื้อชาติ (ชาวผิวขาวหรือชาวเอเชีย)
  • พันธุกรรม (ความเป็นมาคนภายในครอบคัวโดยเฉพาะคุณแม่)
  • รูปร่างเล็ก ผอมบาง บาง
  • หมดเมนส์ ก่อนอายุ 45
  • มีพยาธิสภาพที่จะต้องผ่าตัดเอารับไข 2 ข้างออกก่อนหมดรอบเดือน
  • เคยกระดูกหักจากภาวะกระดูกเปราะบาง •             ขาดฮอร์โมนเพศ : estrogen
  • หมดระดู
  • กินแคลเซียมน้อย บริโภคเกลือแกงและก็เนื้อสัตว์สูง
  • ดูดบุหรี่ กินเหล้า ดื่มกาแฟ
  • ขาดการออกกำลังกาย
  • ได้รับยาบางประเภท ดังเช่นว่า glucocorticosteroids รวมทั้ง thyroid hormone ฯลฯ
  • เป็นโรคบางประเภท ได้แก่ chronic illness, kidney disease , hyperthyroidism , และ Cushing’s syndrome เป็นต้น
  • มี BMI (ดัชนีมวลกาย)ต่ำลงมากยิ่งกว่า 19 กิโล/ตารางเมตร

การติดต่อของโรคกระดูกพรุน โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่ร่างกายมีสภาวะที่ความหนาแน่นของมวลกระดูกลดต่ำลงยิ่งกว่าค่ามาตรฐาน ซึ่งมีต้นเหตุที่เกิดจากกลไกการเสื่อมสลายของเซลล์สร้างกระดูก นำมาซึ่งการทำให้ความสมดุลของเซลล์สร้างกระดูกแล้วก็เซลล์ดูดซึมทำลายกระดูกสูญเสียไป ซึ่งมีเยอะมากหลายสาเหตุ แต่โรคกระดูกพรุนนี้ไม่ใช่โรคติดต่อเนื่องจากว่าไม่มีการติดต่อจากคนสู่คนหรือจากสัตว์สู่คนแต่อย่างใด
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคกระดูกพรุน

  • รับประทานวิตามินเกลือแร่เสริมอาหาร หรือยาต่างๆตามแพทย์เสนอแนะ
  • การกินของกินเป็นประโยชน์ 5 กลุ่มครบถ้วนบริบูรณ์ทุกวี่วันในปริมาณพอดีที่
  • บริหารร่างกายบ่อยตามควรกับสุขภาพ
  • หลบหลีกสิ่งที่ก่อให้เกิดความเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้
  • ไปพบหมอจากที่แพทย์นัดหมายบ่อยๆ
  • หมั่นดูแลความเป็นระเบียบในบ้าน รวมถึงไม่วางของขวางตามทางเดินที่อาจส่งผลให้ลื่นล้มหรือเกิดการชนจนกระทั่งทำให้กระดูกหักได้
การป้องกันตนเองจากโรคกระดูกพรุน

  • คนที่อยู่ในกรุ๊ปเสี่ยงเป็นโรคกระดูกพรุนจากที่กล่าวมา ควรจะปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจกรองโรคกระดูกพรุน ได้แก่ หญิงวัยหมดระดู, ผู้สูงอายุ, คนที่ใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานๆ, คนที่มีโรคที่เสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกพรุน เป็นต้น
  • กินแคลเซียมให้เพียงพอทุกเมื่อเชื่อวันให้เพียงพอต่อความอยากได้ของร่างกาย(ดังตารางดังกล่าวมาแล้วข้างต้น)

อายุจำนวนแคลเซียมที่อยากได้ (mg/day)
แรกเกิด – 6 เดือน
6 เดือน – 1 ปี
1 ปี – 5 ปี
6 ปี – 10 ปี
11 ปี – 24 ปี
เพศชาย
25 ปี – 65 ปี
มากยิ่งกว่า 65 ปี
ผู้หญิง
25 ปี – 50 ปี
มากกว่า 50 ปี (ข้างหลังวัยหมดประจำเดือน)
 
