โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย

Advertisement


หน้า: [1]
  พิมพ์  
ผู้เขียน หัวข้อ: โรคคางทูม มีวิธีรักษาด้วยสมุนไพร เเละยังมีสรรพคุณ-ประโยชน์อีกมากมาย  (อ่าน 25 ครั้ง)
0 สมาชิก และ 1 บุคคลทั่วไป กำลังดูหัวข้อนี้
หนุ่มน้อยคอยรัก007
Jr. Member
**

การ์ม่า: +0/-0
ออฟไลน์ ออฟไลน์

เพศ: ชาย
กระทู้: 76


ดูรายละเอียด อีเมล์










« เมื่อ: พฤษภาคม 30, 2018, 09:32:56 am »



ล้อแม็ก แม็ก แม็กซ์แต่งรถ

↑ ลงทะเบียนรับข่าวสาร

ล้อแม็ก

Advertisement


โรคคางทูม (Mumps)
โรคคางทูมคืออะไร  โรคคางทูม (mumps) เป็นโรคที่เกิดจากการต่อว่าดเชื้อไวรัสซึ่งนับได้ว่าเป็นโรคติดต่อฉับพลันทางระบบหายใจ อีกโรคหนึ่ง มักพบในเด็กนักเรียนและวัยรุ่น คนป่วยส่วนมากมักมีลักษณะบวมรวมทั้งกดเจ็บบริเวณต่อมน้ำลาย เพราะว่าเกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายขนาดใหญ่ซึ่งอยู่บริเวณแก้มหน้าหู เหนือขากรรไกร ที่เรียกว่า ต่อมพาโรติด (Parotid glands) ซึ่งคือต่อมคู่ มีทั้งข้างซ้ายแล้วก็ข้างขวา ซึ่งโรคอาจกำเนิดกับต่อมน้ำลายเพียงฝ่ายเดียวหรือทั้งสองข้างได้ นอกเหนือจากนี้อาจเกิดกับต่อมน้ำ ลายอื่นได้ อาทิเช่น ต่อมน้ำลายใต้ขากรรไกร หรือต่อมน้ำลายใต้คาง ซึ่งมักจะต้องเกิดร่วมกับการอักเสบของต่อมพาโรติดด้วยเสมอ เป็นโรคที่มีลักษณะอาการไม่ร้ายแรงแล้วก็สามารถหายเองได้
คางทูมเป็นโรคที่พบมากในเด็กอายุ 6-10 ปี พบได้ทั้งเพศหญิงและผู้ชายใกล้เคียงกัน  แต่ว่าในเด็กโต วัยเจริญพันธุ์รวมทั้งผู้ใหญ่ชอบพบความร้ายแรงขอโรคคางทูม[/url]มากกว่าและเกิดอาการนอกต่อมน้ำลายมากยิ่งกว่าวัยเด็ก มักไม่ค่อยพบในเด็กอายุต่ำลงยิ่งกว่า 3 ปี และในคนแก่ที่แก่มากกว่า 40 ปี โรคนี้มีอุบัติการณ์การเกิดสูงในตอนม.ค.ถึงเมษายน แล้วก็ในตอนเดือนกรกฎาคมถึงเดือนกันยายน แล้วก็บางทีอาจพบการระบาดได้เป็นครั้งคราว ในแต่ก่อนจัดว่าเป็นโรคติดต่อที่มักพบในเด็ก แม้กระนั้นในขณะนี้มีลักษณะท่าทางต่ำลงจากการฉีดยาคุ้มครองปกป้องโรคนี้กันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ประวัติแล้วก็ภูมิหลังของโรคคางทูม ศตวรรษที่ห้าก่อนคริสต์ศักราช  Hippocrates ได้ชี้แจงโรคคางทูมว่าเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ถัดมาปลายคริสต์ศักราชที่ 1700  Hamilton เน้นย้ำว่าการเกิดอัณฑะอักเสบเป็นอาการสำคัญของโรคคางทูม ในปี คริสต์ศักราช1934 Johnson รวมทั้ง Goodpasture สามารถทดลองเอาอย่างการเกิดโรคคางทูมในลิงได้สำเร็จ เป็นหลักฐานแสดงการพบเชื้อไวรัสคางทูมผ่านมาสู่น้ำลายของผู้เจ็บป่วยโรคคางทูมได้ ในปี คริสต์ศักราช1945 Habel รายงานการเพาะเลี้ยงเชื้อไวรัสคางทูมในตัวอ่อนลูกไก่ได้สำเร็จ Enders แล้วก็คณะ ชี้แจงการทดสอบทางผิวหนังและการวิวัฒนาการของการเสริมตรึงแอนติบอดี  (complement-fixing antibodies) ตามหลังโรคคางทูมในมนุษย์ได้สำเร็จ