อายุ        400
600
800
800-1200
1200-1500
1000
1500 
1000
 
 
จำนวนแคลเซียมที่ต้องการ (mg/day)
  -ได้รับการรักษาด้วย estrogen
  - มิได้รับการดูแลรักษาด้วย estrogen
แก่กว่า 65 ปี
ระหว่าตั้งครรภ์ หรือให้นมลูก            1000
1500
1500
1200-1500
โดยของกินที่มีแคลเซียมสูง อย่างเช่น นม เนยแข็ง ปลาที่กินได้ทั้งกระดูก (อย่างเช่น ปลาไส้ตัน) กุ้งแห้ง เต้าหู้แข็ง ถั่วแดง ผักสีเขียวเข้ม (อย่างเช่น คะน้า ใบชะพู) งาดำคั่ว
วิถีทางปฏิบัติ สำหรับเด็กและก็วัยรุ่นควรจะดื่มนมวันละ 2-3 แก้ว คนแก่และก็คนสูงอายุดื่มนมวันละ 1-2 แก้วบ่อยๆ จะมีผลให้ได้รับแคลเซียมปริมาณร้อยละ 50 ของจำนวนที่อยาก ส่วนแคลเซียมที่ยังขาดให้กินจากของกินแหล่งอื่นๆประกอบ
คนแก่บางบุคคลที่มีความจำกัดสำหรับเพื่อการดื่มนม (เช่น มีภาวะไขมันในเลือดสูง อ้วน เป็นเบาหวาน ความดันเลือดสูง โรคหัวใจขาดเลือด) ให้เลือกรับประทานเนยแข็ง นมเปรี้ยว นมพร่องมันเนย แทน หรือบริโภคของกินที่มีแคลเซียมสูงในแต่ละมื้อให้เยอะขึ้นเรื่อยๆ