                รากศัพท์คำว่า  mumps มาจากภาษาใดไม่ทราบแจ้งชัด อาจมาจากคำนามในภาษาอังกฤษ  mump ที่หมายความว่าก้อนเนื้อ หรือมาจากคำกิริยาในภาษาอังกฤษ  to mump ที่หมายความว่า อารมณ์ไม่ดี ซึ่งเป็นลักษณะการแสดงออกทางสีหน้า  mumps ยังสื่อความหมายถึงลักษณะการพูดอู้อี้ ซึ่งเจอได้ในผู้เจ็บป่วยโรคคางทูม ในรายงานแต่ก่อนโรคคางทูมมีชื่อเรียกอีกชื่อว่า  epidemic parotitis
สาเหตุของโรคคางทูม สิ่งที่ทำให้เกิดโรคคางทูมมีต้นเหตุจากการติดเชื้อไวรัสที่ชื่อว่า มัมส์ (mumps Virus) เป็นไวรัสที่อยู่ในอากาศสามารถแพร่ไปได้โดยการไอ จาม เช่นเดียวกับหวัด ซึ่งเชื้อไวรัสจำพวกนี้เป็น
เชื้อไวรัสในกรุ๊ปพาราไม่กโซเชื้อไวรัส  (paramyxovirus) (มี mumps virus, New Castle disease virus, human parainfluenza virus types 2, 4a, and 4b) เชื้อไวรัสคางทูมเป็น enveloped negative singlestranded RNA มีลักษณะรูปร่างทรงกลม ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 90-300 นาโนเมตร ขนาดเฉลี่ยราวๆ 200 นาโนเมตร nucelocapsid ถูกห่อด้วย envelope 3 ชั้น
อาการโรคคางทูม อาการของโรคคางทูม กำเนิดข้างหลังสัมผัสโรค               
ที่มา :  WIKIPEDIA
ซึ่งระยะฟักตัวทั่วไปราวๆ 14 - 18 วัน แม้กระนั้นอาจเร็วได้ถึง 7 วันหรือนานได้ถึง 25 วัน โดยจะทำให้เกิดการอักเสบของต่อมน้ำลายพาโรติด อาการ คนป่วยจะเริ่มมีอาการเป็นไข้ อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ เมื่อยเนื้อเมื่อยตัวเรียกตัว ไม่อยากอาหาร  บางบุคคลอาจมีลักษณะของการปวดในช่องหูหรือข้างหลังหูขณะเคี้ยวหรือกลืน ๑-๓ วันถัดมา พบว่าบริเวณข้าง
                      ที่มา :  Googleหรือขากรรไกร มีลักษณะบวมและปวด  ลักษณะของการปวดจะเป็นมากขึ้นเมื่อรับประทานของเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาว คนเจ็บชอบรู้สึกปวดร้าวไปที่หู ขณะอ้าปากเคี้ยวหรือกลืนของกิน บางคนอาจมีอาการบวมที่ใต้คางร่วมด้วย (ถ้าหากมีการอักเสบของต่อมน้ำลายใต้คาง) ประมาณ ๒ ใน ๓ ของผู้ที่เป็นคางทูม จะเกิดอาการคางบวม ๒ ข้าง โดยเริ่มขึ้นข้างหนึ่งก่อนแล้วอีก ๔-๕ วัน ต่อมาค่อยขึ้นตามมาอีกข้างอาการคางบวมจะเป็นมากในช่วง ๓ วันแรกแล้วจะเบาๆยุบหายไปใน ๔-๘ วัน ในช่วงที่บวมมากมาย คนเจ็บจะมีอาการบอกแล้วก็กลืนตรากตรำ บางคนอาจมีอาการคางบวม โดยไม่มีอาการอื่นๆนำมาก่อน หรือมีเพียงอาการไข้ โดยไม่มีอาการคางบวมให้เห็นก็ได้ นอกจากนั้น พบว่าโดยประมาณร้อยละ ๓๐ ของคนที่ติดโรคคางทูม อาจไม่มีอาการแสดงของโรคคางทูมก็ได้
ส่วนภาวะแทรกซ้อน) ของโรคคางทูม ชอบพบได้สูงมากขึ้นเมื่อเกิดโรคในวัยรุ่น ผู้ใหญ่ หรือในคนมีภูมิคุ้มกันต่อต้านโรคต่ำ เช่น

  • โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เจอได้ราว 10% ของคนไข้ แล้วก็มักมีลักษณะอาการไม่ร้ายแรง
  • โรคสมองอักเสบ เจอได้แต่น้อยมาก แต่ว่าถ้าหากรุนแรงอาจจะเป็นผลให้เสียชีวิต ได้ เจอได้ประมาณ 1% และเจอกำเนิดในผู้ชายมากยิ่งกว่าผู้หญิง
  • ในผู้ชาย อาจเจอการอักเสบของอัณฑะ โดยช่องทางกำเนิดสูงมากขึ้นหากคางทูมกำเนิดในวัยรุ่นหรือวัยผู้ ใหญ่เจอได้ 20 - 30% ของคนเจ็บ อาการอัณฑะอักเสบมักกำเนิดประมาณ 1 - 2 สัปดาห์หลังจากต่อมน้ำลายอักเสบ โดยอัณฑะจะบวม เจ็บ และบางทีอาจกลับมาจับไข้ได้อีก อาการต่างๆจะเป็นอยู่โดยประมาณ 3 - 4 วัน หรืออาจนานได้ถึง 2 - 3 อาทิตย์ อัณฑะจะยุบบวม รวมทั้งขนาดอัณฑะจะเล็กลง ทั่วๆไปการอักเสบมักกำเนิดกับอัณฑะด้านเดียว ซ้ายหรือขวาได้โอกาสเกิดใกล้เคียงกัน แม้กระนั้นเจอกำเนิด 2 ข้างได้ 10 - 30% ข้างหลังเกิดอัณฑะอักเสบโดยประมาณ 13% ของผู้มีอัณฑะอักเสบด้านเดียว และก็ 30 - 87% ของผู้มีอัณฑะอักเสบ 2 ข้างจะมีลูกยาก (Impaired fertility) บางคนบางทีอาจเป็นหมันได้
  • ในหญิง อาจมีการอักเสบของรังไข่ได้โดยประมาณ 5% แต่มักไม่เป็นผลให้มีลูกยาก หรือเป็นหมัน
  • อื่นๆที่อาจพบได้บ้างแต่น้อยหมายถึงข้ออักเสบ ตับอ่อนอักเสบ รวมทั้ง หูอักเสบ

กรรมวิธีรักษาโรคคางทูม หมอสามารถวินิจฉัยโรคคางทูมได้จากเรื่องราวอาการรวมทั้งการตรวจร่างกายของผู้เจ็บป่วยดังต่อไปนี้

  • ตรวจเช็คเรื่องราวเจ็บไข้ได้ป่วยของคนไข้
  • ตรวจการบวมของต่อมน้ำลายที่ข้างหู แล้วก็ต่อมทอนซิลในปาก
  • ตรวจวัดอุณหภูมิของผู้เจ็บป่วยว่าอยู่ในระดับที่สูงเปลี่ยนไปจากปกติหรือเปล่า
  • ตรวจสารก่อภูมิคุ้มกัน (Antigen) ในเลือด
  • แม้กระนั้นเมื่อกระทำสอบความเป็นมาแล้วพบว่ามีประวัตสัมผัสกับคนเจ็บโรคคางทูมด้านใน 2-3 อาทิตย์ ด้วยกันมีอาการต่อมพาโรติดอักเสบก็สามารถวินิจฉัยโรคได้ทันที