  • บริหารร่างกายบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการออกกำลังที่มีการถ่วงหรือต้านทานน้ำหนัก (weight bearing) ดังเช่น การเดิน การวิ่ง เต้นแอโรบิก กระโจนเชือก รำมวยจีน เต้นรำ เป็นต้น ร่วมกับการยกน้ำหนัก จะช่วยทำให้มีมวลกระดูกเยอะขึ้นเรื่อยๆ และกระดูกมีความแข็งแรง ทั้งยังแขน ขา และก็กระดูกสันหลัง
  • รักษาน้ำหนักตัวอย่าให้ต่ำกว่าเกณฑ์ (ผอมเหลือเกิน) เพราะคนซูบผอมจะมีมวลกระดูกน้อย มีความเสี่ยงต่อกระดูกพรุนได้
  • รับแสงอาทิตย์ ช่วยทำให้ร่างกายสังเคราะห์วิตามินดี ซึ่งเป็นฮอร็ความสงบกระตุ้นการผลิตกระดูก ในบ้านเราคนส่วนใหญ่จะได้รับแสงอาทิตย์เพียงพออยู่แล้ว เว้นแต่ในรายที่อยู่แต่ว่าในบ้านตลอดเวลา ก็ควรออกไปรับแดดอ่อนๆตอนเช้าหรือยามเย็น วันละ 10-15 นาที อาทิตย์ละ 3 วัน ถ้าหากอยู่แต่ว่าในที่ร่ม ผิดแสงแดด บางทีอาจจำต้องรับประทานวิตามินดีเสริมวันละ 400-800 มิลลิกรัม
  • หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดสภาวะกระดูกพรุน ตัวอย่างเช่น
  • ไม่กินอาหารจำพวกโปรตีนหรือเนื้อสัตว์มากเกินไป ด้วยเหตุว่าอาหารพวกนี้จะเป็นตัวกระตุ้นให้ไตขับแคลเซียมออกทางเยี่ยวมากเกินธรรมดา
  • อดอาหารเค็มจัดหรือของกินที่มีโซเดียมสูง เนื่องจากเกลือโซเดียมจะมีผลให้ลำไส้ซึมซับแคลเซียมได้ลดลง รวมทั้งเพิ่มการขับแคลเซียมทางไตเพิ่มมากขึ้น
  • ไม่ดื่มน้ำอัดลมปริมาณมาก เนื่องจากกรดฟอสฟอริกในน้ำอัดลมส่งผลให้เกิดการสลายแคลเซียมออกมาจากกระดูกเพิ่มมากขึ้น
  • หลบหลีกการดื่มแอลกอฮอล์ ชา กาแฟ ช็อกโกแลต ในจำนวนมาก เพราะว่าแอลกอฮอล์และกาเฟอีนในเครื่องดื่มเหล่านี้จะกีดกันการดูดซึมแคลเซียมของลำไส้เล็ก (กาแฟไม่สมควรดื่มเกินวันละ ๓ แก้ว แอลกอฮอล์ไม่เกินวันละ ๒ หน่วยดื่ม ซึ่งเท่ากันแอลกอฮอล์สุทธิ ๓๐ มิลลิลิตร)
  • งดการสูบบุหรี่ เพราะว่าบุหรี่กระตุ้นแล้วส่งผลให้มีการเกิดการสลายแคลเซียมออกจากกระดูกเยอะขึ้น (เพราะลดระดับเอสโทรเจนในเลือด)
  • ระวังการใช้ยาบางประเภท เช่น ยาสตีรอยด์ ซึ่งจะเร่งการขับแคลเซียมออกมาจากร่างกาย
  • รักษาโรคหรือสภาวะที่ทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน โรคระอุชชิง
สมุนไพรที่ช่วยปกป้อง / รักษาโรคกระดูกพรุน
เพชรสังฆาต ชื่อวิทยาศาสตร์ Cissus guadrangu laris L. สกุล Vitaceae "เพชรสังฆาต" เป็นสมุนไพรที่ใช้บำรุงกระดูกมาตั้งแต่อดีตกาล ในพระคู่มือสรรพลักษณะ พูดถึงสรรพคุณของ "เพชรสังฆาต" ไว้ว่า "เพชรสังฆาต แก้จุกเสียด แก้บิด แก้ปวดในข้อในกระดูก ถูกใจแก้ลมทั้งปวงแล" ในตำราเรียนหมอแผนโบราณทั่วไป สาขาการปรุงยา ของกองประกอบโรคศิลปะ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า "เพชรสังฆาต" มีสรรพคุณ แก้กระดูกแตก หัก ซ้น ขับลมในลำไส้ แก้ริดสีดวงทวารหนัก ส่วนแพทย์ท้องถิ่นนั้นใช้เถาตำละเอียดเป็นยาพอกบริเวณกระดูกหักช่วยลดอาการบวม อักเสบได้
ปัจจุบันนี้ได้มีงานศึกษาเรียนรู้วิจัยพบว่า "เพชรสังฆาต" มีวิตามินซีสูงมากซึ่งยืนยันสรรพคุณรักษาโรคเลือดออกตามไรฟัน อุดมด้วยแคโรทีนซึ่งเป็นสารเริ่มของวิตามินเอ มีฤทธิ์ต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่สำคัญมีส่วนประกอบของแคลเซียมสูงมาก และก็สารอทุ่งนาโบลิก สเตียรอยด์ (Anabolic  Steroids) มีฤทธิ์รีบปฏิกิริยาการสมานกระดูกที่แตกหักโดยกระตุ้นการผลิตเซลล์ออสเตโอบลาสต์ (Osteoblast) ซึ่งทำหน้าที่สร้างกระดูกแล้วก็ยังช่วยให้มีการสร้างสารไม่ววัวโพลีแซกค้างไรด์ (Mucopolysaccharides) ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในขั้นตอนสมานกระดูก นอกเหนือจากนั้นสารคอลลาเจน (Collagen) ในเพชรสังฆาตยังเป็นสารอินทรีย์โปรตีนที่มาจับกับผลึกแคลเซียมฟอสเฟตกระทั่งเปลี่ยนเป็นกระดูกแข็งที่สามารถรับน้ำหนักรวมทั้งมีความยืดหยุ่นในตนเอง