ส่วนการตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการติดเชื้อไวรัสคางทูมนั้น มีความสำคัญต่อการวินิจฉัยในเรื่องที่คนเจ็บไม่มีต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบ ต่อมน้ำลายพาโรติดอักเสบเป็นซ้ำหลายคราว หรือเพื่อยืนยันการไต่สวนการระบาดของโรคคางทูม การตรวจทางห้องทดลองเพื่อยืนยันการวิเคราะห์โรคคางทูม โดยการตรวจทางภูเขามิคุ้นกันวิทยา (serologic studies) มีหลายวิธี อย่างเช่น

  • ตรวจเลือดหาแทนติเตียนบอดีต่อเชื้อไวรัสคางทูม lgM โดยแนวทาง enzyme-linked immunosorbent assay (ELISA)
  • การตรวจค้นเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลาย ปัสสาวะ น้ำไขสันหลัง เลือด แล้วก็สมอง โดยแนวทาง Reverse transcriptase (RT)–PCR assays แล้วก็
  • กรรมวิธีการแยกเชื้อไวรัสคางทูมในเซลล์เพาะเลี้ยง

เนื่องด้วยโรคคางทูมเป็นโรคที่เกิดขึ้นมาจากเชื้อไวรัส การดูแลรักษาโรคคางทูมก็เลยยังไม่มียารักษาโดยเฉพาะ แต่ว่าสามารถทำได้โดยทุเลาอาการและก็ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรงขึ้น โดยหมอจะรักษาตามอาการ อาทิเช่น เมื่อมีลักษณะปวดก็จะให้กินพาราเซตามอลเพื่อบรรเทาปวด ยิ่งไปกว่านั้นก็จะแนะนำขั้นตอนการกระทำตัวแล้วก็ให้พักฟื้นที่บ้าน
การดำเนินโรค  ทั้งนี้ส่วนใหญ่โรคคางทูมจะไม่มีภาวะแทรกซ้อนและสามารถหายได้เองตามธรรมชาติ รวมทั้งอาการไข้จะเป็นอยู่เพียง ๑-๖ วัน ส่วนอาการคางทูมจะยุบได้เองใน ๔-๘ วัน (ไม่เกิน ๑๐ วัน) รวมทั้งอาการโดยรวมจะหายสนิทด้านใน ๒ สัปดาห์
ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่ไม่ร้ายแรงที่เกิดกับอวัยวะต่างๆส่วนใหญ่ก็มักจะหายได้เป็นปกติส่วนน้อยมากมายที่อาจมีสภาวะเป็นหมัน (จากรังไข่อักเสบและก็อัณฑะอักเสบ) หูหนวก (จากประสาทหูอักเสบ)
การติดต่อของโรคคางทูม เชื้อไวรัสคางทูมสามารถติดต่อได้โดยการสัมผัสโดยตรง (direct contact) กับสารคัดเลือกหลั่งของทางเท้าหายใจ (droplet nuclei) หรือ fomites ผ่านทางจมูกหรือปาก ดังเช่นการหายใจสูดเอาฝอยละอองเสลดที่ผู้เจ็บป่วยไอหรือจามรด การสัมผัสน้ำลายของผู้ป่วย หรือโดยการสัมผัสถูกมือ ข้าวของ
ของใช้ ตัวอย่างเช่น ผ้าที่มีไว้เพื่อเช็ดหน้า ผ้าสำหรับเช็ดตัว แก้วน้ำ จาน จานชาม เป็นต้น รวมถึงสิ่งแวดล้อมอื่นๆที่แปดเปื้อนเชื้อ ซึ่งจำต้องใช้การสัมผัสที่ใกล้ชิดในการกระจายเชื้อเชื้อไวรัสคางทูมมากกว่าเชื้อฝึกหัด หรือเชื้ออีสุกอีใส ระยะที่กระจายเชื้อได้มากที่สุดเป็น1-2 วันก่อนเริ่มมีอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม จนกระทั่ง 5 วันหลังจากต่อมน้ำลายพาโรติดเริ่มบวม (แม้กระนั้นมีกล่าวว่าสามารถแยกเชื้อไวรัสคางทูมจากน้ำลายของผู้เจ็บป่วยตั้งแต่ 7 วันก่อนมีลักษณะอาการจนกระทั่ง 9 คราวหลังจากเริ่มมีลักษณะอาการต่อมน้ำลายพาโรติดบวม) ส่วนระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสคางทูมจำนวนมาก 16-18 วัน (วิสัย 12-25 วัน)
การแยกโรคอื่นๆที่มีลักษณะอาการคางบวมคล้ายกับโรคคางทูม การแยกโรค อาการคางบวม อาจเกิดขึ้นเนื่องจากโรครวมทั้งสาเหตุอื่น ได้อีกอย่างเช่น

  • การบาดเจ็บ ตัวอย่างเช่น ถูกต่อย
  • ต่อมทอนซิลอักเสบ คนไข้จะมีไข้ เจ็บคอ ต่อมทอนซิลบวมแดง รวมทั้งอาจพบมีต่อมน้ำเหลืองใต้คางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • เหงือกอักเสบหรือรากฟันอักเสบ คนเจ็บจะมีลักษณะปวดฟัน  หรือเหงือกบวม  แล้วก็อาจมีอาการคางบวมร่วมด้วยข้างหนึ่ง
  • ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ คนป่วยจะมีลักษณะอาการต่อมน้ำเหลืองที่ข้างคอหรือใต้คางบวมและปวด รวมทั้งอาจมีไข้ร่วมด้วย
  • เนื้องอกต่อมน้ำลายหรือท่อน้ำลายอุดตัน (จากการตีบหรือมีก้อนนิ่วน้ำลาย) คนเจ็บจะมีก้อนบวมที่คางข้างหนึ่ง ซึ่งชอบเป็นเรื้อรัง
  • ต่อมน้ำลายอักเสบเป็นหนอง จากการติดเชื้อแบคทีเรีย คนไข้มีลักษณะคล้ายคางทูม แต่ผิวหนังบริเวณคางทูมจะมีลักษณะแดงและเจ็บมากมาย
  • โรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง (อาจเกิดที่ต่อมน้ำเหลืองโดยตรง หรือแพร่กระจายจากกล่องเสียงหรือโพรงข้างหลังจมูก) ผู้เจ็บป่วยจะมีก้อนบวมที่ข้างคอ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางมากกว่า ๑ เซนติเมตร และไม่มีอาการเจ็บปวด อาจมีอาการเสียงแหบ (ถ้าหากเป็นมะเร็งกล่องเสียง) หรือคัดจมูกหรือเลือดกำเดาไหล (ถ้าหากเป็นโรคมะเร็งโพรงข้างหลังจมูก)
การกระทำตนเมื่อมีอาการป่วยเป็นโรคคางทูม เมื่อมีอาการป่วยด้วยโรคคางทูมหมอมักจะให้คำแนะนำสำหรับการปฏิบัติตนเพื่อบรรเทาอาการโรคมากยิ่งกว่าการให้ยา ซึ่งแพทย์ชอบชี้แนะดังต่อไปนี้

  • เช็ดตัวเวลาจับไข้รวมทั้งให้ยาลดไข้ (พาราเซตามอล) และให้ซ้ำได้ทุก 6 ชั่วโมงเฉพาะเวลาเป็นไข้สูง ห้ามใช้แอสไพริน สำหรับคนอายุต่ำยิ่งกว่า 18 ปี เพราะบางทีอาจเสี่ยงที่จะทำให้เป็นโรคเรย์ซินโดรม (Reye’s syndrome) ซึ่งมีการอักเสบของสมองและตับอย่างหนัก               เป็นโทษได้
  • ใช้น้ำอุ่นจัดๆประคบตรงรอบๆที่เป็นคางทูมวันละ 2 ครั้ง แม้กระนั้นหากปวด ให้ใช้ความเย็น (อาทิเช่น น้ำเย็น น้ำแข็ง) ประคบทุเลาปวด
  • หลีกเลี่ยงการกินของกินที่บดยาก ในระยะเริ่มต้นๆควรกินอาหารอ่อน อาทิเช่น ข้าวต้ม ซุป
  • เลี่ยงการกินอาหารรสเปรี้ยว น้ำส้มคั้น น้ำมะนาวคั้น เพราะอาจทำให้ปวดเยอะขึ้น
  • ควรจะหยุดเรียนหรือหยุดงาน พักรักษาตัวที่บ้านจนกระทั่งจะหาย เพื่อคุ้มครองป้องกันการแพร่ระบาดให้คนอื่นๆ
  • พักผ่อนให้พอเพียง
  • ดื่มน้ำมากมายๆเมื่อไม่ได้เป็นโรคที่จำเป็นต้องจำกัดน้ำ
  • บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเป็นประจำ
  • ควรรีบไปพบหมอเมื่อมีลักษณะอาการดังต่อไปนี้