ผลของการตรวจสอบและลองใช้เถาเพชรสังฆาตในสตรีวัยทองซึ่งเป็นกรุ๊ปเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกพรุน พบว่าช่วยเพิ่มมวลกระดูกแล้วก็รักษากระดูกแตก กระดูกหักได้
ฝอยทอง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cuscuta chinensis Lam. สกุล Convlvulaceae ในประเทศจีนแล้วก็บางประเทศในแถบเอเชีย ได้มีการใช้เมล็ดฝอยทองสำหรับการรักษาโรคกระดูกพรุน จากการวิเคราะห์ทางเคมีพบว่า สารประกอบที่แยกได้จากสารสกัดเอทานอลเป็นสารในกรุ๊ป astragalin, flavonoids, quercetin, hyperoside isorhamnetin และก็ kaempferol เมื่อเอามาทดสอบฤทธิ์พบว่าสาร kaempferol แล้วก็ hyperoside สามารถเพิ่มฤทธิ์ของ alkaline phosphatase (ALP) ในเซลล์ osteoblast-like UMR-106 โดยที่ ALP เป็นตัวระบุในการเพิ่มการผลิตเซลล์กระดูกของเซลล์เริ่มต้น และสาร astragalin ยังกระตุ้นการแบ่งตัวของเซลล์ UMR-106
ด้วย ส่วนสารอื่นๆไม่พบว่ามีฤทธิ์ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น นอกเหนือจากนี้ยังพบว่าสารที่แยกได้มีฤทธิ์คล้ายกับฮอร์โมนเอสโตรเจน ขึ้นรถ quercetin, kaempferol และ isorhamnetin ออกฤทธิ์กระตุ้น ERβ (estrogen receptor agonist) แต่ว่าเมื่อเทียบกันในทางของการกระตุ้น ER จะมีเพียงแต่สาร quercetin แล้วก็ kaempferol ที่ออกฤทธิ์แรงสำหรับการยั้งตัวรับ estrogen จำพวก ERα/β โดยที่กลไกดังที่กล่าวถึงแล้วคาดว่าจะเปรียบเทียบกับยา raloxifene ที่ออกฤทธิ์กระตุ้น ER ที่บริเวณกระดูก ไขมัน หัวใจแล้วก็เส้นโลหิต แต่ว่าออกฤทธิ์ยั้ง ER ที่บริเวณเต้านมแล้วก็มดลูก
ยิ่งไปกว่านี้สาร quercetin รวมทั้ง kaempferol ยังกระตุ้นการแสดงออกของ ERα/β-mediated AP-1 reporter (activator protein) ซึ่งเป็นโปรตีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตกระดูก เช่นเดียวกับยา raloxifene จากการทดลองทั้งสิ้นทำให้สรุปได้ว่าเม็ดฝอยทองมีคุณภาพสำหรับในการรักษาโรคกระดูกพรุน แล้วก็สารสำคัญที่มีฤทธิ์สำหรับเพื่อการสร้างเซลล์กระดูกคือ kaempferol และ hyperoside
เอกสารอ้างอิง

  • สุภาพ อารีเอื้อ,สินจง โปธิบาล .ภาวะกระดูกพรุนในผู้สูงอายุ : ทำไมต้องรอจนกระดูกหัก? .รามาธิบดีพยาบาลสาร.ปีที่7.ฉบับที่3.กันยายน-ธันวาคม.2544 หน้า 208-218
  • Liscum B. Osteoprosis : The silent disease. Orthopaedic Nursing 1992; 11:21-5.
  • Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, L., Hauser, S., Longo, D., and Jameson, J. (2001). Harrison’s principles of internal medicine (15th ed.). New York: McGraw-Hill.
  • Gaisworthy TD & Wilson PL. Osteoporosis it steais more than bone, AJN 1996;96: 27-33.
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.โรคกระดูกพรุน.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 396.คอลัมน์สารานุกรมทันโรค.เมษายน.2555
  • แนวทางเวชปฏิบัติสำหรับโรคกระดูกพรุน พ.ศ. กรุงเทพ: มูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย [url=http://www.disthai.com/]http:/



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า

หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