o             ไข้สูง ตั้งแต่ 38 องศาเซลเซียส ขึ้นไป รวมทั้งไข้ไม่ลงด้านใน 2-3 ครั้งหน้าดูแลตัวเองในเบื้อง ต้น
o             ปวดต่อมน้ำลายมาก แล้วก็อาการปวดไม่ดีขึ้นหลังกินยาที่ช่วยบรรเทาอาการ
o             กินอาหาร และ/หรือกินน้ำได้น้อยหรือรับประทานมิได้เลย
o             ไข้สูงร่วมกับปวดศีรษะมาก คอแข็ง หรือเจ็บท้องมากมาย เพราะเป็นอาการเกิดจาผลกระทบ สอดแทรกดังที่กล่าวผ่านมาแล้ว
การป้องกันตนเองจากโรคคางทูม

  • วิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันการเกิดโรคคางทูมนั้นในชุมชนและในโรงพยาบาล ได้แก่ การส่งเสริมให้มีระดับภูมิคุ้มกันต่อเชื้อไวรัสคางทูมสูงโดยการฉีดวัคซีนป้องกันโรคคางทูม (MMR) เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีน 2 โด๊ส โด๊สแรกที่อายุ 9-12 เดือน และโด๊สที่สองอายุ 4-6 ปี หากไม่มีประวัติการได้รับวัคซีนมาก่อนในกลุ่มเด็กโต นักศึกษา นักท่องเที่ยว บุคลากรทางการแพทย์ ควรได้รับวัคซีน 2 โด๊ส ในผู้ใหญ่ควรได้รับวัคซีนมาก่อน ควรได้รับวัคซีน 1 โด๊ส
  • หลีกเลี่ยงการเข้าไปในสถานที่ที่มีผู้คนแออัด ในพื้นที่ที่มีการระบาดของโรคคางทูม ถ้าหลีกเลี่ยงไม่ได้ ควรสวมหน้ากากอนามัย หมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ หรือชโลมมือด้วยแอลกอฮอล์เพื่อกำจัดเชื้อโรคที่อาจติดมาจากการสัมผัส และอย่าใช้นิ้วมือขยี้ตาหรือแคะจมูก
  • ไม่ใช้สิ่งของเครื่องใช้ เช่น ผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว แก้วน้ำ โทรศัพท์ จานชาม ของเล่น ฯลฯ ร่วมกับผู้ป่วย และควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสมือโดยตรงกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม
  • ไม่เข้าใกล้หรือนอนรวมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคคางทูม แต่ถ้าจำเป็นต้องดูแลผู้ป่วยอย่างใกล้ชิดก็ควรสวมหน้ากากอนามัยและหมั่นล้างมือด้วยน้ำกับสบู่ให้สะอาดอยู่เสมอ
  • รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน เพื่อให้มีสุขภาพแข็งแรง และเพื่อลดโอกาสติดเชื้อต่างๆ รวมทั้งเชื้อไวรัสคางทูม
สมุนไพรที่ช่วยป้องกัน/รักษาโรคคางทูม

  • พิษนาศน์ ชื่ออื่น  แผ่นดินเย็น นมราชสีห์ น้ำนมราชสีห์ ปันสะเมา พิษหนาด สิบสองราศี  ชื่อวิทยาศาสตร์ Sophora exigua Craib , Fabaceae  สรรพคุณ:   ตำรายาไทย ราก รสจืดเฝื่อนซ่า ต้มเอาน้ำดื่ม ขับพิษภายใน ขับน้ำ แก้คางทูม
  • ตะลิงปลิง ชื่อวิทยาศาสตร์ : Averrhoa bilimbi L. ชื่อสามัญ : Bilimbing  วงศ์ :   OXALIDACEAE สรรพคุณ : ยารักษาคางทูม วิธีและปริมาณที่ใช้ : ใช้ใบสด 1 กำมือ ตำให้ละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อย พอกบริเวณที่บวม พอกวันละ 2 ครั้ง เช้า-เย็น เปลี่ยนยาใหม่ทุกครั้ง ชาวอินโดนีเซียนิยมใช้ยานี้มาก

    เอกสารอ้างอิง

  • รศ.นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ.คางทูม.นิตยสารหมอชาวบ้าน.เล่มที่ 321.คอลัมน์ สารานุภาพทันโรค.มกราคม .2549
  • Enders JF, Cohen S, Kane LW. Immunity in mumps. The development of complement fixing antibody and dermal hypersensitivity in human beings following mumps. J Exp Med. 1945;81:119-35.
  • พญ.ฐิติอร ฤาชาฤทธิ์.พอ.วีระชัย วัฒนวีราเดช.วัคซีนป้องกันโรคางทุม.ตำราวัคซีน.สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศทไย.หน้า173-183
  • สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปรายงานการเฝ้าระวังโรค ปี พ.ศ.2552.นนทบุรี:สำนักฯ;
  • Kleiman MB. Mumps virus. In: Lennette EH, editor. Laboratory Diagnosis of Viral Infections, 2nd ed. New York: Marcel Dekker;1992. p. 549-66. http://www.disthai.com/[/b]
  • นพ.สุรเกียรติ อาชานานุภาพ “คางทูม (Mumps/Epidemic parotitis)”.หนังสือตำราการตรวจรักษาโรคทั่วไป หน้า 407-410.
  • American Academy of Pediatrics. Mumps. In: Pickering LK, Baker CJ, Kimberlin DW, Long SS, editors. Red book.2009 Report of the Committee on Infectious Diseases. 28th ed. Elk Grove Village, IL: American Acedemy of Pediatric; 2009. p. 468-472.
  • Centers for Disease Control and Prevention(CDC). Updated recommendations for isolation of persons with mumps. MMWR Morb Mortal Wkly Rep. 2008;57:1103-5.
  • Johnson CD, Goodpasture EW. An investigation of the etiology of mumps. J Exp Med. 1934;59:1-19.
  • คางทูม-อาการ,สาเหตุ,การรักษา.พบแพทย์ดอทคอม.(ออนไลน์)เข้าถึงได้
  • กลุ่มเฝ้าระวังสอบสวนทางระบาดวิทยา สำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.สรุปสถานการณ์และองค์ความรู้จากการเฝ้าระวังและสอบสวนโรค MMR ปี พ.ศ.2552. นนทบุรี : สำนักฯ ;
  • พิษนาศน์.ฐานข้อมูลเครื่องยา คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี.
  • Habel K. Cultivation of mumps virus in the developing chick embryo and its application to the studies of immunity to mumps in man. Public Health Rep. 1945;60:201-12.
  • Baum SG, Litman N. Mumps virus. In Mandell GL. Bennett JE, Dolin R, editors. Mandell, Douglas and Bennett’s principles and practice of infectious disease. 7th ed. New York: Churchill Livingstone; 2010. p. 2201-6.
  • ตะลิงปลิง.กลุ่มยารักษาตา คางทูม แก้ปวดหู.สรรพคุณสมุนไพร200ชนิด.โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี.
  • Travis LW, Hecht DW. Acute and chronic inflammatory diseases of the salivary glands, diagnosis and management. Otolaryng Clin North Am. 1977;10:329-88.
  • Gershon, A. (2001). Mumps. In Braunwald, E., Fauci, A., Kasper, D., Hausen, S., Longo, D.,andJamesson, J. Harrrison’s: Principles of internal medicine. (p 1147-1148). New York. McGraw-Hill.



GPSราคาถูก | เครื่องฟอกอากาศในรถยนต์ | Ran Online | Ragnarok | โปรโมชั่น | เกมส์ออนไลน์

Promotion
บันทึกการเข้า
หน้า: [1]
  พิมพ์  
 
กระโดดไป:  

ฐานข้อมูลผิดพลาด
ลองอีกครั้ง ถ้าเกิดการผิดพลาดอีกครั้ง ให้แจ้งผู้ดูแลระบบด้วย
กลับ